เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 586 ให้เหยียนจี้ชวนไปฉุดสาวมาแต่งงาน
บทที่ 586 ให้เหยียนจี้ชวนไปฉุดสาวมาแต่งงาน
บางครั้งสวี่ชิงรู้สึกว่าดวงตาอันแสนบริสุทธิ์และสดใสของต้าเป่ามีความสงบสุขที่ไม่สมกับวัยของเขาอยู่เสมอ อาทิ ตอนที่เขาแหงนหน้ามองคุณยาย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน กำปั้นเล็กกำเข้าหากันแน่นราวกับกำลังประหม่าอย่างมาก
เย่หนานหอมแก้มต้าเป่า “หลังจากนี้มาเรียนรู้กับคุณยาย คุณย่าทวดนะ ต้องทำให้ได้ดีกว่าแม่นะรู้ไหม?”
ต้าเป่าเม้มปากขณะเอียงหน้ามองคุณยายด้วยสีหน้าจริงจัง เต็มเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่
ในขณะที่เสี่ยวเป่าเหมือนดื่มน้ำส้มสายชูกลับมาเกิดใหม่ เขารีบร้องตะโกนเสียงดังลั่นเมื่อเห็นแม่กับคุณยายต่างพากันพูดชื่นชมพี่ชายของตน รีบกระชากแขนแม่และเหยียดแขนออกไปให้แม่มาอุ้ม
สวี่ชิงกลับเข้าไปเตรียมอาหารกลางวัน มันไม่ง่ายนักที่โจวจินหนานจะเลิกงานได้ตรงเวลา ขณะเดียวกันก็นำข่าวดีของซ่งจิ่นสือกลับมาด้วย
ถึงกระนั้นเย่หนานกลับเป็นกังวลเกี่ยวกับซ่งจิ่นสือมากกว่าสวี่ชิงเสียอีก “ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? จะกลับมาเมื่อไหร่?”
โจวจินหนานคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “เดี๋ยวอีกสองสามวันก็กลับมาครับ ตอนนี้ผมพูดได้แค่ว่าเขาปลอดภัยดี”
เย่หนานยักไหล่ “ก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นจะตายหรอก แต่ถ้าเขาตายมันก็น่าเสียดาย เสียหนูทดลองไปตั้งหนึ่งคนน่ะ เธอไปบอกเหยียนจี้ชวนให้มาพาแม่ไปดูด้วยล่ะ”
โจวจินหนานตอบรับ “ครับ เดี๋ยวผมบอกอาให้”
เขาพูดและหันไปหน้าสวี่ชิง “อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับฉินเหมียวเหมียวนะ ผมกลัวว่าถ้าหล่อนรู้แล้วจะรีบบุกไปหาเขา”
สวี่ชิงเข้าใจดี “ได้ รอพวกคุณแน่ใจกันก่อน แล้วฉันจะค่อยไปบอกหล่อนทีหลัง”
……
ณ บ้านสกุลฉิน เฉินหลานเริ่มพูดพร่ำบ่นขณะมองดูลูกสาวทั้งสองคนที่ไม่ค่อยกลับบ้าน “พวกลูกสองคนเอาแต่ทำงานยุ่งกันแทบทุกวัน ถ้าพ่อกับแม่อยากเจอพวกแก จะต้องถึงขั้นนัดเจอกันเลยไหม?”
ฉินเหมียวเหมียวพูดพึมพำขณะถือชามข้าว “ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ฉันก็กลับบ้านทุกวันนี่ ถ้าแม่อยากจะพูดถึงพี่ก็พูดมาเลยเถอะ”
เฉินหลานจ้องเขม็งไปที่หล่อน ก่อนจะหันหน้าไปมองฉินเฟยที่กำลังนั่งกินข้าวเงียบ ๆ รู้สึกว่าไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวมาสักพักหนึ่งแล้ว ฉินเฟยดูผอมซูบลงไปมาก ก่อนจะคีบซี่โครงหมูลงไปในถ้วยของลูกสาว “อยู่ในห้องทดลองไม่ได้กินข้าวกินปลาหรือไง? ดูสิผอมแห้งแรงน้อยหมดแล้ว ลมกรรโชกพัดมาเดี๋ยวก็ปลิวเอาหรอก หรือถ้าอาหารในห้องทดลองมันไม่อร่อย แม่จะทำอาหารส่งไปให้ ยังไงซะตอนนี้แม่อยู่บ้านวัน ๆ ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”
ฉินเฟยรีบวางตะเกียบลง “แม่ อาหารในโรงอาหารอร่อยดีค่ะ แต่ว่าช่วงนี้มีโครงการเร่งเข้ามา ตกกลางคืนฉันเลยไม่ค่อยได้นอนพักผ่อน เดี๋ยวโครงการจบก็ได้พักแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าเฉินหลานไม่พอใจกับคำอธิบายดังกล่าว ยังคงพูดพร่ำบ่นขณะมองใบหน้าผอมซูบจนเห็นสันกรามชัดของลูกสาว “เกิดอะไรขึ้นกับพวกลูกกันแน่? เป็นผู้หญิงใครใช้ให้ทำงานหนักขนาดนี้? เฟยเฟย ไปทำงานที่โรงพยาบาลไม่ดีกว่าเหรอ? แม่ว่าทำงานที่โรงพยาบาลก็ดีนะ”
แม้ว่าการเป็นแพทย์จะต้องทำงานหนัก แต่อย่างน้อยก็ยังได้เจอหน้าลูกสาวทุกวัน และได้หยุดพักผ่อนอย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์
ขณะที่ตอนนี้มันยากมากที่จะเจอหน้าฉินเฟยในแต่ละเดือน หากหล่อนเข้าไปในห้องทดลองแล้ว หล่อนจะไม่กลับออกมาอีกหลายวัน หากหล่อนยังทำงานแบบนี้ต่อไป หล่อนจะมีครอบครัวและดูแลครอบครัวได้อย่างไร?
เฉินหลานรู้สึกเป็นกังวลอีกครั้งเมื่อนึกถึงปัญหาของลูกสาว “เฟยเฟย ผู้ชายที่คุณป้าแนะนำให้รู้จักตอนไปงานศพคุณยายน่ะ เมื่อไหร่ลูกจะว่างนัดเจอเขาสักที?”
ฉินเฟยคิดต่อต้านในใจ ขณะกัดตะเกียบเงียบ ๆ
เฉินหลานรู้สึกโกรธเคืองเมื่อมองดูรูปลักษณ์ของฉินเฟย และเห็นว่าลูกสาวกำลังแสดงท่าทางว่าไม่มีความสุข “ลูกไม่เด็กแล้วนะ ตอนแม่อายุเท่าแก แม่คลอดน้องสาวแกออกมาแล้ว หนุ่มน้อยที่คุณป้าแนะนำให้รู้จักก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่สักหน่อย หน้าที่การงานก็ดี สถานะทางครอบครัวดีมาก ยิ่งไปกว่านั้นพ่อแม่เขามีเหตุมีผลจะตาย”
“มาดูนิสัยลูกเถอะ แม่กับพ่อกลัวว่าลูกแต่งงานเข้าไปแล้ว จะเงียบปิดปากเวลาโดนใครเขารังแกเอา”
ฉินเหมียวเหมียวอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา “ที่บอกว่ามีเหตุมีผลน่ะ ใครจะไปรู้ว่าในฐานะแม่สามีจะมีเหตุมีผลพอหรือเปล่า?”
เฉินหลานจ้องเขม็งไปที่หล่อน “เงียบไปเลย ค่อยมาพูดเรื่องแกทีหลัง”
ก่อนจะจ้องมองไปที่ฉินเฟยอีกครั้ง “ไม่ว่าจะยังไง ลูกก็ควรไปเจอหน้าเขาซะ จะได้รู้ว่าเหมาะสมกันหรือไม่ อีกอย่างอย่าได้คิดถึงเหยียนจี้ชวนอีก แม่กับพ่อไม่เห็นด้วย”
ฉินเฟยก้มหน้าระงับความขุ่นเคืองในดวงตา ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงยังมีอคติกับเหยียนจี้ชวนอยู่อีก
ในขณะที่ฉินเหมียวเหมียวคอยส่งเสียงบ่นจากทางด้านข้าง “ฉันว่าเหยียนจี้ชวนก็ดีออก ดูดีแถมยังมีเสน่ห์ ผู้หญิงหลายคนชอบผู้ชายแบบเขาจะตาย แถมยังมีการศึกษาด้วย ไม่เหมาะกับพี่ตรงไหน”
เฉินหลานโกรธจัดเมื่อได้ยินคำพูดสุมไฟของฉินเหมียวเหมียว โกรธมากเสียจนยกตะเกียบขึ้นมาตีมือลูกสาว “ทำไมถึงเอาแต่พูดไร้สาระอยู่ได้? เหยียนจี้ชวนมีดีตรงไหน? เขามาจากปักกิ่ง จะต้องกลับไปอยู่ปักกิ่ง ถ้าพี่สาวแกไปอยู่ปักกิ่งจะไม่กลับบ้านปีละครั้งเลยหรือไง?”
ฉินเหมียวเหมียวร้องซี๊ดขณะชักมือออก รีบสะบัดมืออย่างแรง “แม่อะ ทำเกินไปไหม ฉันเจ็บนะ แล้วถ้าเหยียนจี้ชวนมาอยู่ตัวเมืองเอกล่ะ? อีกอย่างไปปักกิ่งแล้วมันยังไง นั่นมันเมืองหลวงนะ ฉันยังอยากไปเลย”
เฉินหลานหัวเราะเยาะ “งั้นก็รอให้ฉันกับพ่อแกตายกันไปก่อนเถอะ พูดตรง ๆ นะ แม่ไม่ชอบเหยียนจี้ชวนอะไรนั่นหรอก ไม่ว่าครบอครัวเขาจะมีภูมิฐานหรือมีหน้าที่การงานดี แม่ก็ไม่ชอบอยู่ดี ถ้าอยากเอาชนะแม่นักล่ะก็…”
หล่อนไม่สามารถพูดต่อได้ และเช็ดน้ำตาทั้งที่ดวงตาแดงก่ำ
ฉินเฟยเงยหน้าขึ้นมาขณะทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองไปที่ฉินเหมียวเหมียว เพราะหล่อนไม่เห็นว่าทำไมจู่ ๆ แม่ถึงร้องไห้
ฉินเหมียวเหมียวกังวลมาก “เมื่อกี้ยังสบายดีอยู่เลย ทำไมจู่ ๆ ถึงร้องไห้ล่ะแม่? แม่พูดสิ ร้องไห้ทำไม?”
เฉินหลานเช็ดน้ำตาด้วยท่าทางเสียใจเป็นอย่างมาก “ทำไมลูกถึงได้ดื้อรั้นนัก? แม่ใช้วิธีนี้จัดการกับลูกได้ไหม? แม่เคยผ่านมาก่อนและรู้ว่าการแต่งงานมันยากแค่ไหน ลูกก็เอาแต่แหงนหน้ามองเหยียนจี้ชวนจนติดเป็นนิสัย แต่ในการแต่งงานมันยากมาก ๆ เลยนะ ต้องแต่งงานออกไปไกล ไม่มีคนในครอบครัวอยู่ด้วย ถ้าเกิดลูกโดนรังแกล่ะ?”
“ด้วยหน้าที่การงานของเหยียนจี้ชวน เขาไม่มีทางอยู่ตัวเมืองเอกไปตลอดชีวิตหรอก เขาแค่ใช้ที่นี่ไต่เลื่อนขั้นขึ้นไป เพราะที่นี่ทำอะไรมันก็บรรลุผลได้ง่าย เขาเป็นคนทะเยอทะยาน ไม่เหมาะสมกับลูกเลยสักนิด”
หล่อนพูดและสะอื้นไห้ จนทำให้ฉินเฟยจิตหลุดไปชั่วขณะ “แม่ หยุดร้องไห้เถอะค่ะ แค่ไปดูเฉย ๆ ก็ได้ใช่ไหมคะ?”
ดวงตาของเฉินหลานเป็นประกายทันที รีบเช็ดน้ำตาและหันไปมองฉินเฟย “ลูกพูดจริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นลูกต้องไปดูตัวจริง ๆ นะ อย่าทำให้แม่ผิดหวัง”
ฉินเฟยครุ่นคิดและพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง
ส่วนฉินเหมียวเหมียวคิดในใจว่าหล่อนจะยืนหยัดอยู่ข้างเหยียนจี้ชวนต่อไป และจะกลายเป็นญาติกับสวี่ชิงให้ได้
ถึงตอนนั้นหล่อนจะมีลำดับอาวุโสกว่าสวี่ชิง เพียงคิดเท่านี้ก็มีความสุขมากแล้ว
แต่ตอนนี้พี่สาวหล่อนกำลังจะไปนัดดูตัว หมายความว่าเหยียนจี้ชวนจะหมดหวังแล้วหรือ?
ไม่ หล่อนจะไปหาสวี่ชิง และบอกให้สวี่ชิงไปบอกเหยียนจี้ชวนให้หาทางออก
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ หล่อนก็รีบสวมเสื้อโค้ทผ้าฝ้าย พันผ้าพันคอและวิ่งออกไป จนเฉินหลานต้องร้องตะโกนตามหลัง “แกจะไปไหนน่ะ? ข้างนอกจะมืดแล้วนะ…”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อาเล็กลงมือสักทีสิ หมอฉินกำลังจะไปนัดดูตัวแล้วนะ
ไหหม่า(海馬)