เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 584 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
บทที่ 584 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
อวี๋เซี่ยงตงมองไปยังโจวจินหนานด้วยสายตาแน่วแน่ เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการสอบสวนมากเกินไปจนไม่มีเวลาได้ตรวจสอบ ทำให้โจวจินหนานก้าวนำไปอีกครั้ง
ทั้งที่ภายในใจไม่มั่นใจว่าตนเองจะใช้เวลาตรวจสอบเรื่องนี้นานเท่าใด แต่โจวจินหนานกลับได้ตรวจสอบเรื่องนี้นำไปล่วงหน้าเมื่อสองสามวันก่อน
โจวจินหนานเลิกคิ้วขณะมองไปที่อวี๋เซี่ยงตง “แกหมายถึงเอกสารภายในน่ะเหรอ?”
อวี๋เซี่ยงตงก่นด่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คิดว่าแกจะไม่รู้ซะอีก ฉันรู้สึกว่ามันมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
สวี่ชิงมองดูพวกเขากระซิบกระซาบกันด้วยความอยากรู้อยากเห็น “คุยอะไรกันอยู่คะ? ฉันรู้เรื่องเอกสารภายในอะไรนั่นไม่ได้ใช่ไหม?”
อวี๋เซี่ยงตงโบกมือ “ไม่ใช่อย่างนั้น มันจะมีการประกาศส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนในวันปีใหม่นี้ สำหรับเศรษฐกิจทุกหมู่บ้านทุกครัวเรือน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคเอกชนอย่างจริงจัง”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร ตอนนี้ทิศทางของสิ่งที่เรียกว่าแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยทั่วไปยังเป็นของทางรัฐบาล ส่วนของภาคเอกชนจะได้การอนุญาตในส่วนรูปแบบธุรกิจขนาดเล็กและพ่อค้าหาบเร่เท่านั้น
แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคเอกชนจะเริ่มขยับขยายภายในสองปี และจะเริ่มที่คนรวยก่อน
อวี่เซี่ยงตงคิดว่าสวี่ชิงไม่เข้าใจเมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร จึงคลี่ยิ้มและพูดขึ้นว่า “ต้องบอกว่านโยบายนี้ดีทีเดียว ใครบ้างจะไม่สนใจ ตอนนี้ร้านค้าของคุณโดดเด่นขึ้นมาก จนคนพากันเสียดาย”
สวี่ชิงยิ้มและพูดขอบคุณอวี๋เซี่ยงตง “ขอบคุณนะ ฉันรู้สึกรบกวนแย่เลย ไม่อย่างนั้นฉันคงจะคิดว่าตัวเองทำได้ดีซะอีก อย่างน้อยก็รักษาน้ำใจเอาไว้ได้สำเร็จ”
อวี๋เซี่ยงตงเดาะลิ้นสองครั้ง “งั้นผมคงตำหนิอะไรคุณไม่ได้หรอก ทั้งหมดเป็นความผิดของโจวจินหนาน ทั้งที่เขาแก่กว่าคุณ แต่ไม่ยอมพูดตักเตือนคุณ คุณถึงได้ลืมไปสนิทเลย”
เขาพูดขณะรู้สึกว่าขาตนเองถูกกอดจากด้านล่าง และเมื่อเขาก้มหน้าลงไป เขาเห็นใบหน้าเล็ก ๆ คล้ายคลึงกับหมั่นโถวแป้งขาวจ้องมาที่เขาด้วยดวงตากลมโตที่หรี่ลงเล็กน้อยจนกลายเป็นจันทร์เสี้ยว
อวี๋เซี่ยงตงยิ้มและล้มลงไปหยิกแก้มของเสี่ยวเป่า จากนั้นจึงเอื้อมมือออกไปกอดเขา “ไหนดูลูกชายตัวอ้วนของฉันสิ หล่อขึ้นเรื่อย ๆ นะ”
สวี่ชิงกลอกตาเงียบ ๆ ให้กับมุกตลกฝืดที่มักจะไว้ใช้ล้อเล่นกับเพื่อนฝูง ก่อนจะเดินเข้าไปหาเย่หนาน
โจวจินหนานเข้าไปอุ้มเสี่ยวเป่ากลับมาลวก ๆ “อยากมีลูกนักก็ไปทำเองสิ อายุตั้งสามสิบปีแล้ว ทำไมยังทำตัวไม่เอาถ่านอยู่ได้?”
อวี๋เซี่ยงตงมองดูผิวพรรณขาวผ่องและนุ่มนวลของเสี่ยวเป่าขณะเม้มปาก “อยากมีลูกชายอ้วน ๆ แบบนี้จัง แต่แกก็ฉลาดไม่เบานะ แต่งงานและมีลูกกับสวี่ชิงตั้งแต่เนิ่น ๆ ตอนนี้เขาไม่อนุญาตให้นักศึกษาแต่งงานกันแล้ว ต้องรอจนกว่าซูช่านจะเรียนจบถึงจะแต่งงานมีลูกได้ ถึงตอนนั้นฉันก็สามสิบห้าพอดี กว่าลูกจะเข้าเรียนประถมก็คงสี่สิบกว่าแล้ว”
เขาอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงมัน
โจวจินหนานมองอวี๋เซี่ยงตงด้วยความปีติยินดีท่ามกลางความทุกข์ของอีกฝ่าย ก่อนจะให้คำแนะนำอย่างกรุณา “แกก็ไปขอจดทะเบียนคนรักที่หน่วยก่อนสิวะ จากนั้นหมั้นได้แล้วค่อยไปหมั้น”
อวี๋เซี่ยงตงก็คิดแบบนั้นเช่นกัน “ฉันจะคิดดูอีกที”
เหตุผลหลักคือไม่รู้ว่าซูช่านจะยอมหรือเปล่า
ถึงกระนั้นกลับนึกไม่ถึงว่าคำพูดของโจวจินหนานเคยช่วยให้ความสัมพันธ์ของอวี๋เซี่ยงตงกับซูช่านรอดมาแล้วครั้งหนึ่ง
สวี่ชิงที่นั่งอยู่ภายในห้องกำลังพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นในสถานีให้เย่หนานฟัง จนเย่หนานรู้สึกเหลือเชื่อ “ทำตัวไร้ยางอายแบบนี้ได้ที่ไหนกัน? มันอยู่ไหน? คืนนี้แม่จะไปจัดการมันให้”
สวี่ชิงรีบคว้าแขนของเย่หนาน “แม่ อย่าใจร้อนนักสิคะ ฉันเสียเปรียบแบบนี้แล้วจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่นอน ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะต้องทำธุรกิจที่คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีเทคนิคพิเศษไม่สามารถทำได้ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่คุ้มค่าต่อการสานต่อ”
ตอนที่เธอกลับมาเกิดใหม่ เธอไม่รู้อะไรเลยนอกจากการทำธุรกิจอาหาร แม้ว่าต่อมาเธอจะเริ่มคิดทำธุรกิจผ้าแคชเมียร์ ถึงกระนั้นก็ยังไม่เคยได้ลองลงมือทำสักที
แต่ว่าตอนนี้มันแตกต่างกันออกไป เธอได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับยาสมุนไพรจีน รู้หลักการรักษาโรครวมถึงผลกระทบ นอกจากนี้ยังมีเย่หนานกับเฟิงซูฮวาอยู่ที่นี่ด้วย และพวกเขาเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า
แล้วเธอจะยังต้องไปหาชามข้าวทอง(1)เพื่อแสดงหาอนาคตที่สดใสอยู่อีกหรือไม่?
ไม่ว่าสวี่ชิงจะทำอะไร เย่หนานจะคอยสนับสนุนเธออย่างไม่มีเงื่อนไข “ลูกอยากทำอะไรก็ทำเลย แม่จะคอยดูแลลูกเอง”
สวี่ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แม่คะ ในอนาคตเราลองเปิดโรงงานผลิตยาดูได้ไหมคะ? แม่ค้นคว้าครีมขี้ผึ้งที่ช่วยลบรอยแผลเป็นอยู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้ามันสำเร็จ เราก็ทำได้นี่คะ”
นี่ไม่ใช่ธุรกิจที่ใครก็ตามจะสามารถทำได้
เย่หนานขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ทำไมลูกอยากทำแบบนั้นล่ะ แม่คิดว่าเรียนจบแล้วมาเป็นหมอตรง ๆ เลยไม่ดีกว่าเหรอ”
สวี่ชิงยิ้ม “ฉันกลัวว่าตัวเองจะนั่งนิ่งไม่ได้ อีกอย่างการเปิดโรงงานผลิตถือว่าเป็นการรักษาโรคและช่วยชีวิตคนด้วยนะคะ”
เย่หนานหันไปมองต้าเป่า ในขณะที่ต้าเป่านอนเล่นแมงมุมขนแดงอยู่บนที่นอน เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักกลัว กล้าหยิบมันขึ้นมาและเอามันไปวางใส่ไว้บนฝ่ามือ เฝ้าดูแมงมุมคืบคลานไปบนแขนของเขา
หลังจากเฝ้าสังเกตมา เย่หนานรู้สึกว่าต้าเป่ามีความสามารถในการศึกษาทางการแพทย์มากกว่าสวี่ชิง หรืออาจพูดได้ว่าเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ
แม้ว่าคนตัวเล็กจะดูเล็กกระจ้อยร่อย ทว่าเขากลับดูสุขุม สนใจสมุนไพรที่มีพิษเหล่านี้เกินความอยากรู้อยากเห็นของเด็กธรรมดาทั่วไป นอกจากนี้เขายังชอบมันมาก
ดังนั้นหล่อนจึงอยากลองดูกับหลานชายคนโตสักตั้ง
สวี่ชิงพูดวิเคราะห์กับเย่หนานอีกครั้ง “เรามาลองทำธุรกิจขนาดเล็กกันก่อน พอทำได้แล้วค่อยขยายฐานโรงงานไปที่ปักกิ่ง”
เย่หนานตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ทำไมลูกถึงอยากไปปักกิ่งล่ะ?”
สวี่ชิงอยากจะโพล่งออกไปว่าพ่อถูกฝังอยู่ที่ปักกิ่งไม่ใช่เหรอ? แต่เธอเกรงว่าเย่หนานจะรู้สึกเศร้าใจ “ปักกิ่งเป็นเมืองที่เจริญมาก อีกอย่างมันเป็นเมืองหลวงด้วยนี่คะ”
เย่หนานหลุบตาลงและไม่พูดอะไร แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกเจ็บแปลบ ไม่รู้ว่าหล่อนแก่ตัวลงหรือว่าเป็นเพราะช่วงนี้ใช้ชีวิตสงบสุขเกินไป
ยิ่งความไม่แยแสจางหายไปมากเท่าไร หล่อนก็ยิ่งฝันถึงเหยียนป๋อชวนมากเท่านั้น
หล่อนมักจะฝันว่าเขามาหาภายใต้แสงจันทร์ ส่งรอยยิ้มที่นุ่มนวลพร้อมกับดวงตาอันแสนอบอุ่น “อาหนาน ฉันกลับมาแล้ว”
แต่ทุกครั้งที่หล่อนตื่นขึ้นมา นอกจากห้องอันเย็นเฉียบและต้าเป่าที่กอดรัดหล่อนอยู่ด้านข้างก็ไม่มีใครอีกเลย ไม่มีแม้แต่คนในฝัน
สวี่ชิงรีบพูดเปลี่ยนเรื่องอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเย่หนานกำลังรู้สึกหดหู่ใจ “ต้าเป่าไม่กลัวโดนสัตว์มีพิษกัดเอาหรือไงนะ หลังจากนี้แม่คงจะไม่เอางูให้เขาเล่นหรอกใช่ไหมคะ?”
เย่หนานหัวเราะขึ้นมาทันที “แม่เคยคิดเหมือนกันนะ แต่ช่วงนี้งูจำศีลกันอยู่ รอให้ถึงช่วงใบไม้ผลิก่อน แม่จะไปหาดูบนภูเขา มีงูตัวเล็กที่ไม่มีพิษอยู่ที่นั่นเยอะแยะเลย ว่าจะลองเอามาให้ต้าเป่าฝึกมือดู”
ถึงแม้ว่าสวี่ชิงจะไม่กลัวงูและแมลงแล้ว แต่ถ้าเธอบังเอิญไปสัมผัสมันเข้า เธอก็ยังตกใจกลัวอยู่ดี
“แม่ลองคิดดูใหม่เถอะค่ะ ถ้าเกิดมันเผลอหลุดออกไปทำให้เพื่อนบ้านหวาดกลัวกันจะแย่เอา”
เย่หนานคิดถึงประเด็นนี้เช่นกัน “งั้นเอาไว้ค่อยคุยกัน ว่าแต่ลูกยังไม่ได้บอกแม่เลยว่าจะจัดการกับหลี่กั๋วหัวยังไง”
สวี่ชิงแสยะยิ้ม “ในเมื่อเขาใจร้ายใส่ก่อน ก็อย่าหาว่าฉันไม่มีมนุษยธรรมแล้วกัน ฉันจะทำให้เขามาทำงานที่สถานีอีกไม่ได้เลย คอยดูเถอะ ฉันจะไปวางกับดักเขา”
เย่หนานเห็นด้วยอย่างมาก “ให้ได้แบบนี้สิลูกแม่ ถ้ามีคนมารังแกลูกหนึ่งครั้ง ลูกจะต้องเอาคืนสิบครั้ง ถ้าลูกเอาแต่ทนเขาจะพากันรังแกได้ง่าย ยังไงซะถ้าไม่ได้ผล มาบอกแม่นะ ตอนกลางคืนแม่จะไปจัดการเขาให้”
สวี่ชิงส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ จู่ ๆ ฉันก็คิดอะไรบางอย่างดี ๆ ออกแล้ว!”
เธอพูดและหัวเราะหึๆ ชักรอไม่ไหวแล้วสิ…
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1) ชามข้าวทอง คือ ชามที่จักรพรรดิใช้ในการเสวยอาหารในสมัยโบราณ ตามคำเล่าลือกล่าวว่าชาวบ้านคนใดที่ได้รับชามข้าวสีทอง จะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอาหารและเสื้อผ้าไปอีกตลอดชีวิต ขณะที่ในยุคปัจจุบัน “ชามข้าวทอง” หมายถึงตำแหน่งอันล้ำค่าและอนาคตที่สดใส
สารจากผู้แปล
เริ่มเลอออ ชิงชิงจะเอาคืนยังไงนะ
ไหหม่า(海馬)