เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 569 ลูกน้อยผู้น่ารัก
บทที่ 569 ลูกน้อยผู้น่ารัก
ซูช่านมองดูสวี่ชิงด้วยแววตาใสซื่อ “คุณรู้ได้ยังไงคะว่าอวี๋เซี่ยงตงชอบฉัน?”
สวี่ชิงหัวเราะ “ฉันเกรงว่าคนทั้งโลกคงรู้แล้วล่ะว่าอวี๋เซี่ยงตงชอบคุณ เขามองไปที่ตึกเรียนที่อยู่ด้านข้างทะเลสาบทั้งหลายรอบ อีกอย่างถ้าไม่ใช่เพราะคุณ เขาจะย้ายเข้ามาอยู่กับฉันได้ยังไงคะ”
ซูช่านมองดูสวี่ชิงด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฉันเป็นคนสารภาพเองค่ะ เขาลังเลอยู่ตั้งนาน แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าลองดูก็ได้”
สวี่ชิงประหลาดใจมาก ทำไมอวี๋เซี่ยงตงถึงทำตัวเหมือนสุนัขแบบนี้?
ไม่ใช่ว่ามันค่อนข้างดูถูกความรู้สึกและหยิ่งผยองไปหน่อยเหรอ?
ซูช่านพองแก้มป่อง “ฉันคิดว่าเขาไม่ชอบฉันซะอีก คุณคงไม่รู้หรอกว่าตอนที่ฉันสารภาพรัก ฉันประหม่ามากแค่ไหน ก่อนหน้านี้ฉันเขียนจดหมายสอดใส่หนังสือที่เอาไปให้เขา รอจนหลายวันแล้วเขาก็ยังไม่ยอมตอบกลับมา”
“ฉันถึงได้รวบรวมความกล้าไปถามต่อหน้าเขา เขาเงียบไปนานก่อนจะตอบมาว่าลองดูก็ได้ เพราะว่าเขาได้อ่านจดหมายและคิดเกี่ยวกับมันดูแล้ว เขากลัวว่าจะทำให้ฉันมีความสุขไม่ได้ และกลัวว่าฉันจะทนความใจร้อนของเขาไม่ไหว”
ทว่าซูช่านกลับไม่รู้ว่าอวี๋เซี่ยงตงไม่ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่ดั้งเดิม ถึงแม้ว่าเขาจะชอบอ่าหนังสือทางการทหาร แต่เขากลับไม่เคยเหลือบมองนิยายรักโรแมนติกหรือหนังสือศิลปะเลย
เขาจึงไม่ได้แตะต้องหนังสือที่ซูช่านมอบให้ และไม่เห็นจดหมายรักฉบับนั้น อีกทั้งยังยัดหนังสือทิ้งไว้ในกล่อง
ซูช่านที่หน้าแดงก่ำยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ บอกว่าชอบเขา อยากจะศึกษาดูใจกับเขา และพูดถึงเรื่องในจดหมาย ทว่าอวี๋เซี่ยงตงจะปล่อยให้ซูช่านรู้ไม่ได้ว่าเขาไม่ได้เปิดอ่านจดหมาย
เขาไม่ชอบอ่านหนังสือมากนัก และไม่ได้สนใจไยดีของขวัญจากหล่อน ดังนั้นเขาจึงเงียบไปนานก่อนจะยกเหตุผลดังกล่าวขึ้นมา
สวี่ชิงรู้สึกว่าอวี๋เซี่ยงตงทำตัวใจแคบเกินไป ทั้งที่เขาชอบซูช่าน แต่กลับยังวางท่า
ซูช่านเอยถามสวี่ชิงด้วยความไม่มั่นใจ “คุณพูดจริงเหรอ? อวี๋เซี่ยงตงชอบฉันจริง ๆ ใช่ไหม? แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมรับล่ะ?”
สวี่ชิงถามซูช่านกลับ “ทำไมจู่ ๆ ถึงไปสารภาพรักกับอวี๋เซี่ยงตงล่ะคะ?”
ท่าทางของซูช่านดูสงบลง “ฉันคิดเรื่องนี้มานานแล้วล่ะค่ะ ฉันชอบเขา อยากดูแลเขาให้ดีกว่านี้ ถ้าฉันไปหาเขาทุกวัน เดี๋ยวจะโดนนินทาเอา อีกอย่างฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนขี้เหงามาก ก็เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเขาน่ะค่ะ”
สวี่ชิงมองดูดวงตาที่แน่วแน่และมั่งคงของซูช่าน รู้สึกว่าผู้หญิงคนดูขี้อายก็จริง แต่กลับกล้าหาญเอาเรื่อง
อย่างน้อยผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยปล่อยให้อารมณ์ตนเองคลุมเครือ
เธอยิ้มและกางแขนโอบกอดซูช่าน “ไม่เป็นไร ในเมื่อคุณรู้แล้ว ต่อจากนี้ไปก็จับอวี๋เซี่ยงให้อยู่หมัด ดูสิว่าเขายังกล้าพูดเรื่องไร้สาระอย่างหน้าตายอยู่อีกไหม”
ซูช่านเม้มปาก ก่อนคลี่ยิ้มและตอบตกลง “ฉันจะทำแน่นอนค่ะ”
หลังเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ซูช่านก็สอบถามสวี่ชิงเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจของเธอ
สวี่ชิงพูดสรุปสั้น ๆ ว่า “ตอนนั้นฉันยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็เลยลงมือทำธุรกิจ พอต้องมาเรียนต่อ ก็ส่งมอบธุรกิจให้หุ้นส่วนแทน ไม่ใช่ธุรกิจใหญ่โตอะไรหรอกค่ะ เป็นแค่ร้านเล็ก ๆ ที่มีคนอยู่กันไม่กี่คน”
ซูช่านประหลาดใจ “นั่นก็เก่งมากแล้วนะคะ แต่คุณต้องระวังหน่อย ไม่รู้ว่าในตัวเมืองเอกเป็นยังไง แต่การจัดการในปักกิ่งเข้มงวดมาก คุณรู้จักนโยบายขึ้นเจ็ดลงแปดใช่ไหมคะ? ตอนนี้ที่ปักกิ่งยังมีอยู่เลย”
สวี่ชิงนึกไม่ถึงว่าซูช่านจะรู้จักนโยบายนี้ เพราะคนที่ไม่ค่อยสนใจธุรกิจไม่ค่อยสนใจเรื่องนโยบายกันเสียเท่าไร “คุณรู้ได้ยังไงคะ?”
ซูช่านกระซิบ “เพราะพี่ชายฉันเคยอยากจะลองทำธุรกิจมาก่อน แต่พ่อห้ามไว้ บอกว่าการทำธุรกิจมันไม่เป็นเรื่องเป็นราว ตอนนี้เขาเลยทำงานแล้วค่ะ”
สวี่ชิงพยักหน้า “ใช่ การทำงานมีความมั่นคงกว่า ดูพวกฉันตอนนี้สิคะ ขาดทุนย่อยยับ”
ซูช่านมองดูสวี่ชิงด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณยังต้องการเงินอยู่ไหมคะ? ฉันมีอยู่สี่ร้อยกว่าหยวน ฉันให้คุณยืมสี่ร้อยหยวนได้นะคะ”
สวี่ชิงรีบส่ายหัว “ไม่เป็นไร คุณเก็บเอาไว้เถอะค่ะ”
ซูช่านยิ้ม “ฉันใช้เงินกับคูปองอาหารที่ออกมาให้ทุกเดือนไม่หมดหรอกค่ะ เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าคุณต้องการเงิน มาหาฉันได้ทุกเมื่อนะคะ”
สวี่ชิงอมยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ “ได้ค่ะ ถ้าฉันต้องการความช่วยเหลือ ฉันจะไม่ปฏิเสธแน่”
ซูช่านกลับไปยังหอพักหลังกินอาหารเย็นเสร็จ ในขณะที่สวี่ชิงกับเย่หนานช่วยกันอาบน้ำให้เด็กน้อยทั้งสองคน
แม้ว่าอากาศจะเย็นลง ทว่าเย่หนานก็ยังยืนกรานจะอาบน้ำเย็นให้หลานทั้งสอง น้ำเย็นดังกล่าวไม่ใช่น้ำเย็นธรรดมาทั่วไป มันถูกต้มด้วยสมุนไพรมากกว่าสิบชนิด หลังจากที่น้ำเย็นลงแล้ว กลิ่นหอมจาง ๆ ของสะระแหน่กับคาโมมายล์ก็ฟุ้งตลบอบอวลไปทั่ว
กลิ่นหอมมากเสียจนสวี่ชิงอดจะฟัดตามแขนและใบหน้าของลูกน้อยทุกครั้งที่พาพวกเขาออกมาจากกะละมังใบใหญ่ไม่ได้
ต้าเป่ากำลังนั่งอยู่ในกะละมัง สองมือเล็กจับขอบกะละมังเอาไว้แน่น จ้องไปที่สวี่ชิง ก่อนจะเปิดปากท่องสมาธิราชสูตรให้แม่ฟัง
น้ำเสียงของคุณย่าค่อนข้างเบาและไม่ชัดถ้อยชัดคำ แม้แต่สวี่ชิงยังคาดเดาบทสวดไม่ออก
บางครั้งสวี่ชิงจะได้ยินเฟิงซูฮวาพึมพำออกมาเพียงแค่ไม่กี่คำ ส่วนใหญ่เป็นปณิธานสิบสองประการของพระไภษัชยคุรุ ประการแรกคืออะไรประการที่สองคืออะไรก็ว่าไป…
กล่าวโดยสรุปคือการตั้งปณิธานขอให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
แม้ว่าสวี่ชิงจะไม่เข้าใจอะไรเลยนอกจากพรข้อที่หนึ่งและพรข้อที่สอง ทว่าเธอเข้าใจบทสวดของต้าเป่าได้อย่างชัดเจน ก่อนจะมองไปที่เฟิงซูฮวาด้วยสายตาเหลือเชื่อ “คุณย่าสอนต้าเป่าเหรอคะ?”
เฟิงซูฮวาประหลาดใจเช่นกัน “ทุกครั้งที่หลังอยู่ ย่าจะสวดให้ต้าเป่าฟังสองสามรอบ แต่ไม่เคยเห็นเขาท่องตามเลยสักครั้ง จำได้ยังไงเนี่ย?”
สวี่ชิงจับใบหน้าเล็ก ๆ ของต้าเป่า “ทำไมต้าเป่าของเราเก่งจัง? แบบนี้คือเด็กอัจฉริยะใช่ไหมคะ?”
เย่หนานตีสวี่ชิงเบา ๆ “อัจฉริยะที่ไหนล่ะ ไม่ใช่อัจฉริยะสักหน่อย อย่ามาพูดจาเหลวไหล”
หล่อนยังคงหัวโบราณและมีความเชื่อเรื่องโชคราง โดยรู้สึกว่าเด็กที่ฉลาดเกินไปคือดวงวิญญาณที่มาจากสรวงสวรรค์ หากถูกพบตัวเข้า ทางสวรรค์จะพาตัวเขากลับไป
สวี่ชิงลูบหัวป้อย ๆ และยิ้ม “ก็ฉันพูดจริงนี่คะ ดูเสี่ยวเป่าของเราสิ มานี่มาเสี่ยวเป่า ท่องเจ้าห่านเอ๋ยให้แม่ฟังหน่อย”
นี่เป็นบทกวีโบราณที่สวี่ชิงท่องให้ลูกน้อยทั้งสองคนฟัง
เสี่ยวเป่าสะบัดน้ำออกจากมือ ส่ายหัวเล็กน้อยและเริ่มท่อง “เจ้าห่านเอ่ย เจ้าห่านเอ่ย แม่ เสี่ยวเป่าหิว”
เขาพูดพลางลูบหน้าท้องกลมป่องอีกครั้ง
สวี่ชิงหัวเราะ ขณะเอื้อมมือออกไปบีบใบหน้าอ้วนกลมของเสี่ยวเป่า “ดูสิเสี่ยวเป่าของเราน่ารักขนาดไหน”
เย่หนานถูหลังให้เสี่ยวเป่า “เจ้าเด็กแสบทั้งสองก็ฉลาดเหมือนกันหมด ลูกดูสิว่าเสี่ยวเป่าพูดเกลี้ยกล่อมคนเก่งแค่ไหน”
สวี่ชิงจับหน้าของต้าเป่าอีกครั้ง “ต้าเป่ากับเสี่ยวเป่าเป็นคนสำคัญในบ้านเราใช่ไหมเอ่ย?”
ต้าเป่ายิ้มกริ่มขณะคล้อยตามแม่
โจวจินหนานเดินเข้ามาในบ้านและเห็นลูกน้อยทั้งสองคนนั่งเปลือยกาย หัวเราะคิกคักกันอยู่ในกะละมัง ขณะที่เย่หนานกับสวี่ชิงคอยอาบน้ำให้พวกเขา
เขาอดหัวเราะไม่ได้ “เวลาเดินเข้ามาในลานบ้านแล้วได้ยินเสียงหัวเราะของลูกทีไร ทำไมถึงมีความสุขทุกทีเลยนะ?”
สวี่ชิงมองดูโจวจินหนานที่ถือแฟ้มเอกสารเข้ามาทั้งที่ภายในใจรู้สึกสงสัยแทบตาย เพราะโจวจินหนานไม่สามารถเอาเอกสารงานกลับมาทำที่บ้านได้ ดังนั้นเอกสารดังกล่าวจะต้องเป็นผลการสืบสวนของเธอ!
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ต้าเป่าโตขึ้นคงบวชเข้าทางธรรมแน่เลย ดูไม่ยึดติดทางโลกไม่ตะกละขนาดนี้
ผลสืบสวนจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
ไหหม่า(海馬)