เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 565 บุคคลที่หวนกลับมาในคืนหิมะตก
บทที่ 565 บุคคลที่หวนกลับมาในคืนหิมะตก
สวี่ชิงหยุดเดินและหันไปยิ้มให้โจวจินหนาน นึกไม่ถึงว่าเขาจะมารับเธอถึงที่นี่
ชายผู้นี้กำลังยืนอยู่ใต้แสงไฟถนนสลัว ๆ เกล็ดหิมะที่ปลิวไสวอยู่ภายใต้แสงไฟสลัวราง ทำให้เขาดูเหมือนกับถูกคุมขังอยู่ในเกล็ดหิมะ
โจวจินหนานเดินเข้าไปหาสวี่ชิงเมื่อเห็นว่าเธอหยุดชะงักอยู่กับที่ “ผมเพิ่งกลับถึงบ้าน แม่ก็มาบอกว่ามีเรื่องเกิดขึ้น เป็นยังไงบ้าง?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่ชิงจางหายไปในทันที และถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า “โชคดีที่ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่หู่จือบาดเจ็บสาหัส ฉันยังต้องไปดูอาการที่โรงพยาบาล”
โจวจินหนานเอื้อมมือออกไปปัดเกล็ดหิมะที่ตกลงบนเรือนผมของเธอ “อืม ผมจะไปดูกับคุณด้วย”
สวี่ชิงปล่อยให้โจวจินหนานเข็นจักรยาน ในขณะที่เธอคอยเดินจับแขนของเขาเอาไว้ เธอเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งไปวิ่งมาตลอดทั้งวัน และรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อใบหน้าได้อิงแอบอยู่กับแขนของเขา “ผางเจิ้งหัวกับคุณอาซุนเชียวเฟิ่งไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน พวกเขากลัวจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องตรงหน้ายังไงดี”
โจวจินหนานหันหน้าไปมองสวี่ชิง “แล้วคุณล่ะ? คุณไม่กลัวเหรอ?”
เขาตกใจมากเมื่อกลับไปถึงบ้านและได้ยินเรื่องอุบัติเหตุดังกล่าว กลัวว่าสวี่ชิงจะไม่สามารถจัดการเพียงลำพังได้ ดังนั้นเขาจึงรีบตรงดิ่งมาที่นี่ แต่กับนึกไม่ถึงว่าสวี่ชิงจะมีท่าทีสงบกว่าที่เขาคิด
สวี่ชิงปลดปล่อยความแข็งแกร่งของร่างกายส่วนบนเข้ากับร่างกายของโจวจินหนานด้วยการถูแก้มแนบกับหัวไหล่ของเขา “กลัวอะไรเล่า เมื่อสองปีก่อนก็เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนนี่ ไม่มีครั้งไหนรุนแรงไปกว่าครั้งนั้นแล้ว”
จู่ ๆ เธอก็นึกถึงซ่งจิ่นสือ “เมื่อกลางวันฉันเดินผ่านมาที่นี่และเห็นซ่งจิ่นสืออยู่ที่ลานจัตุรัส มีคนเข็นเขาเข้าไปในสถานี แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะกำลังไปที่โรงพยาบาล”
โจวจินหนานประหลาดใจ หากซ่งจิ่นสือปรากฏตัวใกล้กับสถานีรถไฟจริง ๆ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนของเหยียนจี้ชวนจะไม่สังเกตเห็นเขา
“แต่ฉันอาจจะมองผิดก็ได้ เหยียนจี้ชวนส่งคนมาเฝ้าที่สถานีด้วยนี่ ไปเถอะ ไปที่โรงพยาบาลกันก่อน”
เมื่อพวกเธอมาถึงโรงพยาบาล หู่จือก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว โชคดีที่เขามีเพียงอาการปวดหัวเท่านั้น ไม่ได้รับรู้อะไรน้อยลง
บนใบหน้ามีผ้าก๊อซพันรอบ เผยให้เห็นเพียงดวงตา รูจมูกและปากเท่านั้น ส่วนอาการบาดเจ็บที่หลัง ส่งผลให้เขาต้องนอนคว่ำหรือนั่งอย่างเดียว
ซุนเชียวเฟิ่งรีบเข้าไปทักทายเมื่อเห็นสวี่ชิงกับโจวจินหนานเดินเข้ามา “ชิงชิง ทำไมกลับมากันอีกล่ะ? หู่จือฟื้นแล้ว หมอบอกว่าอีกสองวันเขาจะออกจากโรงพยาบาลได้”
ถึงกระนั้นกลับรู้สึกไม่สบายใจ แม้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือ แต่บาดแผลขนาดเท่าฝ่ามือยังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้า
เดิมทีเขาไม่ได้หน้าตาดีมาตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้กลับต้องมามีรอยแผลเป็นเพิ่มอีก ต่อจากนี้ไปควรจะทำอย่างไรดี?
สวี่ชิงจับมือซุนเชียวเฟิ่ง “ดีแล้วค่ะ คุณน้าไม่ต้องกังวลนะคะ ต่อจากนี้ไปฉันจะดูแลให้ดี”
เธอพูดและเดินเข้าไปดูหู่จือที่นอนอยู่บนเตียงพยาบาล ก่อนจะยิ้มปลอบประโลมเขา “หู่จือ เล่นเอาซะพวกพี่กลัวกันเลยนะ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว พักผ่อนเยอะ ๆ นะ”
หู่จือไม่ได้กังวลเกี่ยวกับหน้าตาตนเอง แต่กังวลว่าจะไม่สามารถไปทำงานที่ร้านได้อีก “พี่ชิงชิง ร้านเรายังจะได้เปิดอยู่ขายอยู่ไหม?”
สวี่ชิงเลิกคิ้ว “เปิดสิ ทำไมถึงจะไม่ได้เปิด? อุบัติเหตุครั้งนี้สอนบทเรียนให้กับพวกเรา ต่อจากนี้พวกเราต้องระวังให้มากขึ้น”
หู่จือเลียริมฝีปากที่แตกระแหง แววตาเต็มไปด้วยความลังเล และพูดขึ้นมาว่า “ผมเพิ่งบอกกับแม่ไปเองว่าการระเบิดครั้งนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ ผมคอยตรวจสอบทุกครั้งที่ออกไป คอยระวังเวลาใช้แก๊ส อีกอย่างเพิ่งเปลี่ยนท่อแก๊สไปเอง มันไม่น่าจะรั่วได้เลย”
หัวใจของสวี่ชิงเต้นโครมคราม หรือว่านี่จะไม่ใช่อุบัติเหตุ?
ซุนเชียวเฟิ่งเข้ามาพูดเสริม “ใช่ พวกเราระวังกันมาตลอด อีกอย่างเราเพิ่งเปิดร้านแผงลอยขายอาหารเช้ากันเอง”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว “หู่จือ ไหนบอกข้อสงสัยให้พี่ฟังละเอียด ๆ ที”
หูจือยกหัวไหล่ขึ้นเปลี่ยนท่าทางอย่างระมัดระวัง ก่อนจะจ้องมองไปทางสวี่ชิง “วันนี้ผมกับแม่เข้ากะเช้ากัน เรามาถึงที่ร้านตั้งแต่ตีสี่ ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในสถานีสักคน มีแค่ผู้โดยสารทั้งหลายที่ห่มเสื้อคลุมผ้าฝ้ายอยู่บนม้านั่ง”
“ผมกับแม่ช่วยกันจัดแจงเอาอาหารไปใส่ในซึ้งนึ่ง ผมจำได้ว่ายังไม่ได้คลายเกลียวด้วยซ้ำนะ? แต่ทำไมจู่ ๆ มันถึงระเบิดขึ้นมาได้?”
อีกอย่างทางร้านยังใช้ถังแก๊สเหล็กกล้าขนาดใหญ่ที่แข็งแรงทนทาน
ต่อให้มันระเบิดจริง ๆ มันจะไม่เสียหายแม้แต่น้อย
จิตใจของสวี่ชิงเริ่มปั่นป่วนเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของหู่จือ ใครกันที่แอบลอบทำร้ายพวกเขาลับหลัง?
นี่คือการข่มขู่ให้พวกเขายุติการทำงานที่นี่หรือไม่?
ยิ่งหู่จือพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากเท่านั้น “พี่ชิงชิง ผมว่าเรื่องนี้ต้องมีคนจงใจทำ ก่อนหน้านี้ก็มีคนอยากได้ร้านของเรามากไม่ใช่เหรอ”
สวี่ชิงหันหน้าไปมองโจวจินหนานและพูดปลอบหู่จือ “รักษาอาการบาดเจ็บของนายก่อน พรุ่งนี้พี่จะไปสอบถามที่สำนักสันติบาล และไปสอบถามหาสาเหตุการระเบิดที่หน่วยดับเพลิง ไม่ต้องเก็บเอาเรื่องนี้ไปใส่ใจ ตราบใดที่พี่ยังอยู่ที่นี่ พี่จะไม่ยอมให้คนพวกนั้นทำสำเร็จแน่นอน”
โจวจินหนานพูดเตือนหลังจากออกมาจากโรงพยาบาล “คุณไม่ไปดูลูกค้าที่ได้รับบาดเจ็บสองคนนั้นหน่อยเหรอ?”
สวี่ชิงส่ายหัว “ไม่ไป มันดึกมากแล้ว อีกอย่างสองคนนั้นรับมือด้วยยาก พวกเขาได้รับบาดเจ็บและต้องการให้ทางเราชดเชยเป็นเงินก้อน”
โจวจินหนานพยักหน้าเล็กน้อย “พรุ่งนี้คุณลองไปถามเจิ้งหัวดูสิว่าช่วงนี้เขาไปทำอะไรให้ใครขุ่นเคืองหรือเปล่า? ถ้ามันมีคนทำจริง อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่ไม่เสียหายอะไรมาก”
สวี่ชิงเริ่มมีความคิดว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นฝีมือคนทำ ถึงกระนั้นกลับรู้สึกว่ามันไม่มีความจำเป็น เพราะการลงมือโจ่งแจ้งเกินไปมันไม่ได้ผลประโยชน์อะไรกลับคืนมา
แต่เมื่อหู่จือพูดแบบนี้ ความคิดดังกล่าวก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง “ผมรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องที่เราไปรุกรานใคร แต่น่าจะเป็นบางคนที่อิจฉาว่าเราหาเงินได้มากกว่า”
หากเทียบกับหลายทศวรรษหลังจากนี้ กฎหมายและข้อระเบียบบังคับในปัจจุบันยังคงมีความยุ่งเหยิงมากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนพยายามดิ้นรนหาในหาอาหารและเสื้อผ้าให้เพียงพอ ในเมื่อคุณสามารถหาเงินทองได้มากมายก่ายกองทุกวัน ใครบางคนย่อมอิจฉาริษยาเป็นธรรมดา นับประสาอะไรกับสถานีขนาดเล็กแบบนี้ที่มักจะมีอันธพาลทุกประเภทเข้ามาเก็บค่าคุ้มครอง
โจวจินหนานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อยากให้ผมช่วยตรวจสอบไหม? หรือจะไปขอให้ใครช่วยดี?”
สวี่ชิงรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจัดการเรื่องนี้เองได้ อีกอย่างมันเป็นความล้มเหลวเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องอะไรเลย แค่ย้ำเตือนให้หลังจากนี้เราไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจอีก แอบซื้อแอบกินเงียบ ๆ ก็พอ”
โจวจินหนานหัวเราะ “งั้นกลับบ้านกันเถอะ แล้วอย่าลืมว่าคุณบอกผมได้ตลอดนะถ้าคุณต้องการอะไร”
สวี่ชิงหัวเราะฮิๆ ขณะควงแขนโจวจินหนาน “แน่นอนอยู่แล้วสิคะ คุณเป็นสามีฉันนะ ไม่บอกคุณแล้วจะไปบอกใครล่ะ?”
ทันทีที่เดินออกมาจากประตูโรงพยาบาล สวี่ชิงบังเอิญเห็นฉินเสวี่ยเหมยเข็นรถขายมันเทศย่างอยู่ภายใต้แสงไฟริมถนนฝั่งตรงข้าม ตอนนี้อากาศเย็นเกินไปและไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
ฉินเสวี่ยเหมยเอามือผึ่งเตาไฟและย่างมันเทศต่อ ในขณะเดียวกันก็บังเอิญหันหน้าไปเห็นสวี่ชิงจนชะงักไปครู่หนึ่ง และรีบหันหน้ากลับมา
หล่อนไม่ต้องการให้สวี่ชิงเห็นด้านที่น่าอับอายของตน ตอนนี้หล่อนออกมาตั้งแผงลอยหลังเลิกงาน เพื่อพยายามทำให้ชีวิตของตนเองดีขึ้น ถอนหายใจเฮือกใหญ่โดยคิดว่าจะผ่านมันไปได้โดยที่ไม่ต้องการให้มาช่วย
สวี่ชิงตกตะลึงเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอฉินเสวี่ยเหมยที่นี่ มองดูอีกฝ่ายที่รีบหันหน้ากลับไป และคิดได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้หล่อนเจอในสภาพแบบนี้ เธอจึงล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปทักทาย
ถอนหายใจและเอื้อมมือออกไปจับแขนของโจวจินหนาน “ไปเถอะ กลับบ้านเรากัน”
ฉินเสวี่ยเหมยหันกลับมามองทั้งสองคนที่เดินออกไปไกล แอบมองแผ่นหลังของสวี่ชิงกับโจวจินหนานด้วยความรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก…
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใครเป็นคนเข้าไปวางเพลิงกันนะ ต้องเป็นคนที่รู้จักระบบเตาแก๊สและโครงสร้างภายในครัวดีทีเดียว
ไหหม่า(海馬)