เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 564 ใครบางคนแอบคิดร้าย
บทที่ 564 ใครบางคนแอบคิดร้าย
สวี่ชิงไม่ใช่คนที่มีนิสัยกลั่นแกล้งคนอื่น และเธอไม่ชินเมื่อเห็นท่าทางหยิ่งผยองของอีกฝ่าย เธอหันไปหาผางเจิ้งหัวและพูดว่า “ไปจ่ายค่ารักษาพยาบาล น้าซิ่วเจิน ออกไปก่อนเถอะค่ะ”
การแสดงออกค่อนข้างชัดเจน ในเมื่อพวกเขาต้องการเงิน พวกเธอก็จะไม่สนใจอีกต่อไป
สวี่ชิงรู้ดีว่าตอนนี้มีหลายคนไม่อยากไปศาล ไม่เหมือนกับภายหลังต่อมาที่ความช่วยเหลือทางกฎหมายและระเบียบข้อบังคับกลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ทว่าตอนนี้การเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายค่อนข้างยืดเยื้อ และส่วนใหญ่ไม่มีเงินมากพอจะจ่ายในคำตัดสินขั้นสุดท้าย
พวกเขาทั้งสองเป็นคนต่างพื้นที่ คงจะจ่ายกันไม่ไหวหรอก
หากพวกเขาต้องการเงิน พวกเขาจำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่ ทว่าหากพวกเขาไม่กลับไป พวกเขาอาจจะเสียงานได้
พิจารณาจากเสื้อผ้าและบทสนทนาแล้ว พวกเขาน่าจะเป็นฝ่ายจัดซื้อหรือนักธุรกิจประจำโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
ในตอนนี้ตำแหน่งบุคลากรในฝ่ายจัดซื้อและฝ่ายธุรกิจเป็นตำแหน่งที่ร่ำรวยมาก ถึงแม้ว่าโรงงานจะยากจนจนไม่มีเงินสำรองเหลือ แต่ฝ่ายจัดซื้อและฝ่ายธุรกิจก็ยังทำเงินได้มากมาย
หน้าที่การงานดีเช่นนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนตั้งอีกกี่คนที่กำลังมองหาตำแหน่งนี้อยู่ ถ้าพวกเขากลับไปไม่ทันเวลา ทางโรงงานอาจจะหาใครมาแทนที่เสียก่อน
สวี่ชิงเข้าใจเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่กลัวคำขู่และคำคุกคามจากทั้งสองคน
เมื่อทั้งสองคนเห็นว่าสวี่ชิงไม่ทีท่าว่าจะจ่ายเงิน พวกเขาจึงตัดสินใจจะสู้ให้ถึงที่สุด แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกหวาดหวั่นก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นเหยื่อ เหตุใดจึงไม่ทำทุกอย่างให้สมเหตุสมผล?
ชายร่างพร้อมที่นั่งเงียบตลอดเวลาโพล่งขึ้นว่า “อย่ารังแกคนอื่นเพียงเพราะว่าพวกคุณเป็นคนท้องถิ่น พวกเราได้รับบาดเจ็บที่นี่ ถ้าพวกคุณยังไม่สนใจไยดีอีก พวกเราจะไปพบผู้นำเมืองผู้นำจังหวัด”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว “พวกคุณจะไปหาใครก็ไปเถอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะทำให้กระจ่างคือทางเราไม่ได้เพิกเฉย เพียงแค่ทางเราไม่อยากเสียเงินโดยใช่เหตุ ตราบใดที่คำขอมันสมเหตุสมผล ทางเราก็ยินดีจะจ่าย”
สวี่ชิงมองดูทั้งสองคนที่ยังคงลังเล และไม่ได้พูดพร่ำอะไรต่อ ก่อนจะบอกว่าผางเจิ้งหัวกับลี่ซิ่วเจินเดินออกไป
ผางเจิ้งหัวรู้สึกกังวลขณะเดินออกมาพร้อมกับสวี่ชิง “แล้วถ้าพวกเขามาหาเรื่องล่ะ จะทำยังไง?”
สวี่ชิงส่ายหัว “ไม่ต้องห่วง พวกเขาไม่สร้างปัญหาหรอก ไม่มีเวลาด้วยซ้ำ ถ้าเกิดสองคนนั้นเป็นคนท้องถิ่น เมื่อนั้นล่ะจะเป็นปัญหาจริง ๆ”
เธอพูดและบอกผางเจิ้งหัวว่า “ถ้าหลังจากนี้ฉันไม่มีเวลาแวะมาที่นี่อีก นายจำเอาไว้นะว่าจ่ายเพิ่มเติมจากค่ารักษาพยาบาลให้คนละหนึ่งพันหยวนเท่านั้น อย่าจ่ายอะไรเพิ่มอีกแม้แต่หยวนเดียว”
ผางเจิ้งหัวพยักหน้า “ได้”
ลี่ซิ่วเจินลังเลเล็กน้อย “ชิงชิง ก่อนที่เธอจะมา น้าได้ยินสองคนนั้นพูดว่าอยากได้ค่าชดเชยเยอะ ๆ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเอาข่าวไปลงหนังสือพิมพ์”
สวี่ชิงเคยเห็นถ้อยคำรุนแรงบนโลกอินเทอร์เน็ตมาก่อน เธอจึงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการป่าวประกาศบนหน้าหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน “งั้นก็ให้พวกเขาเอาไปลงหนังสือพิมพ์สิ ถ้าพวกเราทำแบบนั้น เราจะได้ไม่ต้องจ่ายสักหยวน และรอให้ทางศาลตัดสิน”
ผางเจิ้งหัวได้สติกลับคืนมาหลังจากตื่นตระหนักอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ แล้วเธอจะเข้าไปเจอผู้อำนวยการสถานีไหม? ใช่สิ เรื่องโรงงานด้วย ตอนนี้สินค้าคงคลังเหลือเยอะเกินไป ทางผู้อำนวยการโรงงานบอกว่าช่วงนี้จะไม่ผลิตเพิ่มอีก และจะเอาบรรจุภัณฑ์ของเราไปใส่ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเอาไว้แล้ว และให้พวกเราขายมันออกเอง”
สวี่ชิงรีบส่ายหัวทันที “ไม่ได้! ทำแบบนั้นไม่ได้นะ แค่สินค้าคงคลังก็แย่พออยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนไปใส่บรรจุภัณฑ์ของเรา มันจะไม่ทำให้ยี่ห้อร้านเราดูแย่เหรอ?”
ผางเจิ้งหัวไม่สามารถคิดอะไรไปได้มากกว่านี้ “แต่ถ้าไม่ผลิตออกมา แล้วเราจะทำยังไง?”
สวี่ชิงคิดไม่ตก “งั้นก็เปลี่ยนไปโรงงานอื่นสิ อย่าไปใช้โรงงานผลิตอาหารเว่ยหมินที่เดียว ยังมีโรงงานผลิตอาหารหงซิงอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
ผางเจิ้งหัวพยักหน้า “ใช่ๆๆ ฉันลืมไปเลย เราเปลี่ยนตอนนี้เลยได้ไหม?”
สวี่ชิงยิ้ม “ไม่มีอะไรที่ไม่ได้หรอก เพราะมีข้อกำหนดในสัญญาอยู่ ว่าถ้าพวกเขาทำผิดสัญญา พวกเราสามารถยุติความร่วมมือได้ ตอนนี้พวกเขากำลังละเมิดสัญญาอยู่ไม่ใช่เหรอ? ในสองวันนี้นายพยายามกระจายข่าวเรื่องการทำสัญญากับโรงงานผลิตอาหารหงซิงซะ และหาหนทางให้คนในโรงงานเว่ยหมินรู้เรื่องนี้ให้ได้”
ผู้อำนวยการโรงงานทางรัฐบาลมีความคิดที่ค่อนข้างโบราณในการทำธุรกิจ จะมาคิดตุกติกกับเธอได้อย่างไร
ผางเจิ้งหัวตบหน้าผากทันทีที่เข้าใจความคิดดังกล่าว “เป็นความคิดที่ดีมาก ฉันอารมณ์เสียมาสองวันแล้ว มัวแต่คิดว่าถ้าพวกเขาไม่ดำเนินการผลิต สินค้าที่พวกเราต้องการก็จะไม่มีออก แล้วหลังจากนั้นอะไรจะเกิดขึ้น?”
สวี่ชิงยิ้ม “ไม่เป็นไร เมื่อถึงเวลาตอนนั้นนายไปบอกหัวหน้าเชอได้เลยว่านายต้องการตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด มีหล่อนอยู่ที่นั่น ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาแอบสลับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์อีก”
แม้ว่าเชอเสี่ยวหงจะค่อนข้างผีเข้าผีออก ทว่าหล่อนเป็นคนเที่ยงธรรม ไม่มีวันยอมให้คนพวกนั้นเขามายุ่งวุ่นวาย
ผางเจิ้งหัวพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ ฉันจะไปหาหัวหน้าเชอตอนบ่าย”
สวี่ชิงพูดปลอบใจเมื่อเห็นว่าผางเจิ้งหัวยังคงประหม่า “ไม่ต้องคิดมาก ฉันจะยังพูดประโยคเดิมเสมอ ว่าตราบใดที่คนพวกนั้นไม่เป็นอะไร และในเมื่อตอนนี้เกิดเรื่องแล้ว เราจะหาวิธีการแก้ไขมันให้จงได้”
ผางเจิ้งหัวลูบศีรษะด้วยท่าทางไม่สบายใจ “ฉันยังคิดไม่ออกได้เท่าที่เธอคิดเลย ตอนที่ฉันรู้เรื่องในตอนเช้า ฉันกลัวจนขาทั้งสองข้างอ่อนปวกเปียกไปหมด”
สวี่ชิงยิ้ม “มันเป็นปฏิกิริยาปกติของคนทั่วไปน่ะ แต่ฉันคงจะผ่านประสบการณ์มามาก นายคิดว่าครอบครัวของพี่โจวจินหนานทำให้ฉันกลัวแทบตายมาตั้งกี่ครั้ง? ไหนจะเรื่องพ่อของฉันอีก จนมันทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่มีเรื่องไหนสำคัญไปกว่าเรื่องพวกนี้เลย ขอแค่ทุกคนสบายดีก็พอ”
ผางเจิ้งหัวคิดแบบนั้นเช่นกัน ไม่เช่นนั้นสวี่ชิงที่อายุน้อยกว่าเขาจะสงบสติอารมณ์เมื่อมีปัญหาได้อย่างไร มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
สวี่ชิงกลับไปหาหลี่กั๋วหัวที่สถานีอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ ทว่าผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในสถานีเป็นจำนวนมาก หากอุบัติเหตุเกิดขึ้นในตอนกลางวันที่ผู้คนกำลังพลุกพล่าน ผลที่ตามมาจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่หลวง
เมื่อเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ ความก้าวหน้าของทางสถานีย่อมหายไป
หากผู้นำโกรธเคือง เขาย่อมสร้างปัญหาให้กับผู้คนที่อยู่เบื้องหลังเป็นธรรมดา ดังนั้นผู้อำนวยการหลี่ รวมถึงผู้นำจึงรู้สึกขุ่นเคืองมาก และไม่สามารถพูดจาดี ๆ เมื่อเห็นสวี่ชิงได้
ใบหน้ามืดมนพร่ำบ่นว่า “สหายเสี่ยวสวี่ คุณเคยพูดรับรองกับผมว่าจะไม่มีปัญหาทางด้านความปลอดภัยแน่นอน งั้นบอกผมทีว่าปัญหาดังกล่าวมันเกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว? เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นได้ยังไง? คุณรู้มั้ยว่าเรื่องนี้มันส่งผลกระทบกับผมมากแค่ไหน”
สวี่ชิงทำได้เพียงยิ้มเจื่อนอย่างรู้สึกผิด ถึงแม้ว่าผู้อำนวยการหลี่จะได้ผลประโยชน์จากเธอมากมาย ทว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา
ดูจากท่าทางแล้วคงจะไม่ดีแน่
สวี่ชิงเข้าใจดี หลังจากกล่าวขอโทษแล้ว เธอให้สัญญาว่าจะซ่อมแซมทุกอย่างให้เสร็จภายในสามวัน และผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งสองคนนั้นจะได้รับการจัดสรรที่พักให้อย่างเหมาะสม
ท่าทางของเธอดูถ่อมตัว รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาค่อนข้างสมเหตุสมผล ในขณะที่ผู้อำนวยการหลี่พูดตักเตือนเสร็จแล้ว และไม่มีอะไรจะพูดต่อ ทำได้เพียงทำหน้ายักษ์และพูดบอกสวี่ชิงให้ระมัดระวังมากกว่านี้ในอนาคต
สวี่ชิงวิ่งไปวิ่งมา กว่าจะออกมาจากสถานีได้ ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
ไม่รู้ว่าเกล็ดหิมะตกลงมาจากฟากฟ้าตั้งแต่เมื่อใด
สวี่ชิงกระชับผ้าพันคอ เดินไปที่โรงเก็บของและเข็นรถจักรยานออกมา จู่ ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างออกขณะที่เดินผ่านลานจัตุรัส ตอนที่เธอเดินผ่านที่นี่ในตอนเที่ยง เธอเห็นใครบางเข็นรถเข็นผ่านมา
ในตอนนั้นเธอหันหน้ากลับไปมองโดยไม่รู้ตัว ทว่าภายในใจเอาแต่เป็นห่วงหู่จือ เธอจึงเดินจากไปโดยไม่คิด
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าแผ่นหลังของคนคนนั้นดูเหมือนซ่งจิ่นสือ!
หากเป็นซ่งจิ่นสือจริง ๆ เขามาทำอะไรที่สถานีรถไฟ? หรือว่าเขามาขึ้นรถไฟ?
ในหัวของเธอสับสนมากจนคิดอะไรไม่ออก เข็นรถจักรยานไปข้างหน้า แต่ทันใดนั้นก็เห็นโจวจินหนานยืนอยู่ใต้โคมไฟถนนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก…
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มีแต่คนน่าสงสัย คอยดูต่อไปค่ะว่าจะมีอะไรหักมุมอีกไหม
ไหหม่า(海馬)