เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 520 ถึงปากจะร้าย สุดท้ายก็แพ้เธอ
บทที่ 520 ถึงปากจะร้าย สุดท้ายก็แพ้เธอ
สวี่ชิงเพียงคิดแค่ว่าซูช่านอยากจะรู้เรื่องความเป็นมาทั่วไป เพราะตอนนี้เธอรู้จักอวี๋เซี่ยงตงที่นั่งอยู่ในลานบ้านแล้ว แต่ก็ไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาก่อนหน้านี้
ยิ่งไปกว่านั้นอวี๋เซี่ยงตงยังปากเสียขึ้นทุกวัน แม้ว่าหน้าที่การงานของเขาจะดีเยี่ยม แต่เขากลับดูไม่เหมือนพี่ใหญ่ที่เคยเหลือผู้อื่นมาก่อน
สวี่ชิงคิดทบทวนเนื้องานของอวี๋เซี่ยงตงกับโจวจินหนานอีกครั้ง และพูดขึ้นว่า “ช่วงวันหยุดฤดูร้อนดันเกิดอุบัติเหตุเข้าน่ะ ตอนนี้กำลังพักรักษาตัวอยู่”
ซูช่านรู้สึกโล่งใจอย่างอธิบายไม่ถูก หล่อนคิดว่าเขานั่งรถเข็นมักระยะหนึ่งแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น ดังนั้นหล่อนจึงไม่ต้องกังวลอะไรมาก
เมื่อเช้านี้ก่อนจะออกจากบ้าน สวี่ชิงได้ตุ๋นเนื้อเอาไว้แล้ว เธอจึงตุ๋นเนื้อปลาเพิ่มและผัดกับข้าวอีกสองสามอย่าง เพื่อจะได้รีบกินรีบทำความสะอาด
ซูช่านกลั้นหายใจ อยากเอ่ยถามอวี๋เซี่ยงตงให้รู้แล้วรู้รอดว่าเขายังจำเด็กหญิงขี้แยคนนั้นได้อยู่หรือไม่
เขาแก่กว่าหล่อนตั้งแปดปี อย่างไรเขาก็ควรจะจำหล่อนได้ใช่ไหม?
ทว่าตอนนี้ตนยังอยู่ในบ้านของสวี่ชิง และไม่ต้องการปลดปล่อยอารมณ์ตนเองให้รั่วไหลออกมา อีกทั้งยังไม่ต้องทำให้สวี่ชิงเป็นกังวล
ถึงกระนั้นสวี่ชิงกลับดูออกว่าซูช่านมีท่าทางระมัดระวังตัวเล็กน้อยขณะรับประทานอาหาร หล่อนนั่งเงียบ ๆ และตักขึ้นฉ่ายที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมากินทีละคำ
จึงคีบปีกไก่ใส่ถ้วยของซูช่าน “อันที่จริงคุณเป็นแขก ฉันอยากจะคีบน่องไก่ให้คุณ แต่ดูลูกน้องสองคนของฉันสิคะ ทำตัวอย่างกับเจ้าแมวน้อยจอมตะกละ เอาน่องไก่ไปกินกันหมดเลย ฉันเลยเอาปีกไก่ให้คุณแทนค่ะ”
ต้าเป่าที่กำลังแทะน่องไก่อยู่เงยหน้ามองแม่ด้วยแววตาสับสน เขาไม่ใช่แมวน้อยจอมตะกละสักหน่อย เสี่ยวเป่าต่างหาก
ซูช่านยิ้ม “ฉันกินได้หมดค่ะ จะเอาปีกไก่ให้เด็ก ๆ ด้วยก็ได้”
หล่อนพูดและเงยหน้าขึ้นราวกับมองไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะเหลือบมองอวี๋เซี่ยงตงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และคาดไม่ถึงว่าจะสบเข้ากับสายตาของอีกฝ่าย
อวี๋เซี่ยงตงละสายตาออกไปมองทางเย่หนาน “คุณป้า ถ้าผมดื่มเหล้าข้าวฟ่างไม่ได้ แล้วเหล้าอย่างอื่นดื่มได้ไหมครับ?”
เย่หนานถอนหายใจ “ถ้าอยากตายไวนัก จะดื่มอะไรก็แล้วแต่”
อวี๋เซี่ยงตงร้องเสียงหลงทันที ข้อมือของเขายังแข็งอยู่ ทำให้เขาต้องนั่งกินข้าวด้วยท่าทางแปลกประหลาด
ซูช่านรู้สึกทุกข์ใจเมื่อเห็นเช่นนั้น ทว่าตอนที่อวี๋เซี่ยงตงคุยกับโจวจินหนาน ความไม่สนใจใยดีและนิสัยแย่ ๆ ของเขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
หลังอาหารเย็น ซูช่านเข้าไปช่วยสวี่ชิงทำความสะอาดห้องครัว จากนั้นจึงหาข้ออ้างขอกลับออกไปก่อน
สวี่ชิงไม่เข้าใจว่าทั้งที่หล่อนดูสบายดีในตอนแรก แต่ทำไมหลังกินอาหารเย็นถึงได้ดูกังวลขนาดนี้?
เย่หนานรู้สึกสงสัยมากจนกระทั่งสวี่ชิงเดินออกมา “ชิงชิง เพื่อนลูกมาจากปักกิ่งหรือเปล่า?”
สวี่ชิงพยักหน้า “ค่ะ แต่ว่าตอนอายุสิบขวบ หล่อนเคยอยู่ในตัวเมืองเอกมาก่อน หล่อนชอบที่นี่มาก เลยกลับมาเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ค่ะ”
เย่หนานพ่นคำชมที่มักไม่ค่อยพูดออกมา “สวยมาก ผิวขาวเนียนผมลอนสีทอง ดูเหมือนคนต่างชาติเลย”
สวี่ชิงยังคิดว่าซูช่านดูดีมากเสียจนเหมือนตุ๊กตาลูกครึ่ง
อวี๋เซี่ยงตงที่นั่งอยู่บนรถเข็น ถือบุหรี่เอาไว้ในมือจนกลิ่นบุหรี่ลอยขึ้นมาแตะใต้จมูก เขารู้ดีว่าซูช่านมีสายเลือดรัสเซียอยู่ในตัว
เพราะว่าภรรยาของคุณปู่เป็นชาวรัสเซีย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาตลอดหลายปีที่ผ่านมาในตอนนั้น
ซูช่านมีผมหยิกเป็นลอนสีทองตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เด็กที่ค่อนข้างโตกว่าพากันกลั่นแกล้งหล่อน และบางคนถึงกับเอาปัตตาเลี่ยนมาโกนผมหล่อน
ทุกครั้งเขาจะต้องเห็นเด็กหญิงคนนี้ถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มคน หล่อนมักจะยืนชิดติดกับผนัง สองมือเล็ก ๆ ถูกไพล่เอาไว้ข้างหลัง ทำท่าทางอยากจะร้องไห้แต่กลับไม่ยอมร้องไห้ออกมา
น้ำตาเอ่อล้นออกมาจาดวงตากลมโต จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาน่าสงสาร
อวี๋เซี่ยงตงไม่ชอบคนขี้ขลาด และเขาไม่เคยรู้สึกเห็นอกเห็นใจใครมาก่อน ทว่าเขากลับไม่สามารถเมินเฉยต่อซูช่านได้ เพราะคุณปู่เป็นผู้ช่วยชีวิตพ่อกับแม่ของเขา
เขาเป็นคนที่ชอบใช้กำลังและเรียนไม่เก่งมาตั้งแต่เด็ก การจัดการกับเด็กที่โตกว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร และเขาสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยหมัดกับลูกเตะเพียงไม่กี่ครั้ง
เด็กเกเรกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งหนีราวกับฝูงสัตว์ป่าทันที ทิ้งให้ซูช่านยืนพิงกำแพง เอามือปิดปากพยายามไม่ร้องไห้
อวี๋เซี่ยงตงไม่รู้วิธีการปลอบเด็ก โดยเฉพาะซูช่านที่คุณปู่ซูเป็นคนเลี้ยงดูหล่อนมากับมือ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป และพูดอย่างเดือดดาล “เงียบ! หยุดร้องไห้”
ซูช่านตกใจจนสะอึก พยายามกลั้นน้ำตาไวและมองไปที่เขาด้วยสีหน้าขี้ขลาด
อวี๋เซี่ยงตงรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม เขาดูน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ? เขาพยายามพูดอีกครั้ง ทว่าน้ำเสียงยังคงแข็งกระด้างอยู่ “หยุดร้องไห้สักทีได้ไหม? เดี๋ยวคนก็เข้าใจผิดว่าฉันรังแกเธอหรอก รีบกลับบ้านไปซะ อย่าให้คุณปู่ซูรอนาน”
ซูช่านยังคงจ้องมองไปที่เขา และร้องไห้อยู่นาน “ฉันเจ็บขา”
อวี๋เซี่ยงตงมองลงไป และเห็นขากางเกงของซูช่านเป็นรูฉีกขาดขนาดใหญ่สองรูบริเวณหัวเข่า เผยให้เป็นว่าหัวเข่าเปียกโชกไปด้วยเลือด
ดูเหมือนว่าหล่อนจะโดนเศษแก้วบาด
อวี๋เซี่ยงตงขมวดคิ้ว “ภาระจริง ๆ เลย มานี่ ฉันจะแบกเธอเอง”
เขาพูดและหันหลังให้เธอ ย่อตัวลงข้างหน้าซูช่าน รอให้เด็กหญิงค่อย ๆ ปีนป่ายขึ้นมาบนหลัง
อวี๋เซี่ยงตงยังคงจดจำได้ชัดเจนตั้งแต่นั้นมา เขาแบกเด็กหญิงไว้บนหลังนับครั้งไม่ถ้วน และคอยช่วยเหลือหล่อนจากเหตุการณ์ต่าง ๆ
เป็นเพราะว่าหน้าตาของหล่อนดูโดดเด่นเกินไป ผู้คนจึงพากันเรียกหล่อนว่าเด็กเปรต และพากันไล่ตัดผมหล่อน
ทว่าสิ่งที่ทำให้อวี๋เซี่ยงตงรู้สึกประหลาดใจอย่างมากคือเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้มักจะส่งยิ้มเหยเกให้เขาทุกครั้งทั้งที่โดนรังแกอย่างหนัก หล่อนมักจะเผยฟันขาวซี่เล็ก ๆ ราวกับเมล็ดข้าวที่งอกขึ้นเต็มปาก และเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงไพเราะชัดถ้อยชัดคำ “พี่อาตง”
หล่อนคอยติดตามคุณปู่ไปเรียนรู้วิธีการใช้สมุนไพรที่เหมาะสม และคุณปู่ซูมักจะให้หล่อนฝึกคัดลายมืออย่างเคร่งครัด
หล่อนมักจะถูกลงโทษที่เขียนไม่สวย และแอบมาร้องไห้บ่อย ๆ
ตลอดเวลาเด็กหญิงตัวเล็กมักชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ คอยพูดสอนเขาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “พี่จะต่อสู้ไม่ได้นะ ไม่งั้นพี่จะเจ็บ”
อวี๋เซี่ยงตงพูดหยอกล้อหล่อนด้วยรอยยิ้ม “ก็ได้ ต่อจากนี้ไปพี่จะไม่ต่อสู้แล้ว ถ้าช่านช่านถูกรังแก พี่ก็จะทำเป็นไม่เห็น”
ซูช่านพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง หล่อนเม้มปากและครุ่นคิดด้วยท่าทางจริงจัง ก่อนจะจ้องมองเขา “งั้นพี่ต้องระวังสิ อย่าให้ตัวเองเจ็บ รอให้ฉันโตก่อนนะ ฉันจะไปเป็นหมอ”
อวี๋เซี่ยงตงดึงสติกลับมาจากภวังค์ และอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเล็กน้อย นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้เจอหล่อนอีกครั้ง
แถมเจ้าตัวแสบยังโตมาสวยเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด
อวี๋เซี่ยงตงรอให้เย่หนานฝังเข็มและเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาเสร็จก่อน จากนั้นจึงตะโกนเรียนโจวจินหนานให้มาเข็นรถออกไป
คนที่มาส่งเขากำลังรออยู่ที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย
ทว่าอวี๋เซี่ยงตงกลับประหลาดใจทันทีที่ออกมาจากประตู เขาเห็นซูช่านวิ่งโฉบเข้ามาทางหน้าประตู มือทั้งสองกำสายสะพายกระเป๋าแน่น
ซูซ่านรีบวิ่งไปหยุดอยู่หน้ารถเข็นทันทีที่เห็นโจวจินหนานกับอวี๋เซี่ยงตง
หากวันนี้หล่อนไม่ได้ถามออกไปก็คงจะรู้สึกไม่สบายใจ และคิดว่าเขาจะต้องจากไปอีกแน่นอน หล่อนจึงรออยู่ที่ประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ติดกับบ้านของสวี่ชิงมากที่สุด
หล่อนเอาแต่คิดว่าถ้าได้เจอเขาแล้ว หล่อนจะพูดว่าอะไรดี?
แต่เมื่อนึกได้ว่าอวี๋เซี่ยงตงมาหยุดอยู่ตรงหน้าหล่อนแล้วก็ไม่สามารถคิดอะไรได้อีก และจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา “พี่อาตง ฉันซูช่านไง จำฉันได้มั้ย?”
ปฏิกิริยาของอวี๋เซี่ยงตงยังคงเหมือนเดิม เขามองไปที่ซูช่านด้วยแววตาสงบนิ่ง และยิ้มเล็กน้อย “คุณจำคนผิดหรือเปล่าครับ? ผมไม่รู้จักคนชื่อซูช่าน”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พวกปากไม่ตรงกับใจนี่ระวังเสียใจทีหลังนะคะ จะพูดดีๆ กับเขาหน่อยไม่ได้หรือไงคะ
ไหหม่า(海馬)