เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 513 ความรักจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่
บทที่ 513 ความรักจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่
สวี่ชิงนึกไม่ถึงว่าตู้หว่านอิ๋งจะร้องขอสิ่งดังกล่าวในทันที เธอมองไปที่เฟิงซูฮวาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ และมองไปที่ตู้หว่านอิ๋งด้วยท่าทางประหม่า
เฟิงซูฮวาโบกมือ “ไม่ต้องๆ ฉันสบายดี พูดกันตามตรง แม่หลานเขาก็เก่งเรื่องการแพทย์พอตัว”
ตู้หว่านอิ๋งรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อสังเกตเห็นจุดดำด่างขนาดเท่าเมล็ดข้าวอยู่บนใบหน้าของเฟิงซูฮวา “ถ้างั้นก็ดีเลยค่ะ ฉันเองก็ติดนิสัยแย่ ๆ ชอบแต่จะจับชีพจรคนอื่นอยู่เรื่อย”
เฟิงซูฮวายกยิ้มอย่างใจเย็น “ฉันเข้าใจ แต่ว่ามันเกินไปหน่อยน่ะค่ะ คุณเป็นแขกของเรา จะให้คุณมายุ่งวุ่นวายได้ยังไง”
ทั้งสองพูดคุยกันต่อด้วยท่าทางนอบน้อม
สวี่ชิงที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว รู้สึกว่าตู้หว่านอิ๋งไม่ใช่คนที่จะรักษาให้คนอื่นพร่ำเพรื่อ หรือว่ามีจะมีอะไรผิดปกติกับสุขภาพของเฟิงซูฮวากัน?
เธอเดินมาส่งตู้หว่านอิ๋งที่หน้าประตู และกลั้นใจถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ตู้ มีอะไรผิดปกติกับร่างกายของคุณย่าหรือเปล่าคะ? ฉันเพิ่งเห็นว่าสีหน้าอาจารย์ดูจริงจังมาก”
ตู้หว่านอิ๋งรีบส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ฉันแค่สงสัย เห็นว่าผิวของคุณย่าไม่ค่อยดีนัก เลยอยากจะขอตรวจชีพจรสักหน่อย แต่ไม่มีอะไรหรอก”
ความสงสัยผุดขึ้นมาในใจของสวี่ชิง เธอส่งตู้หว่านอิ๋งออกไป หันกลับไปทางลานบ้านและพบว่าเย่หนานกำลังตรวจชีพจรให้เฟิงซูฮวา
เธอรีบเดินเข้าไปรอด้านข้าง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เย่หนานหัวเราะร่าหลังจากที่ตรวจชีพจรเสร็จ “ป้าทำฉันตกอกตกใจหมด แข็งแรงกว่าชิงชิงอีกนะ”
ทว่าสวี่ชิงยังคงเป็นกังวล “แม่ แน่ใจนะคะ?”
เย่หนานจ้องมอง “เจ้าเด็กดื้อ เป็นอะไรไป ไม่อยากให้คุณย่าร่างกายแข็งแรงเหรอ?”
สวี่ชิงรีบโบกมือ “ไม่ใช่สักหน่อย ฉันอยากให้คุณย่าแข็งแรงดี เดี๋ยวฉันไปทำเกี๊ยวก่อนนะคะ ทุกคนจะได้มากินกัน”
หลังจากนอนหลับพักผ่อน สวี่ชิงรู้สึกโล่งใจมากที่เห็นสีหน้าของเฟิงซูฮวาดีขึ้นกว่าเดิม และคิดว่าตู้หว่านอิ๋งอาจจะเสพติดการทำงานมากจนเกินไป
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า สวี่ชิงจะยุ่งอยู่กับการลงทะเบียนเรียน เธอเลือกเรียนวิชาเอกการการแพทย์แผนจีน ซึ่งเป็นวิชาเอกที่มีผู้ลงทะเบียนเรียนไม่มากนัก
ในชั้นเรียนของสวี่ชิงมีนักเรียนจำนวนทั้งหมดสามสิบห้าคน ทั้งหมดมาจากทั่วทั้งประเทศ
ตอนที่เธอเข้ามาลงทะเบียนเรียน สวี่ชิงอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้อาจารย์ที่ปรึกษาฟังว่าเธอมีลูกเล็ก อาจจะเข้ามาในวิทยาเขตได้ไม่บ่อย แต่เธอจะไม่ขาดเรียนเด็ดขาด และจะเข้าร่วมกิจกรรมที่จำเป็นต้องเข้าร่วม
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีจำนวนนักเรียนมากมายที่เป็นกรณีพิเศษอย่างสวี่ชิง หลังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมักจะมีนักเรียนกลุ่มที่อายุมากกว่ากลุ่มคนทั่วไป และโดยปกติแล้วพวกเขาจะลากครอบครัวพ่วงเข้ามาด้วย
อาจารย์ที่ปรึกษาไม่ได้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกลำบากใจ และยังขอให้เธอเขียนใบสมัครเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อผ่านการอนุมัติแล้ว เธอจะสามารถเข้ามาเรียนแบบเช้าเย็นกลับได้
หลังจากพิธีการเสร็จสิ้น อาจารย์ประจำชั้นรีบเดินเข้ามาหาสวี่ชิง “ผมมีเรื่องที่จะต้องแจ้งกับคุณก่อน วิชาเอกของเราต้องเดินทางไปศึกษาแหล่งเก็บยากันบ่อย ๆ บางครั้งต้องไปอยู่ที่นู่นเป็นสิบวันหรือครึ่งเดือน ถึงตอนนั้นคุณช่วยชี้แจงกับทางครอบครัวด้วย จะได้มีสมาธิตั้งใจเรียนเต็มที่”
สวี่ชิงพยักหน้าเพื่อให้ความมั่นใจ “อาจารย์เฉินไม่ต้องห่วงค่ะ จะไม่มีปัญหาแน่นอน”
สวี่ชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดินหอบหนังสือออกมาจากตึกสำนักงาน เธอก้มหน้าลงและสูดดมกลิ่นหนังสือในอ้อมแขน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะได้เป็นนักเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยจริง ๆ
เธอยืนยิ้มโง่งมอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง และรีบหอบหนังสือในอ้อมแขนวิ่งกลับบ้านไปอย่างมีความสุข
เธอมองดูโจวจินหนานที่กำลังเลี้ยงลูกสองคนที่ลานบ้านอยู่ และรีบวิ่งเข้าไปพูดโอ้อวดด้วยความตื่นเต้น “ดูสิคะๆ หนังสือเล่มใหม่ของฉันล่ะ ตั้งแต่วันนี้ฉันจะได้เป็นนักศึกษาแล้ว!”
โจวจินหนานมองดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มของสวี่ชิงด้วยความปีติยินดี ถึงกระนั้นกลับรู้สึกทุกข์ใจในเวลาเดียวกัน หากไม่มีเขา ไม่มีลูกน้อยทั้งสองคน สวี่ชิงคงจะได้กลายเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยที่ไร้ซึ่งความกังวล
คงจะดูเยาว์วัยและสดใสกว่านี้
สวี่ชิงจมจ่ออยู่กับช่วงเวลาแห่งความสุข วางกองหนังสือลงและหันไปสะกิดโจวจินหนาน “ไปหาฉินเฟยกับอาเล็กกันเถอะค่ะ ตามให้พวกเขามากินข้าวเลี้ยงฉลองด้วยกัน”
ตอนที่เธอย้ายบ้าน เธอได้ยินเหยียนจี้ชวนบอกว่าห้องทดลองของฉินเฟยอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของเธอมากนัก และใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ยี่สิบนาที
ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้!
โจวจินหนานยิ้มรับและพยักหน้า “อืม งั้นเดี๋ยวผมไปโทรหาเหยียนจี้ชวนที่ตู้โทรศัพท์ก่อน จะโทรบอกให้เขามากินข้าวเย็นด้วยกัน”
สวี่ชิงครุ่นคิด “พวกเรากินข้าวอยู่บ้านกันนี่แหละ อาเล็กกับฉินเฟยจะได้มีเวลาคุยกันนาน ๆ หน่อย”
โจวจินหนานไม่ได้ปฏิเสธอะไร “ได้ คุณอยากซื้ออะไรบ้าง เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้”
สวี่ชิงรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน หยิบแผ่นกระดาษและปากกาออกมาจดรายการสิ่งของที่ต้องการ และให้โจวจินหนานออกไปซื้อให้
เธอรอจนกระทั่งโจวจินหนานออกไป แล้วจึงพาเสี่ยวเป่าไปหาฉินเฟย ในขณะที่ต้าเป่ากำลังเรียนรู้วิธีถักเชือกป่านกับเฟิงซูฮวา ท่าทางของเขาดูจริงจังมากและปฏิเสธที่จะออกไปข้างนอกกับแม่
ไป๋หลางมองดูสวี่ชิงพาเสี่ยวเป่าออกไปแล้วได้แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เดินตามออกไป
ช่วงแรกเสี่ยวเป่าเดินบิดก้นน้อย ๆ ออกไปอย่างมีความสุข แต่เมื่อก้าวผ่านประตูรั้วมหาวิทยาลัย เสี่ยวเป่ากลับเริ่มเล่นแง่ “แม่ เสี่ยวเป่าเหนื่อย เสี่ยวเป่าขาเจ็บ”
ถึงแม้ว่าคำพูดของเด็กน้อยจะยังไม่ค่อยชัดถ้อยชัดคำนัก แต่กลับสื่อความหมายออกมาได้อย่างชัดเจน
สวี่ชิงอุ้มเสี่ยวเป่าไว้ในอ้อมแขนขณะมองหาฉินเฟย
พวกเขามาถึงสถาบันการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของฉินเฟยแล้ว และต้องลงเทียนก่อนจึงรอให้พนักงานรักษาความปลอดภัยเรียกเข้าไป และถ้าฉินเฟยไม่ได้อยู่ในห้องทดลอง พวกเธอก็สามารถกลับออกมาได้เลย
แต่ถ้าหล่อนอยู่ในห้องทดลอง หล่อนจะไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยังไม่รู้ว่าหล่อนจะออกมาจากห้องทดลองเมื่อใด
สวี่ชิงอุ้มเสี่ยวเป่ายืนรออยู่หน้าประตูห้อง โชคดีที่ฉินเฟยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในห้องทดลอง ทำให้พวกเธอรอไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น
ฉินเฟยรีบวิ่งเหยาะ ๆ ออกมา และรู้สึกประหลาดใจที่เห็นสวี่ชิงกับเสี่ยวเป่า “พวกคุณมาทำอะไรที่นี่กันคะ?”
สวี่ชิงหันหน้าไปมองทางรั้วมหาวิทยาลัย “ฉันมาลงทะเบียนเรียนน่ะค่ะ ใกล้จะเริ่มเรียนแล้ว เพิ่งย้ายมาที่นี่และจัดข้าวของเสร็จเมื่อสองวันที่แล้วเอง เลยว่าจะมาชวนคุณไปกินข้าวที่บ้านสักหน่อย ว่าแต่คุณว่างอยู่ไหมคะ?”
ฉินเฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้า “ได้ค่ะ วันนี้ฉันเข้ากะกลางคืนพอดี ค่อยกลับมาตอนหกโมงก็ได้ ไปกันเถอะ”
หล่อนรู้ว่าถ้าตนไปที่นั่นก็จะได้เจอกับเหยียนจี้ชวน ประกายไฟเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจเริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
สวี่ชิงอารมณ์ดีขึ้น “ฉันโชคดีมากเลย มาตรงจังหวะที่คุณกำลังว่างอยู่พอดี ก่อนจะมาที่นี่ฉันก็ลืมไปเสียสนิทว่ามีแค่พวกยามเท่านั้นที่รู้ พวกคุณเข้าไปในห้องทดลองกันแล้ว คงจะไม่ได้กลับออกมากันอีกหลายวัน”
ฉินเฟยพยักหน้า “อืม ส่วนใหญ่ก็เพราะกลัวความลับรั่วไหลน่ะค่ะ”
หล่อนพูดและเอื้อมมือไปกอดเสี่ยวเป่า ทว่าเสี่ยวเป่ากลับไม่ยอมและซุกหน้าเข้ากับซอกคอของสวี่ชิง ไม่แม้แต่จะหันไปมองฉินเฟย
สวี่ชิงมองดูมือที่ยื่นออกมาและสังเกตเห็นบาดแผลเล็ก ๆ บนมือข้างซ้ายของฉินเฟย มันเป็นแผลสดใหม่ เลือดยังไหลออกมาอยู่ด้วยซ้ำ “ทำไมคุณถึงเป็นแผลได้คะ?”
ฉินเฟยมองดูบาดแผนอย่างไม่ได้สนใจมากนัก “บังเอิญโดนข่วนในห้องทดลองน่ะ”
สวี่ชิงตกใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องล้างฆ่าเชื้อสิคะ ห้องทดลองมีเชื้อโรคอยู่เยอะจะตาย”
ฉินเฟยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง และยิ้มออกมา “ใส่ยาฆ่าเชื้อแล้วค่ะ”
ทั้งสองพูดคุยกันระหว่างเดินทางกลับ แต่แล้วพวกเธอกลับพบเหยียนจี้ชวนที่หน้าประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าเขามาจากไหน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ และดูน่าเวทนายิ่งนัก…
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอ้า อาเล็กไปทำอะไรมาหน้าเขียวขนาดนั้นน่ะ? อย่าบอกนะว่าโดนครอบครัวฉินเฟยซ้อม
ไหหม่า(海馬)