เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 504 เจอคนรู้จัก
บทที่ 504 เจอคนรู้จัก
สวี่ชิงเอาของเข้าไปเก็บและเดินออกมา ขณะที่สวีหย่วนตงดับก้นบุหรี่และส่งยิ้มแหยให้เธอ
สวีหย่วนตงปริปากพูดขณะมองดูพี่สะใภ้นั่งลง “ผมรู้ว่าพี่สะใภ้อยากจะคุยกับผมเรื่องเสวี่ยเหมย แต่ผมมาคิดดูแล้ว ช่างมันเถอะ ดูจากสถานการณ์ในบ้านผมแล้ว ผมไม่อยากให้เสวี่ยเหมยต้องมาทนลำบากกับผม”
ทว่าสวี่ชิงไม่เห็นด้วย “ฉันไม่ได้จะพูดเรื่องอะไรแบบนั้นสักหน่อย ในประเทศนี้มีผู้คนจำนวนมากที่ตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกับบ้านคุณ แต่พวกเขาไม่ได้แต่งงานกันเลยหรือไง? คุณกับพวกโจวจินหนานกำลังปฏิบัติภารกิจร่วมกัน ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน พวกคุณก็เอาชนะมันมาได้ แต่ทำไมคุณถึงถอยให้กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ล่ะ?”
สวีหย่วนตงยิ้มเฝื่อน “แต่มันไม่เหมือนกัน นั่นแม่ของผมทั้งคน แม่คอยผลักดันพี่น้องและไม่ต้องการให้เพื่อนบ้านมาดูถูกพวกเรา แม่เลยทำตัวแข็งแกร่งมาตลอด และมักจะพูดคำไหนคำนั้น”
“แต่ก็นั่นแหละ เมื่อก่อนผมคิดว่าแม่มีเหตุผลมากกว่านี้ พอแม่มาพูดแบบนั้น ผมเลยรู้สึกว่าต่อให้แต่งงานกัน ผมกับเสวี่ยเหมยก็คงจะเข้ากันไม่ได้อยู่ดี”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว “คุณแต่งงานกับเสวี่ยเหมย หรือแม่คุณแต่งงานกับเสวี่ยเหมยกันแน่? ทำไมคุณถึงมานั่งกังวลว่าเธอจะเข้ากันไม่ได้? คุณต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ ถ้าคุณถอยออกมาแบบนี้ คุณคิดว่าคุณคู่ควรกับเสวี่ยเหมยแล้วเหรอ? คุณคอยดูแลแม่ ให้เงินบำนาญกับพวกเขา ก่อนแต่งงานคุณจะดูแลพี่น้องยังไงก็ได้ แต่หลังแต่งงานไปแล้ว คุณดูแลพวกเขาไม่ได้ คุณก็ควรจะแสดงทัศนคติด้านนี้ให้พวกเขาเห็นสิ”
จู่ ๆ ใบหน้าของสวีหย่วนตงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น “ผมออกมาทำงานหลายปีแล้ว น้องชายน้องสาวคอยดูแลที่บ้านให้มาตลอด เพราะงั้นผมออกมาตัวคนเดียวไม่ได้หรอกครับ”
สวี่ชิงถอนหายใจขณะมองดูสวีหย่วนตง หากตัดสินด้วยสายตาจากคนรุ่นหลังแล้ว สวีหย่วนตงเป็นทั้งพ่อพระและลูกแง่ติดแม่ในเวลาเดียวกัน
ในยุคสมัยนี้เขาได้รับประสบการณ์มามาก และรู้สึกซาบซึ้งต่อครอบครัวตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพูดปฏิเสธได้เมื่อครอบครัวมาร้องขอความช่วยเหลือ
ไม่ว่าความต้องการนั้นจะสมเหตุสมผลหรือไม่ก็ตาม
ทำให้เธอไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมสวีหย่วนตงอย่างไรดี
ถึงกระนั้นมันก็ไม่ผิดที่สวีหย่วนตงจะรับผิดชอบต่อครอบครัวของตนเอง เขาแค่ตระหนักถึงครอบครัวตนเองมากเกินไป และเผลอทำร้ายภรรยาในท้ายที่สุด ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยในยุคสมัยนี้
และผู้หญิงมักจะเคยชินกับเรื่องพวกนี้ โดยพื้นฐานแล้วพวกหล่อนมักจะเลือกอดทน และต่อให้มีปัญหามากแค่ไหน พวกหล่อนก็จะไม่หย่าร้าง
สวีหย่วนตงยิ้มอย่างขมขื่น “พี่สะใภ้ ให้ผมเมินครอบครัวตัวเองคงไม่ได้หรอกครับ ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ปล่อยเรื่องของผมกับเสวี่ยเหมยไปเถอะ”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว “คุณจะเอาแบบนั้นก็ได้นะ แต่คุณช่วยเข้าใจจังหวะเวลาหน่อยได้ไหม? คุณจะช่วยเหลือที่บ้านในขณะที่ต้องดูแลครอบครัวตัวเองได้ยังไง? หรือถ้าคุณอยากจะช่วยเหลือที่บ้านจริง ๆ คุณคิดว่าตนเองมีเงินเดือนมากเท่าไหร่กัน? นอกจากนี้คุณกล้าหาญไม่เท่าเสวี่ยเหมยด้วยซ้ำ หล่อนถึงกับจะลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจหารายได้จุนเจือครอบครัวทีเดียว”
“เพราะฉะนั้นการหนีปัญหาไม่ใช่ทางออก คุณควรจะหาทางแก้ไขมันต่างหาก”
สวีหย่วนตงเงียบและก้มหน้าก้มตาอย่างรู้สึกผิด ครั้งแรกที่เขาได้ยินฉินเสวี่ยเหมยบอกว่าพ่อแม่ของหล่อนไม่เห็นด้วยกับคำขอของแม่เขา เขาจึงไม่ได้คิดหาทางแก้ไขปัญหาอะไร
เขาคิดว่าเขาไม่สามารถทิ้งแม่กับน้องไว้เบื้องหลังได้ ถึงกระนั้นฉินเสวี่ยเหมยก็ไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ทั้งสองคนเข้ากันไม่ได้
สวี่ชิงถอนหายใจ “ตอนนี้พวกเราทุกคนรู้แล้วว่าฉินเสวี่ยเหมยมีแฟนและกำลังจะแต่งงานกันวันที่หนึ่งตุลาคม แต่จู่ ๆ คุณก็มาบอกว่าช่างมันเถอะ คุณได้คิดในด้านเสวี่ยเหมยดูบ้างแล้วหรือยัง ฉันคิดว่าคุณควรกลับไปคิดเรื่องนี้ดูนะ”
สวีหย่วนตงไม่สามารถนั่งนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาไม่ได้อยู่รับประทานอาหารด้วยซ้ำ รีบกล่าวลาและเดินออกไป
สวี่ชิงกลับเข้าไปทำอาหาร และพูดคุยเรื่องนี้กับเย่หนาน
ในความเป็นจริงเธอยังโชคดีที่โจวจินหนานไม่มีพี่น้อง และเธอกับแม่สามีไม่ได้ชิดใกล้อะไรกันนัก ไม่เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้คงจะทำให้เธอปวดหัวน่าดู
ไม่ต้องพูดถึงใครอื่น หากเป็นตัวเธอที่หลงใหลในโจวจินหนาน เธอคงจะไม่สามารถทำตัวโหดร้ายต่อครอบครัวที่เขาห่วงใยได้เช่นกัน
……
สองสามวันต่อมา สวี่ชิงไม่ได้เก็บเอาเรื่องของฉินเสวี่ยเหมยกับสวีหย่วนมาคิดอีกต่อไป เพราะเธอกำลังยุ่งอยู่กับการมองหาบ้านใกล้มหาวิทยาลัย
เมื่อเธอออกมาจากบ้าน โจวจินหนานก็เดินตามเธอออกมาด้วย ในขณะที่ลูกน้อยทั้งสองเดินตามโจวจินหนานออกมาเป็นขบวน
ทั้งสองคนขึ้นไปบนรถบัสพร้อมกับลูกน้อยทั้งสองในอ้อมแขน ส่วนไป๋หลางยังคงวิ่งตามรถบัสมาเหมือนเดิม
ขณะที่แมวดำโผล่หน้ามาเป็นระยะ ๆ ไม่รู้ว่าไล่ตามพวกเขามาจากมุมไหน
ต้าเป่ากับเสี่ยวเป่ามีความสุขมากที่ได้นั่งรถบัส ถึงกระนั้นพวกเขาทั้งสองไม่ได้ส่งเสียงดังเอ็ดตะโรระหว่างทาง แค่มองออกไปข้างนอกหน้าต่างเงียบ ๆ
มองดูข้างทางที่เปลี่ยนไปจากเดิม และการเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
จนสวี่ชิงถอนหายใจ “ถ้าต้องใช้เวลาไปกลับสามชั่วโมงแบบนี้ทุกวันก็ไม่น่าจะไหวหรอก อีกอย่างกว่าฉันจะเรียนภาคค่ำเสร็จ รถก็คงไม่เหลือแล้ว”
เธอจึงตั้งใจจะเช่าบ้านในบริเวณใกล้เคียงให้ได้
บริเวณใกล้เคียงมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีน ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านของครอบครัวในพื้นที่โรงงาน มีบังกะโลตั้งเป็นแถวและมีลานเล็ก ๆ อยู่หน้าประตู
ในขณะพื้นที่ไกลออกไป มีลานขนาดเท่าตัวบ้านให้เช่าเพิ่มเติม
ตอนนี้เธอต้องรีบหา ก่อนที่จะไม่มีใครปล่อยให้เช่า
หลังจากเดินวนอยู่นาน เสี่ยวเป่าก็ลูบท้องป้อย ๆ “แม่ เสี่ยวเป่าหิว หิวข้าว”
สวี่ชิงยิ้ม “ตอนเช้าก็กินมาเยอะแล้วนี่ ตอนนี้ยังหิวอีกเหรอ? แม่อุ้มหนูจนแขนจะหักอยู่แล้ว แม่ยังไม่เห็นหิวเลย”
ทันทีที่เสี่ยวเป่าได้ยินว่าแขนของแม่กำลังจะหัก เขาก็รีบผละออก “เสี่ยวเป่าจะลงเดิน”
สวี่ชิงเดินอุ้มลุกมานานมากเสียจนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้อีก เธอวางเสี่ยวเป่าลง เดินดูรอบข้าง และเห็นว่ามีโรงแรมที่บริหารโดยรัฐบาลอยู่ในเขตฮงซิง ตรงข้ามกับประตูมหาวิทยาลัย
“เราไปนั่งกินข้าวตรงนั้นกันเถอะค่ะ จะได้พักบ้าง เจ้าตัวแสบนี่หนักอย่างกับก้อนหิน อุ้มทั้งวันก็ไม่ไหว”
เสี่ยวเป่าเดินตามแม่ไปอย่างมีความสุข แม้เจ้าตัวกลมขาสั้นจะไม่ได้แม่พูดว่าเขาตัวหนัก แต่เขากลับได้ยินแม่บอกว่าจะพาไปกินข้าว
ขอแค่ได้กินข้าว อย่างอื่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
มีกระดาษดำติดอยู่บนผนังทางเข้าโรงอาหาร ซึ่งเขียนไว้ว่าวันนี้มีอาหารกลางวันเสิร์ฟ
สวี่ชิงมองไปรอบ ๆ และสั่งเกี๊ยวสามชามที่ทำมาจากเนื้อวัวและต้นหอม
เสี่ยวเป่าปรบมือและร้องตะโกนว่า “เนื้อ เสี่ยวเป่าอยากกินเนื้อ”
ต้าเป่าเอยกายอยู่ในอ้อมแขนพ่ออย่างเชื่อฟัง และกินอะไรก็ได้
สวี่ชิงไม่ได้สนใจเสี่ยวเป่า และสั่งซาลาเปาเนื้อมาเพิ่มอีกห้าหกลูก
เมื่อซาลาเปาเนื้อและเกี๊ยวมาเสิร์ฟ สวี่ชิงขอให้โจวจินหนานเป่าเกี๊ยวให้ลูกทั้งสอง ส่วนเธอเดินไปนั่งยอง ๆ อยู่ที่หน้าประตู แบ่งครึ่งซาลาเปาและโยนให้ไป๋หลาง
หลายคนที่เดินเข้าออกแสดงสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นสวี่ชิงป้อนซาลาเปาชิ้นโตให้กับสุนัข
จนบางคนเผลอพูดวิจารณ์ออกมา “เสียเปล่าจริง ๆ เดี๋ยวนี้คนกันเองจะไม่พอกินอยู่แล้ว ยังจะเอาไปให้หมามันกินอีก”
สวี่ชิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และแบ่งซาลาเปาให้ไป๋หลางกินต่อ
นอกจากนี้เธอยังชี้นิ้วให้ไป๋หลางก้มลงไปกินเนื้อบดที่ตกอยู่บนพื้น
จนบางคนถึงกับเริ่มทนไม่ไหว “เฮ้ย คุณเอาซาลาเปาให้หมากินแบบนี้ มันไม่สิ้นเปลืองไปหน่อยเหรอ ไม่กลัวว่ากรรมจะตามสนองหรือไง?”
สวี่ชิงจึงคิดว่าเธอควรจะพูดอธิบาย เพราะเกรงว่าทุกคนจะเข้าใจผิดเธอและไป๋หลาง
เธอโยนซาลาเปาลูกสุดท้ายให้ไป๋หลาง ลุกขึ้นยืน ยกยิ้มและจ้องมองคนที่ชี้นิ้วมาทางเธอ “ไป๋หลางของเราไม่ใช่สุนัขธรรมดา มันเป็นสุนัขทหารที่มาจาสนามรบ เป็นสุนัขที่ทำประโยชน์ให้กับทางทหารมามากมาย”
แต่จู่ ๆ เธอก็ชะงักเมื่อเห็นใครบางคนที่รู้จักอยู่ท่ามกลางฝูงชน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หมาก็หมาเขา ซาลาเปาก็ซื้อด้วยเงินเขา แต่ดันไปหนักหัวคนอื่นซะงั้น
ชิงชิงเห็นใครเหรอ?
ไหหม่า(海馬)