เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 309 นักข่าวมาสัมภาษณ์
บทที่ 309 นักข่าวมาสัมภาษณ์
สวี่ชิงใช้หลังมือเช็ดน้ำตา “อะไรจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นคะ อีกอย่างที่นั่นก็ไม่มีญาติอยู่แล้ว พวกเขาจะกลับไปทำอะไร? คุณย่าบอกว่าพ่อกับแม่ของฉันอยากกลับไประลึกความหลังกัน มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
เธอเห็นสถานการณ์ของเย่หนานอยู่ในสายตาทั้งหมด และรู้สึกร้อนใจมาก เฟิงซูฮวากับเหยียนป๋อชวนเองก็ต้องร้อนใจเช่นกัน
ดังนั้นเฟิงซูฮวากับเหยียนป๋อชวนต้องปรึกษาเรื่องการไปเตียนหนานในครั้งนี้กันมาก่อนแล้วเป็นแน่ เพียงแต่อยากปิดบังเธอ เธอจึงทำเป็นไม่รู้เพื่อให้พวกเขาสบายใจเท่านั้น
เหยียนจี้ชวนแค่นหัวเราะ ยื่นมือมาตบศีรษะสวี่ชิงเบาๆ “เป็นเด็กฉลาดเกินไปแล้ว เธอช่วยซื่อบื้ออีกนิดได้ไหม?”
สวี่ชิงมองเขาแวบหนึ่งขณะยกมือขึ้นลูบผม “อาเล็ก ฉันคิดว่าตอนนี้อาเปลี่ยนไปนะคะ ครั้งแรกที่ฉันเจออายังคิดว่าคุณเป็นคนสุขุมนุ่มลึกคนหนึ่ง เป็นจิ้งจอกเฒ่าที่เอาตัวรอดได้ด้วยแผนการแยบยล แต่ตอนนี้คุณค่อนข้างเหมือนเด็กไม่ประสาไปแล้ว”
เหยียนจี้ชวนกัดก้นบุหรี่แค่นเสียงหึคำหนึ่ง “กับคนในครอบครัวก็ต้องมีแผนการด้วยเหรอ? อีกอย่างถ้าให้พูดถึงแผนการก็ไม่มีใครสู้โจวจินหนานได้แล้ว คนนั้นต่างหากที่เรียกว่าทังหยวนไส้งา* ใจดำเป็นอย่างยิ่ง”
*เปรียบเปรยว่าภายนอกดูเป็นคนดีเหมือนแป้งสีขาวที่แท้จริงแล้วดำหรือหมายถึงชั่วร้าย
สวี่ชิงไม่พอใจ “อาไม่ต้องพูดถึงโจวจินหนานแบบนั้นเลย ฉันฟังแล้วระคายหู”
เหยียนจี้ชวนปรายตามองเธอแวบหนึ่ง “ไม่รู้จักสำนึก”
สวี่ชิงได้ปะทะฝีปากกับเหยียนจี้ชวนอย่างนั้นพักหนึ่ง สภาพจิตใจก็ดีขึ้นไม่น้อย “อาเล็ก ไม่ใช่อาบอกว่าสิ้นเดือนนี้โจวจินหนานจะกลับมาเหรอคะ วันนี้ก็วันที่สองเดือนสิบเอ็ดแล้ว ทำไมยังไม่เห็นเงาอีก คงไม่ได้เกิดเรื่องหรอกนะคะ?”
เหยียนจี้ชวนอดไม่ได้ที่จะเคาะศีรษะของสวี่ชิง “เธอคิดแต่เรื่องดี ๆ บ้างได้ไหม? จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเยอะแยะขนาดนั้น รอบนี้ก็แค่เจอศัตรูที่จัดการยากหน่อยเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงกะเวลาผิดพลาดไปสักหน่อย คาดว่าอีกไม่นานแล้ว”
สวี่ชิงได้ยินเหยียนจี้ชวนพูดว่าใกล้จะกลับมาแล้วก็เบาใจลงนิดหน่อย “อายืนยันแล้วนะว่าไม่มีอันตราย”
เหยียนจี้ชวนรู้สึกจนใจเล็กน้อย “ตอนนี้งานของโจวจินหนานไม่เหมือนกับงานของเขาเมื่อก่อนแล้ว งั้นเดี๋ยวฉันจะบอกเธอให้ เมื่อก่อนเขาใช้ชีวิตตัวเองปกป้องคนอื่น ทุกครั้งที่ทำภารกิจต้องมีเลือดกตยางออกกลับมาเสมอ แต่ตอนนี้เป็นคนอื่นที่ต้องปกป้องเขา ถ้าภารกิจเป็นสนามรบหนึ่ง เขาก็คือมันสมองของกองทัพ มีความสำคัญมาก”
ในที่สุดสวี่ชิงก็เข้าใจแล้ว จึงทอดถอนหายใจอย่างโล่งอก “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่งั้นฉันจะไปหาคุณแล้วร้องไห้ให้ฟังทุกวันเลย”
เหยียนจี้ชวนร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “นี่มันขึ้นอยู่กับอาไหมเนี่ย? เอาล่ะไปกันเถอะ ยืนอยู่ตรงป้ายสถานีหนาวจะตายแล้ว”
พูดแล้วก็ประคองไหล่สวี่ชิงพาเธอหมุนตัวออกมาจากสถานี
ตอนที่หมุนตัวก็เผลอมองฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีผู้หญิงสวมชุดสีครีมตัวใหญ่คนหนึ่งมองมาทางนี้ด้วยสายตาเย็นเยือก
ตอนประสานสายตากับเหยียนจี้ชวนถึงค่อยหลบตาไปอีกด้าน
สวี่ชิงมองเห็นผู้หญิงฝั่งตรงข้ามเช่นกัน ดวงอาทิตย์แรกในฤดูหนาวที่ฉายบนร่างของหล่อนไม่ได้ทำให้ดูอบอุ่นเลยสักนิด กลับยิ่งทำให้ดูเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง
ผิวหล่อนขาวลอออยู่แล้ว เมื่อต้องแสงแดดก็ยิ่งขับให้ผิวขาวผ่องยิ่งขึ้น
เพราะว่าห่างกันค่อนข้างไกล ทำให้มองไม่เห็นว่าหล่อนมีหน้าตาเช่นไร แต่บุคลิกนั้นเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็เหมือนกับต้นไผ่ตรงสูง ทั้งสง่างามและเย็นชา
สวี่ชิงรู้สึกว่าอีกฝ่ายคงเป็นหญิงงามหาตัวจับยากคนหนึ่ง ทำให้อดมองอีกสองสามครั้งไม่ได้ ถามเหยียนจี้ชวนที่อยู่ข้างกาย “คุณอารู้จักผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ”
เหยียนจี้ชวนแค่นหัวเราะฮึ “จะเป็นไปได้ยังไง คนที่อารู้จักต่อให้นับยุงตัวเมียเข้าไปยังไม่ถึงห้าเลย ไม่รู้จักหรอก”
สวี่ชิงโมโหจนอยากต่อยคน หยุดก้าวแล้วมองเหยียนจี้ชวน “อาว่าใครคือยุงตัวเมียคะ?”
เหยียนจี้ชวนหัวเราะฮ่า ๆ โอบไหล่สวี่ชิงอย่างสนิทสนม “ไม่ได้พูดถึงเธอเช่นกัน เธอดูอย่างไรอาก็ล็อคตำแหน่งประจำเอาไว้ให้อยู่แล้ว รีบกลับกันเถอะ”
สวี่ชิงปัดแขนเหยียนจี้ชวนอย่างโมโห “อาเล็ก อานี่มันน่าเกลียดจริง ๆ เลย”
สองคนยิ้มหัวเราะกันออกมาทางออก สวี่ชิงกลับถึงบ้านก็อยู่คนเดียว จึงตัดสินใจไปร้าน อยู่คุยเรื่องอนาคตของร้านกับผางเจิ้งหัว
เหยียนจี้ชวนเองก็มีธุระอื่นต้องไปทำ “ตอนกลางคืนอยู่คนเดียวกลัวไหม ต้องให้อามาอยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า?”
สวี่ชิงโบกมือ “ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวตอนกลางคืนฉันให้เสวี่ยเหมยมาอยู่เป็นเพื่อน อีกอย่างยังมีไป๋หลางกับเจ้าแมวดำอยู่ ฉันไม่กลัวหรอก”
เหยียนจี้ชวนพยักหน้า “งั้นก็ได้ ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรมาที่หอพักของอาหรือไม่ก็ที่สำนักงานได้”
สวี่ชิงเดิมคิดจะอยากถามว่าหยวนฮวายังอยู่ในมณฑลหรือไม่ แต่ในเมื่อไม่เจอหน้านางหลายวันขนาดนั้น คนก็น่าจะไม่อยู่แล้ว จึงยิ้มแล้วโบกมือให้เหยียนจี้ชวน “อาเล็กก็รีบไปเถอะค่ะ เอาแต่บ่นเดี๋ยวก็กลายเป็นคนแก่หรอก”
เหยียนจี้ชวนยื่นมือมาเคาะศีรษะของสวี่ชิง สวี่ชิงยกมือบังเอาไว้พลางหัวเราะเชอบใจแล้วเข้าร้านไป
วิ่งไปไกลนิดหน่อยก็หมุนตัวกลับมายิ้มตาหยีโบกมือให้เหยียนจี้ชวนเป็นการบอกลา
เหยียนจี้ชวนอดยิ้มออกมาไม่ได้ ใจจริงก็ได้แต่หวังว่าเหยียนป๋อชวนพาเย่หนานกลับไปยูนนานครั้งนี้แล้วจะมีข่าวดีกลับมา ให้ครอบครัวได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง
สวี่ชิงเข้าไปในร้าน ทุกคนกำลังทำงานยุ่งกันอยู่ เธอจึงคิดจะไปช่วยถูพื้นด้วยคน ยังไม่ทันได้จับไม้ถูพื้นก็ถูกซุนเชียวเฟิงขวางเอาไว้ “ไอหยา ไม่ต้องให้เธอทำหรอกจ๊ะ เธอไปนั่งพักเถอะ”
สวี่ชิงร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “ฉันเปราะบางขนาดนั้นที่ไหนกัน ถูพื้นเฉย ๆ ก็ได้”
ซุนเชียวเฟิงส่ายหน้า “นั่นก็ไม่ได้เหมือนกันจ๊ะ เมื่อวานฉันได้ยินป้าเฟิงพูดแล้วว่าเธอท้องลูกแฝด ต้องระวังหน่อยถึงจะถูก”
สวี่ชิงส่ายหน้า “มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ต้องออกกำลังกายนิดหน่อย จะได้คลอดได้ง่าย”
ถึงจะพูดอย่างนั้น ซุนเชียวเฟิงก็ไม่ยอมให้สวี่ชิงยื่นมือมาทำงานหนักอยู่ดี พูดไม่หยุดว่า “ตอนนี้เธอต้องดูแลตัวเอง ท้องแฝดไม่ใช่ง่าย ๆ และเธอยังเป็นผู้บัญชาการของร้านพวกเรา เรื่องพวกนี้เธอชี้นิ้วสั่งให้พวกเราทำก็พอ”
สวี่ชิงหัวออกมาอย่างจนใจ “พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ฉันกำลังมีเรื่องจะพูดอยู่เหมือนกัน พวกเรามีประชุมย่อยกันหน่อยดีไหม?”
ทุกคนที่ทำงานกันอยู่หยุดมือแล้วมาล้อมเธอไว้ทันที ใบหน้าที่มองสวี่ชิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
สวี่ชิงหัวเราะ “พวกเธอไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ก็ได้ ฉันแค่จะบอกแผนการต่อไปมาบอกกับทุกคน ถ้าการร่วมมือของสถานีลงมาพวกเราก็ต้องไปหาโรงงานอาหาร ถึงตอนนั้นผางเจิ้งหัวต้องไปกับฉันด้วย หู่จือคนเดียวสามารถดูหลังครัวได้ไหมจ๊ะ ถ้าไม่ได้พวกเราต้องไปเชิญผู้เชี่ยวชาญกลับมาคนหนึ่ง”
หู่จือลูบศีรษะ “พี่ชิงชิง ผมทำได้ครับ สองสามเดือนมานี้ผมได้เรียนรู้ไม่น้อย ตุ๋นอาหารเองก็ทำได้ดีเหมือนกัน”
สวี่ชิงยิ้ม “ดี งั้นก็ให้โอกาสหู่จือสักครั้งหนึ่ง ให้หู่จือควบคุมการปรุงอาหาร แต่ว่ายังไงฉันก็ต้องหาคนมาช่วงคนหนึ่งอยู่ดี พวกเธอเห็นว่ามีคนที่เหมาะสมอยากแนะนำหน่อยไหม”
หู่จือลังเลสักพัก “พี่ชิงชิง ผมมีเพื่อนคนหนึ่งของเป็นคนซื่อสัตย์มากเหมือนกัน ปีก่อนเป็นทหารกลับมาพักผ่อน พี่เห็นว่าใช้ได้ไหมครับ?”
ซุนเชียวเฟิงคิดพักหนึ่ง “นายหมายถึงหัวจื้อจากบ้านเหล่าหลี่โถ่วเหรอ”
หูจือพยักหน้า “ครับ เป็นพี่หัวจื้อ”
ซุนเชียวเฟิงร้องไอหยาคำหนึ่งแล้วพูดกับสวี่ชิงว่า “เจ้าหัวจื้อคนนี้ไม่เลว ปีนี้เองก็อายุยี่สิบห้ายี่สิบหกแล้ว ตอนเป็นทหารได้รับบาดเจ็บที่ขา ตอนนี้เดินกะเผลกนิดหน่อย เลยทำงานหนักไม่ได้ แต่เป็นคนทำงานคล่องแคล่วดีมาก”
เพราะสวี่ชิงมีทั้งโจวจินหนานและเหยียนจี้ชวน ทำให้เธอรู้สึกดีกับคนที่เป็นทหาร “งั้นเลือกเขาแล้วกัน หู่จือพรุ่งนี้นายไปพาเขามาให้ฉันเห็นหน่อย”
ตอนกำลังพูดก็มีคนมารวมกันอยู่หน้าประตูและตะโกนเข้ามาว่า “นักข่าวประจำวันกับนักข่าวภาคค่ำของมณฑลมาขอสัมภาษณ์ครับ…..”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จะไม่เกิดเรื่องอะไรกับพี่หนานจริงๆ ใช่ไหม รอบก่อนๆ ก็บาดเจ็บไม่ใช่เหรอ
นักข่าวมาสัมภาษณ์เรื่องอะไรกันน่ะ
ไหหม่า(海馬)