เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 274 ใกล้ความจริงขึ้นอีกขั้น
บทที่ 274 ใกล้ความจริงขึ้นอีกขั้น
อวี๋จิ้งไม่รู้ว่าเหตุใดสวี่ชิงถึงถามคำถามนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน หล่อนยืดตัวตรงเปลี่ยนอากัปกิริยา “ปีเจ็ดสี่ฉันถูกแนะนำให้เข้ามหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็รายงานข่าวภาคค่ำที่เมืองเอกมณฑล ตอนนี้ก็เป็นปีที่สี่แล้วค่ะ”
สวี่ชิงเลิกคิ้วยกยิ้ม “คิดไม่ถึงว่านักข่าวอวี๋จะเคยเรียนมหาวิทยาลัยด้วย ยอดเยี่ยมจริงๆ”
อวี๋จิ้งรู้สึกตลอดเวลาว่าสวี่ชิงถากถางหล่อนอยู่ แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายเรียบนิ่งทุกประโยค สีหน้าก็ดูจริงจังมาก ดูไม่ออกว่ากำลังถากถางคนอื่นอยู่แม้เพียงครึ่งหนึ่ง
สวี่ชิงพูดเรื่อยเปื่อยกับเฉาตงฟาสองประโยค แล้วก็มองเหยียนจี้ชวน “อาเล็กคะ พวกเรากลับกันเถอะ ฉันหิวนิดหน่อยแล้ว”
อวี๋จิ้งเหลือบมองสวี่ชิง สรุปแล้วผู้หญิงคนนี้ยังเห็นความสำคัญของสามีอยู่หรือเปล่าเนี่ย?
เหยียนจี้ชวนกับสวี่ชิงออกมาจากโรงพยาบาล เขาถึงค่อยถามเธอ “พรุ่งนี้เธอจะไปในหมู่บ้านชนบทนั่นจริงเหรอ”
สวี่ชิงพยักหน้า “ไม่ใช่ว่าที่นั่นอยู่ใกล้หรือคะ ไม่แน่ฉันอาจจะช่วยอะไรได้บ้างก็ได้”
เพราะคุณย่าให้ของล้ำค่ามาด้วยไม่น้อย เธอเองก็สามารถแก้พิษได้นิดหน่อย ความสามารถระดับเดียวกับน้ำไม่เต็มแก้ว เต็มครึ่งแก้วไม่ส่งเสียงดัง*แบบนั้น
*เปรียบกับ คนมีความสามารถแต่ไม่โอ้อวด
เหยียนจี้ชวนเองก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน รู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาเองก็มองหลานสาวคนนี้ออก อย่ามองว่าหล่อนอายุยังไม่ถึงยี่สิบเชียว
หล่อนมีความคิดละเอียดรอบคอบ อีกทั้งหากตัดสินใจเรื่องใดแล้วใครก็เปลี่ยนแปลงความคิดหล่อนไม่ได้
ที่สำคัญยังเป็นคนไม่ยอมให้ตัวเองเสียเปรียบด้วย
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ขอเพียงไม่มีนิสัยหุนหันพลันแล่น ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่โตอะไร
รุ่งเข้าสวี่ชิงถึงค่อยเจอเกาจ้านกับสวีหย่วนตง สองคนดูเหมือนไม่ได้รับการพักผ่อนที่ดีนัก นัยน์ตาแดงก่ำ และยังปรากฏรอยคล้ำใต้ตาอย่างเห็นได้ชัด
หลังพูดคุยกับพวกเขาสั้นๆ สองสามประโยค ทั้งหมดก็ไม่พูดถึงความคืบหน้าของการตามหาโจวจินหนาน
เมื่อกินข้าวเช้าด้วยกันเสร็จแล้วก็ไปโรงพยาบาลรับสหายเฉาตงชาง
ทุกคนคงนั่งไม่หมดในรถคันเดียว สุดท้ายเกาจ้านกับสวีหย่วนตงจึงไปป้ายรถสาธารณะเพื่อนั่งรถ เหยียนจี้ชวนพาสวี่ชิงกับสองพี่น้องตระกูลเฉานั่งรถมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน
ระหว่างทางสวี่ชิงมองออกไปนอกหน้าต่าง มองไร่นาขั้นบันไดอันเวิ้งว้าง และยังมีวัวเหลืองของชาวนากำลังไถนาอยู่กับบ้านกระต๊อบเตี้ย ๆ
เธอรู้สึกเหม่อลอยเล็กน้อย ด้วยเกือบจะหลงลืมลักษณะของชาวนาในตอนนี้ไปแล้ว
ที่สำคัญคือเมื่อชาติก่อนเธอเองก็เติบโตขึ้นมาในเมือง ความทรงจำเกี่ยวกับชาวนาจึงมีน้อยมาก ตอนมาเห็นถึงค่อยคิดถึงความทรงจำอันเลือนรางว่าชาวนาตอนนี้ยังมีปัจจัยการใช้ชีวิตที่ยากลำบากอยู่มาก
หลังผ่านทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อมาจนถึงหมู่บ้านครอบครัวเฉา เฉาตงฟาก็ชี้นิ้วไปที่บ้านทางทิศตะวันออกหลังหนึ่งของหมู่บ้าน
กำแพงที่ทำมาจากดินเหนียวนั้นเตี้ยมาก มองแวบเดียวก็สามารถมองเห็นภายในบ้านทั้งหมดได้แล้ว
บ้านสองสามหลังที่ทำจากดินเหนียวยังไม่ก่ออิฐทับด้วยซ้ำ ดินเหนียวสีเทาในนั้นยังปรากฏให้เห็นเศษหญ้าประปราย บ้านเตี้ยมาก ประตูเองก็เตี้ย เกรงว่าคนที่สูงระดับพวกเหยียนจี้ชวนคงต้องก้มตัวจึงจะสามารถเข้าไปได้
เฉาตงฟารู้สึกอับอายเล็กน้อยขณะมองสวี่ชิงกับเหยียนจี้ชวน “บ้านพวกเราเล็ก ด้านในก็ไม่สะอาด พวกคุณอย่าว่ากันเลยนะ”
เหยียนจี้ชวนมองตาสวี่ชิง “ไม่ว่าหรอก ให้พวกเรามาอยู่ได้ก็ขอบใจมากแล้ว”
สองพี่น้องเฉาอยู่ในบ้านด้านหน้ากับด้านหลัง เฉาตงฟาพาเฉาตงชางเข้าไปในบ้านด้านหลังก่อน แล้วให้สวี่ชิงรออยู่บนรถ
สวี่ชิงเกือบจะล้มทรุดจากการนั่งมาตลอดทาง ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะนั่งนานเกินไปและรถยังสั่นสะเทือนหรือไม่ ตอนนี้จึงรู้สึกปวดท้อง
เธอลูบท้องน้อยเบา ๆ ตัดสินใจลงรถมาเดินเสียหน่อย
เพิ่งลงรถก็เห็นมีคนสองสามคนในระยะไกลมองมาทางนี้พลางชี้นิ้วโบ๊เบ๊ มีเด็กใจกล้าหน่อยสองสามคนเดินย่องเข้ามา มองรถยนต์อย่างสงสัย
สวี่ชิงรู้ว่าในชนบทมีรถยนต์น้อยมาก ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเป็นของแปลกใหม่ จึงเดินไปยืนหน้าประตูบ้านของเฉาตงฟาเพื่อให้มองชัดเจนขึ้นอีกหน่อย
หลังจากยืนอยู่ในระยะแล้วจึงค่อยมองเห็นว่าหน้าประตูบ้านมีเด็กน้ำมูกไหลอายุราวห้าหกขวบ สวมเสื้อประจำฤดูใบไม้ร่วงที่แยกสีเดิมไม่ออกแล้ว จ้องมองเธอด้วยดวงตากลมโตสีดำ
สวี่ชิงเดาว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นลูกของเฉาตงฟา จึงประคองเอวค้อมตัวให้สายตาเสมอกับเด็กน้อย “สวัสดีจ๊ะ หนูชื่ออะไรเหรอ?”
เด็กน้อยเม้มปากไม่พูด ภายในดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
จู่ ๆ ก็วิ่งเข้าไปในบ้าน ตอนวิ่งยังได้ยินเสียงกระดิ่งเล็ก ๆ ส่งเสียงกังวานใสออกมาจากร่าง
สวี่ชิงรู้สึกว่าเสียงเพราะมาก มองแผ่นหลังของเด็กน้อยวิ่งเข้าไป
ผ่านไปไม่นานเด็กน้อยก็ออกมาจากในบ้านพร้อมกับดึงชายเสื้อผู้หญิงคนหนึ่งออกมา ในอ้อมกอดของผู้หญิงคนนั้นยังอุ้มเด็กทารกอายุขวบกว่าไว้ด้วย
ผู้หญิงคนนั้นอายุสามสิบกว่า มีรูปร่างอวบ มองแล้วรู้สึกใจดีน่าคบหา หล่อนมองสวี่ชิงอย่างสงสัย “น้องสาว มาหาใครหรือจ๊ะ”
สวี่ชิงรีบอธิบาย “ฉันกลับมาพร้อมกับพี่เฉาค่ะ พวกเขาไปส่งพี่รองเฉากลับบ้านก่อน แล้วให้ฉันรออยู่ตรงนี้”
หลิวเยี่ยนภรรยาของเฉาตงฟารู้เรื่องที่เฉาตงชางได้รับบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว พอได้ยินว่าสามีพาแขกกลับมาด้วย ก็รีบเชิญสวี่ชิงเข้าบ้านอย่างเกรงใจ “งั้นเธอเข้ามานั่งในบ้านก่อนเถอะ”
สวี่ชิงส่ายหน้า “ยังก่อนดีกว่าค่ะ รอพี่เฉากับอาเล็กฉันมาค่อยว่ากันก็ได้ พี่สะใภ้ บ้านคุณมีลูกสองคนหรือคะ”
หลิวเยี่ยนหัวเราะเขินอาย “คนโตเป็นเด็กผู้หญิงชื่อว่าก่ายก่าย คนรองเป็นลูกชายชื่อเป่าจู”
ฟังจากชื่อก็สามารถรู้ได้ว่าครอบครัวนี้ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่า ลูกสาวเกิดออกมาตั้งชื่อว่าก่ายก่าย* ก็เพราะอยากในกำเนิดลูกอีกคนที่สามารถเปลี่ยนเป็นเด็กผู้ชายได้
*改改 แปลว่า เปลี่ยน
สวี่ชิงชื่นชมอย่างมีมารยาท “เด็กทั้งสองคนหน้าตาน่ารักน่าชังดีจริง ๆ ค่ะ”
ก่ายก่ายอยู่ข้างขาของหลิวเยี่ยน ดึงกระดึงตรงคอออกมาเล่น ทำให้ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งดังกังวานออกมาบางช่วง
เพราะห่างกันไม่ไกล เธอจึงสามารถมองเห็นลวดลายบนกระดิ่งนั้นได้อย่างชัดเจน และมันก็เป็นลายเดียวกับลายบนเสื้อของเย่หนานแม่ของเธอ และยังมีลายเดียวกับแหวนวงนั้นไม่มีผิด
สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที “ก่ายก่าย น้าขอดูกระดิ่งหนูหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
หลิวเยี่ยนเห็นลูกสาวเอากระดิ่งออกมาเล่น สีหน้าก็เปลี่ยนยิ่งกว่าเธอ มือหนึ่งอุ้มลูก อีกมือตบศีรษะของก่ายก่ายอย่างแรง “ใครให้แกเอากระดิ่งออกมา!”
ก่ายก่ายตกใจจนอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ เบะปากเล็ก ๆ รีบเก็บกระดิ่งซุกกลับเข้าไปในคอเสื้อ
สวี่ชิงมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลิวเยี่ยน ก็รู้ได้ว่ากระดิ่งนี้เป็นความลับ รีบเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ คุณไม่ต้องกลัวค่ะ ฉันแค่จะดูลวดลายบนกระดิ่งของก่ายก่ายเท่านั้น ลวดลายมันเหมือนกันของที่แม่ของฉันทิ้งไว้ให้ ดังนั้นฉันเลยอยากจะดูสักหน่อย”
หัวใจที่เต้นอย่างสงบพลันเต้นรัว หรือว่าโจวจินหนานจะพบเย่หนานแม่ของเธอจริง ๆ การหายตัวไปของเขาเกี่ยวข้องกับเย่หนานหรือไม่?
หลิวเยี่ยนกลับไม่เชื่อที่สวี่ชิงพูด “ขอโทษด้วยจ้ะ นี่เป็นของสืบทอดจากบรรพบุรุษ เป็นการอวยพรให้ชีวิตร่มเย็นสงบสุข เด็กคนนี้จะพกมาเล่นให้ได้ ไม่มีอะไรน่าดูหรอกจ้ะ”
สวี่ชิงยังคิดจะพูดต่อ เฉาตงฟากับเหยียนจี้ชวนก็เดินมาแล้ว
เห็นลูกสาวร้องไห้ ก็รีบถาม “ก่ายก่ายเกิดอะไรขึ้น”
สวี่ชิงทำได้เพียงขอร้องเฉาตงฟา “ฉันเห็นกระดิ่งบนคอของก่ายก่าย มันเหมือนกับลวดลายบนของที่แม่ฉันทิ้งเอาไว้ ฉันขอดูหน่อยได้ไหมคะ”
เฉาตงฟาพอได้ยินว่าเธอต้องการดูกระดิ่ง ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ “นี่….งั้นก็ให้ดูเถอะ”
พูดอยู่ก็เดินไปหยิบกระดิ่งมาจากคอของลูกสาวส่งให้สวี่ชิง “ตอนก่ายก่ายเกิด ร่างกายไม่แข็งแรง เป็นคุณยายเป่ยซานส่งเจ้านี้มาให้ สุขภาพถึงค่อย ๆ ดีขึ้น คุณยายเป่ยซานบอกว่ากระดิ่งนี้ถูกแสงไม่ได้ และก็ไม่อาจให้คนนอกพบเห็น”
หลายปีมานี้เขาเองก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เนื่องจากปีๆ หนึ่งในหมู่บ้านชนบทยากที่จะเจอคนนอกเช่นกัน
สวี่ชิงถือกระดิ่งมาดูอย่างละเอียด ยิ่งดูก็ยิ่งตกลึง ลวดลายเหมือนกับแหวนที่แม่ทิ้งไว้ไม่มีผิด วัสดุเองก็เหมือนกัน
ตอนที่คิดจะพูดอีก ก็ได้ยินเสียงของอวี๋จิ้งดังมาจากข้างนอกกำแพง “นี่ใช่บ้านของพี่เฉาหรือเปล่าคะ”
สวี่ชิงรับเก็บกระดิ่งที่อยู่ในมือไปไว้ข้างหลัง แล้วยังใช้นิ้วหัวแม่มืออุดเสียงกระดิ่งไว้….
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มีลุ้นนะคะ หรือที่พี่หนานหายไปเพราะเจอคุณแม่เย่หนานแล้ว?
ตายยากจริงคุณนักข่าว ยังจะตามมาถึงนี่อีกนะ
ไหหม่า(海馬)