เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 241 มีคนคอยให้ความอบอุ่นเสมอ
บทที่ 241 มีคนคอยให้ความอบอุ่นเสมอ
สวี่ชิงรู้สึกร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “คุณอย่าพูดแบบนี้กับสวีหย่วนตงสิคะ เขาเป็นคนดีมากและก็เป็นคนใจดีด้วย คุณดูสิว่าเขาช่วยเหลือพวกเรามากมายเท่าไหร่แล้ว”
โจวจินหนานย่นคิ้ว “ผมก็แค่คิดว่าเขาวันๆ เอาแต่อยู่กับหมากับนกพิราบอะไรนั่น เลยพูดไม่ค่อยเก่งเท่านั้น”
สวี่ชิงมองโจวจินหนานด้วยความรู้สึกไม่สามารถอธิบายในคำเดียวได้ ถ้าให้เปรียบเทียบกันว่าใครพูดไม่เก่งกว่ากัน สองสามคนในที่นี้ก็ต้องนับโจวจินหนานเข้าไปด้วย
มองอย่างผ่านๆ ก็คือเขาเป็นผู้ชายซื่อๆ ไม่ทันคนคนหนึ่ง แต่พอพูดประโยคหนึ่งก็ทำให้คนโมโหจนตายได้
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว สวีหย่วนตงก็ขี่จักรยานของสวี่ชิงจากไป พรุ่งนี้เช้าค่อยมารวมตัวกันไปบ้านพักคนชรา
สวี่ชิงนำเนื้อไปตุ๋นในหม้อพลางพูดกับเฟิงซูฮวาคำหนึ่ง แล้วเดินไปดูร้านกับโจวจินหนานสักหน่อย ว่าจะไปกำชับพวกเขาสองสามคนเรื่อยเปื่อย
ตอนมาถึงสถานีรถไฟ สวี่ชิงก็ตั้งใจมองร้านของฉินกุ้ยจือ ร้านเปิดแล้ว และด้านหน้าร้านยังมีคนล้อมรอบอยู่ไม่น้อย
ครุ่นคิดพักหนึ่งก็ตัดสินใจเดินไปดูกับโจวจินหนานเสียหน่อย
รูปแบบการดำเนินกิจการของฉินกุ้ยจือเลียนแบบร้านของสวี่ชิงทุกอย่าง แต่ภายในร้านมีแค่หล่อนกับหลี่เฟิ่งผู้เป็นน้องสามี พวกหล่อนมีหน้าที่หุงข้าวและผัดกับข้าวไว้ล่วงหน้า ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่รับผิดชอบตักข้าวไปด้วยคิดเงินไปด้วย
รับเงินก่อนค่อยตักข้าว ก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่ามีคนไม่จ่ายเงิน
และราคาอาหารก็คิดเหมือนกับร้านของสวี่ชิง เนื้อหนึ่งอย่างผักหนึ่งอย่างแปดเฟิน ผัดสองอย่างหกเฟิน
สวี่ชิงมองอยู่ด้านหน้าสักพัก คนกินไม่น้อย กิจการไม่เลวเลย
เธอหมุนตัวกลับพูดเสียงเบากับโจวจินหนาน “ไปกันเถอะ”
เดินข้ามทางม้าลายมา โจวจินหนานก็กังวลว่าสวี่ชิงจะเสียความรู้สึก “รสชาติอาหารของพวกหล่อนดีไม่เท่าของพวกเราแน่”
สวี่ชิงยิ้มขำ “คุณปลอบใจได้ปลอมมากเลยค่ะ คุณไม่เคยกินจะรู้ได้ยังไง แต่ก็ถือว่าฉินกุ้ยจือยังพอมีเหตุผลที่ตั้งราคาเท่ากับร้านของเรา”
ถ้าราคาอาหารของฉินกุ้ยจือถูกเกินไป จะต้องมีผลกระทบกับพวกเธอแน่
ตอนนี้เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เนื่องจากลูกค้าในสถานีสัญจรไปมาเยอะมาก ให้พวกเขาทำอยู่ร้านเดียวก็ทำไม่เสร็จ
ยิ่งภายในร้านก็ยิ่งยุ่ง ผางเจิ้งหัวกับหู่จือรับผิดชอบดูแลหลังครัว ซุนเชียวเฟิงกับหลี่ซิ่วเจินรับผิดชอบตักข้าว ซุนเถียนเก็บเงิน มองแล้วดูเสียงดังเอะอะก็จริง แต่กลับเป็นระเบียบไม่วุ่นวายเลย
ที่สำคัญที่สุดคือทุกครั้งที่ผัดอาหารจะไม่ผัดในปริมาณที่เยอะนัก ทำให้สามารถรักษาอาหารทุกอย่างให้ยังคงความร้อนไว้ได้
ซุนเชียวเฟิงเห็นสวี่ชิงมา ก็ตักข้าวไปด้วยความตกใจ “เธอมาได้ยังไงเนี่ย ฉันได้ยินผางเจิ้งหัวบอกว่าพวกเธอสองคนจะออกไปข้างนอกสองวันนี้ ทำไมไม่พักผ่อนอยู่บ้านล่ะ ยังจะมาอีก”
สวี่ชิงยิ้ม “ว่างไม่มีอะไรทำน่ะสิคะเลยมาดู ไม่อย่างนั้นเกิดพวกอาลำบากเกินไป ในใจฉันก็คงไปยังหมดห่วงไม่ได้จริง ๆ เหมือนกัน”
ซุนเชียวเฟิงหัวเราะฮ่า ๆ ออกมา รอให้ปริมาณน้อยลงอันหนึ่ง ก็มายืนข้างรถเข็นขายของข้างสวี่ชิงเอ่ยว่า “ตอนนี้ฉันไม่กลัวลำบากหรอก ฉันกระตือรือร้นทำงานจะตายไป เธอดูสิไม่ใช่ว่าช่วงนี้ฉันอ้วนขึ้นอีกแล้วเหรอ?”
สวี่ชิงมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างตั้งใจ “อ้วนอีกจริง ๆ ด้วยค่ะ”
ซุนเชียวเฟิ่งหัวเราะหึๆ “พ่อของหู่จือพูดว่าเธอเลี้ยงพวกเราอย่างถูกเอาเปรียบเกินไป ให้เงินค่าแรงแล้วยังให้เรียนทำอาหารด้วย สุดท้ายยังให้ข้าวกิน กินยังดีขนาดนี้เลย”
สวี่ชิงยกยิ้ม “นั่นก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอคะ ต่อไปความสามารถของหู่จือถ้าเปิดร้านอาหารใหญ่โตเองได้แล้ว ต้องเลี้ยงข้าวพวกฉันดี ๆ ด้วยล่ะ”
ซุนเชียวเฟิ่งพยักหน้า “เปิดร้านอาหารใหญ่โตอะไรกัน ขอเพียงแค่เธอยังใช้พวกเรา พวกเราก็จะทำงานให้เธอเอง พวกเราเองก็ไม่ใช่คนลืมบุญคุณแบบนั้น”
แล้วก็เริ่มนินทากับสวี่ชิงว่าเมื่อสองวันก่อนผางเจิ้งหัวทะเลาะกับพวกนักเลงสองสามคน “พวกนั้นเป็นนักเลงในซอยของพวกเราที่ไม่รู้จักเรียนรู้จักทำมาหากิน ต่อมาฉันไปหาพวกเขาที่บ้าน ลองพูดกับพ่อแม่ของพวกเขาพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่มารังแกคนอีกเลย”
ซุนเชียวเฟิ่งพูดอย่างไหลลื่นประนีประนอม ตำหนิสองสามคนนั้นว่ายังเด็กอยู่
สวี่ชิงรู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย “ต้องขอบคุณอาเชียวเฟิ่งแล้วค่ะ”
ซุนเชียวเฟิ่งโบกปัด “ขอบคุณอะไรกัน ให้พูดขอบคุณพวกเราเองก็ต้องขอบคุณเธอเหมือนกัน ไม่เพียงฉันที่บอกว่าเธอเป็นคนดี ซิ่วเจินเองกลับไปก็ชมเธอว่าเป็นคนดีเหมือนกัน”
หลี่ซิ่วเจินอยู่ด้านข้างพยักหน้า “นั่นไม่ใช่คำชมนะคะ ฉันพูดจริง ๆ เดิมก็เป็นคนดีมากอยู่แล้ว”
สวี่ชิงรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว หัวใจก็รู้สึกอบอุ่นเช่นกัน “ไอหยา พวกคุณหยุดพูดว่าพูดว่าฉันดีได้แล้ว ฉันซึ้งจนจะร้องไห้อยู่แล้วนะคะ”
ซุนเชียวเฟิ่งยกยิ้ม “เด็กโง่ ดังนั้นเธอวางใจแล้วออกไปเที่ยวเล่นเถอะ พวกเราจะปกป้องร้านนี้ให้เป็นอย่างดีเอง สถานีรถไฟทางนั้นไม่ใช่ว่าฉินกุ้ยจือก็เปิดร้านแล้วเหรอ ถ้าหล่อนกล้าก่อความวุ่นวาย ฉันจะจัดการหล่อนเอง”
สวี่ชิงตกใจ “อาเองก็รู้จักฉินกุ้ยจือด้วยเหรอคะ?”
ซุนเชียวเฟิ่งไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าแปลกใจสักนิด ซอยฮวยซู่ห่างกับพื้นที่เขตโรงงานรถยนต์ไม่ไกล ทางนั้นหล่อนเองก็มีญาติอยู่ เทียวไปเทียวมาค่อนข้างบ่อย แม้ว่าจะไม่เคยพูดคุยกัน แต่ก็เคยได้ยินชื่อของฉินกุ้ยจือมาบ้าง
แต่ซุนเชียวเฟิ่งไม่กลัว เพราะหล่อนเองก็มีชื่อเสียงเรื่องโหดเหมือนกัน
สวี่ชิงพลันวางใจลง “ฉันว่าจะมาบอกกับพวกคุณอยู่เชียว ฉันไปสองวัน ต้องรบกวนพวกคุณมากหน่อย แต่ถ้าเจอเรื่องอะไรก็ไม่ต้องกลัว พวกเรากลับมาจัดการให้ก็พอแล้ว”
สวี่ชิงพูดคุยกับพวกเขาอีกพักหนึ่ง จากนั้นก็ช่วยตักข้าวเก็บกวาดโต๊ะ ทำงานตลอดจนถึงเวลาดับไฟ
หลังจากนับเงินกับซุนเถียนแล้วถึงค่อยเก็บเงินมาแล้วกลับบ้านพร้อมกับโจวจินหนาน
สองคนเดินผ่านร้านของฉินกุ้ยจืออีกครั้ง ตอนนี้ในร้านไม่มีคน ฉินกุ้ยจือกับหลี่เฟิ่งสองคนยืนอยู่ด้านหน้าถาดอาหาร ดูแล้วเหมือนจะเหลือไม่น้อย
สวี่ชิงเพ่งสายตามองเวลาอีก กลางคืนมีขบวนรถไฟสองสามเที่ยว แต่คนธรรมดาทำงานเสร็จแล้วก็เลือกที่จะกลับบ้าน หรือไม่ก็ไม่ออกมาจากสถานี แล้วหาที่พักผ่อน
คนมากินมีน้อยมาก บวกกับร้านรอบ ๆ ต่างก็ปิดร้าน ทำให้มืดไปทั่วบริเวณ
ทำให้แสงสว่างจากร้านเล็ก ๆ ยิ่งดูสลัวรางมากขึ้น
ดังนั้นฉินกุ้ยจือจึงเตรียมที่จะทิ้งอาหารเหล่านั้นแล้ว
ตอนอยู่ในร้านฉินกุ้ยจือกับหลี่เฟิ่งเองก็กังวล พวกหล่อนทำวันแรกไม่มีประสบการณ์ จึงเตรียมทำอาหารมาสี่ถาดใหญ่ ใช้ถาดข้าวที่เอาไว้ตอนมีงานเลี้ยงในชนบทขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งเมตรแบบนั้น
ผลลัพธ์ตอนนี้ถึงได้ขายออกไปครึ่งเดียว
อีกทั้งในถาดยังมีกับข้าวเยอะมาก สีสันก็ดูย่ำแย่ คล้ำหมองไม่น่ากิน
ฉินกุ้ยจือมีหน้าที่ตักข้าวที่โรงอาหารของประชาชนมาโดยตลอด เพียงแค่มองคนอื่นผัดกับข้าวก็คิดว่าขั้นตอนเหมือนกัน แต่พอตนผัดออกมารสชาติกลับใช้ไม่ได้
เวลาทำกับข้าวที่บ้าน หล่อนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างไม่ว่าจะใช้น้ำมันมากหรือน้อย
แต่ตอนนี้เปิดร้านผัดอาหารหนึ่งถาดใหญ่กลับตัดใจใส่น้ำมันไม่ลง พอทำออกมา นอกจากสีจะคล้ำแล้วรสชาติยังจืดชืด
หลี่เฟิ่งมองคนที่เดินอยู่ด้านนอกร้านที่น้อยลงเรื่อย ๆ ก็ร้อนรนนิดหน่อย “พี่สะใภ้ คงไม่ได้จะเหลือเก็บไว้ใช่ไหมคะ?”
ฉินกุ้ยจือเองก็ไม่รู้ว่ามีตรงไหนผิดปกติ “เหลือก็เหลือสิ พรุ่งนี้ไม่ต้องผัดแล้ว อุ่นแล้วยังสามารถขายได้ต่อ”
ตอนนี้หล่อนยังหงุดหงิดเรื่องที่หลี่ต้าหย่งกับสวี่หรูเยว่แต่งงานกัน
เจ้าเด็กอกตัญญูนั่นไม่รู้ว่าไปหาเงินมาจากไหน ถึงได้ซื้อแหวนทองให้สวี่หรูเยว่ได้!
เก็บอาหารไปก็ฉุนเฉียวไป ตอนนี้พอคิดถึงแหวนทองของหลี่ต้าหย่งก็ยิ่งหงุดหงิด ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วโยนทิ้งไปอีกด้านหนึ่ง “ฉันจะไปหาหลี่ต้าหย่งตอนนี้ ดูสิว่าวันนี้จะได้ใช้มีดสับเด็กนั่นไหม!”
หลี่เฟิ่งไม่ตอบสนอง ไม่ใช่ว่ากำลังพูดเรื่องจะทำอย่างไรกับอาหารที่เหลืออยู่เหรอ ? ทำไมจู่ ๆ ก็พูดถึงหลี่ต้าหย่งได้?
เห็นฉินกุ้ยจือจากไปอย่างฉุนเฉียว หล่อนก็ล็อกประตูรีบตามไปเช่นกัน!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ร้านตรงข้ามเห็นแววเจ๊งซะแล้ว แทนที่จะปรับปรุงข้อผิดพลาดกลับทู่ซี้ทำต่อแบบนั้น
ไหหม่า(海馬)