เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 204 เป็นลูกสาวของเย่หนาน เป็นไปได้ไหมที่เขาเองก็เป็น...
- Home
- เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80
- บทที่ 204 เป็นลูกสาวของเย่หนาน เป็นไปได้ไหมที่เขาเองก็เป็น...
บทที่ 204 เป็นลูกสาวของเย่หนาน เป็นไปได้ไหมที่เขาเองก็เป็น…
เหยียนป๋อชวนมองสายตาเย็นชาและยังระแวดระวังของสวี่ชิง ก็ห้ามไม่ให้คิดถึงหญิงสาวในความทรงจำซ้อนทับกันไม่ได้ ตอนที่เห็นเขาครั้งแรก หล่อนเองก็มีท่าทางระแวดระวังแบบนี้เช่นเดียวกัน เหมือนกับลูกเสือดาวเล็กๆน่ารักตัวหนึ่ง
เขาหันไปมองกลุ่มคนที่ก่อเรื่องอยู่ด้านข้าง แล้วพูดกับคนข้างกายตน “คุณไปจัดการ คนที่ตั้งใจก่อเรื่องก็ให้จับส่งตำรวจไปซะ”
เหยียนป๋อชวนอยู่บนตำแหน่งสูงมานาน แม้ไม่แสดงออกว่าโกรธหรือไม่ชอบ แต่กลับแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม ดังนั้นเมื่อเขาปรายตามอง ต่อให้ไม่พูดก็ทำให้คนตกใจกลัวได้แล้ว
คนที่เข้ามาก่อเรื่องทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เขาคือผู้อำนวยการสถานีรถไฟหรือว่าผู้ว่าการของมณฑลนี้กันนะ?
ดูแล้วเหมือนจะมีตำแหน่งสูงมาก!
ตอนได้ยินเหยียนป๋อชวนพูดแบบนี้ พวกเขาก็ถอยหลังอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็หันหลังแล้ววิ่งหายกันไปคนละทิศละทางแล้ว
ไหนเลยจะสนใจเงินค่าตอบแทนหลังเสร็จสิ้นภารกิจอะไรนั่นอีก
สวี่ชิงคิดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าที่มีท่าทางเหมือนเจ้าคนนายคนที่ไหนสักแห่งคนนี้จะช่วยเธอ จึงคลายท่าทางระแวงต่อเขาเมื่อก่อนหน้าลงเล็กน้อย แล้วส่งยิ้มให้เหยียนป๋อชวน “ขอบคุณนะคะที่ช่วยจัดการปัญหายุ่งยากให้พวกเรา”
เหยียนป๋อชวนยับยั้งชั่งใจที่กำลังสับสนของตัวเอง มองสวี่ชิงอย่างเอ็นดู “นี่คือร้านอาหารของเธอเหรอ?”
สวี่ชิงพยักหน้า “ใช่ค่ะ นี่คือร้านอาหารจานด่วน เพื่อให้สะดวกต่อนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา เมื่อกี้คนเหล่านั้นเป็นพวกที่คิดจะใส่ร้ายป้ายสีพวกเราค่ะ”
เหยียนป๋อชวนพยักหน้ายิ้ม ถ้าให้เหยียนจี้ชวนมาเห็นสภาพเขาตอนนี้ จะต้องตกใจจนอ้าปากค้างเป็นแน่ พญามัจจุราชคนนี้เนี่ยนะจะยิ้มเป็นกับเขาด้วย?
แม้แต่ลูกน้องข้างกายเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน หัวหน้าของพวกเขาเคยยิ้มเมื่อไรกัน? ยิ่งเป็นการยิ้มให้กับหญิงสาวคนหนึ่งด้วยแล้ว
เหยียนป๋อชวนเงยหน้ามองตัวหนังสือสีแดงไม่กี่ตัวที่เขียนด้วยพู่กัน “อักษรนี่เธอเป็นคนเขียนหรือ?”
แม้ว่าสวี่ชิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างเขินๆ “ค่ะ ฉันเขียนเอง ทำให้คุณหัวเราะแล้วสินะคะ”
เหยียนป๋อชวนยิ้ม “เขียนได้ดี ชื่อก็เลือกได้ดีมาก เธอชื่ออะไร?”
สวี่ชิงตกใจว่าทำไมคนตรงหน้าต้องถามชื่อของเธอ แต่ก็ยังตอบอย่างซื่อตรง “ฉันชื่อสวี่ชิง เป็นคนในเมืองนี้ค่ะ”
คนข้างกายเขาย้ำเตือนเขาเสียงต่ำ “ผู้การเหยียนครับ พวกเราจะไปไม่ทันแล้วนะครับ”
เหยียนป๋อชวนมุ่นคิ้วเล็กน้อยไม่พูดอะไร แล้วยิ้มให้สวี่ชิงอย่างอบอุ่นอีกครั้ง “เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก ไว้มีโอกาสฉันจะมาลองชิมอาหารที่ร้านของพวกเธอ”
แม้สวี่ชิงจะไม่รู้ว่าหัวหน้าที่คนคนนั้นพูดจะเป็นหัวหน้าอะไร แต่ดูแล้วตำแหน่งน่าจะสูงไม่น้อย ยิ้มตอบกลับไป “ได้สิคะ ไว้คุณมาชิมเมื่อไหร่ก็ให้คำแนะนำกับพวกเราด้วยนะคะ”
เหยียนป๋อชวนมองสวี่ชิงอีกแวบหนึ่งก่อนจะหมุนกายจากไปพร้อมคนของเขา
ตลอดจนเข้ามานั่งบนรถไฟ ก็พูดกับเลขาข้างกายตนเอง “คุณช่วยผมตรวจตัวตนของผู้หญิงคนนั้นด้วย แล้วก็วันเดือนปีสถานที่เกิด ยิ่งสืบละเอียดถึงพ่อแม่เท่าไหร่ยิ่งดี”
เขาสงสัยว่าสวี่ชิงจะเป็นลูกสาวของเย่หนาน ไม่อย่างนั้นบนโลกใบนี้จะยังมีคนที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะขนาดนี้ได้อีกหรือ
ถ้าเป็นลูกสาวของเย่หนาน เป็นไปได้ไหมที่เขาเองก็เป็น…
ประโยคหลังนั้นเขารู้สึกไม่กล้าคิดฝันนิดหน่อย
…………….
สวี่ชิงเจอหัวหน้าแปลกหน้าคนนั้นก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก เมื่อปิดร้านเรียบร้อยแล้ว ก็ทำเพียงกลับบ้านไปพักผ่อน อีกทั้งเรื่องนี้ใช่ว่าจะแก้ไขได้ในสองสามวัน
ชุนเถียนพาหลี่กั๋วหัวมาเข้ามา
ใบหน้าอ้วนกลมของหลี่กั๋วหัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ เห็นชัดว่าเขาฟังเรื่องจากชุนเถียนมาแล้ว เขามองสวี่ชิงอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย “สหายเสี่ยวสวี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? มีปัญหากับเนื้อได้ยังไง?”
สวี่ชิงมองหลี่กั๋วหัวก็ย้อนถามกลับไป “คุณเองก็เคยนำอาหารร้านฉันกลับบ้านบ่อยๆ คุณพูดสิว่าเนื้อของพวกเรามีปัญหาหรือเปล่า?”
หลี่กั๋วหัวตะลึงงันพักหนึ่ง ส่ายหน้าโดยไว “ไม่มี ไม่มีแน่นอน งั้นก็หมายความว่าคนพวกนั้นคิดไม่ซื่อ จงใจใส่ร้ายป้ายสีคนน่ะสิ!”
เนื่องจากทุกเดือนเขาไม่เพียงมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากร้านสวี่ชิงที่มากกว่าเงินเดือนของเขา บางครั้งยังนำกล่องอาหารที่ใส่ทั้งเนื้อทั้งผักกลับไปด้วย ทำให้อาหารการกินที่บ้านทั้งหมดเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
แม้เขาจะให้เงินอย่างเกรงใจทุกครั้ง แต่สวี่ชิงก็ไม่เคยรับเงินของเขาเลย ทั้งยังตักอาหารให้เขาเต็มกล่องด้วย
ตอนนี้หากเขายังปัดความรับผิดชอบอีก มันก็ไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว เขาขมวดคิ้วรำพึงรำพัน “จะส่งผลกับชื่อเสียงสถานีหรือเปล่า? พวกเราต้องรีบคิดหาวิธีจัดการแล้ว”
สวี่ชิงยิ้มบางมองหลี่กั๋วหัวรำพึงกับตัวเอง ก็รู้ว่าเขากลัวจะเกิดเรื่องให้เขาต้องรับผิดชอบ
รอเขารำพึงรำพันกับตัวเองเสร็จจึงค่อยพูดว่า “ผู้อำนวยการหลี่ คุณไม่ต้องร้อนใจไปนะคะ เรื่องนี่มีสองด้าน คุณมองเห็นแต่ด้านที่ไม่ดี แต่ไม่แน่ว่าสุดท้ายแล้วมันอาจเปลี่ยนเป็นเรื่องดีก็ได้นะคะ”
หลี่กั๋วหัวมองสวี่ชิงอย่างประหลาดใจ “ผมนึกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นเรื่องดีขึ้นมาได้ยังไง คุณต้องเข้าใจว่าสถานีรถไฟมีการประเมินประจำปี พวกเราที่อยู่เบื้องหลังต้องมีการรับประกันว่าจะไม่เกิดปัญหา ถ้ามีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้น คะแนนประเมินก็ไม่ต้องคิดถึงแล้ว”
พูดแล้วก็รู้สึกร้อนใจ เดิมทีร้านอาหารจานด่วนร้านนี้ก็ทำให้พวกเขาที่ทำงานอยู่เบื้องหลังได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย ยังไม่ทันถึงการประเมินปลายปีตอนนี้กลับเกิดเรื่องขึ้น ไม่ทันไรก็กลัวว่าจะเสียทรัพย์แล้ว
สวี่ชิงยังคงยิ้มขณะมองหลี่กั๋วหัว “คุณจะรู้สึกร้อนรนไปทำไม คุณฟังฉันนะคะ ครั้งนี้การที่มีคนมาตรวจสอบพวกเราก็เป็นการเตือนว่าบนโลกใบนี้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทั้งนั้นไม่ว่าในรูปแบบไหน และต่อจากนี้คุณก็อย่าทุจริตเพราะเห็นแก่เงินจนเดินทางผิด ดังนั้นพวกเราควรติดต่อนำเข้าเนื้อจากโรงเชือดโดยตรงดีกว่า”
หลี่กั๋วหัวมึนงงพักหนึ่ง “สั่งเนื้อจากโรงเชือดเหรอ? พวกคุณต้องใช้เนื้อปริมาณมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
สวี่ชิงยกยิ้ม “งั้นก็ต้องดูแล้วล่ะค่ะว่าผู้อำนวยการหลี่จะสามารถโน้มน้าวหัวหน้าใหญ่ของสถานีนี้ได้ไหม”
หลี่กั๋วหัวสัมผัสได้ถึงแผนการที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของสวี่ชิงได้ ก็พลันระมัดระวังตัวขึ้นมา “คุณคิดจะทำอะไร? ถ้ามันเกินเหตุไปก็คงจะไม่ได้หรอกนะ”
“ผู้อำนวยการหลี่ ฉันเคยหลอกคุณเมื่อไหร่กันคะ? พวกเรากำลังขยายรูปแบบการค้า กระจายสาขาไปทุกขบวนรถไฟต่างหาก”
สวี่ชิงมีความมั่นใจมาก ตอนนี้บนรถไฟเองก็มีห้องอาหาร คนไปกินกลับมีไม่กี่คน แล้วก็มีบะหมี่สำเร็จรูปขายด้วยเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นยังต้องใช้คูปองอาหารมาแลก หนึ่งเหมาต่อหนึ่งซองถือว่าสิ้นเปลื้องมาก
ถ้าตอนนี้พวกเขาสามารถทำอาหารกึ่งสำเร็จรูปได้ ก็สามารถผูกขาดการตลาดบนเส้นทางรถไฟได้อีกก้าวหนึ่ง ให้เป็นที่นิยมเร็วกว่าบะหมี่กึ่งเสร็จรูปได้ไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่เรื่องวิธีการนั้น เธอยังต้องกลับบ้านไปคิดให้ดีก่อน
หลี่กั๋วหัวขมวดคิ้วแล้วเริ่มครุ่นคิดว่าคำพูดของสวี่ชิงนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ สุดท้ายก็คิดว่าในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว เขาจะเชื่อเธออีกสักครั้งก็แล้วกัน “ได้ สองวันนี้เธอต้องเขียนแผนงานมา พอพวกเราคุยกันแล้ว ผมถึงจะเอาไปเสนอกับหัวหน้าผมอีกที”
สวี่ชิงยิ้มตาหยีโค้ง “ไม่มีปัญหา ฉันถนัดเขียนแผนงานอยู่แล้วค่ะ”
หลี่กั๋วหัวชี้นิ้วไปยังร้านที่ถูกปิดอีกครั้งหนึ่ง “แล้วนี่เธอคิดจะทำอย่างไรต่อ”
สวี่ชิงมีสีหน้าเฉยเมย “พวกเรารอคลื่นลมสงบก่อน ไม่ต้องสนใจพวกเขา นอกเสียจากเนื้อของพวกเรามีปัญหาจริง ไม่งั้นพวกเขาก็อาจร้องเรียนร้านของพวกเราอยู่หน้าสถานีได้”
หลี่กั๋วหัวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เธอแน่ใจเหรอ?”
สวี่ชิงมั่นใจมาก “ใช่ค่ะ เราแค่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ทางจิตวิทยา คนธรรมดาเมื่อเจอเรื่องแบบนี้สิ่งแรกคือต้องไปอธิบายให้พวกเขาฟังใช่ไหมล่ะคะ แต่พวกเราไม่ไป พวกเขาจะต้องสงสัยว่าหรือพวกเราจะรู้จักกับเบื้องบน? เพราะสามารถเปิดร้านอาหารที่สถานีรถไฟได้ ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังเรารู้จักคนแบบไหน”
หลี่กั๋วหัวรู้สึกได้เปิดหูเปิดตาจากผู้หญิงคนนี้แล้ว ถึงอายุไม่มากทว่าความคิดความอ่านกลับไม่ธรรมดาเลย อีกทั้งแผนการของเธอยังเป็นขั้นเป็นตอนและมีชั้นเชิงยิ่ง
กระทั่งคิดแผนการช่วงชิงโอกาสในช่วงวิกฤตเช่นนี้ได้!
ด้วยความกล้าหาญลงมือทำเช่นนี้ เธอจะต้องมีอนาคตที่สดใสได้แน่นอน!
และบังเอิญว่าโจวจินหนานกับเหยียนจี้ชวนที่ออกไปสองสามวันแล้วเพิ่งจะลงรถไฟกลับมาพอดี เดิมทีคิดจะมาดูร้านเสียหน่อย กลับคิดไม่ถึงว่าเห็นคนยืนคุยกันอยู่หน้าร้านก่อน
ทั้งสองไม่ได้เดินเข้าไป ทว่ากลับได้ยินระดับขั้นตอนทั้งหมด
เหยียนจี้ชวนตื่นตะลึง กดเสียงต่ำพูดกับโจวจินหนาน “ภรรยานายอายุแค่สิบเก้าจริงหรือ?”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เอ๊ะ หรือเหยียนป๋อชวนจะเป็นพ่อที่แท้จริงของชิงชิง?
แผนการล้ำลึกมากชิงชิง นี่สินะรู้จักสู้แล้วก็ต้องรู้จักถอย
ไหหม่า(海馬)