เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 18 การตอบแทนเล็กน้อย
บทที่ 18 การตอบแทนเล็กน้อย
สวี่ชิงตกตะลึงอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย
อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้า สูงยาวขาเรียว คอยาวระหง หน้ารูปไข่ และดวงตากลมโตเป็นประกาย
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและมีความมั่นใจมาก
สวี่ชิงจำเธอได้ ถ้าเธอจำไม่ผิดผู้หญิงคนนี้น่าจะชื่อ ‘ฟ่านเจี๋ย’
ในชีวิตที่แล้ว หลังจากที่เธอแต่งงานกับโจวจินหนาน โจวลี่หงมักจะพาผู้หญิงคนนี้มาที่บ้านของเธอ ตอนแรกเธอไม่รู้อะไรหรือไม่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะรู้เจตนาของโจวลี่หง
ต่อมา สวี่หรูเยว่บอกกับเธอว่านี่คือลูกสะใภ้ที่ตระกูลโจวเลือกเอาไว้ในตอนแรก
หลังจากการหย่าร้างของเธอ เธอคิดว่าโจวจินหนานอาจแต่งงานกับลูกสะใภ้ที่ตระกูลโจวชอบ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะไม่แต่งงานใหม่
ในขณะที่เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด เด็กสาวหน้ากลมที่มากับฟ่านเจี๋ยก็กรีดร้องออกมา “เธอตาบอดหรือไง? ไม่รู้วิธีขอโทษเวลาเดินชนใครเขาหรือ?”
สวี่ชิงมองย้อนกลับไปที่เด็กสาวหน้ากลม แล้วมองไปที่ฟ่านเจี๋ยที่กำลังถูไหล่ของตัวเองด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยราวกับว่ากำลังเจ็บปวด
เธอไม่เห็นใบหน้าที่แสร้งทำของฟ่านเจี๋ย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิต สวี่ชิงหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ฉันไม่ได้ตาบอด แต่ฉันไม่มีตาที่มองทะลุของเหมือนกัน ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจู่ ๆ ก็มีใครบางคนเข้ามาหลังประตู ที่บอกว่าชน เธอก็ชนฉันด้วย! เช่นนั้นก็ขอโทษมาด้วยสิ แล้วเมื่อครู่ต้องใจร้อนขนาดนั้นเลยรึไง?”
เด็กสาวหน้ากลมจ้องไปที่สวี่ชิง “เธอ!”
ฟ่านเจี๋ยหยุดหล่อนไว้ “ช่างเถอะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่าทำตัวก้าวร้าวสิ”
สวี่ชิงไม่ชอบที่จะได้ยินคำพูดเหล่านี้มากนัก เธอใช้ชีวิตมาทั้งชีวิต พอได้กลับมาก็ต้องมาทนเจอหน้าฟ่านเจี๋ยที่เป็นทั้งชาเขียว(1) และดอกบัวขาว(2) เนี่ยนะ
หล่อนไม่ได้แกล้งทำเป็นว่าเพื่อนตัวเองก้าวร้าวเหรอ?
สวี่ชิงอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่าตะโกนจะดีกว่า”
จากนั้นเธอก็หันหลังเดินจากไป
ลู่ซินเหม่ยกระทืบเท้าอย่างโกรธจัด แล้วบ่นว่า “ฟ่านเจี๋ย เธอจะนิสัยดีเกินไปแล้ว ไม่อย่างนั้นพี่โจวคงไม่ถูกผู้หญิงเลว ๆ แบบนี้เอาไปแน่”
ฟ่านเจี๋ยยิ้มอย่างขมขื่น “ลืมไปเถอะ เขากำลังหมั้นกับคนอื่นแล้ว เธอจะพูดถึงทำไม?”
ลู่ซินเหม่ยไม่เต็มใจ “ทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ ถ้าฉันเจอผู้หญิงเน่าเฟะคนนั้นอีก ฉันจะฉีกหน้าหล่อนแน่นอน แล้วคอยดูว่าหล่อนจะเกลี้ยกล่อมแฟนของคนอื่นได้อย่างไร”
ฟ่านเจี๋ยยังคงคิดไม่ออก ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา หล่อนกับโจวจินหนานติดต่อกันทางจดหมาย
แม้จะไม่ได้ระบุความสัมพันธ์ แต่ในจดหมายล้วนเป็นคำทักทายที่สุภาพระหว่างมิตรสหายและบทสรุปง่าย ๆ เกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา
ดูเหมือนพวกเขาจะรู้กันโดยปริยาย
เธอคิดว่าเมื่อโจวจินหนานกลับมา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะสามารถตกลงกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
โดยไม่คาดคิด โจวจินหนานกลับมาจากอาการบาดเจ็บ และครอบครัวของหล่อนก็ไม่เห็นด้วยทันทีที่หล่อนคิดจะสานสัมพันธ์กับชายตาบอด
ก่อนที่หล่อนจะทันได้ทำอะไร ก็ได้ยินมาว่าโจวจินหนานได้พบลูกสาวของคนงานคนหนึ่ง
อีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ควบคุมตั๋วที่ไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งได้ และได้ยินมาว่าหล่อนถูกคนอื่นทำลายศักดิ์ศรี
หล่อนไม่เข้าใจว่า ทำไมโจวจินหนานถึงไปคว้าผู้หญิงที่ไม่เข้ากับตัวตนของเขาไม่ว่าหล่อนจะมาจากที่ใด หรือนี่จะเป็นการแก้แค้นที่หล่อนไม่ได้มาเจอเขาตั้งแต่แรก?
ลู่ซินเหม่ยผลักแขนของฟ่านเจี๋ย “ลืมไปซะ เมื่อการแสดงของเราจบลง เธอแค่ไปหาพี่โจวแล้วให้เขาอธิบาย อย่างไรเรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไม่ได้”
ฟ่านเจี๋ยหันกลับมาด้วยดวงตาเศร้าหมอง หล่อนชอบโจวจินหนานมาหลายปีแล้ว
ทั้งสองคนโตมาในครอบครัวเดียวกัน หล่อนคิดว่ามันน่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคง แต่กลับเกิดความผิดพลาดเช่นนี้ได้อย่างไร?
…
สวี่ชิงไม่ได้จริงจังกับเรื่องของฟ่านเจี๋ย และยังคงคิดเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาการจัดเก็บอาหารเคี่ยวในสภาพอากาศร้อน
ขณะครุ่นคิด เธอก็หันกลับมาอีกครั้งแล้วค่อยเดินกลับช้า ๆ
เมื่อเธอกลับถึงบ้าน ลานทั้งลานของโรงงานซ่อมรถยนต์ทั้งหมดก็อยู่ภายใต้แสงตะวันยามอัสดงแล้ว
หลายคนกำลังทำอาหารเย็นจนกลิ่นเขม่าควันลอยคละคลุ้งในชุมชน
บางส่วนก็ยังมีคนคุยกันอยู่ใต้ต้นหวายฉู่ข้างถนน
เมื่อเห็นสวี่ชิงเดินมา ป้าอ้วนก็ยิ้มและโบกมือให้เธอ “ชิงชิง เพิ่งกลับมาจากทำงานสินะ”
สวี่ชิงรู้ว่าผู้หญิงอ้วนคนนี้ชื่อหม่าเสวี่ยหลาน และเป็นคนที่ชอบนินทาที่สุดในชุมชนทั้งหมด ถ้าบอกเรื่องอะไรให้หล่อนฟัง เรื่องนั้นมันจะถูกเก็บไว้แค่ครึ่งวันเท่านั้น
หล่อนสามารถกระทั่งแพร่กระจายข่าวไปยังคนหลายพันคนในโรงพยาบาลของครอบครัวทั้งหมดได้ จนมีฉายาว่า ‘ลำโพง’
สวี่ชิงหยุดเดิน หม่าเสวี่ยหลานจึงถามอย่างรวดเร็ว “ชิงชิง ฉันได้ยินมาว่าครอบครัวของเธอมักจะทะเลาะกันบ่อย ๆ? ทำไมเหรอ? เป็นเพราะเธอไม่เชื่อฟังแล้วทำให้แม่ของเธอโกรธเหรอ?”
สวี่ชิงยกยิ้ม “ถึงฉันจะทำเรื่องบางอย่างที่ทำให้ครอบครัวโกรธ แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะฉันหรอกค่ะ”
หม่าเสวี่ยหลานเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าที่อ้วนกลมของหล่อนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แล้วใครล่ะ? ไม่ใช่หรูเยว่ใช่ไหม? มีใครในโรงงานบ้างที่ไม่รู้ว่าหรูเยว่เป็นเด็กดี เชื่อฟัง มีเหตุมีผล และฉลาด ตอนนี้ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยด้วย หล่อนจะทำให้พ่อแม่โกรธได้อย่างไร?”
สวี่ชิงหัวเราะในใจ แต่พูดว่า “อ้อ ฉันก็ไม่รู้สิคะ แต่คุณป้าไปถามฟางฟางได้นะคะ หล่อนเป็นลูกสาวของครอบครัวที่ขายแป้งทอดด้านนอกนี้น่ะค่ะ หล่อนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหรูเยว่ และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
หลังจากพูดจบ เธอก็ทำสีหน้าลำบากใจและรีบกลับบ้าน
เธอรู้ว่าหม่าเสวี่ยหลานจะต้องไปหาแม่ของฟางฟางและถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน และด้วยนิสัยของหม่าเสวี่ยหลาน หล่อนจะเป็นเหมือนนักสืบผู้ยิ่งใหญ่ตราบใดที่ได้กลิ่นนินทาแม้เพียงเล็กน้อย
ต้องขุดให้ครบถึงจะพอใจ
ดังนั้นเธอจึงเชื่อว่าอีกไม่นานทุกคนในโรงพยาบาลจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสวี่หรูเยว่
วิธีที่เธอทำลายสวี่หรูเยว่นั้นเหมือนกับที่สวี่หรูเยว่ทำลายเธอในตอนนั้น แต่มันเป็นแค่การตอบแทนเล็กน้อยเท่านั้น
สวี่ชิงขึ้นไปชั้นบนและกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี
เมื่อเปิดประตู เธอก็เห็นสวี่จื้อกั๋วนั่งอยู่ในบ้านด้วยใบหน้ามืดมน ในขณะที่ฟางหลานซินตาบวมเหมือนวอลนัท และยังคงร้องไห้
เมื่อเห็นสวี่ชิงเข้ามา หล่อนก็รีบบิดตัวไปทางอื่นทันที พร้อมกับแผ่รังสีเกลียดชังออกมาจากร่างกาย
สวี่จื้อกั๋วมองสวี่ชิงด้วยใบหน้าเข้มขรึม “วันนี้แกไปทำเรื่องอะไรดี ๆ ไว้ล่ะ?”
สวี่ชิงเลิกคิ้ว “ทำอะไรคะ?”
”แกตั้งใจทำร้ายหรูเยว่หรือเปล่า?” สวี่จื้อกั๋วตบที่พักแขนของโซฟาพลางยืนขึ้น แต่ไม่กล้าส่งเสียงตะโกน
สวี่ชิงมองมองเขาอย่างเย็นชา “พ่อไปถามหรูเยว่เองสิว่าเกิดอะไรขึ้น? ถามหรูเยว่สิ หล่อนพูดชัดเจนว่าจะพาฉันไปพายเรือ แล้วทำไมหล่อนถึงพาฉันไปที่บ้านของฟางฟาง? ถามหรูเยว่อีกทีสิ ทำไมในห้องถึงมีกลิ่นธูปหอม? ทำไมหลี่ต้าหย่งถึงมาทันเวลา แล้วทำไมฟางฟางถึงพาโจวจินเซวี่ยนและโจวจินหนานมาด้วย!”
สวี่จื้อกั๋วตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วมองลงไปที่ฟางหลานซิน “เป็นอย่างนั้นเหรอ?”
ฟางหลานซินลุกขึ้นและร้องไห้ “คุณสงสัยว่าหรูเยว่โกหกเหรอ? คุณคิดว่าหรูเยว่จะใช้ความไร้เดียงสาของหล่อนสร้างเรื่องตลกพวกนี้รึไง?”
สวี่ชิงกล่าวอย่างเย็นชา “คุณหมายความว่าอย่างไร คิดว่าฉันวางแผนแล้วส่งสวี่หรูเยว่ไปที่นั่นเองเหรอ?”
ฟางหลานซินจ้องที่สวี่ชิง “ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ตอนนี้หรูเยว่ไม่เหลืออะไรแล้ว แล้วเธอมัวทำอะไรอยู่?”
ก่อนที่สวี่ชิงจะตอบโต้อะไร จู่ ๆ สวี่หรูเยว่ก็ออกมาจากห้องพร้อมกับมีดปอกผลไม้ที่จ่อคอตัวเองอยู่ “พอเลย หยุดเถียงกันได้แล้ว พวกแกไม่ได้รู้สึกอาย แต่ฉันอาย!”
จากนั้นหล่อนก็มองสวี่ชิงทั้งน้ำตา “ในเมื่อเธอเกลียดฉันมากขนาดนี้ เช่นนั้นฉันก็จะตาย ๆ ไปซะ!”
…
(1) นอกจากจะแปลว่าชาเขียว ก็มีความหมายลบ ใช้แทนผู้หญิงที่มีนิสัยแรง ๆ ว่าอยู่ต่อหน้าผู้จะทำแบ๊ว อยู่กับผู้หญิงก็เป็นอีกแบบ
(2) แปลตรงตัวคือดอกบัวสีขาวแต่ความหมายอื่น ๆ จะหมายถึง ผู้หญิงที่ต่อหน้าทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ลับหลังเต็มไปด้วยเรื่องฉาว
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แฟนเก่าจินหนานเหรอ เรื่องเริ่มซับซ้อนแล้วสิ
เจอนักเผือกประจำชุมชนเข้าแล้วสิ จะมีข่าวใหญ่ออกมาไหมนะ
แกคิดจะฆ่าตัวตายจริง ๆ เหรอนังเยว่
ไหหม่า(海馬)