เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 17 แม่พระหรือพ่อพระ?
บทที่ 17 แม่พระหรือพ่อพระ?
สวี่ชิงไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ ประโยคนี้ถึงปรากฏขึ้นมาในหัว
อย่างไรก็ตาม ลึก ๆ แล้ว เธอก็ยังต้องการเห็นดวงตาของโจวจินหนาน
เธอเคยเห็นรูปถ่ายของโจวจินหนานตอนที่เขาเกณฑ์ทหาร และต่อมาก็เห็นดวงตาแดงก่ำของเขาในโถงพิจารณาคดี
ดังนั้น ณ เวลานี้ เธอต้องการเห็นตาของเขาตอนที่บอดอยู่
โจวจินหนานรู้สึกประหลาดใจกับคำถามของสวี่ชิง และตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ดูไม่ได้ ไม่มีอะไรให้ดูหรอก”
สวี่ชิงเห็นผู้คนเข้ามาและเข้าไปในร้านอาหาร มันไม่ใช่โอกาสที่จะมองตาเขาเลยจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้บังคับให้เขาพูดอย่างนั้นเสียหน่อย “ถ้าอย่างนั้นรอจนกว่าจะถึงคืนที่เราจะแต่งงานกันนะคะ ไว้ให้ฉันดูตอนนั้นก็ได้”
โจวจินหนานสำลักคำพูดอันกล้าหาญของสวี่ชิง เขาคว้าถ้วยชาดอกไม้อย่างเงอะงะ และใช้การดื่มชาปกปิดอาการเขินอาย
อย่างไรก็ตาม สวี่ชิงเห็นชัดว่าหูของโจวจินหนานนั้นแดงเล็กน้อยอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็กลับไปเป็นชายหนุ่มผู้เย็นชา
หญิงสาวจับคางและแอบหัวเราะเบา ๆ ดูเหมือนว่าผู้คนจะมองเห็นได้ว่าใครดีต่อพวกเขาจนกว่าจะมีชีวิตอีกครั้งจริง ๆ
บะหมี่เกี๊ยวกับเนื้อแกะถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ สวี่ชิงนำชามเคลือบขนาดเล็กมาวางเกี๊ยวลงในชามก่อนแล้วส่งให้โจวจินหนาน “พี่ใหญ่โจวคะ พี่กินจากชามได้เลยนะคะ ถ้ากินเสร็จแล้วฉันจะเอาเพิ่มให้อีกค่ะ อ้อ พี่ต้องการน้ำส้มสายชูกับพริกหยวกไหมคะ?”
โจวจินหนานส่ายหัว “ไม่ ผมจะกินแบบนี้”
ในระหว่างมื้ออาหาร สวี่ชิงดูแลโจวจินหนานอย่างระมัดระวังและจะไม่ทำให้เขารู้สึกไม่สบาย
สวี่ชิงคอยเสิร์ฟเกี๊ยวให้เขาในขณะที่พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งอื่น ๆ ในสภาพที่เป็นกันเองและเป็นธรรมชาติ
“พี่คิดว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
โจวจินหนานพยักหน้า “ไม่เลว”
สวี่ชิงหัวเราะ “นั่นเป็นเพราะพี่ไม่ได้กินเกี๊ยวที่ฉันทำเองต่างหาก เกี๊ยวที่ฉันทำอร่อยมาก ไว้หาบ้านเช่าได้เมื่อไหร่ ฉันจะชวนพี่ไปกินเกี๊ยวนะคะ”
โจวจินหนานพยักหน้าอีกครั้ง “ตกลง”
ยิ่งทั้งสองเข้ากันได้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสวี่ชิงเป็นผู้หญิงที่รอบคอบและมีความสามารถ ทำให้เขายิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากรับประทานอาหาร สวี่ชิงยืนยันจะพาโจวจินหนานกลับบ้านก่อน “เราจะซื้อเสื้อผ้ากันตอนไหนก็ได้ วันนี้พี่ออกมาข้างนอกทั้งวันแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปเดินดูหน่อยว่ามีที่ที่จะให้เช่าบ้างไหม”
โจวจินหนานขมวดคิ้ว “ให้เกาจ้านช่วยหาให้สิ เขารู้จักคนมากมาย”
สวี่ชิงปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ยุ่งยากเปล่า ๆ ฉันไม่อยากรบกวนคนอื่น และฉันอยากเห็นสถานการณ์ที่นั่นเพิ่มเติมด้วย”
โจวจินหนานไม่สามารถพูดอะไรได้อีก “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องระวังตัวไว้นะ”
สวี่ชิงพาโจวจินหนานไปส่งที่ประตูบ้านของตระกูลโจว เธอมองไปที่ประตูสีแดงเข้มด้วยความลังเล “พี่ใหญ่โจวคะ ฉันขอไม่เข้าไปเยี่ยมคุณพ่อและคุณปู่ของพี่นะคะ ไว้ฉันมาเยี่ยมพวกท่านทั้งสองพร้อมของขวัญนะคะ”
โจวจินหนานเพียงคิดว่าสวี่ชิงรู้สึกอับอายที่จะต้องเจอโจวจินเซวี่ยน เขาจึงพยักหน้า “ได้สิ คุณก็ระวังตัวด้วยนะ”
สวี่ชิงยิ้มอย่างอ่อนหวานให้โจวจินหนาน และกล่าวคำอำลาด้วยเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำ “พี่ใหญ่โจว ลาก่อนนะคะ ไว้ฉันจะหาเวลามาหาพี่บ้าง”
หลังจากพูดแล้วเธอก็ถอยกลับไปสองก้าว โดยเห็นว่าโจวจินหนานยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เธอจึงส่งเสียงเรียกด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “พี่ใหญ่โจว ฉันไปแล้วนะคะ”
หลังจากนั้นเธอก็หันหลังกลับและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
โจวจินหนานหันหน้าไป และได้ยินเสียงที่คมชัดของรองเท้าหนังเหยียบบนพื้นอิฐเมื่อสวี่ชิงกำลังจากไป
นั่นหมายความว่าเธอน่าจะอารมณ์ดี
เธอเต็มใจที่จะแต่งงานกับเขาจริง ๆ!
เมื่อเขากำลังจะหันหลังกลับ ประตูบ้านก็เปิดออกพร้อมด้วยเสียงดังเอี๊ยด และโจวจินเซวี่ยนที่ยืนอยู่ที่ประตูด้วยตาแดงก่ำ “พี่ พี่ตัดสินใจจะแต่งงานกับสวี่ชิงจริง ๆ เหรอ?”
โจวจินหนานขมวดคิ้ว “ทุกวันนี้ฉันยังไม่ชัดเจนพออีกเหรอ?”
โจวจินเซวี่ยนกำหมัดแน่น “แต่ว่า! หล่อนจัดการกับพี่สาวของหล่อนได้อย่างไร้ความปรานี และคุณป้าฟางก็ปฏิบัติต่อหล่อนอย่างดี! หล่อนทำลายความไร้เดียงสาของหญิงสาวแบบนั้น…”
โจวจินหนานขดริมฝีปากเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มประชดประชัน “นายอายุยี่สิบนะ ไม่ใช่สองขวบ นายคงรู้ดีว่าถ้าสวี่ชิงไม่ต่อต้าน ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร หล่อนก็แค่ใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อตอบแทนพวกอันธพาลที่ทำร้ายหล่อน มีอะไรผิดแปลกรึไง?”
โจวจินเซวี่ยนพูดอะไรไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของสวี่ชิง “ไม่คิดว่าหล่อนทำมากเกินไปเหรอ? ในเมื่อหล่อนรู้ว่าคนอื่นจะทำร้าย หล่อนไปแจ้งตำรวจก็ได้ ทำไมต้องใช้วิธีการที่รุนแรงแบบนี้ด้วย?”
โจวจินหนานขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายให้เขาฟังเพิ่มเติม “เพื่อปกป้องตัวเอง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ทั้งนั้น! ถ้าเป็นนาย นายก็ลองไปคิดดู”
ในขณะที่เขาพูด เขาก็นำไป๋หลางเดินผ่านโจวจินเซวี่ยนไป
โจวจินเซวี่ยนกำหมัดแน่นและมองดูแผ่นหลังของโจวจินหนานขณะที่เข้าไปในสนามบ้าน เขาเทิดทูนพี่ชายคนนี้มาตั้งแต่เด็ก
และโจวจินหนานก็ใจดีกับเขามากเช่นกัน
เขาไม่รู้ว่าเมื่อใดที่จู่ ๆ โจวจินหนานก็เลิกสนใจเขา อีกทั้งบุคลิกยังเย็นชามาก บางครั้งพี่ชายก็มองเขาด้วยสายตารังเกียจ
โจวจินเซวี่ยนยังคงคิดไม่ออก ตอนนั้นเขาอายุแค่สิบขวบ โจวจินหนานวัยสิบเจ็ดปีจะเกลียดเขาได้อย่างไร?
…
สวี่ชิงออกจากมหาวิทยาลัยประจำมณฑล และขึ้นรถบัสสองสามป้ายไปยังบริเวณใกล้เคียงสถานี
ไปทางทิศตะวันออกไม่ถึงหนึ่งป้ายคือสถานีรถไฟ
ขณะนี้มีรถไม่กี่คันและบนถนนส่วนใหญ่เป็นจักรยาน บางครั้งเธอเห็นรถจักรยานยนต์สามล้อที่บางคันก็มีถัง ถนนก็ดูกว้างขวาง จัตุรัสหน้าสถานีรถไฟก็ใหญ่และว่างมากเช่นกัน
สวี่ชิงไปที่ห้องรอรถของสถานีรถไฟก่อน และเห็นว่ามีคนขายแค่หนึ่งถึงสองคนในห้องโถงที่ว่างเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่ที่ขายเป็นบิสกิต ไข่ต้มใบชา หรือไม่ก็บิสกิตขนาดเล็กและของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ
เนื่องจากตอนนี้ผู้คนออกไปข้างนอก พวกเขาจึงนำอาหารมาเองเป็นธรรมดา ดังนั้นธุรกิจของร้านค้าขนาดเล็กจึงเป็นเรื่องทั่วไปเช่นกัน
หลังจากตรวจสอบแล้ว สวี่ชิงก็ตรงไปที่สำนักงานเลขานุการด้านการขนส่ง และต้องการเช่าพื้นที่ในสถานี
ซุนเหมาฮวา ผู้อำนวยการด้านการขนส่งเป็นชายวัยกลางคนที่แข็งแรงมาก สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพร้อมปากกาในกระเป๋าเสื้อ แสดงให้เห็นว่าเขามีความภูมิฐานไม่น้อย
หลังสวี่ชิงแนะนำตัวแล้ว เธอก็บอกว่าต้องการเช่าพื้นที่ของสถานีรถไฟ เขาจึงวางถังเคลือบลงและมองที่สวี่ชิง “คุณต้องการเช่าพื้นที่เหรอ? ครอบครัวของคุณสนับสนุนหรือเปล่า?”
เขาเห็นว่าสวี่ชิงยังเด็กและมีผิวขาว ดูเหมือนว่าไม่ได้รับความเดือดร้อน เขาจึงไม่เชื่อว่าสวี่ชิงต้องการเช่าพื้นที่หรือแผงลอยจริง ๆ
สวี่ชิงยืดตัวและพูดว่า “ฉันเป็นเจ้านายของตัวเองค่ะ ถ้าผู้อำนวยการไม่เชื่อ ฉันสามารถเซ็นสัญญาก่อนได้นะคะ”
ซุนเหมาฮวาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้คุณมาที่นี่เก้าโมงเช้านะ พอนายสถานีอยู่ที่นั่นด้วยแล้ว เราจะมาพูดคุยกัน”
สวี่ชิงรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่านี่คือการปฏิเสธของซุนเหมาฮวา ไม่เช่นนั้นเขาควรจะถามว่าธุรกิจอะไรที่เธอวางแผนจะทำ
แต่เธอก็ยังยิ้มตอบ “ตกลงค่ะ ฉันไม่รบกวนผู้อำนวยการซุนแล้วนะคะ ฉันจะกลับมาพรุ่งนี้ตอนเก้าโมงค่ะ”
ซุนเหมาฮวาหัวเราะ “เอาสิ ๆ เดินดี ๆ ละ”
สวี่ชิงออกมาจากห้องทำงานของซุนเหมาฮวา เธอไม่รู้สึกหดหู่แม้แต่น้อย
เมื่อพูดถึงธุรกิจ เธอเชื่อว่าสิ่งดี ๆ ต้องใช้เวลาอีกนาน สิ่งที่ได้มาง่ายเกินไปก็ยิ่งสูญเสียได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
เดินไปรอบ ๆ ห้องโถงโทรม ๆ อีกครั้งก็ไม่ได้เสียหายอะไร ซึ่งบนผนังล้วนมีสโลแกนสีแดงติดอยู่
ทุกหนทุกแห่งแสดงถึงการกัดเซาะของกาลเวลา
สวี่ชิงค้นพบปัญหาร้ายแรงอย่างกะทันหัน สถานีถูกสร้างขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว อากาศจะหนาวจัดในฤดูหนาวและร้อนจัดในฤดูร้อน ถ้าเธอขายอาหารที่ต้องเคี่ยว มันจะส่งกลิ่นเหม็นภายในครึ่งวัน!
ดังนั้น เธอจึงต้องแก้ปัญหานี้
ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็เดินออกไปและบังเอิญไปชนกับใครบางคน
จากนั้นเธอก็ได้ยินอีกฝ่ายตะโกนอย่างเคียดแค้น “นี่ อะไรของหล่อนเนี่ยหา!”
สวี่ชิงรีบกล่าวขอโทษ แต่เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย เธอก็ตกตะลึง…
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถ้าได้ไปอยู่ในสถานการณ์นั้นจริง ๆ ก็คงจะทำตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดกันหมดแหละ จะมีสักกี่คนที่ปล่อยให้ตัวเองโดนกระทำโดยไม่สู้กลับล่ะ
โจทก์ใหม่นี่ใครกันนะ
ไหหม่า(海馬)