เกิดใหม่เป็นภรรยาสุดโหดยุค 80 - บทที่ 104 โจวจินหนานจอมหึงหวง
บทที่ 104 โจวจินหนานจอมหึงหวง
สวี่ชิงหันไปด้วยความตกใจ หรือว่าเธอเจอคนรู้จักที่สถานีรถไฟอย่างนั้นหรือ?
เมื่อกลับหลังก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม นึกไม่ถึงเธอว่าจะได้เจอคนรู้จักมานาน!
เธอร้องอุทานอย่างแปลกใจ “หลูเว่ยตง!”
หลูเว่ยตงหัวเราะ “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอจริงๆ ฉันเพิ่งลงรถไฟมา เห็นคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเธอ ไม่คาดคิดว่าเป็นเธอจริงๆ ไม่เจอกันไม่กี่ปี เปลี่ยนไปเกิดคาดมากเลยนะ”
สวี่ชิงมองค้อนก่อนยกยิ้มให้ เธอออกจะดีใจอยู่บ้างที่ได้พบหลูเว่ยตง
พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นหลูเว่ยตงถูกส่งมาอยู่กับปู่ที่ฟาร์มย่านชานเมือง ในขณะที่สวี่ชิงมักไปเล่นที่ฟาร์มบ่อยครั้ง
เธอเห็นเขาฝึกอ่านหนังสือกับปู่ของเจ้าตัว
คุณปู่หลูเป็นคนใจดี เขามาอยู่ที่นี่เพราะออกเดินทางไปทั่วตอนยังหนุ่ม และยังเคยให้หนังสือสวี่ชิงและบอกให้ตั้งใจเรียน
สวี่ชิงเป็นคนใจอ่อนตั้งแต่เด็ก เมื่อเห็นปู่หลูและหลูเว่ยตงกินหมั่นโถวแป้งผสมสีคล้ำ ก็มักขโมยซาลาเปาสองลูกจากที่บ้านไปให้ หรือไม่ก็ให้ไข่ที่ฟางหลานซินพยายามประหยัดเอาไว้กับหลูเว่ยตง
ปี 1974 คุณปู่หลูถูกสืบพบและถูกพาตัวไปทำงานวิจัยวิทยาศาสตร์ที่ปักกิ่ง เขาจึงพาหลูเว่ยตงในวัยสิบหกปีไปด้วยกัน
ในชีวิตก่อน สวี่ชิงได้พบหลูเว่ยตงที่ปักกิ่งในภายหลังเช่นกัน ตอนนั้นธุรกิจของเขาทำกำไรสูง และช่วยเหลือการเติบโตของธุรกิจตระกูลสวี่ได้มาก
แม้จะได้มาเกิดใหม่ แต่ความซาบซึ้งและตื่นเต้นดีใจยังคงอยู่
“นายกลับมาเมืองหลวงประจำจังหวัดทำไมล่ะ”
เขายิ้ม “กลับมาเที่ยวเล่นน่ะ ฉันก็อยู่ที่นี่มาหกปีนะ มันก็เป็นเหมือนบ้านเกิดที่สองของฉันนั่นแหละ”
เธอนึกถึงโจวจินหนานที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาได้ จึงแนะนำให้รู้จัก “นี่คนรักฉันเอง โจวจินหนาน โจวจินหนาน ฉันบังเอิญเจอเพื่อนสมัยเด็กน่ะ หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับไปอยู่ปักกิ่ง”
หลูเว่ยตงเหลือบมองมือของทั้งคู่ที่จับกันไว้ แววหม่นหมองวูบไหวในดวงตาดอกท้อสดใสของเขา ก่อนจะยกยิ้ม “เธอแต่งงานแล้วเหรอ ฉันจำได้ว่าเธอยังอายุไม่ถึงยี่สิบเลยนี่”
สวี่ชิงยิ้มตาหยี “ใช่ ฉันจะอายุยี่สิบในเดือนมีนาคมปีหน้า ว่าแต่นายมาอยู่ที่นี่กี่วันล่ะ ไปกินข้าวเย็นที่บ้านฉันไหม”
เขาส่งยิ้มอบอุ่น “อืม มันจะไม่เป็นการรบกวนเกินไปหรอกเหรอ”
เธอส่ายหน้าให้ “ที่ไหนกัน ฉันอยู่ตรงถนนตงซานหลี่ เหนือสถานีรถไฟไปนี่เอง ถ้าเดินเลียบไปตามถนนจะเห็นร้านตัดเสื้อที่แปะป้ายอักษรมงคลว่า ‘ซี’ เอาไว้ บ้านฉันอยู่ฝั่งตรงข้าม”
หลูเว่ยตงยิ้มและพยักหน้าให้ “ได้สิ ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่สถานีเหรอ”
สวี่ชิงรีบชี้ไปทางร้านด้านหลัง “ฉันเช่าร้านตรงนี้ไว้ ว่าจะเปิดธุรกิจของตัวเองน่ะ”
เขามองตามก่อนผงกหัว “ดูไม่เลวนะ”
เธอยังตื่นเต้นไม่หาย “แล้วเสวี่ยเหมยกับฉันก็บ้านอยู่ไม่ไกลกัน หล่อนต้องดีใจที่ได้เจอนายแน่”
หลูเว่ยตงยิ้ม “ฉันเองก็ดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าเหมือนกัน”
สายตาของเขาชำเลืองมองโจวจินหนานที่ยืนข้างสวี่ชิง อีกฝ่ายตัวสูงใหญ่ แม้ดวงตาถูกปิดบังด้วยผ้าปิดตา แต่ยังไม่ทำให้รังสีเย็นชาที่แผ่ซ่านจากกายลดน้อยลง
เขาเคยพบเจอคนที่ปักกิ่งมามากมาย และการทำความรู้จักโจวจินหนานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
แต่เขาไม่คิดเลยว่าสวี่ชิงจะแต่งงานเร็วขนาดนี้
เขามาช้าไปก้าวเดียวแท้ๆ
หลูเว่ยตงคุยกับเธออีกไม่นานก่อนบอกลา
สวี่ชิงมองเขาเดินจากไป ก่อนเอ่ยกับโจวจินหนาน “หลูเว่ยตงถูกส่งมาอยู่กับปู่ตอนยังเด็กค่ะ ปู่หลูเป็นคนใจดีมาก เขาสอนหนังสือฉันแล้วก็ให้หนังสือมาด้วยค่ะ”
โจวจินหนานเงียบมาตลอดระหว่างเธอกับหลูเว่ยตงพูดคุยกัน ตอนนี้ได้ฟังเธอเล่าเรื่องสมัยเด็กอย่างอารมณ์ดี เขาก็ถามขึ้น “หลังเขากลับไป คุณก็ไม่ได้ติดต่อเขาเลยเหรอครับ”
เธอส่ายหน้า “เปล่าค่ะ ตอนนั้นหลูเว่ยตงอายุสิบหก ฉันเองก็เกือบสิบสี่แล้ว รู้ว่าหญิงชายต่างกัน เราเลยไม่ได้สนิทกันมากแล้วละค่ะ”
ว่าจบเธอก็ถอนหายใจ “นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่เปลี่ยนไปเลยหลังไม่ได้เจอกันมานานหลายปี ยังดูเป็นหนุ่มน่ารัก ใสซื่อบริสุทธิ์อยู่เลยค่ะ”
โจวจินหนานเม้มปากไม่พูดอะไร
หลังคุยเรื่องนี้จบ สวี่ชิงเริ่มวางแผนตกแต่งร้านกับผางเจิ้งหัว “ห้องหนึ่งเป็นครัวไว้ทำอาหารและหุงข้าว ส่วนอีกสองห้อง ห้องแรกใช้อุ่นอาหารเหมือนตู้เสบียงรถไฟ อีกห้องวางโต๊ะกับม้านั่ง”
แค่โต๊ะยาวกับม้านั่งไม่ได้ลงทุนมากนัก
ผางเจิ้งหัวไม่คัดค้าน “ได้สิ ผมจะทำโต๊ะกับม้านั่งเอง ไว้จะกลับซื้อไม้แล้วให้ผู้ช่วยสองคนมาทำที่บ้านช่วงบ่าย ว่าแต่ตู้เสบียงรถไฟมันคืออะไรล่ะ”
สวี่ชิงคิดครู่หนึ่ง “ช่างเถอะ ไม่ต้องทำตู้เสบียงหรอก มันวุ่นวายเกินไป แค่โต๊ะยาวไม่กี่ตัวแล้วพอถึงเวลาก็วางถาดอาหารเอาไว้ก็พอค่ะ”
เป็นเพราะเธอบอกผางเจิ้งหัวไม่ถูกว่าตู้เสบียงอาหารหน้าตาเป็นอย่างไร
พูดจบเธอก็หยิบตลับเมตรจากกระเป๋าออกมาวัดความกว้างยาวของห้อง ก่อนคำนวณกับผางเจิ้งหัวว่าวางโต๊ะได้เท่าไร
วางแผนเสร็จสวี่ชิงก็เก็บกระดาษกับไม้บรรทัด “เอาละ ฝากเรื่องโต๊ะเก้าอี้กับคุณด้วยนะคะ ฉันจะไปดูว่าจะวางผังห้องครัวยังไง”
เขาตบอกอย่างมั่นใจ “ไม่มีปัญหาครับ ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่”
เธอยิ้ม “ต้องไม่ผิดหวังอยู่แล้วค่ะ ถึงยังไงคุณก็เป็นช่างไม้ฝีมือดี เที่ยงนี้ไปกินข้าวด้วยกันไหมคะ”
เขาส่ายหน้า “ไม่ละครับ ผมต้องกลับไปหาซื้อไม้ กว่าจะเจออันที่เหมาะไม่ง่าย เดี๋ยวจะแวะไปโรงไม้ก่อนครับ”
สวี่ชิงไม่รบเร้าต่อ ตอนนี้พวกเขาต้องเร่งมือเพื่อเปิดร้านโดยเร็ว
หลังกลับมาถึงบ้านพร้อมโจวจินหนาน เธอก็บอกให้เขาไปอาบน้ำและนั่งพักใต้ต้นไม้ก่อน ในขณะที่เธอสวมผ้ากันเปื้อนและง่วนอยู่กับการทำมื้อเที่ยง
อาหารกลางวันยังคงเป็นบะหมี่ เพียงแทนที่ด้วยการราดมะเขือยาวผัด
เธอเติมชิ้นมันแกะลงไป ทำให้ทั้งมันและกลิ่นหอม
ระหว่างกินข้าว สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าโจวจินหนานเงียบผิดปกติ แม้ยามปกติเขาจะไม่ได้พูดมาก แต่วันนี้กลับนิ่งกว่าเดิมมาก ทั้งยังรู้สึกว่าเขาอารมณ์ไม่ดีนัก
หลังกินอาหารและเก็บจานชามเรียบร้อย เธอเพียงไปอาบน้ำก่อนเอนหลังนอนงีบ
ดวงอาทิตย์ด้านนอกสาดแสงเจิดจ้า แต่เพราะได้ร่มเงาของต้นเจดีย์บังไว้ มันจึงอ่อนลงแต่ก็ยังรุนแรงอยู่มาก
สวี่ชิงเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นที่ทำมาจากผ้าฝ้ายเนื้อบาง พร้อมถือพัดเอาไว้โดยที่ไม่ได้สะบัดพัด เดิมทีต้องการถามโจวจินหนานว่าคิดอะไรอยู่ในใจ
ทว่ากลับเห็นว่าเขานอนลงและวางมือไว้บนหน้าท้อง ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเหมือนหลับไปแล้ว
เธอครุ่นคิดและปล่อยผ่านไป ตั้งใจรอให้เขาตื่นค่อยถามอีกครั้ง
หลังพัดได้พักหนึ่งเธอก็เริ่มง่วง ตาปรือเตรียมจะนอน ก่อนสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่ทาบทับลงบนร่างตนเอง
ตามมาด้วยจูบดิบเถื่อนของโจวจินหนาน ลมหายใจร่อยหรอจนต้องกลั้นเอาไว้
สวี่ชิงผลักเขาออก “อ๊ะ คุณกัดฉันนี่”
แต่เขายังกระชับกอดเธอแน่น พร้อมจุมพิตที่รุนแรงกว่าเดิม
ชั่วขณะหนึ่งเธอรู้สึกเหมือนอาจขาดอากาศหายใจตาย เมื่อสัมผัสได้ถึงผิวร้อนผ่าวของเขา เธอก็คาดเดาในใจ หรือว่าอาการจะกำเริบกัน
เมื่อนึกได้แบบนี้ เธอก็เอื้อมมือโอบให้อีกฝ่ายทำได้สะดวก
ทว่าสวี่ชิงประมาทความสามารถของโจวจินหนานเกินไป เขาแทบทำให้เธอตายคาเตียง
ก่อนจะง่วงหลับไป เธอยังโอดครวญในใจว่าอาการของครั้งนี้ออกจะรุนแรงเกินไปทีเดียว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
กลิ่นน้ำส้มฉุนมากเลยค่ะ พี่หนานนี่ราชาโรงเก็บน้ำส้มหรือเปล่าคะ หึงโหดมาก
ไหหม่า(海馬)