เกิดใหม่เป็นนางร้ายในโลกเกมจีบหนุ่มที่ฉันเกลียดซะได้.. แต่ตัวประกอบสาวๆ ในเกมนี้พวกเธอน่ารักกันทุกคนเลยอ่ะ - ตอนที่ 70
บทที่ 70 – พบจอมมาร
“ที่คืออาณาจักรมิราลิสสินะ.. ทำไมอาหารอร่อยๆ เยอะเลย?”
หญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินชมเมืองแถมในมือถืออาหารเสียบไม้อยู่หลายอันเลย ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างสวย
ไว้ผมยาวสีดำมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่ได้เป็นจุดสนใจแต่อย่างใด อาจจะเพราะว่าคนแบบเธอที่เหมือนมาเที่ยวมีให้เห็นเป็นปกติด้วยแหละ
และมีหญิงสาวผมสีฟ้าเพราะรวบผมขึ้นทั้งหมดเลยไม่รู้ว่าไว้ปมยาวหรือสั้น เธอสวมแว่นตาคอยเดินตามหลังหญิงสาวผมสีดำ
อันที่จริงคนที่ค่อยจ่ายบิลค่าอาหารให้คนที่เดินนำหน้าก็คือผู้หญิงสวมแว่นคนนี้นี่เองแหละ
“เดี๋ยวสิคะ ท่านจอ— ท่านไพซิส เรามาทำงานกันนะคะ ไม่ได้มาทำอะไรแบบนี้กันสักหน่อยนะ”
เธอคนนั้นที่เป็นเหมือนเลขาก็พูดขึ้น … ใช่แล้วบุคคลที่เดินอยู่ตรงนี้ตอนนี้คือหนึ่งในสิบสองจอมมาร หนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกตอนนี้
“รู้แล้วน่า แต่เมืองแบบนี้พึ่งจะเคยเห็นเลยนี่น่า”
“ก็เข้าใจอยู่หรอกค่ะ แต่ว่า—”
ก่อนที่เลขาเธอจะได้พูดจบ ไพซิสก็วิ่งไปซื้ออาหารอีกอันซะแล้ว ทำให้เธอได้แต่ถอนหายใจแล้วก็ปวดหัวเบาๆ
“อย่าลืมนะคะว่าวันนี้เรามาทำอะไรกันน่ะ?”
“ก็รู้อยู่หรอก.. ตามหาคนที่ฆ่าผู้กล้าใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่แล้วค่ะ”
“แต่ว่านะ ข้าเองก็เคยไปตามหาดูแล้วแต่ไม่เจอนี่น่า อีกอย่างถ้าอุกอาจไปมีหวังโดนจอมมารคนอื่นมองแรงอีก”
“เข้าใจนะคะว่า.. ที่พวกเรามาตามหากันมันสามารถมองได้หลายแง่ พวกจอมมารคนอื่นอาจจะคิดว่าเราต้องการดึงจอมมารคนนั้นมาเป็นพวก”
เธอกล่าวพลางดันแว่น ตอนนี้สมดุลอำนาจของจอมมารทั้งสิบองนั้นอยู่ในระดับที่พอดี จอมมารในโลกนี้ไม่ถือกำเนิดใหม่มานานแล้ว
ทำให้ดินแดนต่างๆ ของแดนปีศาจถูกครอบครองโดยจอมมารทั้งสิบสองอย่างเป็นระบบระเบียบขึ้นมาบ้าง ตอนนี้แดนปีศาจเองก็ค่อนข้างสงบสุขกว่าแต่ก่อน
จอมมารแต่ละดินแดนก็ค่อนข้างจะเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยไม่ไปมาหาสู่กันเท่าไหร่ แต่ก็มีการตั้งพันธมิตรอะไรทำนองนั้นอยู่
แต่ถึงแบบนั้นสมดุลอำนาจก็ไม่เคยเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่หากมีจอมมารคนที่สิบสามปรากฏขึ้น แถมยังมีพลานุภาพพอจะกำราบผู้กล้าที่มีอายุมากกว่าร้อยปีได้ด้วยตัวคนเดียวนี่มันค่อนข้างแปลก
จริงอยู่ที่ว่ากันตามจริงแล้วผู้กล้าไม่นับเป็นอะไรเมื่อเทียบกับจอมมาร ต่อให้เป็นจอมมารที่อ่อนแอที่สุด ถ้าจะสังหารอย่างน้อยต้องมีผู้กล้ามากกว่าหนึ่งคน
แต่นั่นมันเรื่องเมื่อห้าร้อยปีก่อน.. เพราะพันธสัญญาของมหาปราชญ์ทำให้จอมมารทุกคนตอนนี้มีสิ่งที่เรียกว่าผนึกอยู่
การจะต่อกรับผู้กล้านั้นไม่ได้เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นผู้กล้าสองคนที่อยู่มานานแล้วนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง.. แถมก่อนที่ผู้กล้าจะตายไม่กี่เดือนยังมีรายงานว่า
สัมผัสถึงอณูพลังเวทขนาดมหึมา.. ‘ร่างมาร’ ปรากฎขึ้นอีกด้วยดังนั้นไพซิสและเลขาจึงตั้งบรรทัดฐานความคิดมาว่า
จอมมารคนที่สิบสามมีอยู่จริง
คนที่ใช้ร่างมารได้นั้นมีเพียงจอมมารเท่านั้น มันไม่ใช่เพราะว่าต้องแข็งแกร่งที่สุด ต้องกำราบใคร.. แต่เป็นเพราะต้องมีพลังเวทมากมหาศาลจนไร้คำบรรยาย
และหลอมรวมเข้ากับกายหยาบจิตวิญญาณ เปรียบดั่งตัวตนของสิ่งสิ่งนั้นจะกลายเป็นตัวตนแห่งนามธรรม ที่สามารถก้าวเข้าสู่โลกแห่งตรรกะได้
สามารถขีดเขียนกฎขึ้นมาใหม่ได้ราวกับเทพธิดา นั่นแหละคือจุดสูงสุดของเผ่ามาร.. ร่างมารของจอมมาร
แต่ร่างมารถูกผนึกไปพร้อมพลังจอมมารเมื่อห้าร้อยปีก่อนแล้ว.. ไม่มีทางที่จะมีคนใช้มันปรากฏขึ้นมาได้ นอกเสียจากจะมีจอมมารคนใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาหลังจากนั้นนั่นเอง
และสำหรับคนแบบไพซิสเธอต้องการจะปะทะกับจอมมารคนที่สิบสามคนนั้น แน่นอนว่าเธอแค่สมองกล้ามแค่นั้นแหละ
แต่เอาเข้าจริงเธอก็เป็นถึงจอมมาร.. เธอมีแผนในแบบของเธออยู่ ซึ่งเรื่องนี้คุณเลขาที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้ดีว่าไพซิสวางแผนอะไรอยู่
แต่เธอก็ไม่รู้หรอกว่าแผนที่ว่าคืออะไรน่ะ
แต่ถ้ามองในมุมมองของจอมมารคนอื่นละก็.. การที่ตามหาจอมมารลึกลับอย่างเอาเป็นเอาตายก็เหมือนกับการบอกว่าต้องการอะไรบางอย่างจากมัน
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม หากมันทำให้สมดุลของจอมมารพังขึ้นมา ก็จะเกิดสงครามภายในขึ้นเป็นแน่แท้.. แม้โลกนี้จะไร้ซึ่งสงครามขนาดใหญ่
แต่ขนาดใหญ่ของคำๆ นี้คือสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ หากเป็นสงครามของเผ่าเดียวกันก็เป็นแค่สงครามภายในที่มนุษย์ไม่ต้องสนใจนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เป็นไพซิสก็ทำอะไรอุกอาจไม่ได้ ถึงแม้เดินเตร็ดเตร่บนถนนจะไม่มีคนรู้ว่าเป็นจอมมาร แต่ถ้ามีคนใหญ่คนโตอยู่แถวนี้ละก็
คงจะรู้ว่าคนนี้คือจอมมาร.. และจอมมารที่ข้ามแดนมาโดยไม่ขออนุญาตก็เหมือนการบุกรุกนั่นแหละ
คุณเลขาได้แต่กุมขมับด้วยความปวดหัวเหลือหลาย ต่อความคิดน้อยของไพซิส
“อ้ะ ดูนั่นสิ นั่นมันอะไรน่ะ?”
ไพซิสวิ่งไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งด้วยความตื่นเต้น มันเป็นอาหารที่เธอไม่รู้จัก.. ถ้าอนาสตาเซียอยู่นี่คงจะอุทานว่า.. ‘เฮ้ย โลกนี้มีแฮมเบอร์เกอร์ด้วยเหรอ’ เป็นแน่แท้
“อ้อ ไอ้นี่เรียกว่าแฮมเบอร์เกอร์น่ะ”
แต่ในขณะที่พ่อค้ายังไม่ตอบ ลูกค้าอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดีก็ตอบขึ้น ไพซิสจึงหันไปทางต้นเสียงแต่ไม่เจอ ต้องก้มหน้าลงเล็กน้อยถึงจะเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
เธอมีผมสีดำ ตาสีดำ ทุกอย่างรอบตัวสีดำหมดเลย ต่อให้เป็นไพซิสเองยังรู้สึกประหลาดหน่อยๆ
“แฮมเบอร์เกอร์? ยัยหนูนี่ไม่ใช่แฮมเบอร์เกอร์สักหน่อย นี่คือขนมปังเนื้ออบต่างหาก”
“…..”
เด็กผู้หญิงคนนั้นเงียบลง ไพซิสเองก็เงียบลง.. แน่นอนว่าสองสาวเหมือนแชร์ความคิดกันว่า
ลุงที่ลุงว่าเมื่อกี้มันแค่พูดเมนูอาหารว่ามีอะไรไม่ใช่เหรอวะ ดีนะไม่พูดชื่อส่วนผสมอื่นแถมมาด้วย ไม่งั้นคงจะยาวกว่านี้
แต่สาวน้อยคนนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยออกมา เธอสั่งมาสองอันแล้วก็แบ่งให้ไพซิสอันหนึ่งแล้วก็กินเองอันหนึ่ง
“ฉันให้”
“เอ่อ…?”
ไพซิสแสดงท่าทางสับสนออกมา แต่ก็รับมาแล้วแหละ.. ทั้งสองยืนกินทั้งแบบนั้นจนหมดเลขาของไพซิสค่อยเดินมาถึง
“ขอบใจนะ ว่าแต่เธอ?”
“ฉันชื่อ เลทิเซีย ยินดีที่ได้รู้จัก”
“อ้อ.. ข้ามีชื่อว่าไพซิส ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
ว่าแล้วทั้งสองก็จับมือกัน.. พอเลขาเห็นว่าไพซิสให้คนแปลกหน้าเลี้ยงอาหารเธอก็รีบก้มหัวขอโทษพร้อมยื่นเงินให้ แต่เลทิเซียปฏิเสธไป
แน่นอนว่าเลทิเซียได้แนะนำอาหารต่างๆ ให้กับไพซิสว่ามีอะไรควรทานบ้าง ถ้าเป็นนักเดินทางจากต่างเมืองต้องลองอันไหนๆ
เธอแนะนำได้อย่างสุภาพ แน่นอนว่าสำหรับไพซิสแล้วเธอไม่ได้คาดเดาอายุของเลทิเซียจากรูปร่างเหมือนคนปกติ
เพราะเธอมีชีวิตอยู่มายาวนานแล้วนั่นแหละ คนที่ตัวเล็กแต่อายุหลายร้อยปีก็มีให้เห็นบ้างเป็นบางครั้งนั่นแหละ
ดังนั้นเมื่อดูจากท่าทางหรือการแสดงออก ไพซิสเดาว่าคนคนนี้คงมีอายุเยอะแล้วแน่ๆ.. แต่น่าเสียดายที่เลทิเซียอายุแค่สิบสามสิบสี่เท่านั้นแหละนะ
“ท่านเลทิเซีย เมื่อกี้ท่านเห็นอะไรเหรอคะ ไม่ต้องปกป้องเด็กคนนั้นแล้วเหรอ?”
จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งตามมาพร้อมตะโกนขึ้น เธอคือลาน่า อันที่จริงท่าทางเธอเหมือนเลขาของไพซิส..
“ซัคคิวบัส..?”
ไพซิสพึมพำกับตัวเอง.. อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่พอลาน่าเห็นไพซิสเธอก็ขมวดคิ้วจากท่าทางที่เร่งรีบก็หยุดชะงัก
เดินเข้าหาเลทิเซียแบบช้าๆ
“อ้อ เหมือนจะมีคนคอยดูให้อยู่แล้วเลยไม่ต้องห่วงหรอก.. ช่างเรื่องนั้นเถอะ เรากลับไปที่พักกันเถอะ”
“ค่ะ”
โดยทิ้งไว้ให้ข้างหลังมีไพซิสและเลขาไว้ทั้งคู่ก็เดินออกมา.. ลาน่าสื่อสารทางจิตด้วยเทเลพาธีของเธอกับเลทิเซีย
“ท่านเลทิเซีย.. เมื่อกี้มัน…”
“อืม.. จอมมารสินะ ตามที่เคยอธิบายไว้”
“ใช่ค่ะ เธอคือจอมมารไพซิส อย่าบอกนะว่าที่จู่ๆ ก็แยกออกมาเพราะสัมผัสถึงเธอได้น่ะ?”
“ใช่ แต่ดูจากท่าทางแล้วไม่น่าจะใช่คนไม่ดีอะไร”
“อืม.. ไม่ใช่ก็ไม่ใช่แหละค่ะ แต่ว่าเป็นคนที่พูดด้วยยากนิดหน่อยน่ะ ฮะๆ”
“ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”
“งั้นท่านเลทิเซียพุ่งมาหาเธอทำไมคะ”
“ก็จากท่าทางของเลขาที่ดูรีบๆ แล้วน่าจะมาตามหาคนนั่นแหละ คงตามหาข่าวลือจอมมารคนที่สิบสามนั่นแหละ แล้วก็…”
“แล้วก็…?”
“อยากจะดูใกล้ๆ ว่าแข็งแกร่งขนาดไหนแต่ถ้าดูจากปริมาณพลังเวทแล้วละก็..”
เลทิเซียไม่ได้พูดต่อ เธอเดินกลับพร้อมลาน่าเงียบๆ
แน่นอนว่าต่อให้ไม่พูดลาน่าก็รู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร..
“ถ้าดูจากปริมาณพลังเวทแล้ว.. สามารถฆ่าได้”
………….
………
……
…
[ดูตัวละครลูกรักของคนเขียนเขานะครับ โผล่มานิดเดียวก็ยังมาพูดโชว์เทพอีก เปลี่ยนชื่อเรื่องดีกว่ามั้ง ฮา]