เกิดใหม่เป็นนางร้ายในโลกเกมจีบหนุ่มที่ฉันเกลียดซะได้.. แต่ตัวประกอบสาวๆ ในเกมนี้พวกเธอน่ารักกันทุกคนเลยอ่ะ - ตอนที่ 65
บทที่ 65 – อัญมณีไพลิน
“จากที่สังเกตมาพักใหญ่… ไอ้เจ้านี่ดูท่าจะไล่ล่าเราอย่างเดียวเลย ไม่สิ.. จะพูดให้ถูกคือ… มันน่าจะไล่เธอนะลูซิเรีย”
ฉันอธิบายแบบนั้น ลูซิเรียก็พยักหน้าเข้าใจ นับตั้งแต่มันโผล่มานี่ก็ผ่านไปพอสมควรแล้ว หอกที่มันปามามีนับสิบเล่มแล้ว
พอปามามันก็เสกใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ ซะอย่างนั้น.. ไม่ว่าพวกเราจะวิ่งไปทางไหนมันก็จะเคลื่อนที่ตามด้วยความเร็วมากกว่า
น่าแปลกที่เจ้านี่เป็นคนที่ต้องปกป้องต้นไม้อะไรสักอย่างแท้ๆ กลับเลือกจะมาโจมตีพวกเราต่อให้ออกห่างต้นไม้มาเนี่ย
ไม่สิ ตามคำที่เขียนไว้ในศิลา เจ้าหมอนี่คือนักรบ ไม่ใช่อัศวิน… เดิมทีคำว่านักรบกับอัศวินก็แตกต่างกันพอสมควรอยู่แล้ว
กล่าวคือหน้าที่ของนักรบก็ตรงตัว.. เป็นบุคคลที่มีเป้าหมายในการรบ ถึงแม้เขาจะมีหน้าที่ปกป้องต้นไม้ แต่เขาก็ยังเป็นนักรบนั่นแหละ
ในวินาทีต่อมานั้นเอง ดวงตาที่หน้าอกของมันเรือนแสงขึ้นอีกครั้ง หอกปรากฏในมือ.. ทว่าคราวนี้กลับไม่ใช่หอกหิน
แต่เป็นหอกเหล็กกล้า วินาทีที่มันกำและปามานั้น มันพุ่งจนทะลุอากาศแหวกพื้นที่ออกจากกัน กลายเป็นเหมือนกับลูกศรแห่งการทำลายล้าง
กวาดทำลายต้นไม้ทุกอย่างในระยะ ฉันกัดริมฝีปาก…. จี้ที่ฉันใส่อยู่ก็เรือนแสงสีน้ำเงินขึ้น… ถ้าจะพูดให้ถูกคือสีนิลกาฬ
……..
“นี่มันใช่อัญมณีไพลินจริงๆ ใช่ไหม?”
“อืม.. ข้ามั่นใจ”
ในห้องพักฉันคุยกับสกาเล็ต มองไปที่จี้ซึ่งตอนนี้มีสามสีตัดสลับกันอย่างพิศวง… สกาเล็ตครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
“เจ้าอย่าพึ่งใช้พลังของอัญมณีไพลินดีกว่า.. เจ้าคงรู้แล้วว่าพลังมันอะไร แต่.. ผลของการสะท้อนกลับ…”
………
“ไม่มีเวลามาลังเลแล้ว!”
ฉันตะโกนออกมาแบบนั้น ดวงตาของฉันกลายเป็นสีนิลกาฬ.. ถึงจะมองเห็นตาตัวเองไม่ได้ก็เถอะ.. ทุกอย่างมันเกิดขึ้นภายในวินาทีเดียวเท่านั้น
ก่อนที่ดวงตาสีนิลกาฬจะหายไปแทบจะทันที และวินาทีเดียวกันนั้นเลือดก็ไหลออกมาจากหู จมูก และปากของฉันทันที
นี่ไม่ใช่ผลของการใช้พลังมากไปหรืออะไรแบบนั้น.. แต่เป็นเพราะข้อมูลจำนวนมากมายที่นับไม่หมดมันหลั่งไหลเข้ามาในหัวของฉันรวดเดียว
สติปัญญาที่มากพอจะเข้าใจทุกโครงสร้างของโลกนี้… แม้แต่ทุกอย่างที่เคยงงมาจนถึงตอนนี้ล้วนถูกไขกระจ่างจนหมดในพริบตานั้นพริบตาเดียว
รู้ทุกอย่างที่ไม่สามารถรู้ได้… เหนือสิ่งอื่นใด….
ฉันจับแขนลูซิเรียแล้วก็ดีดตัวออกด้านข้าง หลบอยู่หลังต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่งซึ่งยังไงมันก็ไม่เพียงพอต่อการหลบท่าโจมตีแบบนั้น
ทว่าในวินาทีที่หอกพุ่งมาต้นไม้พังทลายและหากกระเด็นปลิวมาทางนี้หลายต้น และไม่นานหอกก็พุ่งผ่านต้นไม้นี้ไป
แต่แรงลมนั้นยังคงซัดใส่ต้นไม้จนหักโค่น แต่ทว่าภายใต้โชค..?ที่น่าประหลาดต้นไม้ที่หักก่อนหน้าและต้นนี้มากองทับกันจนผลักฉันกับลูซิเรียปลิวออกด้านข้าง
แม้จะมีแรงกระแทกที่ค่อนข้างเจ็บปวด แต่ก็รับได้เพราะว่าในวินาทีที่หอกปักลงพื้นกวาดทำลายล้างทุกอย่างในรัศมีกว่าร้อยเมตร
ฉันและลูซิเรียก็ปลิวออกมากิโลเมตรกว่าแล้วนั้นเอง!
“…เมื่อกี้มันอะไร?!”
ลูซิเรียตกใจ… เมื่อสักครู่นี้เธอตอบสนองหอกนั้นไม่ทันด้วยซ้ำ แน่นอนว่าฉันเองก็ไม่ทันหรอกถ้าไม่ใข้อัญมณีไพลินละก็นะ
ใช่แล้วอัญมณีไพลินนั้นไม่ได้มอบเพียงแค่สติปัญญาที่มากมายในรวดเดียว.. อันที่จริงพอเลิกใช้สติปัญญาที่ได้มาก็ปลิวหายไปหมดเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ฉันได้มาในตอนนั้นคือ ‘การคำนวณ’ ใช่.. มันคือการคำนวณความเป็นไปได้อนาคตทุกอย่างจากโครงร่างของความเป็นจริง
ฟังอาจจะดูโม้เกินจริงไปหน่อย แต่ในหนึ่งวินาทีนั้น ฉัน… เอ่อ จะบอกว่าฉันก็คงไม่ถูกต้องบอกว่าอัญมณีไพลินที่ฉันใข้
ทำให้ฉันสามารถคำนวณความเร็ว ระยะทาง พื้นที่แรงโน้มถ่วง การกระจายตัวของคลื่นกระแทก แรงระเบิด TNT เมื่อวัตถุตกถึงพื้น
อันที่จริงมันคำนวณลึกในระดับอะตอม..เลยก็ว่าได้.. และด้วยเหตุผลทุกอย่างที่ว่ามา… ทำให้ฉันคำนวณสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนั้นแน่นอนได้
เอาภาษาง่ายๆ ก็เห็นอนาคตสมบูรณ์แบบนั้นแหละ.. ซึ่งแค่ใช้หนึ่งวิก็พอจะคาดเดาอนาคตประมาณ 10 วิข้างหน้าได้.. หมายถึงคำนวณทุกสิ่งอย่างในระยะสายตาที่จะเกิดขึ้นอีก 10 วิ
เช่นแมลงที่บินอยู่จะกระพือปีกอีกกี่ครั้ง อะไรประมาณนั้นแหละ.. แน่นอนว่าสำหรับฉันตอนนี้ใช้แค่หนึ่งวิหัวก็จะแตกโพล๊ะแล้วแหละ
“ไม่สิ ก่อนหน้านั้นเธอพาฉันมาอยู่ที่นี่ได้ไง?!”
“ช่างเรื่องนั้นไปก่อนเถอะ ฉันจะอธิบายวิธีที่จะชนะเจ้านั่นให้ฟัง”
ฉันพูดแบบนั้นกับลูซิเรีย… อันที่จริงเมื่อกี้ตอนที่ฉันใช้อัญมณีไพลินนอกจากจะเห็นอนาคตแล้วยังได้วิธีกำจัดเจ้ายักษ์นี่มาด้วย
แถมรู้ด้วยว่าทำไมเจ้านี่ถึงเล็งมาที่ลูซิเรีย เพราะตอนเซเลน่าแก้ Puzzle ลูซิเรียใช้เวทพรางตาซึ่งมันทำให้แสงแห่งการรับรู้ของไอ้ยักษ์นี้ถูกปิดลงขณะกำลังเปิด
มันจึงกลายเป็นว่าไอ้หมอนี่ถูกความมืดปิดกั้นสายตา จนลุกขึ้นมาสู้นั่นแหละ ตามจริงแล้วสิ่งที่ต้องทำคือพอแสงควบแน่นรวมไปที่ดวงตาของรูปปั้น
ต้องเอาลูกแก้วที่อยู่กลางดวงตา ไปวางไว้ที่มือทั้งหก พร้อมกับใช้การ์ดที่ตัวเองมี 6 ใบเพื่อมอบให้กับแขนทั้งหกและเนตรทั้งหกเพื่อเป็นอาวุธแก่มัน
เพียงแค่นี้ก็จะแก้ได้.. แต่อย่างว่าเพราะพวกเราเลยทำให้การแก้ Puzzle แทนที่จะผ่านกลับกลายเป็นปลุกนักรบให้ตื่นแทน
ตอนนี้วิธีเดียวที่จะได้การ์ดคือการกำจัดเจ้านี่นั่นแหละ
“เจ้านี่มันสร้างอาวุธจากดวงตา.. พูดให้ถูกคือลูกแก้วที่อยู่ในดวงตาของมัน ซึ่งดูดกลืนแสงอาทิตย์เป็นพลังงานแล้วก็ทำให้ตัวมันสร้างอาวุธได้เรื่อยๆ”
ว่าแล้วมันก็ปาหอกมาอีกครั้ง แต่ฉันหลบแบบสบายๆ เพราะนี่ยังอยู่ในการคำนวณนั่นเอง
“ถึงเจ้าจะพูดงั้นก็เถอะ.. แล้วเราจะทำไงได้ล่ะ ให้แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึงเหรอ.. รอจนมืดเหรอ หรือแย่งลูกแก้วเหรอ แบบนั้นทำแค่พวกเราสองคนไม่ไหวหรอก”
ฉันส่ายหน้าแล้วก็ยิ้มออกมา
“เจ้าตัวนี้คงถูกออกแบบมาให้ไม่มีทางสู้คนเดียวได้เด็ดขาดเลย พอนึกหน้าคนสร้างออกเลยว่ามันจะทำหน้ายังไงตอนสร้างของแบบนี้”
“แต่ไม่ต้องห่วง บางทีเจ้านี่คงจะลืมคิดเรื่องหนึ่งไป”
ฉันหยิบการ์ดใบหนึ่งออกมา.. มันเป็นการ์ดสีแดงเท่านั้น.. มันเป็นการ์ดประเภทอัญเชิญคือการเปลี่ยนการ์ดให้กลายเป็นอสูร
จริงอยู่ที่เจ้านี่ต่อให้เป็นสัตว์ก็จะถูกมันฆ่าทิ้งทันที เพราะหน้าที่ของมันคือทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าและทำลายเป้าหมาย
แม้แต่เวทมนตร์เองมันก็ตอบสนองได้ แต่มีแค่พลังจากการ์ดเท่านั้นที่มันไม่ตอบสนอง ซึ่งหมายความว่าถ้ามีการ์ดประเภทอัญเชิญก็จะเข้าใกล้มันได้!
และ.. ตามกฎของเกม.. การ์ดตราบใดที่ไม่ถูกแย่งไปจะนับว่าเป็นการ์ดของฉันนั่นเอง ให้อธิบายง่ายๆ ก็ สมมุติฉันโยนการ์ดทิ้ง
ตราบใดที่ยังไม่มีคนมาหยิบการ์ดนั้น ฉันก็จะยังเป็นเจ้าของการ์ดจนกว่าจะมีคนมาหยิบไป ซึ่งเงื่อนไขการใช้การ์ดคือรู้ว่าการ์ดนั่นทำอะไรได้บ้าง
และต้องทำอะไรบ้างเมื่อใช้… กล่าวคือ…
“แค่ฉันใช้การ์ดอัญเชิญอสูรพุ่งเข้าไปหาเจ้านั่น แล้วก็ใช้การ์ดที่วางไว้บนตัวของอสูรอีกทีหนึ่งซะแค่นั้นก็จบ”
“เดี๋ยวก่อนสิ.. ฉันว่าการ์ดที่มีพลังพอจะทำลายมัน.. ไม่สิ ต่อให้แค่ปิดกั้นแสงจากท้องฟ้าใส่มัน… อย่างน้องฉันว่าต้องเป็นการ์ดระดับเหลืองขึ้นไปนะ เธอมีด้วยเหรอ?”
“แล้วใครบอกว่าฉันจะใช้การ์ดเหลือง?”
“หมายความว่าไง..?”
“คอยดูเถอะ ฉันจะทำให้ดูเอง”
อย่างแรกหยิบการ์ดสีดำออกมา การ์ดนี้เป็นการ์ดพิเศษเพราะมันเป็นการ์ดที่สามารถเก็บของไว้ภายในได้ และใช้แล้วไม่หายกลับไปที่เดิมนั่นเอง
การ์ดนี้มีเยอะที่สุดในการแข่งขัน แต่ตอนนี้นอกจากฉันคงไม่มีคนอื่นมีอะนะ เพราะพวกมันไม่รู้ว่าการ์ดนี้การ์ดเดียวที่เป็นข้อยกเว้นที่จะไม่ส่งกลับที่เดิม
แต่เดี๋ยวก็มีคนสังเกตเห็นเองแหละ..
การ์ดนี้สามารถเก็บทุกอย่างเข้าไปได้ตราบใดที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต และภายในนั้นทุกอย่างจะถูกหยุดนิ่งเอาไว้
และฉันก็หยิบหนังสือออกมา ในนั้นเป็นสูตรเวทแปลกประหลาดที่ไม่เข้าใจ ฉันเลยไม่กล้าใช้ แต่เพราะอัญมณีไพลินเลยทำให้ฉันรู้
เวทมนตร์นี้คือเวทมนตร์ที่จะสร้างเมือกเหลวสีดำที่ไม่สะท้อนแสงโดยสิ้นเชิงออกมา.. เมือกเหลวนี้คล้ายสไลม์แต่มันมีคุณสมบัติของสสารที่ดูดกลืนแสงเกือบ 100%
ซึ่งนั่นหมายความว่า… มันคือสีดำสนิทอย่างแท้จริง แสงจะไม่สะท้อนกับวัตถุนั้นดังนั้นในมุมมองของเราจึงเห็นเป็นสีดำสนิท
และปล่อยให้เจ้าเมือกสีดำนี่เคลือบไปทั่วร่างของมันด้วยการใช้กระดาษอีกแผ่นซึ่งเป็นเวทในการดูดกลืนแสงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเวทมนตร์อีกอัน
ว่าง่ายๆ เป็นเวทประเภทแสงที่ใช้ในการซัพพอร์ตเวทอื่นนั่นแหละ..
กล่าวคือเมือกเหลวสีดำที่ดูดกลืนแสงเกือบ 100% ผสมกับการเพิ่มพลังที่ดูดซับแสงเพื่อแข็งแกร่งแกร่งขึ้น
พอทำของเหลวเข้าไปในการ์ดก็วางเวทระเบิดไว้ด้านล่าง… เพื่อที่จะให้ของเหลวกระจายไปทั่วได้ง่ายๆ ผ่านการระเบิด
“แค่นี้….”
ฉันปล่อยอสูรจากการ์ดอัญเชิญพุ่งไปตามแผนจนชนร่างของรูปปั้นหินแต่มันก็ไม่ไหวติง ทว่าวินาทีต่อมาการ์ดที่เก็บของก็พ่นเมือกเหลวสีดำออกมา
และในจังหวะที่รูปปั้นหินกำลังจะตอบโต้ แต่ก็สายเกินไปแล้วเพราะเวทระเบิดก็แตกออกสาดกระจายเมือกเหลวอาบไปทั่วร่างของรูปปั้น
และภาพอันน่ากลัวก็ปรากฏขึ้น.. เมือกเหลวเติบโตอย่างรวดเร็วมีเป้าหมายเพื่อทำลายรูปปั้น โดยการกลืนแสง ราวกับมีปรสิตสีดำที่ค่อยๆ เคลือบร่างกายไปทั่วรูปปั้น
เมือกเหลวนี้แม้จะไม่มีพลังโจมตี แต่ถ้าหากโดนสาดใส่ตาละก็คงเห็นทุกอย่างมืดบอดไปจนหมด…
ใช่… แค่นี้ก็กำจัดเจ้ารูปปั้นบ้านั่นได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องสู้ด้วยซ้ำ!