เกิดใหม่เป็นนางร้ายในโลกเกมจีบหนุ่มที่ฉันเกลียดซะได้.. แต่ตัวประกอบสาวๆ ในเกมนี้พวกเธอน่ารักกันทุกคนเลยอ่ะ - ตอนที่ 25
บทที่ 25 – ผู้บุกรุก
การต่อสู้ก็ยังคงดำเนินไปเรื่อย ฉันก็มีแพ้บ้างชนะบ้างเป็นบางครั้ง.. ที่แพ้ไม่ใช่อะไรหรอกเพราะว่าฉันไม่ได้มีประสบการณ์การต่อสู้ขนาดนั้น
แถมยังต้องมาคิดถึงเรื่องปกป้องร่างกายด้วยเวทมนตร์ จึงทำให้หลุดสมาธิอยู่บ่อยครั้งจนโดนพายุหิมะโถมใส่แล้วก็โดนสวนจนแพ้แบบง่ายๆ ละนะ
ในรอบนี้ก็เช่นกัน ฉันได้สู้กับไอน์สไตน์ แน่นอนว่าฉันแพ้อยู่แล้วเพราะความสามารถของเขาค่อนข้างเหนือกว่าฉันเยอะเลยล่ะ
รอบต่อไปที่ฉันต้องสู้คือใครก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่าคนนั้นเขาจะไม่สามารถสู้ต่อได้จากรอบที่แล้วไปน่ะ
ทำให้รอบต่อไปฉันว่าง ฉันเลยท่องไปทั่วยอดเขาเพื่อหาชมการต่อสู้ของคนอื่นเพื่อเก็บเกี่ยวรายละเอียดความสามารถของคนอื่นอยู่
คนที่อยู่ตรงหน้าฉันคือไอน์สไตน์กับผู้ชายอีกคนซึ่งเป็นใครไม่ได้อีกนอกจากอเล็กซานเหมือนว่าจะได้เจอกับไอน์สไตน์แล้วสินะ
และก็เกินคาด.. การต่อสู้เริ่มขึ้นด้วยความดุเดือด เพราะเจ้าอเล็กซานเหมือนจะเก่งพอสมควรเลยล่ะ
ก็นะตามเนื้อเรื่องในเกม อเล็กซานคือผู้ถูกเลือกจากบรรพบุรุษนี่นะ ผู้ถูกเลือกจากบรรพบุรุษคือผู้ที่สืบทอดเจตจำนงจากบรรพบุรุษและสืบต่อมาเรื่อยๆ จนถึงตัวเขา
ให้อธิบายง่ายๆ คือ บรรพบุรุษคนนั้นอยู่มาเมื่อพันปีก่อน ช่วงอายุขัยคนประมาณ 70-80 ปี ซึ่งตีได้ประมาณ 11-12 รุ่นสมัย
นั่นหมายความว่าเจ้าอเล็กซานจะมีพลังเทียบเท่ากับคน 11 ถึง 12 คนในตัวคนคนเดียวล่ะนะ ถือว่าแข็งแกร่งมากพอสมควร
แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่ภาชนะที่ยังรองรับได้ไม่ทั้งหมดล่ะนะ ทำให้พลังของเขาในตอนนี้ยังต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่นั่นแหละ
อเล็กซานโจมตีด้วยเวทมนตร์ไฟ ลม รวมถึงสาดคลื่นพลังเวทใส่ไอน์สไตน์อย่างรุนแรง แต่ฝั่งไอน์สไตน์กลับไม่เป็นไรแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะมีแรงระเบิดอะไรเกิดขึ้นต่อหน้าเขา ทุกอย่างล้วนสลายหายกลายเป็นฝุ่นผงจนหมดสิ้น พอฉันเห็นสิ่งนี้ก็คิ้วกระตุกเล็กน้อย
“เขาไม่ได้ใช้พลังแบบนั้นกับฉันเลยนะ? นั่นมันอะไรน่ะ?”
ฉันพึมพำเบาๆ .. พลังที่ไอน์สไตน์ใช้กับฉันมีเพียงแค่พวกเวทมนตร์เท่านั้น ซึ่งพอฉันโจมตีไอน์สไตน์ก็หลบไม่ก็สร้างเวทขึ้นมาป้องกัน
แต่ไอ้สลายแรงระเบิดแบบนี้ไม่เคยเจอตอนสู้กันอย่างแน่นอน ในขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นทางฝั่งอเล็กซานก็เหมือนจะรู้ตัวว่าต่อสู้ระยะไกลไม่ได้ผล
ใช่ เขาพุ่งเข้าใกล้ไอน์สไตน์แทบจะทันที.. ฉันได้แต่กลั้นหัวเราะ
“ขนาดฉันที่ใช้พลังเวทเสริมกำลังที่เรียนมาจากท่านเลทิเซียตอนเป็นเกมยังทำอะไรไอน์สไตน์ไม่ได้เลยนะ”
และก็เป็นอย่างที่คาดพออเล็กซานย่นระยะเข้าไปในระยะประชิด ไอน์สไตน์แลบลิ้นออกมาพร้อมกับวินาทีต่อมาพื้นที่รอบด้านก็บิดเบี้ยว
รู้สึกตัวอีกทีอเล็กซานก็นอนกองอยู่กับพื้นพร้อมกับอ้าปากค้างด้วยความสับสนเล็กน้อย ฉันเองก็งงเหมือนกันเมื่อสักครู่มันเกิดอะไรขึ้นกัน
ในวินาทีที่ไอน์สไตน์แลบลิ้นออกมาเขาทำอะไรกัน สกาเล็ตที่ลอยอยู่ข้างๆ ฉันก็พึมพำเบาๆ
“แบบที่…อนาสตาเซียใช้เลย”
“หืม เธอหมายถึงอะไร?”
“ข้าหมายถึง.. ที่ไอน์สไตน์เพื่อนของเจ้าทำน่ะ มันเหมือนเวทมนตร์ข้ามมิติที่เจ้าใช้เลย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใช้แบบเดียวกับเจ้านะ”
ทฤษฎีสัมพัทธภาพ!
นี่ไง ไอน์สไตน์สามารถใช้เวทมนตร์ที่อ้างอิงจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขาได้ด้วย ฉันเองก็ไม่รู้ละเอียดเรื่องทฤษฎีเท่าไหร่หรอก
แต่เหมือนจะเป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงมุมมองต่อจักรวาลที่ถูกเรียกกันในชื่อว่า ปริภูมิและเวลา (Space and Time) นั่นเอง
ซึ่งดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดูเหมือนไอน์สไตน์กำลังใช้แรงโน้มถ่วงกดอีกฝ่ายลงไปที่พื้นผ่านการยืดหดของ ปริภูมิหรือเวลางั้นเหรอ
ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้ฉลาดพอที่จะเข้าใจอะไรซับซ้อนแบบนั้นหรอก
แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันทำเอาอเล็กซานตกใจจนอ้าปากค้างฉันก็รู้สึกพอใจแล้วล่ะ ในขณะเดียวกันนั้นเองเงาสีดำก็พลันปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“อนาสตาเซีย ระวัง!!”
เสียงตะโกนของสกาเล็ตดังขึ้นกะทันหัน แต่มันสายไปแล้วเงาสีดำนั้นโจมตีใส่กลางหลังของฉันจนกระเด็นไปด้านหน้า
“ตุ้ม!!”
เสียงสั่นสะเทือนนั้นคงทำเอาไอน์สไตน์กับอเล็กซานที่สู้กันอยู่สนใจได้เลยละมั้ง ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ
โชคดีนะที่กางพลังเวทไว้รอบตัวเพื่อกันพายุหิมะ เพราะพลังเวทนี้ไม่ถูกแปรสภาพให้เป็นอย่างอื่นด้วย ‘เวทมนตร์’
คุณสมบัติมันจึงเป็น ‘ม่านพลังเวท’ หรือเรียกอีกแบบคือบาเรียนั่นแหละ.. เลยทำให้ฉันไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ต่อการโจมตีเมื่อสักครู่เลย
ฉันลุกขึ้นมองไปยังต้นตอของคนที่โจมตีฉัน เหมือนจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีทรวดทรงองเอว ชวนน่าอิจฉา
ไม่ใช่ว่าหน้าอกเธอใหญ่หรือก้นใหญ่จนฉันอิจฉาหรอก แต่เป็นเพราะร่างกายเธอดูเซ็กซี่ในแบบเล็กๆ ต่างหาก
หน้าอกก็พอๆ กับฉันสมัยอยู่โลกเดิมนั่นแหละ ไม่แบนแต่ก็ไม่ใหญ่ แต่ที่มันเซ็กซี่คือยัยคนนี้สวมชุดรัดตัวแน่น
แถมมีออร่าสีดำๆ รอบตัวทำให้ไม่เห็นชุดชัดเจน แต่ก็เป็นชุดรัดตัว แถมเจ้าตัวเหมือนจะใส่หน้ากากแปลกๆ ด้วย
เป็นหน้ากากที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูรวมจากทุกอย่างนี้… อีกฝ่ายไม่ใช่นักเรียนแน่นอน
พออีกฝ่ายจ้องมาที่ฉัน ก็เหมือนจะแปลกใจขึ้นมา..
“เอ๋.. ทำไมเนตรมารถึงสัมผัสว่าเจ้ามีพลังอันไร้จุดสิ้นสุด.. แต่พอมาทองด้วยตาเปล่ายังไงพลังเวทของเจ้าก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่น่า”
“ไม่สิ.. เจ้าเป็นมนุษย์นี่น่าปริมาณพลังเวทแบบนั้นมันอะไรกัน?”
“เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ทำไมเมื่อกี้เจ้าใช้พลังเวทสร้างบาเรียทำไมพลังเวทของเจ้าถึงไม่ลดเลยล่ะ.. เจ้าเป็นใครเนี่ย ปีศาจ หรือ มนุษย์?”
จู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดออกมาแบบนั้น ถึงจะถามว่าฉันเป็นใครก็เถอะนะ คนที่ควรถามมันฉันไม่ใช่เหรอ จู่ๆ ก็เข้ามาโจมตีคนอื่นเนี่ย
“เธอนั่นแหละ เป็นใคร ไม่น่าจะใช่นักเรียนนี่..? แล้วโจมตีฉันทำไมด้วย”
ฉันถามออกไปแบบนั้น เมื่อสักครู่สกาเล็ตบอกฉันว่าอีกฝ่ายมีพลังเวทพอๆ กับ ‘เลทิเซีย’ คนนั้นเลยล่ะ
นั่นหมายความว่าถ้าอีกฝ่ายหวังจะฆ่าฉันคงตายไปแต่ก่อนหน้านี้แล้วนั่นเอง การโจมตีสักครู่ดูเหมือนจะออมมือไว้เยอะ.. แต่ถ้าเป็นอเล็กซานโดนเข้าคงตายแน่ๆ
แน่นอนว่าสถานการณ์แบบนี้อีกฝ่ายต้องเป็นผู้บุกรุกอย่างแน่นอน เพราะขนาดร่างกายนี่มันไม่ใช่ขนาดนักเรียนแต่เป็นของอาจารย์
แต่ว่าตอนนี้กำลังสอบอยู่ ไม่มีใครขึ้นเขาน้ำแข็งมาได้นอกจากนักเรียนห้อง A นั่นหมายความว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่ฉันต้องรับมือ
ฉันทำเป็นถามออกไปแบบนั้น และพยายามติดต่อใช้เวทมนตร์ติดต่อกับอุปกรณ์ เคลื่อนย้ายที่ส่งเรามาเพื่อจะติดต่อหาคุณครู
“เมื่อสักครู่ฉันเข้าใจผิดว่าเธอเป็นคนที่กำจัด ‘ผู้กล้า’ ทั้งสองไปน่ะ โทษทีนะ”
เฮ้ยๆ ยัยคนนี้คิดจะตอบแค่นั้นจริงดิ ว่าแต่เหตุการณ์สูญเสียสองผู้กล้านี่มันเหตุการณ์เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี่..
เพราะเหตุนั้นเลยทำให้ฉันต้องเลื่อนการเดินทางมาโรงเรียน ถึงจะไม่รู้รายละเอียดแต่แอบได้ยินจากราชินีแม่ของเจ้าอเล็กซานว่า
ผู้กล้าของมนุษย์ตายไปถึงสองคนเลยล่ะ ด้วยฝีมือของใครสักคนน่ะ
เดี๋ยวนะ.. ยัยผู้หญิงสวมหน้ากากนี่บอกฉันว่าเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นคนฆ่าผู้กล้าสองคนเหรอ.. หมายความว่าฉันในมุมมองคนอื่นดูเก่งขนา—
เอ่อ ไม่สิ.. เวทมนตร์ที่ฉันใช้ก็ใช้เป็นไม่กี่เวทมนตร์เอง จะไปสู้กับผู้กล้าที่มีพลังระดับเดียวกับพวกพาลาดินนี่ไม่ไหวหรอกๆ
“ดูเหมือนเธอจะเข้าใจผิดแล้วล่ะ ฉันเป็นแค่เด็กนักเรียนธรรมดาๆ และไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้นหรอกนะ”
ฉันอธิบายไปแบบนั้น แต่พอฟังคำอธิบายของฉันเธอก็ขมวดคิ้ว
“อืม.. มองจากภายนอกก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ทำไมข้ารู้สึกว่าคำพูดของเจ้าเหมือนจะมีคำโกหกอยู่ด้วยน้า”
อ๊ะ.. ยัยนี่มีพลังตรวจคำโกหกเหรอ! ถึงฉันจะไม่ได้โกหกเรื่องที่แข็งแกร่งจริงหรือเปล่า แต่เรื่องที่ว่าเด็กธรรมดานี่ยังไงก็ไม่ใช่
ก็แหม ฉันเป็นผู้ที่มาจากต่างโลกนี่น่า
“ฉันไม่ได้โกหกจริงๆ นะ”
“อืมมม…”
บ้าเอ๊ย ทำไมมันติดต่อทางโรงเรียนไม่ได้สักทีวะเนี่ย ฉันเริ่มเหงื่อไหลในจังหวะที่ยัยคนนี้จ้องมาที่ฉัน ก่อนที่เธอจะถอนหายใจออกมา
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าช่างมันละกัน”
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก.. ยอมเข้าใจแล้วสินะ แต่ในตอนนั้นเอง..
“จะโกหกหรือเปล่า.. ก็ต้องแลกหมัดกันนี่แหละถึงจะรู้จริง”
ว่าแล้วยัยคนนี้ก็พึ่งเข้ามาต่อยใส่ฉันสุดแรงเกิดจนบาเรียพลังเวทแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“เดี๋ยวสิเฮ้ย!”
ฉันตะโกนออกมาด้วยความตกใจ.. แต่ทว่าถึงฉันจะคิดว่าจะแพ้ แต่ฉันไม่เคยบอกสักหน่อยนะว่าจะให้อัดอยู่ฝ่ายเดียวน่ะ
ร่างกายฉันสลายหายไปตรงหน้า ม่านพลังที่แตกออกเสี่ยงๆ ก็มีแต่ความว่างเปล่าและพริบตาต่อมาฉันก็ปรากฏตัวด้านหลังอีกฝ่ายพร้อมกับ…
“เสริมกำลัง”
พึมพำเบาๆ แบบนั้นกำปั้นก็ต่อยออกไปด้วยความแรงในระดับที่น่าเหลือเชื่อ
“ว่าแล้วเชียว เจ้าเองก็แข็งแกร่งไม่ใช่หรือไง!”
ยัยผู้หญิงคนนี้ก็ฉีกยิ้มออกด้วยความตื่นเต้นซะงั้น.. คนแบบนี้ฉันคิดว่ายังไงฉันก็สู้ไม่ไหวหรอก ยัยนี่ออมมือไม่เป็นชัวร์เลย
ถ้ายังติดต่อไม่ได้ฉันจะหนีตัวใครตัวมันแล้วนะ!
ในขณะที่คิดแบบนั้นยัยคนบ้าการต่อสู้ก็หันมาทางฉันด้วยความเร็วที่เหนือกว่าฉัน พร้อมกับกำหมัดต่อยอัดใส่กำปั้นของฉัน
เกิดเป็นแรงลมพัดเอาพายุหิมะกระจัดกระจายออกไปด้านข้าง
“เจ็บมือเว้ย!”