เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 99: สองตัวตนคนล่ะฟาก
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 99: สองตัวตนคนล่ะฟาก
< < 80 > >
แสงสีขาวสองเส้นพุ่งเข้าใส่กันและเกิดระเบิด พร้อมกับเสียงซึ่งเป็นเพียงควันหลังของการปะทะ
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
พื้นดินลอยขึ้นฟ้าอย่างกับโดนระเบิดจากข้างใน ทั้งๆที่แสงสองอันปะทะกันแค่ตามผืนดิน
ก้อนเศษดินต่างขนาดลอยขึ้นฟ้า และมีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนจะไม่ใช่มนุษย์สองตนยืนอยู่ข้างบน
คนแรกคือคาลอส ราชาอัศวิน โล่แห่งอาณาจักรฟัฟนิร์
คนที่สองคือเอเธอร์ สัตว์ประหลาด สื่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก
ทั้งสองต่างยืนวิเคราะห์กับบนฟ้าด้วยอารมณ์ที่นิ่งเฉย ก่อนที่จะวิเคราะห์จบแล้วเข้าปะทะอีกครั้ง ซึ่งเอเธอร์คือฝ่ายรอให้อีกฝ่ายเข้ามาก่อน
หมายความว่าเอเธอร์ไม่ได้วิเคราะห์อะไรมากนัก เอเธอร์ทำเพียงแค่ตั้งรับทุกการโจมตีด้วยรอยยิ้มเท่านั้น
“[จังหวะแตะสายลม]”
“[จังหวะแตะสายลม]”
ท่าเดียวกัน แต่เอเธอร์ใช้ได้ดีกว่ามากทำให้พ้นระยะโจมตีของคาลอสได้อย่างสิวเสียด ซึ่งจุดนี้ไม่แน่ใจว่าเอเธอร์จงใจให้สิวเสียด หรือความเร็วของทั้งสองมันเลื่อมๆกัน
มีแต่สองคนนี้เท่านั้นที่รู้ความจริง
“[ดาบประกายแสง]”
“[ดาบแห่งแสง] และ [ดาบประกายแสง]”
คาลอสฟาดดาบไป เอเธอร์สร้างดาบแห่งแสงขึ้นมาและใช้เทคนิคเดียวกัน และดาบของเอเธอร์ก็ไปได้เร็วกว่าระดับหนึ่ง
ดาบแห่งแสงเฉือนโดยกะจะให้ช่องว่างเล็กๆ แต่ก็พลาดโดนคาลอสเอียงตัวให้โดนเกราะแทนเพราะมีเกราะอิจิสอยู่ด้วยทำให้ไร้ผล ไม่ได้รับความเสียหายอะไรทั้งนั้น—ดาบคลั่งของคาลอสจึงพุ่งใส่คอเอเธอร์ได้ง่ายๆ
เอเธอร์เอียงตัวหลบ คาลอสตวัดดาบโจมตีชั้นสอง ครั้งนี้ไม่สามารถหลบได้ทัน
“โอ๊ะ”
อุทานจบร่างก็โดนซัดลงพื้น ร่างเอเธอร์ถะไหลไปกับพื้นอย่างไม่น่าดู
“[จังหวะแตะสายล—-อึก!]”
คาลอสโดนใครไม่รู้เตะเข้ากลางหลังจนปลิวตามเอเธอร์ไป และผู้ที่เตะก็บังเอิญคือเอเธอร์ด้วย
“–นี่แก!”
“วิชาไสยศาสตร์นี่สะดวกดีนะ”
คาลอสตั้งหลักได้ทันที พุ่งเข้าใส่เอเธอร์–เอเธอร์เอี่ยวตัวลง และใช้มือรับดาบคาลอสตรงๆในจังหวะโจมตีที่สอง ทำให้ไม่มีการโจมตีแบบโหมกระหน่ำเข้ามา
“สมกับเป็นคาลอส แข็งแกร่งมากเลยล่ะ”
เอเธอร์พูดเหมือนประเมินอีกฝ่ายอย่างกับอาจารย์
“แข็งแกร่งสินะ นิยามคำว่าแข็งแกร่งของแกคืออะไรกัน คนที่สู้ได้สูสีเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ใช่ฉัน..!!”
คาลอสผละตัวออกจากเอเธอร์และใช้แรงลมจากดาบอัดร่างเอเธอร์หวังให้กระเด็น แต่ก็ไม่เขยื้อนแม้แต่น้อยเลย
“คาลอสแข็งแกร่งนะครับ อย่างน้อยบนโลกนี้ก็มีไม่กี่คนที่มาถึงระดับนี้ได้ แค่ไม่สามารถมาถึงระดับเดียวกับผมได้ก็เท่านั้น ..เรื่องมันแค่นี้เองครับ”
“คงจะอย่างนั้น ไม่ว่ายังไง สิ่งมีชีวิตทั่วไปก็ไม่มีทางเอื้อมไปถึงแกได้”
“เข้าใจก็ดีครับ แต่อย่าได้เอาผมไปเปรียบเทียบกับคาลอสหรือคนอื่นๆเลยนะครับ เพราะผมไม่ใช่ตัวตนที่เท่าเทียมกับทุกชีวิตบนโลกนี้ ตั้งแต่กำเนิดผม..ก็อยู่จุดสูงสุดแล้วครับ นี่คือความจริงที่แสนโหดร้าย ถึงผมจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่มีแค่เรื่องที่ผมอยู่จุดสูงสุดเท่านั้นที่อยู่ในหัวสมอง ถูกฝังไว้แน่นเสมือนกับรากเหง้า”
พูดจบเอเธอร์ก็ยิ้มสวยๆให้ คาลอสจ้องสักพักก่อนถอนหายใจ
“จะคิดว่านั่นไม่ใช่คำเยินยอตัวเองล่ะกัน”
“จะคิดยังไงผมก็ไม่ว่าหรอกนะครับ”
“แล้วคิดอะไรอยู่ถึงได้คิดจะบุกประสาทกัน ทั้งแกและเจ้าเด็กพวกนั้นด้วย”
“ผมคิดจะจัดการจอมมาร ซึ่งการอยู่ฝ่ายเดียวกับอาณาจักรฟัฟนิร์มันไม่เอื้อต่อการเคลื่อนไหวสักเท่าไหร่ ผมเลยเปลี่ยนฝ่ายครับ แล้วก็มีเหตุผลเกี่ยวกับเจ้าหญิงมังกรคนปัจจุบันเล็กน้อยครับ”
เอเธอร์พูดมาตรงๆไม่มีอะไรจะผิด
คาลอสพยักหน้ารับ
“ถ้ายังอยู่กับอาณาจักรฟัฟนิร์ เมื่อจอมมารถือกำเนิดแกจะเคลื่อนไหวได้ไม่เต็มที่ แหงล่ะ ไม่ใช่แค่กับจอมมาร แต่พวกเราจำเป็นต้องระวังแต่่ละอาณาจักรด้วย การวางตัวไม่ให้เป็นศัตรูกับอาณาจักรอื่นคงเป็นผลดีกว่า” คาลอสหรี่ตาลง “แต่เรื่องเจ้าหญิงมังกรนี่ไม่ชัดเจนเอาซะเลยนะ รวมถึงเหตุผลที่ต้องจัดการจอมมารด้วย ตัวแกดำเนินการณ์ตามเหตุผลเสมอ แต่จุดริเริ่มเป้าหมายในการกระทำของแกช่างไร้เหตุผลมาตลอด”
เอเธอร์ย้อนแย้งในตัวเอง เพื่อเป้าหมายเขาจะทำทุกอย่างโดยมีเหตุผล แต่จุดกำเนิดเป้าหมายมันไร้เหตุผล ไม่มีที่มาที่ไป เหมือนกับจู่ๆก็อยากทำจึงทำเลย ทำตัวเหมือนกับเด็ก
“มันคือโชคชะตาครับ สิ่งที่ผมทำได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว”
น้ำเสียงของเอเธอร์เรียบเฉยแต่หนักแน่น
“โชคชะตาก็ดี คำสั่งก็ดี คนอย่างแกน่ะรึที่จะถูกสองอย่างนี้ผูกมัดเอาไว้”
“ผมนี่แหละครับที่ถูกสิ่งเหล่านั้นผูกมัดไว้ได้ง่ายกว่าใคร ..ให้เทียบ ผมเหมือนตัวตนตรงข้ามจอมมารล่ะมั้งครับ จอมมารน่ะเกิดมาเพื่อแหกกฎ เกิดมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตา และทลายคำสั่งของทวยเทพ เกิดมาเพื่อทำลาย เป็นตัวตนที่มีอยู่เพื่อหักล้างทุกอย่างของโลกนี้ เป็นข้อผิดพลาดของโลกครับ ต่างกับผม ..แต่จะยังไงก็ช่าง”
เอเธอร์พูดตัดบท คงไม่อยากพูดไปมากกว่านี้ เพราะขาดทรงจำขาดหายทำให้ประติดประต่อหลายเรื่องไม่ได้ พูดไปเรื่อยๆคงไม่ต่างกับคนเมาที่มีอะไรเข้าฝันแล้วคิดเป็นจริงเอาตุเอาตะ
แม้ว่าคาลอสจะไม่มีท่าทีมองว่าเอเธอร์เป็นพวกเพ้อเลยก็ตาม
“โชคชะตาสินะ ..แลกกับจุดสูงสุด แกคือตัวตนที่ถูกโชคชะตาผูกมัดเอาไว้ จะบอกอย่างนั้นสินะ”
เอเธอร์หยักไหล่ให้ คาลอสได้ยินก็หัวเราะขึ้นจมูก
“ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกว่าแกไม่ได้สูงไปกว่ากันเลยสักนิด ..การฆ่าแกอาจไม่ได้ยากอย่างที่คิด”
คาลอสควงดาบยักษ์ไปมา และ—-ใส่ทุกอย่างที่มีสุดตัว
แม้ว่าทันทีที่คาลอสใช้ทุกอย่างที่มี เอเธอร์ก็พุ่งมาอัดเวทมนตร์และอาศัยจังหวะแทงทะลุคาลอสข้างในเกราะโต้งๆก่อน
เผลอไป ไม่สิ ไม่ทันตั้งรับต่างหาก ไม่สามารถตั้งรับได้ทำต่างหาก
ถ้าเปิดเกราะมา ร่างของคาลอสน่าจะเป็นรูโบ๋ขนาดเท่ามือคนไปแล้ว
การโจมตีนี้ทำให้คาลอสวูบหมดสติไป
ร่างยักษ์ล่วงลงพื้นอย่างไร้แรงต่อต้าน นอนคว่ำหน้าหมดสภาพ ..
“คุณน่ะแข็งแกร่งนะคาลอส เมื่อตะกี้ถ้าผมปล่อยไว้ ถ้าประมาทยอมให้คาลอสเอาทุกอย่างที่มีใส่ผมจังๆ ผมอาจพลาดแล้วตายเองก็ได้ แต่ก็..ได้แค่นั้นแหละ”
เอเธอร์หลับตาลง ปล่อยให้คาลอสนอนหมดสติ ..ทว่า
วินาทีต่อมาคาลอสก็ลุกขึ้นทั้งๆที่เกราะอิจิสเปื้อนไปด้วยเลือดของตัวเอง คาลอสชี้ดาบมาทางเอเธอร์ แม้ดาบจะสั่งเพราะมือหมดแรง แต่ก็ไม่มีทีท่าจะวางดาบลงแม้แต่น้อย
“รีบไปไหนกัน”
“มันพึ่งเริ่มเท่านั้น ..พูดแบบนี้ได้ใช่มั้ยครับ?”
การต่อสู้ต่อจากนี้ไม่สามารถเรียกว่าการต่อสู้ได้ มันคือการเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว
ผืนหญ้าสีเขียวจะค่อยๆถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงไปทีล่ะนิด ในไม่ช้าพื้นที่รอบๆก็กลายเป็นทุ่งหญ้าสีแดงแทนที่พื้นหญ้าสีเขียว
****
แม้จะวิ่งมาได้ไกลแล้ว แต่ทหารหลายคนก็จำสังเกตุผมได้และเข้ามาโจมตีกัน ทำให้ผมเคลื่อนไหวได้ช้าไปมาก
โชคดีที่ช่วยยุ่งยากอย่างนั้น ยูจิและเรย์ก็หนีจากเนื้อมมือของคาลอสมาช่วยผมได้
แม้ทั้งสองคนจะยังอ่อนเรื่องพลังถ้าเทียบกับผม แต่จำนวนมันช่วยให้รับมือหลายอย่างง่ายขึ้น
“ฟังนะ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ไปช่วยหนิงได้ช้ามากๆแน่ ถ้าปล่อยไว้ล่ะก็–มีสอดแน่!”
สอดก็นั่นแหละ สอดอะไรสักอย่างเข้าไปในตัวคน
เรย์หน้าซีด ยูจิหน้าเหวอ
“สอดนี่คือ”
ไม่เข้าใจซะนั้น
“เดี่ยวอธิบายเอง”
เรย์อาสาอธิบายให้ยูจิฟัง ใช้เวลาแค่สิบวิก็จบการอธิบาย ยูจิได้ยินก็หน้าซีคเหมือนกัน
“ตะ ต้องรีบช่วยแล้วครับ!”
“เพราะอย่างนั้นแหละ เรย์ช่วยถ่วงเวลาพวกทหารที ไม่จำเป็นต้องชนะ สู้โดยกะถ่วงเวลาอย่างเดียวพอ ให้เคียวยะช่วยวิเคราะห์หรือไม่ไหวก็เรียกเอเธอร์มาช่วย”
เรย์พยักหน้ารัวๆ รับคำง่ายมาก
“พวกเอ็งสองคนนำไปก่อนเลย”
“ช่วยได้มากเลย”
“จะรีบไปช่วยคุณหนิงเป็นการตอบแทนนะครับ”
ด้วยเหตุนี้ทำให้เหลือแต่ผมและยูจิ
****
หนิงนั่งอยู่บนเตียงขนาดยักษ์ เตียงสร้างจากวัสดุที่ดีที่สุดบนโลกและถูกตกแต่งอย่างหรูหรา เป็นเตียงของราชวงศ์ที่มีไว้เพื่อสืบทอดทายาท
ภายในห้องนอกจากเตียงแล้วก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น เป็นห้องมืดๆและมีประตูบานใหญ่กว้าง 3 เมตรตรงหน้า ซึ่งตอนนี้ก็เปิดอยู่และมีคนอยู่สามคนยืนข้างๆกัน
คนแรกราชาอัลเบโด้ เขาอยู่ในชุดราชายามปกติ
คนที่สองเป็นสาวน้อยอายุราวๆ 10 ขวบ หน้าตาคล้ายกับอัลเบโด้หลายส่วน เพราะอย่างนั้นจึงเป็นเด็กสาวที่มีความสวยสง่าประทับบนหน้า เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กร่างบาง
คนที่สามเป็นชายหนุ่มอายุอยู่คาบกลางระหว่าง 13 ไม่ก็ 14 หน้าตาเหมือนกับอัลเบโด้ แต่หน้าเยาว์วัยกว่ามาก และผมสั้นยาวถึงแค่ติ่งหู ตอนนี้กำลังรู้สึกประหม่า ต่างกับอีกสองคนข้างๆที่มีสีหน้าท่าทางเรียบเฉย ตัวสูงพอๆกับอัลเบโด้
เด็กชายหน้าคล้ายอัลเบโด้หันไปพูดกับอัลเบโด้ด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน
“ท่านพ่อ ..นี่มันไม่เร็วไปหน่อยหรือไงครับ อย่างน้อยสักสามปีก็-”
“พวกเราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือไง อัลเบิร์ต”
อัลเบโด้ตอบกลับอย่างไร้อารมร์ ‘อัลเบิร์ต’ หรือลูกชายคนโตของราชาอัลเบโด้ไม่สามารถตอบคำถามได้จึงเบือนหน้าหนี เขามองไปทางหนิงด้วยใบหน้าที่สับสน
“..แต่ว่า”
“ท่านพี่นั่นไม่ใช่ท่าทางของผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นราชาเลยนะค่ะ”
“..มิร่า”
น้องชายของอัลเบิร์ตและลูกสาวของอัลเบโด้ เธอชื่อ ‘มิร่า’ เป็นคนที่มีบุคลิกใกล้เคียงกับอัลเบโด้ที่สุด
มิร่ามองหนิงอย่างไม่ให้ค่าอะไรเหมือนอย่างอัลเบโด้ ต่างกับอัลเบิร์ต ต้องบอกว่าอัลเบิร์ตต่างกับทุกคนมากกว่า ..
“ถะ ถึงยังไงเขาก็เป็นพี่สาวนะ”
“ท่านพี่นั่นน่ะคำต้องห้ามนะ”
อัลเบิร์ตสะดุ้งโหยงกับคำเตือนรีบหันไปมองอัลเบโด้ ซึ่งน่าจะกลัวมากเกินเหตุ เพราะอัลเบโด้ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษแล้วตอนนี้
“พี่สาวเหรอ? จำไม่เห็นได้เลยว่าเจ้าหญิงมังกรจะถูกนับว่าเป็นหนึ่งในเลือดราชวงศ์ด้วย”
“..นั่นสิ..นะครับ”
อัลเบิร์ตสูดลมหายใจเข้าปอด และหันหน้าไปมองหนิง
ตอนนี้หนิงอยู่ในชุดนอนบางและน้อยชิ้น และเป็นชุดที่เปิดผิวมากด้วย หากตั้งใจมองสักหน่อยคงเห็นทุกจัดของร่างกายแล้ว เป็นชุดที่มีไว้เพื่อ..ทำกิจกรรมระหว่างคู่รัก
เพียงแต่จุดประสงค์ไม่ใช่การร่วมสัมพันธ์ระหว่างคนรัก แต่เป็นการให้กำเนิดอาวุธ เป็นขั้นตอนการสร้างอาวุธ
ไม่มีความรักเจือปนในพิธีนี้ อัลเบโด้ตั้งใจอย่างนั้น
“ทำซะ”
“ครับ..!”
อัลเบิร์ตกัดฟันพุ่งตัวไปกดหนิงลงเตียง เขาฝืนจ้องหน้าหนิงด้วยความรู้สึกหดหู่ และ…พบว่าหนิงนั้นไร้ความรู้สึก
หนิงมีสีหน้าที่เรียบเฉย ไม่ได้มองหน้าอัลเบิร์ตแม้แต่น้อย กลายเป็นมนุษย์ที่เหมือนกับตุ๊กตา
อัลเบิร์ตรู้สึกแย่ขึ้นมา แต่ก็ต้องทำต่อเพราะมันคือหน้าที่
“เอ่อ..คือ..”
“เร็วสิ”
คนที่พูดไม่ใช่อัลเบโด้หรือน้องสาวมิร่า หากแต่เป็นหนิงที่มองออกไปไกลที่ไหนสักแห่ง
“..คือ”
“จะรออะไรอยู่ล่ะ” หนิงเม้มปาก “นายที่พึ่งรู้จักชื่อเป็นคนดีไม่ใช่เหรอ เป็นห่วงความรู้สึกฉันก็รีบๆทำให้ ช่วยทำให้ทุกอย่างมันจบที ..ขอร้องล่ะ”
อัลเบิร์ตนิ่งไป ..เขาตอบรับคำขอร้องของหนิง
อัลเบิร์ตสัมผัสหน้าอกที่ใหญ่พอดีมือ เป็นหน้าอกที่ดี ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ทั้งสัมผัสและขนาดที่ลงตัว
ทั้งอย่างนั้นกลับไม่มีความสุขเกิดขึ้นเลย
เรื่องราวดำเนินไป การทำพิธีดำเนินไปตามที่ควร ทุกอย่างเป็นไปโดยรีบ จากที่จับหน้าอกก็ค่อยๆเปลื้องผ้าออก
อัลเบโด้ยืนดูการทำพิธี และนึกย้อนไปถึงเมื่อก่อน นึกย้อนหลายๆอย่าง ท่าทางของเจ้าหญิงมังกรคนนั้น จนไปถึงคำพูดสุดท้ายของเจ้าหญิงมังกรที่เขารัก ทั้งหมดไหลเข้าหัวอัลเบโด้
..อัลเบโด้มองหนิงที่มีสีหน้าคล้ายคนอยากตาย และเห็นภาพซ้อนทับเป็นคนรักของตัวเอง ซึ่งเปรียบเทียบกันแล้ว แตกต่างราวฟ้ากับเหว
เด็กคนนี้ไม่ได้มีความสุข ต่างกับเจ้าหญิงมังกรคนก่อนที่มีความสุข
คำพูดสุดท้ายของเธอคือ?
‘เพราะเด็กคนนี้ฉันเลยตายทั้งๆที่ฉันไม่อยากตาย’
แล้วคำพูดสุดท้ายของอัลเบโด้ที่มีให้เธอคืออะไร?
‘ฉันจะสร้างอาณาจักรที่เด็กคนนี้สามารถมีความสุขให้ได้ ..จะทำให้ได้’
..ทุกอย่างพังหมด ไม่สามารถถึงฝั่งฝันได้ ทั้งหมดเป็นเพราะคำพูดของเจ้าหญิงมังกรที่ทำให้อัลเบโด้กลับลำ ที่ทำให้อัลเบโด้เคียดแค้นแทนที่จะให้ความรักกับเจ้าหญิงมังกรคนใหม่ตามที่บอกเอาไว้
ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าหญิงมังกรคนก่อน แต่..คำพูดสุดท้ายของอัลเบโด้ ทำไมมันถึงได้ไร้น้ำหนักขนาดนี้กัน
เพราะเจ้าหญิงมังกรเกลียดเด็กคนนี้ อัลเบโด้จึงมอบความทุกข์ให้กับเด็กคนนี้ นั่นเรียกว่าการแก้แค้นได้สินะ ..ใช่ มันคือการแก้แค้นแน่ๆ แก้แค้นเด็กคนนี้ แต่ว่าเพื่ออะไรกัน
เพื่อความสะใจเหรอ ไม่เลย ตลอดมาอัลเบโด้ไม่เคยมีความสุขกับการทำร้ายเด็กคนนี้เลย
เพื่อแก้แค้นแทนเจ้าหญิงมังกรคนก่อนเหรอ? ไม่เลย เจ้าหญิงมังกรคนก่อนไม่ได้เลย
เพื่อปลดปล่อยเจ้าหญิงมังกร เพื่อไม่ให้เจ้าหญิงมังกรต้องทุกข์มากเมื่อสุขมากเหรอ? ไม่ใช่ อัลเบโด้ไม่เคยคิดแบบนี้
เพื่ออาณาจักร? เจ้าหญิงมังกรเกิดเพื่ออาณาจักรอยู่แล้ว มีสิทธิ์ไปเรียกร้องอะไรเธออีกกัน
แล้วเพื่ออะไรล่ะ? อัลเบโด้รู้อยู่แก่ตัว
มันก็เพื่อปกป้องตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องคนรักได้ จึงเอาทุกอย่างมาลงกับเจ้าหญิงมังกรผู้น่าสงสาร โดยอ้างว่าเจ้าหญิงมังกรไม่ถูกรักโดยเจ้าหญิงมังกรคนก่อน ถ้าไม่มีเจ้าหญิงมังกรคนนี้ เจ้าหญิงมังกรคนก่อนก็จะไม่ตาย
อ้างอย่างนั้น แค่อ้างเท่านั้น
..ตลอดมา ..อัลเบโด้แค่อ้างเพื่อตัวเองเท่านั้น
เพื่ออาณาจักรนี้อะไรกัน เจ้าหญิงมังกรเป็นแบบนี้เพราะอัลเบโด้ต่างหาก เธอทรมานเพื่อเยียวยาความรู้สึกอัลเบโด้ ..อ่า
อัลเบโด้..น้ำตาค่อยๆเอ่อขึ้นมา มันไหลลงแก้มก่อนหยดลงพื้น
เจ้าหญิงมังกรคนก่อนไม่เคยบอกให้อัลเบโด้ทำอย่างนี้ ..ตอนนี้มีแต่ต้องดำเนินการณ์ต่อเท่านั้น เพราะคนเราไม่สามารถย้อนอดีตได้
“..ทุกอย่างพังหมดแล้ว”
มิร่ามองอัลเบโด้ข้างๆ มองพ่อตัวเองที่แตกสลาย
“..ท่านพ่อ”
ในห้วงเวลานั้นเอง
ตึกๆๆๆๆๆ
เสียงฝีเท้าดังสนั่น อัลเบโด้ที่คล้ายคนไร้สติจึงเรียกสติกลับมาได้และมองซ้ายขวาไปมาเพื่อหาที่มาเสียงเท้า
อัลเบิร์ตหยุดสัมผัสร่างหนิงเขาหันซ้ายหัวขวาไปมาอย่างตื่นตระหนก หนิงมองเพดานและส่งเสียงตกใจ
หนิงมองขึันไปข้างบนและดวงตาที่เศร้าหมองก็ค่อยๆปรากฏประกาย
“..ไม่จริง”
หนิงพึมพำเบาหวิว ..
เห็นอะไร”
อัลเบโด้ถาม หนิงไม่ตอบ เธอยิ้มกับตัวเอง เป็นใบหน้าของผู้หญิงที่อยู่ในความรักไม่ผิดแน่
นั่นทำให้อัลเบโด้อึ้งไป ..และคิดถึงเจ้าหญิงมังกรคนนั้นอีกแล้ว ใบหน้าเธอตอนนี้คล้ายกับเจ้าหญิงมังกรที่รักของตัวเองเมื่ออดีต
“..ทะ ท่านพ่อ”
อัลเบิร์ตพึมพำเสียงสั่นอยู่ข้างหน้าขณะที่คร่อมอยู่บนตัวหนิง เขาดูตื่นกลัวมากในตอนนี้
นี่ไม่ใช่เวลามาลำลึกอดีต อัลเบโด้รู้ดี
“ถอยออกมาซะอัลเบิร์ต”
อัลเบโด้กล่าวเตือน
“เอ—”
ไม่ทันแล้ว
พริบตาเดียว
อัลเบิร์ตถูกต่อยกระเด็นไปชนกับประตู ร่างปลิวผ่านร่างอัลเบโด้และมิร่าไปคาตา
ทั้งสองรู้อยู่แล้วแต่ตอบโต้ไม่ทันจึงได้แต่ถอนหายใจและเขม่นใส่ผู้มาเยือน
“..ผู้บุกรุกสินะ” อัลเบโด้พูด
ตรงหน้ามีชายหนุ่มอยู่สองคน
นั่นคือยูจิและเรเซอร์
ยูจิเดินไปบังตรงหน้าหนิง ยืนขวางหนิงไว้ไม่ให้อัลเบโด้มองมา เรเซอร์ยืนอยู่ข้างๆและวิเคราะห์สถานการณ์
“มาช่วยแล้วครับ”
“ไม่เห็นต้องมาเลย” หนิงตอบเสียงสั่น
ยูจิยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่เห็นว่าเป็นแบบนั้นเลยนะครับ”
หนิงยิ้มอย่างมีความสุข เธอกำลังดีใจ กำลังมีความสุข ต่างกับก่อนหน้านี้
“ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง ..จะถามทำไมเล่า”
“นั่นสินะครับ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน ยกเว้นเรเซอร์ที่ยืนกอดอกเขม็งใส่
“ลืมตูแล้วว่านั้น”
“ไม่ใช่หรอกน่า ..ขอบคุณนะ”
หนิงพูดด้วยรอยยิ้ม ทำเอาเรเซอร์อึ้งอีกแล้ว เพราะไม่คาดว่าจะตอบโต้มาอย่างนี้
“อะ เอาเถอะ เห็นยิ้มได้ก็ดีแล้ว ทางนี้ขอโทษด้วยล่ะที่มาช้าไป เพราะทหารที่นี่ค่อนข้างหินเลย ต้องสละเรย์ไปถ่วงเวลาและชี้จุดให้ไปรุมเอเธอร์แทนเชียวนะถึงจะยอมสลัดให้น่ะ” เรเซอร์พูดกึ่งๆบ่นและถอนหายใจ “แล้วก็ฟังนะหนิง ต่อให้เสียพรมจรรย์แต่เธอก็ยังเป็นเธอ หนิงก็คือหนิง อย่าได้ห่วงเลย นี่เป็นเรื่องปกติ แม้ว่าคนปกติในตอนนี้จะลดค่าเธอเพียงเพราะเสียพรมจรรย์แต่พวกเราทุกคนไม่”
จากการวิเคราะห์หนิงและลูกชายของอัลเบโด้กำลังทำพิธีอยู่ อาจจะมาช้าไปก็เป็นได้ดูจากการแต่งตัวแล้ว..
“หา? พูดอะไรอย่างนั้นน่ะ!?”
“อะ อ่าว ยังหรอกเหรอ!?”
“นี่แกกะมาช่วยจริงๆมั้ยเนี่ยยย!!!!?”
เริ่มจะทะเลาะกันอีกแล้ว ยูจิเตรียมตัวห้ามทั้งสองซัดกันทันทีที่พึ่งประกาศว่าจะช่วย
นั่นน่าอายนิดหน่อย
อัลเบโด้มองและเห็นภาพซ้อนทับเป็นตัวเอง คาลอส และเจ้าหญิงมังกร อาจต่างกันไปบ้างหลายอย่าง โดยเฉพาะความรู้สึกหรือบรรยากาศ แต่ก็คล้ายกันแปลกๆ บางอย่างมันคล้ายกัน สิ่งที่พวกตัวเองเสียไปเมื่อก่อนมันปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
..นั่นชวนเจ็บปวดหน่อยๆ
“เอ่ยนามมาซะผู้บุกรุก”
อัลเบโด้พูดขัดทำให้บรรยากาศสนุกสนานจบลง
“ยูจิ”
“เรเซอร์ แกคือราชาอัลเบโด้สินะ?”
อัลเบโด้ไม่ตอบ แต่ออกคำสั่งแทน
“หนิง ..ขอสั่งให้เจ้าฆ่าเรเซอร์และยูจิทิ้งซะ”
บรรยากาศเงียบไป ..สัมผัสได้ว่าอีกไม่นานจะเกิดการต่อสู้ที่มีความเสียหายวงกว้างขึ้นแล้ว
ยูจิมองอัลเบโด้ด้วยแววตาที่โมโห เรเซอร์เห็นก็ถอนหายใจ แตะไหล่ยูจิเบาๆ
“จำที่ฝึกได้รึเปล่า”
“..ครับ”
“วันนี้ใช้ที่ฝึกมาให้หมดซะ โกรธไอ้ราชาบ้านี่ใช่มั้ย? เล่นมันเลยสิ ซัดให้เละเลย”
“เข้าใจแล้วครับ”
แม้จะพูดตอบ แต่สติของยูจิไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ยูจิจ้องแต่หน้าอัลเบโด้ คงไม่ฟังที่เรเซอร์พูดเลย ซึ่งปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ดี
ถ้าปล่อยไว้ ยูจิได้พลาดท่าตายอีกรอบแหงๆ
เรเซอร์จึงสะกิดไหล่ยูจิซ้ำ ยูจิหันมามองและเบิกตาโพงกว้าง
“ไทไฟต์?”
หมัดชนหมัด เรเซอร์ยื่นหมัดมาให้ยูจิ ..
“เมื่อตะกี้อุตส่าห์คุยกันหนุกๆแล้วเชียวนะ จบเรื่องนี้แล้วไปคุยเล่นกันต่อดีกว่า เพื่อการนั้นจะทำให้บรรยากาศมันขาดๆไม่ได้เด็ดขาด จะสนุกก็ต้องสนุกตั้งแต่ตอนนี้ แล้วก็ลากยาวไปถึงตอบจบเรื่อง”
พูดไปนั้นแหละ ความสนุกน่ะจะยังไงก็ช่าง สถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกอะไรด้วย แต่ถ้าสนุกไว้มันจะมองได้กว้างกว่าเก่า
แค่นั้นแหละ
“นายจัดการเจ้าราชาอัลเบโด้ ส่วนฉันจะจัดการหนิง ตามนี้”
ยูจิพยักหน้าให้ และค่อยๆยกหมัดขึ้น
“..นั่นสินะครับ—-มาช่วยคุณหนิงกันเถอะครับ!!”
“ต้องแบบนั้นแหละ”
ยูจิชนหมัดกับเรเซอร์ หมัดพุ่งชนเข้าหากัน แรงมากแต่ไม่เจ็บเลย ไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้กระดูกจะชนกระดูก—ในเวลานี้ทั้งสองยิ้มให้กัน การร่วมมือระหว่างตัวร้ายและพระเอกได้เกิดขึ้นแล้ว
‘ข้อผิดพลาดของโลก’ และ ‘ศูนย์กลางของโลก’ สองตัวตนที่เกิดมาคนล่ะฟากได้ร่วมมือกัน
โชคชะตากำลังถูกเปลี่ยนแปลง เรื่องราวของทวยเทพทั้งหมดกำลังถูกบิดเบือนและได้เวลาแก้ไข
คล้ายกับยุคโบราณ คล้ายกับเรื่องราวของจอมมารดิลุคในอดีต ข้อผิดพลาดของโลกกำลังนำพาโลกนี้ไปสู่บทต่อไป
คราวนี้ข้อผิดพลาดของโลกจะทำให้โลกนี้โกลาหลไปถึงไหน จะฝ่าฝืนหน้ากระดาษของทวยเทพไปได้สักแค่ไหน
มันคือเรื่องต่อจากนี้ เป็นการต่อสู้ต่อจากนี้