< < 79 > >
แผนการณ์บุกประสาทนั้นง่ายๆ ตามที่คุยกันไว้คือเอเธอร์หาทางเข้าไปในประสาท หาจุดที่สามารถทะลวงจากข้างล่างขึ้นมาข้างบนให้พวกผม จากนั้นพวกผมที่เป็นฝ่ายบุกจะทะลวงพื้นขึ้นไปบุกต่อ
ฝ่ายบุกมี ผม ยูจิ และเรย์ เพราะผมกับยูจิมีวิญญาณระดับเทพจึงมีประโยชน์ในการรับมือกับหนิง ส่วนเรย์ก็เอามาช่วยดูหลังให้ยูจิ
ข้างล่างพื้นดินเองก็มีฝ่ายซัพพอร์ตอย่าง เคียวยะและเบลลามี
ตอนนี้พวกเราใช้เวทมนตร์สื่อสารระยะไกลที่เอเธอร์รู้จักในการสนทนากัน เคียวยะจะยืนตาของพวกเราทุกคนใช้และช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ให้ด้วยดวงตามหาปราชญ์ ทำอย่างนี้จะเป็นประโยชน์มากเคียวยะเลยอยู่ฝ่ายซัพพอร์ต
เบลลามีเองก็มีพลังการรักษาเหมือนรีเซ็ตร่างกายได้หนึ่งครั้งต่อวัน ถ้ามีใครบาดเจ็บก็เป็นหน้าที่ของเบลลามีฝ่ายซัพพอร์ต
สุดท้ายในกลุ่มคือเอเธอร์ หน้าที่ของเขาคือดูแลความปลอดภัยของฝ่ายซัพพอร์ตพลางเรียกทหารให้มาทางตัวเองให้มากที่สุด แน่นอนหน้าที่จะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ถ้าเกิดพวกผมไปจะเอ๊กับคาลอสเข้าเอเธอร์จะรีบมาช่วยทันที หรือพวกผมคนใดคนหนึ่งบาดเจ็บหนักก็จะรีบเอาไปส่งให้เบลลามีรักษา
ถ้าแผนการณ์ล้มเหลว เอเธอร์ก็จะมาดึงตัวพวกผมทุกคนถอยกลับ
บอกว่าเป็นตัวแบกของแผนยังได้เลยเอเธอร์น่ะ
ถ้าไม่มีเค้า ผมคิดว่าพวกเราคงไม่สามารถเข้ามาในประสาทได้หรอก
ยังไงก็ช่าง ตอนนี้จำเป็นต้องคิดแต่เรื่องหน้าที่ตัวเอง—-ผมวิ่งไปตามทาง ไม่มีทหารเลยสักคนเพราะเอเธอร์ดึงความสนใจทั้งหมดไป ทหารที่วิ่งผ่านก็ไม่มีเวลามาใส่ใจผม
ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี
ยูจิและเรย์วิ่งตามผมมาติดๆ ตอนนี้พวกเราไม่ได้คุยอะไนกันสักคำเดียว เพราะคุยเรื่องแผนทั้งหมดไว้แล้ว แม้แต่แรงกระเพรือมปากก็ควรเก็บไว้เป็นพลังงานฉุกเฉิน
พวกเราวิ่งกันได้ไม่นานก็เจอเข้ากับปัญหา
เกราะสีเงินแวววับ มีผ้าสีแดงตัดบ้างตามตัว ร่างใหญ่และสูง ไม่เห็นใบหน้าเพราะตอนนี้สวมหมวกเหล็กสีเงินไว้อยู่
ผมจำรูปลักษณ์ของเกราะนี้ได้ดี เกราะที่อาจจะแข็งแกร่งที่สุดบนโลก เกราะของราชาอัศวิน ’อิจิส’
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีใครสามารถสร้างรอยแผลให้เกราะอิจิสอันนั้นได้เลย เคยคิดเล่นๆว่าถ้าต้องการผมสามารถฆ่าคนที่อยู่ภายในเกราะได้ มีโอกาสเป็นไปได้ แต่การทำลายเกราะอิจิสให้พังไปด้วยมันเป็นไปไม่ได้
บนโลกนี้ คนที่ผมคิดว่าทำลายมันได้คงมีแค่จอมมารเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่คนในยุคปัจจุบันจะทัดเทียมได้ อย่างเอเธอร์ผมก็ไม่คิดว่าจะทำลายเกราะอิจิสได้ ต่อให้เอเธอร์จะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่เขาก็มีข้อจำกัดเรื่องมานาที่น้อยนิดอยู่
ยังไงก็ช่าง ถ้าคาลอสมาก็แค่ทำตามแผน
“โชคดีล่ะ” ผมอวยพรให้สองคนข้างๆ
ผมวิ่งผ่านคาลอสไป ใช้ตัดมิติเร่งการเคลื่อนที่ด้วย แน่นอนว่าไม่มีทางโดนเมิน คาลอสดึงดาบมาและเหวี่ยงสุดแรง ทำทั้งหมดโดยไม่พูดอะไร ลงมือปิดชีพผมโดยไม่บอกสักคำ
ด้วยทักษะการก้าวเท้าของคาลอส ทำให้เขาย่นระยะมาหาผมได้มาก แม้ผมจะออกวิ่งหรือใช้ตัดมิติช่วยวิ่งผ่าน ดาบของคาลอสมันสามารถสะบั้นตัวผมขาดสองท่อนได้ถ้าโดนจังๆ
เพียงจังหวะเดียว คาลอสก็มีโอกาสฆ่าผมแล้ว ทุกการออกดาบคือจังหวะฆ่าคนดีๆนี่เอง นั่นแหละผู้ที่ได้รับเลือกให้สวมใส่เกราะราชาอัศวิน ตัวเขาในฐานะนักดาบเดิมทีก็แข็งแกร่งเกินพวกนักดาบขั้นบรรลุด้วยกันโขแล้ว ยิ่งมีเกราะราชาอัศวิน และถือครองดาบที่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อเหวี่ยง มันยิ่งช่วยให้คาลอสมีขีดจำกัดพลังเกินขอบเขตุมนุษย์
ปฎิเสธไม่ได้ว่าในยุคปัจจุบัน คาลอสคือหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่มนุษย์จะไปถึงได้
ถึงกระนั้นผมก็เมินดาบที่แสนอันตรายของคาลอส—เพราะมันอยู่ในแผนแล้ว
แขนสีฟ้าพุ่งมาหักล้างวิทีดาบของคาลอสให้ไปผิดทางกับที่เหวี่ยงไป
ยูจิพุ่งออกมา ใช้มือที่อยู่ข้างขวาอัดเวทมนตร์ไว้และซัดเข้าที่ลิ้นปี่ และไม่สามารถสร้างความเสียหายให้คาลอสได้แม้แต่จะเขยื้อน ที่สำคัญคาลอสยังจงใจรับไว้ด้วยเพื่อที่จะฆ่ายูจิทิ้ง
คาลอสยกดาบขึ้นฟ้าและเหวี่ยงลงมา—เรย์พุ่งมาเตะยูจิออกจากระยะดาบ และทิ่มดาบหวังจะใช้จุดเผยผิวบนเกราะ
คาลอสสะบัดแขนหลบ เตะเรย์จนกระเด็นและเหวี่ยงดาบใส่ยูจิ
การเคลื่อนไหวคาเดาได้ง่าย แต่ไม่สามารถป้องกันไว้ได้ เพราะความเสียหายมันมหาศาล จึงทำได้แค่หลบหลีกโดยการใช้หักล้างเบี่ยงวิทีดาบ
ยูจิเพ่งสมาธิเพื่อรับมือคาลอสทุกๆทาง
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นคาลอสก็แอบหัวเราะขึ้นจมูก
“แข็งแกร่งขึ้นผิดหูผิดตาเลย”
คาลอสกล่าวอย่างแปลกใจ ผมเองก็แอบตกใจนิดหน่อยที่ยูจิยกระดับตัวเองขึ้นมาอยู่ในจุดที่พอถ่วงเวลาคาลอสไว้ได้
ยูจิพัฒนาได้เร็วจนน่าขนลุก น่าสยองเลยล่ะ
การต่อสู้ครั้งนี้ ยูจิจะใช้หักล้างช่วย และมีเรย์คอยช่วยเวลาไม่สามารถหลบได้ทัน กลับกันยูจิก็ใช้หักล้างช่วยเรย์ด้วยเหมือนกัน ทั้งยังมีดวงตามหาปราชญ์ของเคียวยะช่วยจากเบื้องหลังอีก
ทั้งหมดทำให้พอรับมือคาลอสไหว
ถ้าช่วงแรกเริ่ม คงหายห่วงไปได้สักพัก แต่ระหว่างออกดาบ ดาบของคาลอสจะเร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่แค่นิดเดียวก็ดี หน้าที่ของทั้งสองคือถ่วงเวลาคาลอสไว้อยู่แล้ว
แผนคือรอให้เอเธอร์มารับช่วงต่อ
ผมเชื่อทั้งสอง คิดว่าทำไหวแน่ๆจึงวิ่งออกไปสุดแรงเกิด เพื่อไปช่วยหนิง เพราะผมก็คือตัวหลักในการช่วยหนิง
ต้องทำทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
****
ฉันคืออัจฉริยะ ตั้งแต่กำเนิด เป็นอัจฉริยะโดนกำเนิดใครๆก็ว่าอย่างนั้น แม้จะเป็นผู้หญิงแต่ก็มีร่างกายที่ดีกว่าพวกผู้ชายมาก
ตั้งแต่เด็กฉันก็จับดาบแล้ว ลองเหวี่ยงๆดูสักพักตอนอายุราวๆ 8ขวบ ก็ขึ้นเป็นนักดาบขั้นสูงซะแล้ว เป็นได้เร็วสุดในประวัติศาสตร์ของวงศ์ตระกูลอัศวิน ซึ่งก็ไม่ค่อยน่าภูมิใจสักเท่าไหร่
ต่อมาฉันจึงรู้ว่าตัวเองเป็นคนจากอาณาจักรฟัฟนิร์ และเกิดในตระกูลอัศวินชั้นสูง
ตั้งแต่เกิดฉันก็มีชะตาต้องเป็นอัศวินของอาณาจักรฟัฟนิร์แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้อะไร จะยังไงก็ช่าง
ฉันพยายามฝึกฝนด้วยความรู้สึกที่ว่าจะทำอะไรก็ช่าง ตอนอายุ 12 ปีก็ขึ้นเป็นนักดาบขั้นบรรลุได้แล้ว ในตระกูลไม่มีใครที่แกร่งกว่าฉัน ฉันจึงเบื่อหน่ายและไปฝึกอาวุธประเภทอื่นหลากหลาย ไม่นานก็ไปได้ถึงขั้นสูงของแต่ล่ะอาวุธ
น่าเบื่อ ต่อให้พัฒนาไปถึงจุดสูงในแต่ล่ะอาวุธ แต่ก็ยังมีขีดจำกัดของมนุษย์อยู่ เป็นขีดจำกัดทางร่างกายซึ่งไม่สามารถก้าวข้ามได้ ฉันเก่งจนชนกับขีดจำกัดได้เร็วเกินเลยเริ่มเบื่อกับชีวิต—พอคิดอย่างนั้น ทันใดนั้นฉันก็ได้พบกับหอก เห็นอัศวินกระจอกคนหนึ่งกำลังฝึกหอกกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยความสนใจ ตัวฉันผู้มากพรสวรรค์จึงขอยืมหอกใช้ฝึก และ-
-ทันทีที่จับมันฉันก็สัมผัสได้ถึงคำว่า ‘จุดสูงสุดของโลก’
ฉันรู้ได้ทันทีว่าถ้าฉันมีอาวุธประเภทนี้ ถ้าฉันได้จับหอก ต่อให้ใครหน้าไหนฉันก็สามารถเอาชนะได้ ต่อให้มีขีดจำกัดของมนุษย์อยู่มากมาย แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะต้านทานหอกที่ฉันเป็นคนจับได้
ฉันเอาชนะอัศวินกระจอกทั้งสอง และใช้หอกเป็นอาวุธหลักตั้งแต่เด็ก
ข้ามการเรียนที่วิทยาลัยเวทมนตร์และเข้าหน่วยอัศวินทันที เพียงไม่นานก็ไต่เต้ามาถึงตำแหน่งรองหัวหน้าอัศวินประจำหน่วยได้แล้ว
ทำทั้งหมดได้ทั้งๆที่อายุแค่ 17 ปี เท่านั้น ฉันกลายเป็นมือหอกอันดับต้นๆของอาณาจักรซะแล้ว และมีอัตราการเติบโตยิ่งกว่านี้ในอนาคต
หึๆ จะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลกด้วยหอกให้ดู
ฉันฝึกฝนอย่างหนักทุกวัน และทำงานคุ้มครองประสาทลอยฟ้า ‘เทล่าเทล’ วันนี้เองก็เหมือนกับทุกวัน เพียงแต่จู่ๆก็มีสัญญาณเตือนเรียกกำลังเสริม คงจะโดนบุกประสาทล่ะมั้ง
มีแต่พวกโง่เท่านั้นแหละที่กล้าบุกเทล่าเทล
ฉันหัวเราะขึ้นจมูก หยิบหอกขึ้นมาควงสักสามรอบและก้าวเท้าไปตามสัญญาณเตือน
ระหว่างที่กำลังเดิน ฉันก็ได้พบกับผู้บุกรุกเข้า แต่ไมได้อยู่ตรงจุดเรียกรวมพล
เป็นเด็กที่อายุพอๆกัน ผมสีเหลืองและมีดวงตาสีแดงเข้มเป็นเอกลักษณ์
ร่างกายค่อนข้างแข็งแรง น่าจะแกร่งเอาเรื่องแต่ไม่เท่าฉันคนนี้ และจากที่ดูการแต่งตัวก็–ผู้บุกรุกชัดๆ
หมอนั่นวิ่งมา ไม่ได้ชายตามองฉันด้วยซ้ำ
กล้าหยามกันได้
ฉันหยิบหอกขึ้นมาแทงใส่ทันที
การต่อสู้จบลงในคราเดียว คิดอย่างนั้นแท้ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมันเป็นอย่างนั้นแท้ๆ แต่—-ไอ้บ้านั่นมันหลบหอกของฉันคนนี้ได้ ฉันที่จะใช้หอกไปสู่จุดสูงสุดของโลก
แรกเริ่มฉันตกใจ ดึงหอกมาสะบัดและโจมตีใส่รั่วๆ ใช้การทิ่มแทงอย่างรวดเร็ว แม้แต่หัวหน้าหน่วยถ้าวัดแค่ฝีมือก็ชนะฉันไม่ไหว
แต่ทั้งหมดถูกหลบไว้ได้ ด้วยเวทมนตร์แปลกๆที่สร้างฟิลด์บนพื้นดิน
เวทย์อะไรว่ะเนี่ย!!
ได้ยินแค่เสียงปากหมอนั่นที่พูดเบาหวิวว่า [เอิร์ธฟิลด์]
จากความตกใจเริ่มเปลี่ยนมาเป็นความกลัว ไม่ได้กลัวอีกฝ่าย แต่กลัวในความไร้พลังของตัวเองที่โดนอีกฝ่ายที่อายุพอกัน หลบท่าที่ฉันมั่นอกมั่นใจได้ง่ายๆ
อยากจะร้องไห้ ถ้าไม่ใช่สถานการณ์คอบาดขาดตาย ฉันนั่งร้องไห้กอดหอกข้างกายไปแล้ว
ฉันรีบหันหลังกลับไปและโดนต่อยเข้าที่ปลายคางจนได้แต่ลงไปนอนกองกับพื้น
ถ้าอีกฝ่ายจะฆ่า แค่ใช้เวทมนตร์ใส่ตัวให้ฉันตายก็พอแล้ว แต่ไม่ทัน หมายความว่าโดนอ่อนให้ ทั้งๆที่เป็นผู้
สติสัมปชัญญะค่อยๆหาย แต่ยังเห็นหน้าของคนที่ทำให้ฉันเสียหน้าได้ขนาดนี้ได้อยู่
ผมสีเหลือง ดวงตาดุดัน ร่างกายแข็งแกร่ง ตัวสูงเกินมาตรฐาน ..เพียงชั่วเดียว ความรู้สึกที่เหนือกว่าก็โดนถมทับด้วยเวทมนตร์แปลกๆ จนตอนนี้ฉันรู้สึกว่าหมอนั่นแข็งแกร่งจนน่ากลัว
พอชนะฉันได้ก็ได้สบตากันครั้งแรก
ดวงตาดูดุดันนั่นทำให้ฉันรู้สึกใจฝ่อขึ้นมา
“อะไรกัน..อายุน้อยจริงนะ”
หมอนั่นพึมพำแบบนั้น แต่พูดจบก็หมดความสนใจและวิ่งตามทางไปต่อ
ไม่ได้สนใจฉันที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ทำเหมือนพลังของฉันเป็นเรื่องปกติเหมือนกับที่เอาชนะฉันได้ง่ายๆ
นั่นสินะ มันก็เรื่องปกติจริงๆนี่นา พอคิดแล้วชนะฉันได้อย่างง่ายดาย อายุเท่ากันแท้ๆ ..เรื่องปกติเหรอว่ะ ชนะฉันเลยนะ ฉันคนนี้เชียวนะ อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นคนปกตินะ
..เจ็บใจนัก
ฉันได้แต่กำหอกและนอนน้ำตาร่วง
****
วิทีดาบแหวกว่ายอากาศไปมาหลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งเป็นการโจมตีที่มากพอจะฆ่าคนให้ตายในอึกใจเดียว
ยูจิและเรย์ต่างหลบดาบของคาลอสอย่างเอาเป็นเอาตาย หลายครั้งที่หวุดวิดจะโดนปริดชีวิต แต่ยังสามารถรับมือได้อยู่จนถึงปัจจุบันนี้น่ะนะ
ดาบของคาลอสแรงขึ้นและเร็วขึ้น กลายเป็นดาบที่จะทรงพลังขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้เหวี่ยง แต่ไม่ใช่แค่เพราะพลังจากตัวดาบ ทักษะของผู้ใช้เองก็มีผลมาก เมื่อดาบแรงและเร็วขึ้น การจับหรือการปล่อยท่าโจมตีก็เปลี่ยนไปด้วยตลอด เรื่องระยะ เรื่องความรุนแรง หลายๆปัจจัยเพิ่มเข้ามา บีบบังคับให้ตัวผู้ใช้ใช้ได้ยากขึ้นแลกกับแรงดาบ
ทว่า ตัวดาบและทักษะยังคงเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ยังโจมตีได้อย่างมั่นคงเหมือนทุกที ทั้งๆที่ตัวผู้ใช้ควรมีข้อจำกัดในการใช้งานมากขึ้น แต่กลับเหมือนเดิม
นั่นแหละที่ช่วยบอกความแข็งแกร่งของคาลอสได้ดี—ไม่ใช่แค่ดาบหรือเกราะที่ทรงพลัง คาลอสยังเป็นผู้ถือครองที่คู่ควร เป็นคนที่มีคุณสมบัติทำให้ดาบเล่มนี้ไม่มีข้อจำกัดการใช้งานได้
และจากที่พวกยูจิพอจะรับมือได้ ทุกครั้งที่ได้แลกจังหวะต่อสู้ คาลอสก็ได้เร่งขีดจำกัดตัวเองและทำให้การต่อสู้ขาดลอย
เรย์ถูกคาลอสใช้แรงดาบซัดจนกระเด็น ยูจิถูกคาลอสใช้ปัจจัยอื่นนอกจากดาบเล่นงานจนหักล้างใช้ไม่ทัน และกลิ้งไปมากับพื้นหลายครั้ง และมีแนวโน้มว่าจะไม่จบแค่กลิ้งไปมาต่อจากนี้
“ยูจิ!”
เรย์ผละยูจิออกจากระยะดาบเหมือนหลายๆรอบ แต่ครั้งนี้กลายเป็นว่าเรย์ได้แผนถากๆแทน
“อึก!”
แต่แผลถากๆก็กระจายขึ้นเป็นแผลขนาดใหญ่บริเวณแขนข้างที่ถนัด จากแผลที่ควรถากๆจะกลายเป็นแผลขนาดใหญ่ นี่คือตัวอย่างพลังของดาบของคาลอส
“คุณเรย์!!—อุ้ก!!!”
ยูจิถูกคาลอสใช้แขนอัดเข้าที่ท้องและดันให้ลอยขึ้นฟ้า พร้อมกับยกดาบยักษ์ตัวเองกวาดขึ้นฟ้า
ยูจิใช้หักล้างใส่ร่างตัวเองให้หลบได้สิวเสียด คาลอสก้าวเท้าเหวี่ยงดาบใส่ซ้ำ และเป็นอันดีในการปิดฉากยูจิที่เป็นแค่เป้านิ่ง
แน่นอนว่ายูจิไม่ยอมเตรียมการใช้ตัดมิติ แต่ ..ร่างของยูจิลอยไปจนไม่เห็นวิทีดาบของคาลอส ยูจิเลยใช้การจับจังหวะเอา
“ฮึย..!”
ได้ยินเสียงคาลอสแล้ว แต่ก็ยังไม่ป้องกันเพราะไม่ได้ยินเสียงดาบแหวกอากาศของคาลอส
และนั่นที่ทำให้ยูจิพลาด
“..เอ๊ะ”
ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหน แต่ก็ไม่มีเสียงแหวกอากาศอะไรทั้งนั้น รู้ตัวอีกทีร่างของยูจิก็โดนฟันจนแหว่งเสียก่อน
ยูจิหน้าเหวอและนอนมองคาลอสจากพื้น เรย์หน้าซีดและวิ่งเข้าใส่คาลอสสุดแรง
“นี่แก———–”
คาลอสเหวี่ยงดาบมา เรย์หลบ และเรย์โดนคาลอสย่นระยะเข้าไปแทงเข่า
“อึก!!!”
ร่างของเรย์ลอยขึ้นฟ้าคาลอสจับเหวี่ยงกระแทกพื้น
จากนี้ก็ควรจะใช้ดาบแทงเรย์เป็นการปิดฉาก แต่
“จะไว้ชีวิตแกล่ะกัน ลูกชายจากบ้านคามาเลีย”
คาลอสรู้จักตระกูลของเรย์จึงเลือกใช้วิธีไม่ถึงตาย และลุกขึ้นเดินมาทางยูจิแทน
ร่างของยูจิแหลกจากดาบที่ไร้เสียงของคาลอส นี่ว่าไม่น่าเชื่อแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อกว่าคือร่างกายของยูจิสามารถกลับมามีเนื้อหนังได้เหมือนเดิม
พลังปริศนาของยูจิ การรักษาตัวขั้นสูง ตั้งแต่คราวสู้กับการ์ปที่ยูจิควรจะตายแต่กลับรอดชีวิตได้แล้ว
คาลอสหรี่ตาลงด้วยความรู้สึกสงสัย
“เป็นพลังการฟื้นฟูที่ไม่น่าเชื่อว่ามาจากมนุษย์”
“ผมไม่รู้เหมือนกันครับ..การลงดาบเมื่อตะกี้”
“เทคนิคดาบไร้เสียง เป็นแค่หนึ่งในวิชาดาบเท่านั้น”
ตอบคำถามจบ คาลอสก็ยกดาบขึ้นมาและแทง——-ทว่าดาบของคาลอสก็ถูกหยุดไว้ได้ด้วยมือเปล่าๆ
ชายชุดสูทสีขาวปรากฏตัวออกมารับดาบของคาลอสเอาไว้
เอเธอร์นั่นเอง
“คะ คุณเอเธอร์”
“มาสักที!”
ยูจิโพล่งชื่อเอเธอร์มาด้วยรอยยิ้ม เรย์เองก็แอบดีใจที่เห็นเอเธอร์มาแล้ว คาลอสพอเดาเรื่องราวทั้งหมดได้ไม่ยากจึงคุยกับเอเธอร์ด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นๆ
“ทำตัวได้ไร้เหตุผลตลอดเลยนะแกน่ะ”
“ผมมีเหตุผลของผมแหละครับ”
คาลอสดึงดาบกลับมาและเหวี่ยงดาบใส่ไม่ยั้ง เอเธอร์ใช้มือเปล่าตอบโต้ดาบของคาลอส เป็นสิบเป็นร้อยครั้ง การแลกดาบและหมัดไปมาของทั้งสองทำให้ผุดไอร้อนขึ้นรอบๆตัวทั้งสอง
ทำขนาดนั้นแล้วเอเธอร์ยังว่างพอหันหน้า แบบหันหน้ามาจริงเพื่อคุยกับยูจิได้อีก
“รีบไปเถอะครับ”
“อะ ..อื้อ!”
ยูจิลุกขึ้นและวิ่งไปดึงเรย์มาด้วย และทั้งสองก็วิ่งไปสมทบกับเรเซอร์
คาลอสผละตัวออกจากเอเธอร์ และจะวิ่งตามหลังพวกยูจิไป แต่ก็โดนเอเธอร์ต่อยไปชนกับกำแพง และใช้เวทมนตร์สายฟ้ากดเอเธอร์คากำแพง กะจะให้สายฟ้าทำให้ร่างกายเอเธอร์เคลื่อนไหวลำบาก
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!! สายฟ้าเสียดสีกับเกราะอีจิสจนส่งเสียงน่ารำคาญออกมา
ทำได้ไม่กี่วิ คาลอสก็ตบมือของเอเธอร์ออก และเอาหัวชนหัวใส่เอเธอร์—สติเอเธอร์วูบไปชั่วขณะ ควรตายแต่ทำได้แค่วูบ
“หัวแข็งดีนะครับ”
ถึงจะวูบแต่ก็คุยได้ปกติ เป็นความประหลาดอย่างหนึ่งของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้
คาลอสอาศัยจังหวะนั้นใช้ดาบฟาดเข้ากลางตัวจนเอเธอร์ปลิวทะลุกำแพงลงไปข้างใต้ประสาทลอยฟ้า
เกิดรูโบ๋รูปคนบริเวณใต้ประสาทขึ้น แต่ก็คุ้มค่ากับการส่งเอเธอร์ลงไปจากประสาท
“..หือ?”
แต่ยังไม่จบ
มีสัมผัสร้อนๆบนตัวคาลอสจึงรีบหันไปมอง และมีสายสีแดงต่อลงไปข้างล่าง ตรงจุดที่พึ่งส่งเอเธอร์ลงไปข้างล่าง
“เป็นชายที่น่ารำคาญเหลือเกิน”
ร่างของคาลอสโดนดึงออกจากกำแพงและโดนดึงให้ลงไปข้างล่างประสาทไปพร้อมๆกัน
คาลอสดิ่งลงพื้น พร้อมกับเอเธอร์ที่ดิ่งลงพื้นเหมือนกัน
เอเธอร์ยิ้มมีความสุข คาลอสขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างหงุดหงิด
“เคล็ดวิชาดาบ .. [ดาบสะบั้นโลกา]”
สายลมปั่นปวนไม่ใช่แค่สายลม แต่พื้นดินก็แหวกออกจากกัน ทันทีที่คาลอสใช้ดาบฟาดไปสุดแรงเกิด ร่างของเอเธอร์ก็ดิ่งลงพื้นเร็วกว่าเดิมชนิดเทียบไม่ติดจากเดิม เป็นการเสริมแรงจาก [ดาบสะบั้นโลกา] ของคาส
เอเธอร์ดิ่งลงพื้นเสมือนกระสุนปืน
ตู้ม!!!!!! แรงกระแทกทำให้พื้นดินสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว
คาลอสตั้งท่าดาบรอซ้ำอีกครั้ง
แต่ทันทีที่ถึงพื้นดินเอเธอร์ก็พุ่งมาอัดร่างคาลอสปลิวไปก่อน
“–ชิ!!”
คาลอสตั้งหลักใหม่ แต่ก็ไม่วายโดนเอเธอร์พุ่งมาซัดหน้าลงพื้น นั่นไม่ทำให้คาลอสหมดสติ คาลอสตั้งท่าเหวี่ยงดาบตั้งแต่หัวติดพื้น
“สมกับเป็นคาลอส”
เอเธอร์หลบดาบง่ายๆเพราะรู้อยู่แล้ว-คาลอสลุกขึ้นมากระแทกเอเธอร์จนปลิว และเหวี่ยงดาบเข้าใส่ เอเธอร์ปาก้อนหินเข้าใส่และประสานมือเข้าหากัน
ร่างของเอเธอร์วาปมาอยู่ข้างในแทนก้อนหิน
[สับเปลี่ยน] หนึ่งในวิชาไสยศาสตร์ที่เอเธอร์ใช้ได้
เอเธอร์ใช้มือแทงไปกลางจุดที่ป้องกันไม่ทั่วของชุดเกราะ แทงมือเข้าไปข้างในชุดเกราะ ..เลือดพุ่งออกจากภายในชุดเกราะทันทีที่โดนเอเธอร์เล่นงาน
คาลอสปัดมือเอเธอร์ออก และกระโดดถอยหลังเว้นระยะไกลถึง 5 เมตร
“อยู่ข้างล่างสู้สะดวกกว่าน่ะครับ ดีต่อตัวผมและตัวคุณดี ไม่คิดอย่างนี้หรือครับ”
[เคล็ดวิชาดาบ] ของคาลอสเมื่อตอนที่ใช้ตอนลอยกลางอากาศเองก็ด้วย เป็นท่าที่ไม่สามารถใช้บนประสาทได้เพราะความเสียหายมันกว้างเกินไป
ถือว่าเอเธอร์ช่วยสร้างสถานการณ์สู้แบบจัดเต็มของทั้งคู่ให้ก็ได้เหมือนกัน
“คงจะอย่างนั้น”
คาลอสไม่รีรอพุ่งเข้าใส่เอเธอร์อีกครั้ง เอเธอร์เห็นจึงยิ้ยมุมปากอย่างพึงพอใจ
MANGA DISCUSSION