เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 95: เตรียมแผนการณ์ (3)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 95: เตรียมแผนการณ์ (3)
< < 76Sec3 > >
ตอนนี้พวกเรานั่งล้อมวงกันในแคมป์ขนาดใหญ่ซึ่งสามารถบรรจุคนได้เป็นสิบคน เพราะอย่างนั้นเลยไม่มีปัญหาเรื่องความอึดอัด ทว่า–ต่อหน้าเอเธอร์ บรรยากาศมันก็น่าอึดอัดโดยอัตโนมัติ ยิ่งกับท่าทางของเอเธอร์ตอนนี้มันยิ่งไม่น่าไว้ใจ
เอเธอร์ยิ้มแย้มแจ่มใส พลางหยิบยื่นชาและขนมราคาแพงให้ทุกคน
“เชิญครับ”
เคียวยะที่นั่งค้างเอเธอร์รับขนมไว้แบบงงๆ เรย์ที่นั่งข้างเอเธอร์แต่เป็นข้างซ้ายก็รับขนมมาด้วยท่าทางเกร็งๆ
..สัมผัสไม่ได้ถึงความจริงจังในการคุยเรื่องจริงจังเลย นั่นทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นมากับการทำอะไรที่ขัดบรรยากาศ อืม ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ตัวผมก็เริ่มงงในงงแล้วสิ
ไม่นานเอเธอร์ก็แจกจ่ายขนมและชาได้ทั่วถึง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้วเอเธอร์ก็โพล่งขึ้นเปิดเรื่อง
“มาประชุมแผนการณ์ถล่มประสาทราชาอัลเบโด้กันเถอะครับ”
สถานที่อย่างกับมาตั้งแคมป์เฮฮากัน แต่เรื่องที่คุยนี่อาชญากรรมชัดๆ!
ผมถึงกับกุมขมับ
“ฉะ ฉันขอเป็นคนเปิดบทสนทนาแทนได้รึเปล่า”
“เชิญครับ”
เอเธอร์ยิ้มให้ ..นี่ใช่คนที่คิดจะฆ่าผมจริงๆรึเปล่านะ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ไอเบาๆ
ลำดับแรกคุยกับไอริสก่อนดีกว่า
ไอริสนั่งอยู่ข้างๆเคียวยะ วันนี้มาโดยที่ไม่ได้เรียกทหารบุกแต่อย่างไร ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเห็นด้วยกับผมรึเปล่านะ
“รุ่นพี่ไอริส คำตอบล่ะครับ”
“ฉันจะไม่ให้ความร่วมมือค่ะ เพียงแต่”
เพียงแต่?
“ฉันจะทำเป็นไม่รู้เรื่อง เชิญพวกคุณทำกันตามใจชอบได้เลย”
ไม่ได้ยินดีร่วมมือกับผม กลับกันก็ไม่ได้ขัดขวางผม อืม แบบนี้ก็ไม่เลว
“ได้ยินแค่นี้ก็ชื่นใจแล้วล่ะครับ ถ้านั้นก็” ผมชายตามองทุกคน “นอกจากรุ่นพี่ไอริสแล้วมีใครที่ไม่เห็นด้วยกับทางนี้อีกมั้ย?”
ทุกคนส่ายหัวให้ เป็นอันให้ความร่วมมือกับผม ยกเว้นรุ่นพี่ไอริส
เอาล่ะ
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอแนะนำตัว ‘เอเธอร์’ ให้รู้จักก่อนล่ะกัน”
ถึงทุกคนจะรู้อยู่แล้วแต่ผมก็เล่าเรื่องที่เจอกับเอเธอร์ซ้ำอีกครั้ง
สังเกตุได้เลยว่าเคียวยะส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาทางเอเธอร์ตลอดเรื่องเล่า เหมือนจะแค้นใจแทนผมล่ะมั้ง
“เรื่องก็ประมาณนี้ เอเธอร์เขาจะให้ความร่วมือกับเรา”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับทุกคน ผมขอสาบานว่าจะให้ความร่วมมือมือกับทุกคนในที่แห่งนี้”
เอเธอร์กล่าวจบก็จิบชา และยิ้มสวยๆให้ทุกคน
และแน่นอนไม่มีใครไว้ใจเอเธอร์เต็มร้อย
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้แกเป็นคนของอาณาจักรฟัฟนิร์รึไง”
เคียวยะถามด้วยน้ำเสียงเข้มๆ
“เพราะได้พบกับเรเซอร์ทำให้ผมมีเป้าหมายชีวิตใหม่ครับ”
“อธิบายสิ”
“ตอนที่ได้ต่อสู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเรเซอร์”
นั่นไม่ใช่ต่อสู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ นั่นคือการกระทืบคนฝ่ายเดียว–แถมกระทืบแบบกะฆ่าด้วย
“ราวกับมีเรื่องราวไหลย้อนเข้าหัวมากมาย ทั้งหมดทำให้ผมนึกได้ถึงเรื่องสมัยก่อน ..เรื่องที่ทำให้เจ็ดคาบสมุทรวงแตก เรื่องที่โดน ‘ไรเดน อาคาสะ’ หมายหัว นั่นเป็นความทรงจำที่น่าคิดถึงครับ”
หะ? หะ?
“ทว่าจากนั้นไม่กี่ปีไรเดนก็ไม่ให้ความสำคัญกับผมแล้ว เขากลายเป็นหมารับใช้ของอาณาจักรเนลยอนโดยสมบูรณ์ กลายเป็นคนน่าเบื่อครับ ..แล้วผมก็บังเอิญมาเจอกับเรเซอร์ เรเซอร์ในวันนั้นชั่งเหมือนกับไรเดนในวันวาน สภาพเหมือนคนคลั่งในสนามรบเลยครับ”
..พูดอะไรของมันฟร้ะเนี่ย นั่นไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจเลยสักนิด
จำไม่ผิดเอเธอร์เริ่มมีชื่อเสียงเมื่อสิบปีก่อน จากการที่โผล่มาฆ่าเจ็ดคาบสมุทรทิ้งเป็นผักพร้อมกับถล่มกองทัพเนลยอนยับเยินด้วยตัวคนเดียว เรื่องในวันนั้นทำให้เอเธอร์ถูกขนานนามว่าสัตว์ประหลาด และถูกอาณาจักรฟัฟนิร์เชิญมาเป็นกำลังรบคนสำคัญ โดยมี ‘บลาซ’ ที่เวลานั้นยังเป็นจอมเวทย์ราชสำนักอยู่ช่วยดูแล และกลายมาเป็นอาจารย์ของเอเธอร์
จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์มากมายที่สร้างชื่อให้เอเธอร์ อาทิเช่นการเข้าไปลุยเดี่ยวถล่มกองทัพศัตรูนับไม่ถ้วน หรือการที่ถูกอาณาจักรมหาอำนาจอีกสามแห่งเข้ามาชักชวนเข้าพาก แต่ก็ยืนกรานปฎิเสธ แล้วก็อีกมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับไรเดน อาคาสะ ที่ถูกมองเป็นคู่แค้นของเอเธอร์ไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะเก่งขึ้นแค่ไหน ไรเดน อาคาสะก็ไม่สามารถเอาชนะเอเธอร์ได้
เวลาต่อมาอาณาจักรฟัฟนิร์และเนลยอนก็เลิกทำสงครามกัน โดยที่มีเอเธอร์เป็นตัวตั้งในการเซ็นต์สัญญา ทำให้ชื่อเสียงดังกว่าเก่า และจากวีรกรรมมากมาย เอเธอร์เลยได้ชื่อว่า ‘สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด’ ไปโดยปริยาย
แน่นอนเอเธอร์อยู่มานานกว่านั้นมากแล้ว อย่างน้อยในนิยายก็ระบุไว้ว่าเอเธอร์อยู่มาไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปี แต่ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเขาเลย ..ช่วงที่ออกเดินทางก็พยายามหาเบาะแสอยู่ แต่ไม่ได้อะไรเกี่ยวกับเอเธอร์เลยสักนิด
เอเธอร์เหมือนตัวตนที่หลงยุค
“เลือกได้ผมก็อยากสนิทกับไรเดน แต่ก็พลาดไปแล้ว เพราะไปทำเพื่อนเขาตายตั้งสาม ..หรือสี่กันนะ”
ไปฆ่าเพื่อนเขาแท้ๆแล้วทำไมจำไม่ได้ล่ะว่ะเห้ย! เอเธอร์นี่แกกวนประสาทรึไงหะ!?
มีเรื่องอยากจะพูดแล้วอยากบ่นหลายเรื่อง แต่ผมก็กดอารมณ์ไว้โดยการจิบชา
“ถือว่าเป็นการแก้ตัวของผม ผมอยากสนิทกับคนที่คล้ายอาคาสะคนนั้นครับ จึงจะให้ความร่วมมือ”
ไม่ได้ช่วยให้น่าเชื่อถือขึ้นเลย เคียวยะไม่มีทางปล่อยไว้แน่
“โกหกสินะ”
“ใช่แล้วครับ ผมโกหก”
“นี่แก!!” เคียวยะขึ้นเสียงหาเรื่อง
เอเธอร์รับคำตรงๆพลางมองหน้าเคียวยะอย่างสนอกสนใจ ไม่สิ ต้องมองว่ามองตาเคียวยะถึงจะถูก
เอเธอร์ยิ้มมุมปาก ก่อนใช้มือบีบอากาศ-บีบก้อนมานา
“อันตรายนะครับนั่น”
ผมสัมผัสได้ถึงมานาตามอากาศที่สั่นไหว และรอยกระจกแตก เป็นพลังที่เหมือนกับของผม–เคียวยะถึงกับอึ้ง
ให้เดาก็เหมือนเดิม ซ้ำรอยเดิมเมื่อตอนที่เจอกับผม เคียวยะถูกเอเธอร์ ‘ตัดมิติ’ การวิเคราะห์
ดวงตามหาปราชญ์ของเคียวยะไม่สามารถมองความคิดเอเธอร์ตรงๆออก ไม่ถึงกับใช้ดวงตาไม่ได้เลย อย่างมากแค่วิเคราะห์การเคลื่อนไหว เวทมนตร์ที่ใช้ และอื่นๆได้ปกติ แค่ไม่สามารถวิเคราะห์ตัวเอเธอร์ได้หมดเปลือก
“บอกตามตรง ผมสนใจในตัวเรเซอร์จริงๆนะครับ ..เพราะอย่างนั้นแหละเลยจะให้ความมือครับ”
เชื่อได้ที่ไหน
“มีอะไรให้ไว้ใจกัน” ผมถาม
ได้เอเธอร์เข้าพวกก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าโดนหักหลังขึ้นมานี่จบเห่แน่ๆ ถึงฝั่งเอเธอร์จะอ้างได้ว่าการฆ่าพวกผมพร้อมกันตอนนี้ไม่ใช่เรื่องยากก็ตาม
แต่ถ้าตอนนี้ผมยังพอรับมือได้ ง่ายๆคือยังคิดว่ามีโอกาสชนะเอเธอร์อยู่แม้จะน้อยนิด แต่ถ้าโดนลอบกัดสองทางผมเอาไม่อยู่แน่ เป็นไปได้เลยต้องยืนยันความปลอดภัยตัวเอเธอร์ก่อน
“จดหมายของฟัฟนิร์ครับ”
เอเธอร์ยื่นจดหมายมาให้สองฉบับ อันหนึ่งจั่วหัวไว้ว่าของฟัฟนิร์ ส่วนอีกอันเป็นของ ..ชินดร้า คามาเลีย
เรย์หน้าเหวอลุกขึ้นยืนจ้องไปทางเอเธอร์
“ดะ เดี่ยวนะ เรเซอร์นายเคยบอกว่าพี่ชินดร้ายังมีชีวิตอยู่สินะ” ชินยิ้มแย้มแจ่มใส
“น่าๆ อาจจะเป็นจดหมายปลอมก็ได้ เพราะฉะนั้นฝากทีเคียวยะ”
ผมยื่นจดหมายไปให้เคียวยะ หมอนั่นใช้ดวงตามหาปราชญ์วิเคราะห์ราวๆ 3วิ
“ไม่ต้องห่วง จดหมายพวกนี้เป็นของจริง”
“เข้าใจแล้ว”
ผมหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านออกเสียงให้ทุกคนฟัง
ลำดับแรกของฟัฟนิร์
‘ไม่ได้พบกันเสียนานนะต้าวเรเซอร์ เจ้าตอนนี้เติบใหญ่ขึ้นเยอะเลย จากตอนนั้นข้ายังคิดถึงเจ้าอยู่เป็นบางครั้ง ถ้าสนใจร่วมเดินทางกับข้าก็ให้ที่อยู่ติดต่อมา เดี่ยวข้าจะไปรับเอง
‘แน่นอน ข้าไม่คิดบังคับ แล้วที่ส่งจดหมายนี้ก็มีเรื่องจะบอกเจ้าด้วย เกี่ยวกับเป้าหมายของข้าที่ฝากเอเธอร์นำมาให้’
อ่า ผมรู้อยู่แล้วล่ะ ตั้งแต่ในนิยายต้นฉบับ กะจะให้ความร่วมมือด้วย
‘เข้าเรื่อง
‘เจ้าน่าจะรู้จากท่านหญิงยูนาอยู่เรื่องสมัยอดีตบ้างแล้ว เกี่ยวกับเรื่องราวของพี่น้องมหามังกรและการแตกหักกันภายใน อันเป็นที่มาของสงครามมังกรธาตุในอดีต
‘เนลยอนคิดจะฆ่าพวกข้าพี่น้องมหามังกร และคืนชีพ เทพมังกร ขึ้นมา ซึ่งนั่นหมายความว่าเนลยอนต้องการนำพาโลกนี้ไปสู่ความโกลาหลเหมือนเมื่ออดีต เป้าหมายของข้าจึงเป็นการหยุดเนลยอน เอเธอร์เองก็ให้ความมือกับทางข้าเต็มที่ เป็นคนดีนะ เจ้าควรพึ่งพาเขาเยอะๆ
ที่ฝากจดหมายมาหาเจ้าจะบอกแค่นี่แหละ ถ้าเจ้ามีความตั้งใจจะหยุดเนลยอน สักวันข้าและเจ้าคงได้เจอกัน หวังว่าวันนั้นเจ้าจะไม่กล้ายเป็นศัตรูซ่ะละ ถ้าเกิดไม่ใช่ล่ะก็ ..’
ผมกลืนน้ำลายดังอึก สัมผัสได้ถึงความจริงจังของฟัฟนิร์เลย โชคดีจริงๆที่ผมไม่ได้อยู่คนล่ะฝั่ง–
‘ป.ล.1ข้ากลัวท่านหญิงยูนา ไม่อยากเป็นศัตรูกับต้าวเรเซอร์หรอก เพราะนั้นถึงไม่เข้าฝั่งข้าก็อย่าเป็นศัตรูเลยนะ [อีโมจิขอร้อง] แล้วเป็นไงบ้างล่ะ ระหว่างที่อยู่กับท่านหญิงยูนาเจ้าคงช่วยพูดกล่อมไม่ให้ท่านหญิงเกลียดข้าสินะ หวังว่าอย่างนั้นนะ เจ้าเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือคนอยู่แล้ว ต่างกับ..นะ นั่นแหละ ข้าไม่อยากเขียนตรงๆกลัวท่านหญิงยูนารู้
‘ป.ล.2อย่าให้ท่านหญิงยูนารู้เด็ดขาด เข้าใจนะ’
ไม่ทันแล้วล่ะ ตูอ่านให้ทุกคนฟังหมดแล้ว แล้วไม่ใช่ว่า ปล2 นี่ควรมาก่อน ปล1 แรกรึไงหะ อีกอย่างไม่รู้รึไงว่าผมกับยูนาแชร์สมองกันอยู่ ถ้าผมอ่านมันก็เข้าหัวยูนาอยู่แล้วดิ ปลไม่ได้ช่วยให้ตัวเองหนีความผิดได้สักหน่อย ..อ่า ผมละเพลียร์กับฟัฟนิร์เหลือเกิน จะเรียกมังกรตนนี้ว่ายังไงดีนะ
‘เจอครั้งหน้าแม่จะฆ่าไม่เลี้ยง’
ยูนาพึมพำขึ้นบนหัวผม
ทุกคนในที่นี้เงียบกันหมด
“สมกับเป็นฟัฟนิร์ดีนะครับ เป็นคนที่มีอารมณ์ขันเหมือนกับผม”
อย่างเอ็งไม่เรียกว่ามีอารมณ์ขันหรอก อย่างฟัฟนิร์ก็ด้วย
“นั่นสินะ ต่อไปก็ของชินดร้า”
ผมเปิดจดหมายก็พบเข้ากับความยาวทั้งหมดยี่สิบหน้า
..เขียนอะไรขนาดนั้นฟร้ะ
ผมยื่นให้เรย์แทน
“สนใจอ่านแทนมั้ย?”
“ดะ ได้เหรอ ขอบใจมากนะ”
ดูจะอยากอ่านจดหมายของพี่ตัวเองมากๆ ความรักของพี่น้องช่างสวยงาม
เรย์หยิบมาอ่านออกเสียงบรรจง ..
‘ไม่ได้คุยกันเสียนานนะขอรับท่านเรเซอร์ ผมเกรงว่าท่านคนจะสับสนเกี่ยวกับผมไม่น้อย ซึ่งจดหมายนี้จะอธิบายทุกอย่างให้ท่านทราบครับ’
จากนั้นเรื่องราวทั้งหมดของชินหลังจากที่เข้าร่วมสงครามและตายด้วยน้ำมือของผู้กล้า เขาก็ถูกฟัฟนิร์ช่วยเอาไว้โดยการมอบหัวใจของมหามังกรให้ครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ออกเดินทางกับฟัฟนิร์ โดยสัญญาไว้ว่าจะช่วยให้เป้าหมายของฟัฟนิร์ลุล่วงก่อนจะมารับใช้ผมตามสัญญา
คร่าวๆก็ประมาณนี้ มีบรรยายความลำบากที่ต้องอยู่กับฟัฟนิร์เป็นระยะๆ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความสนิทสนมกันของสองคนนี้ดีเลย
หลังจากเลยช่วงชีวิตของเรย์ไป ก็เป็นการพูดคุยเล่นกับผมในจดหมาย
‘เป็นอย่างไรบ้างครับช่วงนี้ ผมหวังว่าท่านเรเซอร์จะแข็งแรงดีเหมือนแต่ก่อนนะขอรับ ท่านเรเซลและท่านอันนาเป็นอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพวกท่านจะยังสนิทกันดีนะครับ’
ยิ่งกว่าสนิทกันอีก ..
‘แล้วก็เรื่องคำสัญญาครับ ..ที่ว่าจะเป็นนายบ่าวรักเดียวใจเดียว น่ะครับ’
เรย์หันควับมาทางผมขณะอ่าน ผมรีบหันหน้าหนีทันใด
เบลลามีมองมาทางผมด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
ผมไม่รู้ ผมไม่รู้! ตอนนั้นแค่พูดสัญญาแบบติดตลกเท่านั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชินหรือชินดร้าเขาเป็นผู้หญิง ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น!! ไม่ได้ตั้งใจล่วงเกินอะไรทั้งน้านน!!
เรย์กลับไปอ่านต่อแบบเซ็งๆ
‘ผมยังจำสัญญานั้นได้ดีและจะไม่มีวันลืม ผมหวังอย่างยิ่งว่าท่านเรเซอร์จะยังไม่ลืม แต่อีกใจผมก็แอบหวังให้ท่านลืมแล้วเลือกอัศวินข้างกายคนใหม่ได้แล้ว ผมไม่อยากให้ท่านเรเซอร์ยึดติดกับผมมากจนเกินไป ปารถนาจะให้ท่านเดินหน้าต่อไปอย่างเข้มแข็งครับ
แน่นอนถ้าท่านยังต้องการผมในฐานะอัศวินข้างกายอยู่ เมื่อจบเรื่องผมก็จะกลับไปรับใช้ท่าน ต่อให้ไม่ได้เป็นอัศวินข้างกายแล้วผมก็จะรับใช้ในนามอื่นแทนขอรับ’
เรย์หยักไหล่อย่างอ่อนล้า
“พี่ดูจะชอบนายมากเลยนะ หวังว่าจะยังไม่ลืมสัญญาที่ให้กับพี่นะ”
“ชินเป็นคนที่เหมาะแก่การเป็นอัศวินให้ฉันที่สุด เมื่อจบเรื่องฉันจะให้เขาเป็นมือขวาของฉันแน่นอน”
ผมเชื่อว่าชินยังไม่ตายและรอเขามาตั้งแต่ตอนนั้น และเหมือนว่าความเชื่อของผมจะเป็นจริง
สักวันพวกเราจะได้เจอกันอีกครั้งในฐานะนายบ่าวแน่นอน
เนื้อหามีต่ออีก แต่ไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่
‘ท่านเรเซอร์น่าจะทราบแล้วว่าผมมีน้องชายอยู่ เขาชื่อ ‘เรย์’ เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะดื้อครับ ผมเดาว่าเขาน่าจะเข้าเรียนที่วิทยาลัยเวทมนตร์เหมือนท่านเรเซอร์ ผมหวังอย่างยิ่งว่าท่านเรเซอร์จะช่วยดูแลเรย์ด้วย เรย์ยังเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวเท่าไหร่ กลัวว่าโตไปจะหลงผิดด้วย’
จากนั้นอีกหลายหน้าก็เป็นเนื้อหาเผาเรย์ยับๆ …
เรย์หน้าแดงก่ำอ่านจบด้วยเสียงที่แผ่วเบา
‘ฝากน้องชายงี่เง่าของผมไว้ด้วยนะครับ ..อีกเรื่อง จริงๆแล้วผมเป็นผู้หญิงล่ะครับ อย่าได้ถือสาผมที่ปิดบังเพศสภาพตัวเองเลยนะขอรับ [อีโมจิขอโทษ]’
เรย์อ่านจบด้วยความสิ้นหวัง ..
“ฆ่าน้องชายตัวเองแท้ๆ”
ไอริสพึมพำอย่างขำขัน
“พี่ของเรย์ดูจะรักเรย์มากเลยนะครับ ฮะ ฮะ ฮะ”
ยูจิตบบ่าเรย์พลางหัวเราะให้
น่าสงสารอยู่หรอก แต่เข้าเรื่องหลักดีกว่า
“เรื่องจดหมายก็ประมาณนี้ มาเข้าเรื่องแผนการณ์พวกเราดีกว่า”
ต่อไปเป็นเรื่องจริงจัง เพราะหลายๆอย่างเลยทำให้บรรยากาศดูไม่จริงจัง แต่ต่อจากนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิต ..จะมาเล่นตลกไม่ได้แล้ว
ผมพูดแผนการณ์ทั้งหมดออกไปในวันนั้น โดยมีเอเธอร์อธิบายประกอบเกี่ยวกับโครงสร้างประสาท โครงสร้างกองกำลังอาณาจักรฟัฟนิร์ที่คอยเฝ้าในส่วนประสาท และวันเวลาที่คาดเดาไว้ว่าราชาอัลเบโด้จะทำยังไงกับหนิงบ้าง
ทั้งหมดอยู่ในแผนการณ์หมดแล้ว
แผนทั้งหมดใช้เวลาอธิบายราวสองชั่วโมงกว่าๆ
“เรียบง่ายไปหน่อยรึเปล่า” เคียวยะทัก
“ยุ่งยากไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก” ผมพูด
เอเธอร์เห็นว่าคุยจบแล้วก็ปรบมือเบาๆปรับบรรยากาศ
“ตามที่คุยไว้ พวกเราจะเริ่มแผนการณ์จริงๆในอีกสามวัน เพื่อการนั้นทุกคนโปรดเตรียมตัวกันไว้ด้วยนะครับ..ถ้าใครประสงค์ ทางผมจะช่วยฝึกสอนให้นะครับ”
ทุกคนในที่นี้มองเอเธอร์อย่างคาดหวัง
“ฝากด้วยนะครับ”
ยูจิโค้งศรีษะให้เอเธอร์ เอเธอร์พยักหน้ารับและหันมาทางผม
“เรเซอร์ล่ะครับ”
“ฝากด้วยเหมือนกัน”
แค่สามวันไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากก็จริง แต่ ..มันมีวิธีฝึกเพื่อรับมือโดยเฉพาะอยู่
ปัญหาลักในการบุกครั้งนี้คือ ‘คาลอส’ ราชาอัศวินแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์ และเหล่าอัศวินหรือจอมเวทย์ที่คอยปกป้องราชาอัลเบโด้ พวกเราจำเป็นต้องฝึกซ้อมเพื่อรับมือกับพวกนี้โดยเฉพาะในสามวัน
สำหรับตอนนี้จำเป็นต้องพึ่งเอเธอร์อย่างยิ่ง
****
ฉันนั่งอยู่ในกรงขังเก่าๆโทรมๆ
หลังจากที่เข้าพบราชาอัลเบโด้ ฉันก็โดนส่งมาที่ที่ไม่น่าอยู่เช่นนี้ คงเพราะทำให้เขาโกรธล่ะมั้ง ..
ระหว่างที่นั่งอยู่คนเดียวเหงาๆนั้น ‘คาลอส’ ก็เข้ามาในมาดชุดเกราะ ‘จีอัส’ อันสง่างามเหมือนเดิม
คาลอสมองสภาพของฉันที่นั่งอยู่ในกรงขังด้วยแววตาที่ซับซ้อน
“สบายดีสินะครับ”
“แบบนี้ไม่เรียกว่าสบายหรอกนะ แล้วที่มาเนี่ยมีอะไรล่ะ?”
คาลอสค่อยๆลงไปนั่งกับพื้นตรงหน้ากรงขัง และมองมาทางนี้อย่างจริงจัง
ฉันกลืนน้ำลายโดยอัตโนมัติ ตั้งท่ารับฟังคาลอสอย่างจริงจัง
บรรยากาศถูกปกคลุมไปด้วยความตึงเครียด ทว่ามันช่างสวนทางกับที่คาลอสพูด
“ที่วิทยาลัยสนุกรึเปล่าครับ”
..เอ๊ะ
เป็นคุณพ่อรึไง นั่นคือความรู้สึกแรกที่แว๊บเข้ามาในหัว
ไม่ว่าใครก็นึกภาพยอดอัศวินแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์ที่ถามเรื่องทั่วๆไปอย่างกับพ่อคนไม่ออก ฉันเองก็นึกไม่ออก มันดูผิดอิมเมจไปไกลเลย
คาลอสยังจ้องหน้าฉันอยู่ จริงจังมากๆ จะไม่ตอบก็ไม่ได้
“อย่างที่นายเห็น ฉันมีเพื่อนที่ดี ..”
พอพูดถึงยูจิฉันก็แก้มแดงมา เพราะอย่างที่นายเห็นนี่มันก็มีแค่ยูจิ
“เจ้าหนูคนนั้นสินะครับ ดูอ่อนแอไปหน่อยแต่ก็ดูจะฉลาดไม่น้อย น่าจะมีอนาคตที่ดีได้ไม่ยาก ถือว่าไม่เลวครับ ไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่”
“บะ บอกว่าเพื่อนไง!”
คาลอสยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดู ฉันอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ที่เห็นท่าทางอย่างนี้ของคาลอส
ฉันรู้จักเขาดีก็จริงแต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกันเท่าไหร่ นับรวมๆทั้งหมดแล้วเคยเจอกันแค่สี่ครั้งเท่านั้น ครั้งที่ดูจะคุยกันเยอะสุดก็มีแค่ครั้งนี้คราวเดียว แต่เพราะอย่างนั้นแหละมันเลยชวนรู้สึกแปลกๆ คนที่ปกติมักจะพูดน้อย ไม่พูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานจู่ๆก็มาชวนคุยเรื่องทั่วไปด้วยรอยยิ้ม
ว่าไงดีล่ะ หยะแหยงหน่อยๆล่ะมั้ง ถึงจะไม่ใช่คนเลวก็เถอะนะ
“มีเพื่อนท่านอื่นอีกรึเปล่าครับ อย่างท่านไอริส”
“ยัยนั่นเนี่ยนะ ขอทีเถอะ”
ฉันเชิดหน้าหนีไปทางอื่น กับไอริสนี่ไม่ีมทางสนิทได้หรอก
“แล้วมีเพื่อนสนิทคนอื่นอีกรึเปล่าครับ เอาเป็นเพื่อนนอกวิทยาลัยก็ได้นะครับ”
“..ก็ใช่ว่าไม่มี”
จากนั้นฉันก็พูดร่ายยาวไป คาลอสนั่งฟัง พูดชี้แนะ พูดขัดสอบถามอะไรไปเรื่อยๆตามพะสาคนแก่ท่าทางใจดี ซึ่งอย่างที่บอก ไม่เข้ากับคาลอสเลยสักนิด
เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ดี
…แล้วทำไมฉันต้องมาคุยเรื่องพวกนี้กับคาลอสด้วยเนี่ย
“ท่านหนิงมีความสุขสินะครับ อย่างที่เจ้าหนูยิจิบอก”
“แน่นอน ถ้าฉันไม่ได้โดนสายเลือดนี้ผูกมัด ฉันคง ..ตะ ตะ แต่ง..งาน..นั่นแหละ น่าจะมีความสุขและอนาคตที่สดใสไปแล้ว”
“น่าเสียดายนะครับ”
“ใช่เลย ฉันควรจะมีความสุขมากกว่าน..เอ๊ะ”
คาลอสยื่นมือมาลูบหัวฉันในคุก เพราะระหว่างพูดคุยฉันก็เขยิบไปนั่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆทำให้ระยะแขนนั้นส่งไปถึง
สัมผัสอุ่นๆอยู่บนหัวฉัน ชวนให้รู้สึกพิลึกยิ่งกว่าเก่า แต่ทางคาลอสไม่ได้มีท่าทางฝืนทำเลยสักนิด
ใบหน้าที่เข้มขรึมของเขา และตัวเขาที่น่ากลัวได้สลายหายไปหมดแล้ว ฉันเหมือนเห็นเขาเป็นคุณลุงใจดีคนหนึ่งเท่านั้นในตอนนี้
“น่าเสียดายจริงๆด้วย”
คาลอสพูดคำเดิมอย่างเศร้าสร้อย
ด้วยความตกใจฉันเลยปัดมือคาอลสออกเบาๆ คาลอสยังคงยิ้มให้ไม่ได้ใส่ใจอะไร
ในตอนนั้นฉันก็เกิดนึกสงสัยขึ้นมา
ทำไมคาลอสถึงได้ใจดีกับฉัน ไม่ใช่แค่ฉัน กับยูจิที่เป็นคนสำคัญของฉัน คาลอสไม่ฆ่าเขาทั้งๆที่ควรจะฆ่า คาลอสน้อมรับคำสั่งของฉันเท่าที่ตัวเองจะรับได้เสมอ
ตอนนี้เองก็มานั่งฟังเรื่องชีวิตของฉันอย่างมีความสุข ทั้งๆที่ฉันควรเป็นแค่อาวุธของอาณาจักร เป็นคนที่คาลอสจะใช้งานอย่างเต็มที่ ทั้งอย่างนั้นฉันกลับสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกแปลกแยกกับเขาเลย ต่างกับพ่อของฉันอย่างราชาอัลเบโด้ที่มีแต่ความเกลียดชังต่อฉัน
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงทำตามราชาอัลเบโด้ และยอมรับชะตากรรมของฉันต่อจากนี้ ..ทั้งๆที่ดูจะไม่อยากให้ฉันพบเจอความเศร้า
คาลอสคิดอะไรอยู่กันแน่
“คาลอส”
“ครับ”
“นายมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉันเป็นพิเศษรึเปล่า”
ฉันถามออกไปด้วยความนึกสงสัย ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ถามได้และไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรด้วย เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ..
“เป็นเรื่องระหว่างผมกับแม่ที่ให้กำเนิดท่านครับ”
แบบนั้นเองเหรอ
“นายเป็นคนรักของแม่ฉันเหรอ”
คาลอสส่ายหัวให้
“ผมเป็นแค่รักข้างเดียวเท่านั้น”
หมายความว่าราชาอัลเบโด้ชนะใจแม่ของฉันได้สินะ แทนที่จะเป็นคาลอส ไม่สิ ต่อให้คาลอสชนะใจได้ก็โดนบังคับให้มีลูกกับอัลเบโด้อยู่ดี แต่พูดมาแบบนี้ก็หมายความว่าอัลเบโด้ชนะใจแม่ได้
ว่าก็ว่าเถอะ แต่แม่แท้ๆของฉันนี่ไม่มีตาหามีแววไม่เอาซะเลยนะ เลือกคนแบบราชาอัลเบโด้ได้ยังไง ห่วยแตกจริงๆ
..แต่ก็อดสงสัยไม่ได้
ในตัวของแม่แท้ๆของฉัน แม่ที่ฉันไม่เคยได้พบหน้า มันมีบางอย่างที่ฉันอยากรู้
อาจจะเป็นสัญชาตญาณมนุษย์ก็ได้ ที่อยากรู้เรื่องในอดีตของแม่ตัวเองที่ไม่เคยได้พบเห็น
“นี่ คาลอส”
“ครับ”
“ช่วยเล่าเรื่องในอดีตให้ฉันฟังหน่อยได้หรือเปล่า”
คาลอสนิ่งไปสามวิก่อนตอบกลับ
“รับทราบครับ ..แต่โปรดเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
ฉันพยักหน้ารับ–จากนั้นคาลอสก็เล่าเรื่องในอดีตทั้งหมดให้ฟัง
เรื่องราวของแม่แท้ๆของฉันอย่าง ‘ไอเน่’ และสิ่งที่ทำให้ราชาอัลเบโด้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน รวมถึงเหตุผลที่ทำให้คาลอสพยายามขึ้นมาเป็น ‘ราชาอัศวิน’