< < 76Sec2 > >
ยูจิตื่นขึ้นมายามค่ำคืน ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนแล้วเหมือนกัน ยูจิเลยลุกออกจากเตียงและเข่าทรุดทันทีที่ขาแตะพื้น
“อึก..อลัน!” ยูจิตะโกน
แขนสีฟ้าแหวกอากาศมาบิดขาของยูจิให้กลับเป็นเหมือนเดิม นี่คือพลังการ [หักล้าง] วิญญาณระดับเทพของยูจิ
ด้วยการหักล้างทำให้ขาของยูจิกลับมาเดินได้เหมือนปกติ ยูจิถอนหายใจเฮือกใหญ่และขณะที่จะเดินออกจากแคมป์ก็มีมือสัมผัสเข้าที่ไหล่ขวา
ยูจิตกใจกะจะหันหลังไปใช้เวทมนตร์จัดการคนที่สัมผัสไหล่เขา ทว่าก็หยุดมือไว้ได้ก่อน
“อย่าพึ่งเดินดีกว่ายูจิ”
เพราะเป็นเรย์เลยไม่มีเหตุผลให้ต้องระแวง ยูจิปล่อยวางความวิตกและลงไปนั่งบนเตียงพลางยิ้มให้เรย์
“ตกใจแย่เลยครับ อย่าเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงสิครับ ..จะว่าไปนี่กี่โมงกี่ยามแล้วเหรอครับ ผมหลับไปนานเท่าไหร่เหรอครับ”
“สามชั่วโมงได้มั้ง”
“นั้นเหรอครับ ..”
ยูจิรู้สึกโล่งอก หนิงยังถูกพาตัวไปไม่นาน ถ้าแค่สามชั่วโมงน่าจะตามได้ทันอยู่ ..ทว่าขณะที่คิดจะไปช่วยคำพูดของคาลอสก็เวียนกลับเข้ามาในหัว รวมถึงความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของตัวเองด้วย
“..ขาผมหายดีแล้ว ขอตัวไปก่อนนะครับ”
ถึงอย่างนั้นก็อยู่เฉยไม่ได้ ยูจิจะไปชิงตัวหนิงมา เรย์เห็นก็ถอนหายใจและดันร่างยูจิไม่ให้ลุกขึ้นยืน
“เอ๋?”
“อยู่เฉยๆไปก่อนเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดี”
“เวลาที่ดี? พูดถึงอะไรครับ”
“เรเซอร์เล่าให้ฟังหมดแล้วเฟ้ย พรุ่งนี้จะมีนัดคุยเรื่องนี้กันอีกที ไว้ตอนนั้นเถอะ”
ยูจิกัดฟันกรามปัดแขนของเรย์ออก
“กว่าจะได้เรื่อง คุณหนิงจะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้นะครับ..พวกเราอาจจะไปสายเกินไปแล้วด้วยซ้ำครับถึงตอนนั้นน่ะ”
เรย์เห็นท่าทางดื้นด้านของยูจิก็รู้สึกแปลกใหม่หน่อยๆ ไม่ใช่ว่าชอบ แค่สดใหม่ดี ยังไงเรย์ก็เลือกจะคุยด้วยเหตุผล โดยเห็นด้วยกับเรเซอร์ที่ว่าค่อยคุยกันอีกทีพรุ่งนี้
“รอก่อนเถอะ นายจะไปแบบไม่รู้อะไรเลยเรอะ แบบนั้นน่ะตายแหงๆ ดูสภาพนายเมื่อตะกี้สิ แค่เดินยังแทบไม่ไหวเลย”
“ผมมี..”
“แค่วิญญาณระดับเทพเอาไม่อยู่หรอกนะ”
ยูจิถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่าเรย์ก็รู้จักวิญญาณระดับเทพ
เรย์รู้เกี่ยวกับวิญญาณระดับเทพในวันที่ดวลกับเรเซอร์ แล้วก็พึ่งรู้ว่ายูจิก็มีเหมือนกันเมื่อวันนี้นี่แหละ
“ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความรู้สึกนะ แต่ถ้าดึงดันจะไปได้ตายจริงๆแน่ คราวนี้ไม่น่าโชคดีรอดมาได้เพราะยัยหนิงช่วยไว้ด้วย นายหวังดีก็จริง เป็นเพื่อนที่ดีที่คิดจะช่วยเพื่อนด้วยกันก็จริง แต่..นายไม่ได้เข้าใจความรู้สึกคนอื่นเลยนะ” เรย์หัวเราะขึ้นจมูก ที่พูดไม่ได้จริงจังอะไร แค่เพื่อนบ่นกันเอง “ถ้านายตายไปคิดบ้างสิว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไงบ้าง”
..ยูจิหรี่ตาลง คิดกับตัวเองไม่นานก็ค่อยๆครี่ยิ้มให้เรย์
“นั่นสินะครับ ขอโทษด้วยนะครับ”
“เออๆ จะว่าไปวิญญาณระดับเทพของนายนี่เป็นยังไงน่ะ เห็นว่าของเรเซอร์เป็นตัดมิติชื่อยูนา แล้วนายล่ะ”
วิธีพูดของเรย์อย่างกับอวดของเล่นแล้วก็ชื่ออย่างไรอย่างนั้นเลย
“อลันครับ พลังคือ..” ยูจิเงียบไปอลันช่วยบอกในใจ “หักล้างครับ”
“โห อยากได้บ้างแฮะ อย่างเจ๋ง”
เรย์ยังไม่หยุดพูดเหมือนเด็กกำลังอวดของเล่น ยูจิเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เพราะเรย์น่าจะจงใจพูดแบบนั้นไม่ให้ตึงเกินไป
“เรย์ช่วยผมอย่างหนึ่งได้รึเปล่าครับ”
“อะไรล่ะ”
“เรื่องต่อจากที่ผมสลบไปเป็นยังไงบ้าง เล่าให้ฟังแบบระเอียดทีนะครับ”
เรย์พยักหน้าให้ยูจิและเล่าทีละเรื่องไปตามลำดับ
****
แสงอาทิตย์ขึ้นมาแทนดวงจันทร์ ผมสามารถผ่านค่ำคืนอันโหดร้ายที่ต้องสู้กับเอเธอร์มาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ร่างกายที่น่าจะพังในคืนนั้นก็หายสนิท ความเสียหายย้อนหลังไม่มีเลยแม้แต่น้อย ..เพราะพลังของจอมมารในตัวเบลลามี
วันนี้เวลาที่นัดไว้กับเอเธอร์พวกเราก็จะคุยกันทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องตัวจริงของเบลลามี นอกนั้นจะบอกหมด แน่นอนหัวข้อหลักในการสนทนาคือเรื่องของหนิง
เอเธอร์รับคำว่าจะเป็นพวกผมแล้ว เขาจะช่วยบุกประสาทลอยฟ้าที่หนิงโดนพาตัวไป ส่วนคนอื่นๆผมแค่ถามหาความสมัครใจว่าจะช่วยด้วยหรือเปล่า ยังไงซะ ถึงทุกคนจะไม่ได้เก่งพอ แต่ถ้าวัดแค่ความสามารถเฉพาะด้านก็มีประโยชน์สุดๆ อย่างเคียวยะที่มีดวงตามหาปราชญ์ หรือยูจิที่มีวิญญาณระดับเทพ และเบลลามีที่ไม่รู้จะใช้พลังจอมมารได้อีกมั้ย แต่ถ้าใช้ได้ต้องมีประโยชน์มากแน่ๆ
แต่คนที่ไม่ได้ร่วมวงมีแค่กอรี่กับโซเฟีย เพราะกอรี่ตอนนี้ไปช่วยงานดูแลคนอยู่ ส่วนโซเฟียก็กลับไปอยู่กับที่บ้าน ไม่รู้ว่าจะมาตอนไหนเหมือนกัน ..คงอีกนาน ทางบ้านของโซเฟียค่อนข้างติดลูกกัน เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้พวกเขาไม่มีทางให้โซเฟียออกจากบ้านแน่ๆ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว
แต่งตัวอะไรเสร็จแล้วก็ออกมาจากแคมป์และเหมือนโดนดักโดยสองเมดสาว พวกเธอยืนรอผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ แต่รู้สึกเกรงใจชะมัด
“ “อรุณสวัดดิ์คะ ท่านสามี” ”
ทั้งสองประเสียงกันได้ลื่นหูมาก—ก็บ้าแล้ว
นี่เรา..รีบไปรึเปล่านะเราที่ตอบตกลงรับทั้งสองเป็นภรรยาเนี่ย ถึงจะแค่สัญญาปากเปล่าก็เถอะ แต่รีบไปมั้ยนะ ตัวเองยังเรียนไม่จบเลยแท้ๆก็ชิงมีว่าที่ภรรยาตั้งสองคนแล้ว
บาปหนาชะมัดตัวผม
“ไม่ค่อยชินเลยแฮะ วิธีเรียกอย่างนั้น จะว่าไปอันนา เธอดูเกร็งๆนะ”
ผมพูดหยอกไปตามปกติ แต่น่าแปลกมากที่เรเซลไม่มีอาการเขินเลยแม้แต่น้อย เธอเติบโตได้อย่างเข้มแข็งสุดๆเลย
“คะ คิดไปเองค่ะท่านสามี” อันนาพูด
“เช่นนั้นจะให้กลับไปเรียกท่านเรเซอร์เหมือนเดิมก็ได้นะคะ” เรเซลพูด
ผมยิ้มให้ทั้งสอง
“นั่นสินะ ขอแบบเดิมก่อนล่ะกัน วิธีเรียกจู๋จี๋อย่างนั้นไว้หลัง ฮัน นี มูน ดีกว่า ไม่ก็หลังงานแต่ง”
ไอหย๊า พูดแล้วก็อายเอง ฝืนสุดๆเลยตัวผม
สภาพผมตอนนี้หน้าแดงก่ำไม่ต่างกับอันนาเลย มีเพียงเรเซลเท่านั้นที่รักษาอาการเขินอายของตัวเองไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
“เช่นนั้นก็”
จู่ๆเรเซลก็เข้ามาควงแขนผมข้างซ้ายและแขนของอันนาข้างขวา
“ไปเดทกันเถอะคะ”
“เดี่ยวสิเรเซล แล้วไหงหล่อนถึงมาควงแขนฉันเฉยเลยล่ะ”
“นั่นสินะค่ะ ฮิฮิ”
แกล้งบ๊องเสร็จเรเซลก็ปล่อยแขนอันนาแล้วควงผมคนเดียวแทน …บาปหนาชะมัดตัวผม
ในฐานะว่าที่สามีนี่ต้องทำยังไงบ้างนะ อ่า นึกไม่ออกเลย เอาเป็นว่า
“แขนอีกข้างว่างนะ”
การพูดแบบเพลย์บอยนี่มันอะไร ตัวผมเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อา น่าอายชะมัด อยากมุดดินหนีสุดๆ นี่ไม่ใช่แค่การควงแขนแฟนธรรมดา แต่นี่เป็นการควงแขนแฟนถึงสองคนทีเดียวเชียว ซึ่งแปลกมากในโลกเก่าผม แน่นอนว่าผมยึดการใช้ชีวิตตามหลักค่านิยมโลกนี้ เพราะยังไงจิตสำนึกในฐานะเรเซอร์ก็ยังมีอยู่แม้จะน้อยนิด
ทว่า มันก็อดแปลกใจไม่ได้กับความเปลี่ยนแปลงทางสถานะที่รวดเร็วติดจรวด แถมยังสองคนในคราวเดียว
นี่ผมไม่รีบไปหน่อยหรือไงนะ ..เอาเถอะ หน้าที่ของผมตอนนี้ไม่ใช่การนึกเสียใจกับเรื่องที่พูดออกจากปากเอง แต่เป็นการทำหน้าที่คุณแฟนที่ดีให้ทั้งสอง ดูเป็นคนโลภที่มีแฟนทีเดียวสองคนก็จริง แต่ผมก็ควรทำให้ดีที่สุด
แต่บ่องตง ผมดูโลภสุดๆเลย สมเพซตัวเองที่เป็นแบบนี้หน่อยๆล่ะสิ
อันนาจ้องแขนผมไม่วางตาเหมือนกับหลงใหล และเบือนหน้าหนี
“..ไว้คราวหลังดีกว่าค่ะ ..หะ หึ! แต่นายท่านทำหน้าซะลามกเชียวนะคะนั่น คาดหวังมากสิท่าที่มีสาวสวยสองคนขนาบข้าง”
ทำเป็นเก็กพูดเข้า
อันนาไม่ถูกกับเรื่องหวานแหวว เป็นคนประเภทที่ชอบนะ แต่ไม่กล้าแสดงออก ซึ่งจุดนี้ก็น่ารักดี
“ช่วยไม่ได้นะคะ”
เรเซลเห็นอันนาไม่กล้าเลยยอมผละตัวออกจากผม แล้วเดินแบบปกติเหมือนอันนา
..ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมสินะ ทั้งสองคนสนิทกันถึงขนาดไม่ยอมเกินหน้าเกินตากันและกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
ทำเอาผมรู้สึกหมดความมั่นใจในฐานะคุณแฟนเลย เพราะสองสาวดูจะสนิทกันเองกว่าที่สนิทกว่าผมอีก
“จะว่าไปเห็นบอกว่าไปเดทนี่แล้วจะไปไหนล่ะ สภาพเมืองตอนนี้ก็ใช่ว่าจะดี ทำตัวระรื่นย์ในสถานการณ์ตอนนี้จะดีรึ”
เรเซลและอันนาได้ยินก็หันหน้ามองกันอย่างพร้อมเพรียง
“นั่นสินะคะ ท่านแองเจลิน่าบอกให้ไปเดทกันน่ะคะ ก็เลย”
“จริงๆฉันควรไปช่วยท่านแองเจลิน่าดูงานซ่อมแซมด้วยคะ แต่เธอว่าอย่างนั้นก็เลยต้องจำยอม”
อะไรของแองเจลิน่าล่ะนั่น เวลาฉุกเฉินอย่างนั้น ..
“จะว่าไปพวกเธอมีกำหนดการเดินทางต่อตอนไหนรึ”
“จริงๆหลังจบงานเทศกาลก็จะไปแล้วคะ แต่เกิดเรื่องก่อนเลยจำเป็นต้องช่วยซ่อมเมืองสักพัก จริงๆไม่ควรมีเวลาว่างด้วยซ้ำ” อันนาตอบ
หมายความว่าแองเจลิน่าเจียดเวลาทำงานพวกเธอมาให้อยู่กับผมว่างั้นเถอะ อุตส่าห์ตกลงเป็นว่าที่สามีภรรยาซึ่งกันและกันทั้งที แต่เอาแต่ทำงานแล้วก็ออกจากเมืองไปทำงานต่อคงไม่ได้
เป็นพี่ที่เอาใจใส่น้องชายแบบผมชะมัด
“แต่ไปไหนมากก็ไม่ได้ด้วย แล้วจะเดทยังไงดีล่ะ”
ผมกับอันนาเห็นพ้องกันเลยแหงนหน้ามองก้อนเมฆ คิดอย่างเป็นจริงเป็นจัง เรเซลเห็นเลยหัวเราะใส่เบาๆ
“คิดอะไรดีๆได้เหรอ?”
“เปล่าค่ะ คือว่าไม่ใช่แค่อยู่ด้วยกันก็พอแล้วเหรอคะ นั่งคุยเล่นกันสามคน เหมือนกับสามปีก่อน ไม่เห็นต้องคิดจริงจังเลยนี่คะ”
“เอาตามที่เรเซลว่าล่ะกันค่ะ”
ทั้งสองคนพอใจอย่างนั้นผมก็ตกลง
ผมมีเวลาเหลือหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดกับเอเธอร์ ไหนๆก็ไหนๆแล้วเลยตั้งวงคุยกันกลางสนามหญ้าวิทยาลัยซะเลย
พวกเราสามคนนั่งคุยเรื่อยเปื่อยหลายๆเรื่อง หลังแยกกันแต่ล่ะคนทำอะไรกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่เหมือนผมจะเป็นฝ่ายถูกพวกเธอถามชีวิตความเป็นอยู่ในโรงเรียนซะมากกว่า ระหว่างบทสนทนาผมก็เกือบหลุดถามเกี่ยวกับเบลลามีแต่ก็อุดปากตัวเองไว้ได้ทัน
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากพูดเรื่องเบลลามี แต่ผมคิดว่าในเวลาแบบนี้ผมควรคุยแค่เกี่ยวกับพวกเราสามคนเท่านั้น ถือว่าเป็นมารยาทล่ะมั้ง?
แต่พอพูดถึงเคียวยะก็ต้องพูดถึงเบลลามี สุดท้ายก็เลี่ยงพูดถึงเบลลามีไม่ได้ ซึ่งพวกเธอไม่ได่ใส่ใจอะไร เหมือนมีอะไรแตกต่างจากเมื่อคืนไป แต่ก็ช่างมัน ดีแล้วล่ะ เรื่องนั้นขอบคุณมากๆ
พวกเราคุยจนลืมเวลา แปปเดียวก็ถึงเวลานัดแล้ว
“ฉันขอตัวก่อนนะ”
ขณะที่จะลุกทั้งสองก็กุมมือผมไว้ ..ไม่สิ ต้องบอกว่ากุมมือกันตั้งนานแล้วต่างหาก แต่ไม่มีใครรู้สึกตัวเลย พึ่งรู้สึกกันตอนผมกำลังจะไป
อะไรล่ะนั่น ไร้เดียงสากันเกินไปแล้ว
“ท่านเรเซอร์”
อันนาซ้อนตามองผม ..น่ารัก ว่าที่ภรรยาผมโคตรน่ารักเลยเว้ยเห้ย!!
“เอ่อคือ..”
ผมเขินหนักจนเริ่มเวียนหัว
“เรื่องที่คุยสำคัญรึเปล่าคะ?”
อันนาพูดกึ่งๆออดอ้อน ไม่ได้ทำตัวซึนเหมือนปกติ
ผมเข้าใจดี ผมก็อยากนั่งคุยแบบนี้ต่อสักหนึ่งเดือนเต็มๆทดแทนเวลาที่ไม่ได้เจอหน้าพวกเธอเป็นปีๆ แต่ผมมีเรื่องสำคัญต้องเคลียร์ก่อนจะมีความสุขกับพวกเธอสองคนได้เต็มที่
เรื่องของโลกนี้ และใกล้ตัวสุดคือเรื่องของหนิงตอนนี้
“สำคัญสิ”
“นั้นเหรอค่ะ ..ไปดีมาดีนะ นายท่าน”
อันนาไม่ได้รั้งไว้ เช่นเดียวกับเรเซล
“รักษะตัวด้วยนะคะ”
พูดอะไรอย่างนั้น ..ผมอยากสวนไปอย่างนั้น พวกเธอไม่รู้สักหน่อยว่าผมจะการณ์ใหญ่อะไร ทำไม่ตีโพยตีพายไปว่าผมจะทำเรื่องอันตราย ..เอ๊ะ
ไม่ใช่สิ
พวกเธอแค่ขอให้ผมปลอดภัยกับทุกเรื่องต่างหาก ไม่ว่าจะเรื่องเล็กๆอย่างการเดินสะดุดพื้น หรือเรื่องใหญ่อย่างกับเข้าต่อสู้กับราชาแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กแค่ไหนก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะอวยพรให้คนรัก
..อา โชคดีชะมัดที่ผมไม่ได้ตายไปตอนสู้กับเอเธอร์ จากนี้ ..ตอนศึกแลกชีวิต ผมคงคิดหนักแล้วล่ะว่าตัวเองควรทำยังไงดี
ที่แน่ๆคือผมจะพยายามสุดตัวเพื่อไม่ให้ตัวเองตายหรือบาดเจ็บสาหัส
เอาล่ะ ชาร์จพลังงานเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาลุยแล้ว
“ขอบคุณนะ พวกเธอก็ด้วย”
การวางแผนกับเอเธอร์กำลังจะเริ่มในอีกไม่นาน
****
ชายในชุดสูทสีขาวไร้รอยขีดข่วน ..เอเธอร์ กำลังนั่งรอแขกอยู่ในแคมป์ขนาดใหญ่อย่างเดียวดาย ระหว่างนั้นก็-ชงชาเตรียมให้แขกไปด้วยอย่างมีอารมณ์ขัน
อ๊ะ พึ่งนึกได้ เอเธอร์ล้วงหาขนมจากเวทมนตร์กระเป๋าออกมาจัดเรียงใส่ถาดอย่างสวยงาม
เอเธอร์มองดูผลงานของตัวเองอย่างไร้ความรู้สึก จากนั้นเอเธอร์ก็หยิบเอาเอกสารจากกระเป๋าเวทมนตร์มาอ่าน
“เรเซอร์ ดราแคล์ บุตรชายคนเดียวของตระกูลดราแคล์ เป็นตัวปัญหาตั้งแต่สมัยเด็ก แต่พออายุก้าวเข้าสิบสองปีก็เลิกก่อเรื่อง และไปฝึกฝนทักษะการต่อสู้ตั้งแต่วงจรย์เวทย์ยังไม่สมบูรณ์ ไม่นานหลังจากวงจรเวทย์สมบูรณ์ก็ออกเดินทางไปทั่วโลก ..เป็นจอมเวทย์ขั้นสูงของแท้ ถูกประเมินไว้ว่ามีโอกาสเป็นนักเวทย์ขั้นสูงพิเศษได้สูง คาดหวังว่าสักวันจะขึ้นมาเป็นจอมเวทย์คนสำคัญให้อาณาจักร..ปัจจุบันเท่าที่ผมเห็นก็ประมาณ นักเวทย์ขั้นสูงพิเศษ กระมังครับ”
อนึ่งนักเวทย์จะมีแบ่งเป็น [สูงพิเศษ] ด้วยต่างกับนักดาบที่ [ขั้นสูง] แล้ว ต่อไปก็ [ขั้นบรรลุ] เลย เพราะเวทมนตร์คนที่ขึ้น [ขั้นบรรลุ] ได้จำเป็นต้องสร้างเวทมนตร์ชนิดใหม่ที่มีคุณสมบัติระดับขั้นบรรลุด้วยตัวเอง เรเซอร์จึงยังอยู่แค่ [ขั้นสูงพิเศษ] เพราะเวทมนตร์ขั้นบรรลุที่ใช้อย่าง ทวนสายฟ้า รึ [เอิร์ธฟิลด์] ต่างมีผู้คิดค้นไว้ก่อนแล้ว
แล้วก็ท่าโจมตีสุดท้ายของเรเซอร์นั่น เป็นเวทมนตร์ที่ทรงพลังก็จริง แต่เรเซอร์แค่เรียนรู้มาจากคนอื่นเท่านั้น เอเธอร์รับรู้ได้ด้วยดวงตามหาปราชญ์
แต่วัดที่พลังการต่อสู้นักเวทย์ขั้นสูงพิเศษกับขั้นบรรลุเนี่ยไม่ต่างกันเลยสักนิด
“ประเมินเรเซอร์คนนั้นไว้ต่ำน่าดูเลยนะครับ พวกคนจากวิทยาลัยเวทมนตร์”
สำหรับเอเธอร์ การจัดการเติบโตของเรเซอร์ไว้แค่นักเวทย์ขั้นสูงพิเศษเป็นเรื่องที่ตาไม่ถึง อย่างน้อยเอเธอร์ก็คาดหวังว่าเรเซอร์สามารถไปได้ถึงระดับ [ราชาจอมเวทย์]
ยังไงก็ช่าง การไปถึงระดับนั้นได้ไม่ใช่แค่มีพรสวรรค์ แต่ต้องมีความมุมานะและสำคัญที่สุดคือดวง คนที่มีคุณสมบัติเป็น [ราชาจอมเวทย์] มีอยู่ปีล่ะครั้งได้ แต่เพราะขาดดวงเลยไปไม่ถึงสักที แต่ที่ทำให้เอเธอร์สนใจเรเซอร์ที่สุดคือ [วิญญาณระดับเทพ] ที่ครอบครอง สิ่งนั้นนับว่าเป็นพลังที่มากพอจะพาเรเซอร์ขึ้นเป็น [ราชาจอมเวทย์] ได้ ถือว่าเป็นดวงที่หลายๆคนไม่มีกัน
เอเธอร์วางเอกสารเกี่ยวกับเรเซอร์ไว้ และหยิบแผ่นต่อๆไปมา อย่างของเคียวยะ ไอริส กอรี่ โซเฟีย เรย์ ก่อนจะมาสะดุดที่เบลลามี
“เบลลามี ..นอกจากเป็นเด็กทุนแล้วก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น เพียงแต่ ..พลังรักษาเมื่อตอนนั้นมันอะไรกันครับ” เอเธอร์คิดไปสักพักก่อนยิ้มมุมปาก “จะยังไงก็ช่าง ถ้าเป็นอันตรายต่อโลกแค่กำจัดทิ้งก็เพียงพอ”
เอเธอร์กล่าวเหมือนเป็นเรื่องปกติ ตลอดมาเขาก็ทำอย่างนี้อยู่แล้ว เขาวางเอกสารของเบลลามี และหยิบของยูจิขึ้นมาอ่านต่อ
“..ยูจิ ..ให้กลิ่นอายน่าคิดถึงดีนะครับเนี่ย”
ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร เอเธอร์ถึงรู้สึกคุ้นเคยกับยูจิ ราวกับเคยเจอกันมาแล้วเมื่อนานมาก่อน ต่างกับเบลลามีที่ถึงจะสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ของยูจิอยู่ในรูปแบบที่ ..เป็นมิตร
ถ้าเรเซอร์คือน่าสนใจ เบลลามีก็คือตัวอันตราย ยูจิก็เป็นน่าคิดถึง
ในความคิดเบื้องต้นของเอเธอร์ก็ประมาณนี้
****
(มุมมองหนิง)
ฉันเดินตามหลังคาลอสไปเรื่อยๆ ใต้เท้ามีพรมสีแดงอยู่ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้รับการปฎิบัติอย่างพิเศษแต่อย่างไร ..ฉันก้มหน้าลงและเดินตามหลังคาลอส
ปล่อยให้ขาขยับเองไปเรื่อยๆจนคาลอสหยุดเดิน และคุกเข่าลงกับพื้น ทำให้ฉันเห็นทิวทัศน์เบิ้องหน้า ตรงบริเวณบังลังค์ที่หรูหรา และบริวารมากฝีมือรอบตัว ..
‘ราชาอัลเบโด้’ พ่อในนามของฉันกำลังมองมาทางนี้ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
เขาไม่ใช่พ่อ เป็นแค่พ่อในนาม และไม่มีทางเป็นพ่อฉัน ตลอดมาจนถึงตอนนี้ฉันคิดอย่างนี้
“ภาชนะมหามังกรเพลิง”
เขาเอ่ยทัก ไม่ใช่ชื่อฉัน แต่เป็นสถานะของฉัน แหงอยู่แล้ว-ฉันพยักหน้ารับ
“มีอะไรก็ว่ามา”
คงเพราะพูดไม่สุภาพทำให้คนรอบข้างพากันมองแรง คนที่ไม่ใส่ใจที่ฉันพูดมีเพียงคาลอสและราชาอัลเบโด้เท่านั้น
“เธอจงสังเวยตัวเองเพื่อให้กำเนิดมหามังกรตนใหม่ซะ”
..นั่นสินะ
ฉันกำลังถูกกำจัด ควรเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
“เข้าใจแล้ว แล้ววันไหนล่ะ?”
“..ดูไม่กลัวเลยนะ ไม่ใช่ว่าชีวิตของเจ้า และความรู้สึกของเจ้า มันสำคัญมากหรือไง”
มาตั้งขนาดนี้แล้วยังจะถามอะไรอีก
“กลัวอยู่แล้วสิ”
ฉันพูดจากใจจริง ราชาอัลเบโด้ยังเหมือนเดิม
เรื่องราวหลังจากนี้ฉันต้องมีลูกกับใครสักคนที่เป็นพี่น้องในนามของฉัน ซึ่งไม่ได้รักกัน ซ้ำยังเป็นการขืนใจทางอ้อม แล้วก็ให้กำเนิดลูกโดยที่ฉันตายไปทันทีที่ลูกได้ลืมตาดูลูก จากนั้นลูกก็จะถูกปฎิบัติอย่างเครื่องมือ และต้องทำเหมือนกับฉันทุกอย่าง
นั่นน่ะมันน่ากลัวอยู่แล้ว
“ใครจะอยากมีลูกกับคนที่ไม่ได้รักล่ะ ใครจะอยากตายโดยที่ไม่ได้เห็นหน้าลูกล่ะ ต่อให้เธอจะไม่ใช่ลูกของคนที่ฉันรัก แต่ก็เป็นลูกของฉัน เพราะอย่างนั้นฉันก็ไม่อยากให้ลูกต้องมารู้สึกแบบฉัน..แล้วที่ทำมันแค่หน้าที่ที่ถูกมอบให้เท่านั้น มันคือหน้าที่ของฉัน” ฉันกุมหน้าอกตัวเอง นึกหลายๆเรื่อง “เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็หนีไม่ได้อยู่แล้ว จะให้ฉันทำยังไงได้ล่ะ”
ที่ฉันมาไม่ใช่ความต้องการของฉัน ฉันแค่ไม่มีทางเลือกเท่านั้น ..
“ในเมื่อหนีไม่ได้ ก็จะขอสังเวยตัวเองให้อาณาจักรที่แกรักโดยดีเอง ..ไอ้ราชาสกปรก ที่ยอมสังเวยแม้แต่คนรักตัวเองได้ลงคอ”
เรื่องในอดีตกลับเข้ามาในสมองแล้ว ทำให้ประติดประต่อเรื่องจริงของแม่แท้ๆของฉันได้–มันเลยทำให้ฉันเกลียดหมอนี่ที่สุดบนโลกเท่านั้น
คนที่เป็นพ่อในนามของฉันนี่แหละ เป็นคนที่ฆ่าแม่ของฉันเองกับมือ ทั้งแม่ของจริงและแม่เลี้ยงของฉัน ต่อให้เป็นหน้าที่แต่ฉันก็จะเกลียดอยู่ดี จะขอสาปแช่งไปตลอด
และนั่นก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ราชาอัลเบโด้มีความโกรธประทับบนหน้าที่ไร้อารมณ์
นึกสะใจเล็กน้อยที่ยั่วโมโหราชาอัลเบโด้ได้ ..ฉันแสยะยิ้ม
MANGA DISCUSSION