< < 76Sec1 > >
หลังเถียงกับโซเฟียเสร็จผมก็รีบสะบัดตูดหนีมาซุกหัวที่แคมป์ของตระกูลดราแคล์ เบลลามีขอมานอนด้วยเพราะหล่อนก็ไม่มีที่นอนแล้วเหมือนกันเนื่องจากหอหญิงโดนทำลายไป แค่ขอที่นอนให้เบลลามีสักคนไม่น่าอะไรมากหรอก คิดอย่างนั้นแล้วก็รีบไปหาแองเจลิน่า
พริบตาแรกที่แองเจลิน่าเห็นผมหล่อนก็เงียบไป ก่อนที่จะเดินมาจับไหล่ผมพลางกระซิบว่า ‘โดนใครเล่นมา’
ตามมาด้วยอันนากับเรเซลที่ในมือถืออาวุธไว้แน่น เซบาสเตียนเองก็เดินมาในท่าทางองอาจเพียงแต่ ..แขนของเซบาสเตียนหายไปข้างหนึ่ง
เอ๊ะ
“ซะ เซบาสเตียนแขนนาย”
“เหมือนว่าจะเจอผู้ต่อสู้ที่อันตรายเข้าน่ะ เซบาสเตียนเลยเสียแขน”
แองเจลิน่าพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่สิ มันก็ควรปกติแหละมั้ง การที่จะสู้แล้วเสียอวัยยะไป ยังไงก็รักษาคืนมาได้อยู่แล้ว วิทยาการรักษาที่โลกนี้มันไปไกลเข้าขั้นเหนือจิตนาการแล้วนี่
“รีบรักษาเถอะพี่แองเจลิน่า”
แค่แขนขาดน่ะรักษะง่ายๆ—ผมคิดอ่อนหัดไป
“เซบาสเตียนโดนชิงร่างกายไปแบบจริงๆเลย ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากแต่ศัตรูเป็นผู้ใช้อุปกรณ์พิเศษน่ะ เรเซอร์พอเข้าใจรึเปล่า”
“อุปกรณ์พิเศษ อาวุธที่มีพลังพิเศษในตัวสินะครับ ..แบบนี้นี่เอง”
แองเจลิน่ากำลังบอกว่าแขนของเซบาสเตียนรักษาไม่ได้แล้วนั่นเอง คล้ายๆกับการตัดมิติของผมหรือหักล้างของยูจิ บนโลกนี้มีพลังเชิงคอนเซปต์อยู่มากมาย อาวุธบางสิ่งบนโลกก็มีพลังเชิงคอนเซปต์อยู่เหมือนกัน พลังที่ทำให้เวทมนตร์รักษาใช้ไม่ได้ผลก็มีอยู่เยอะแยะ
ใช่ว่าจะเสียแขนไปตลอดการ ถ้าทำอะไรกับตัวผู้กระทำได้ก็พอหาวิธีรักษาได้อยู่
“เซบาสเตียน รายละเอียดคู่ต่อสู้ของนายช่วยเล่าให้ฉันฟังได้รึเปล่า”
คาดว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกับผู้บงการมหามังกรเทียมแน่ๆ
เซบาสเตียนพยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้วครับ แต่ไว้พรุ่งนี้น่าจะดีกว่า ท่านเรเซอร์เองก็น่าจะเหนื่อยแย่แล้ว ..รวมถึงท่านแฟนสาวคนนั้นด้วย”
..แฟนสาว ..อ๋อ ไม่ใช่ซะหน่อย
ผมหันไปมองเบลลามี เบลลามีมองหน้าผมและหลบหน้าหนี
แองเจลิน่ามองมาทางผมแบบเอือมๆ พลางสลับไปดูหน้าเรเซลและอันนา และตัดสินบางเรื่องแล้วทันใด ทำหน้าเหมือนจะตำหนิผม เป็นครั้งแรกที่จะโดนพี่สาวคนนี้ด่า
“น้องรัก”
“ฟังผมอธิบายก่อน”
“จ๊ะ”
แองเจลิน่าส่งร้อยยิ้มที่บอกเป็นนัยว่า-ขอเหตุผลนะ ไม่ใช่แถ
จากนั้นก็อธิบายเรื่องความสัมพันธ์กันยาว โดยมีเซบาสเตียนมานั่งฟังด้วย ระหว่างฟังเซบาสเตียนก็พึมพำอย่างมีความสุขประมาณว่า ‘ถ้าคุณนาย(แม่เรเซอร์)ได้ยินเข้าคงภูมิใจ’ ราวๆนี้ ไม่รู้ว่าประชดหรือพูดจริงกันแน่ แต่ผมไม่อยากให้หล่อนได้ยินเลย หูผมชาแน่
แน่นอนทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมก็อธิบายไปตามจริง
“เรื่องก็ประมาณนี้ครับ”
“จริงๆแล้วท่านเรเซอร์ยังมีผู้หญิงอีกคนที่เกี่ยวด้วยคะ” อันนาพูด
“รู้สึกจะชื่อ โซเฟีย คะ” เรเซลเสริม
“เป็นเพื่อนเราเอง” เบลลามีเสริมอีก
“น้องรัก เล่าไม่หมดนะนั่น”
แองเจลิน่าทำหน้าเอือมละอาอีกแล้ว—ไม่อยากโดนพี่สาวคนนี้เกลียดเลย
“ไม่ๆ ไม่ใช่ว่าพูดถึงแค่เบลลามีอยู่หรือไงครับ!?”
อันนี้พูดจริงนะ ผมไม่ได้คิดชั่วๆไปถึงขั้นปิดความผิดตัวเอง อันนี้ผมคิดอย่างที่พูดจริงๆ แต่สะเพร่าไปหน่อยที่คิดอย่างนี้
“จ๊ะ ถ้าไม่ถามก็จะไม่บอกให้ฟังทั้งหมดสินะน้องพี่ แบบนี้ถ้าคุณภรรยาของน้องในอนาคตจับได้ว่าน้องมีชู้ น้องก็จะสารภาพแค่เรื่องคนที่โดนจับได้ ทั้งๆที่น้องมีชู้ซุกไว้อยู่อีกสิบคนประมาณนี้หรือน้องพี่ ไม่สงสารว่าที่ภรรยาบ้างหรือ? ต้องระแวงตลอดเวลา จะถามก็ต้องถามไถ่เรื่องราวทั้งหมด แบบนี้ไม่ต่างกับการโดนเล่นเหลี่ยมเลยนะคะน้องรัก”
“..ขอโทษ..ครับ”
จริงๆก็เถียงได้ แต่ผมไม่ควรเถียงอย่างยิ่ง
ผมเล่าเกี่ยวกับโซเฟียไปหมดเปลือกเหมือนกัน
“..อันนี้มัน”
“ผมผิดเอง จะต้องยำทำแกงอะไรกับผมก็ได้”
“แต่จะว่าท่านเรเซอร์ทั้งหมดก็ไม่ได้นะคะ”
เรเซลโพล่งขึ้นมา เวลานี้เธอเสมือนนางฟ้ามาโปรด
“ตอนนั้นท่านเรเซอร์ยังไม่ได้ตกลงรับพวกเราเป็นภรรยาเลยคะ กับท่านเบลลามีก็เป็นแค่ ‘เพื่อน’ ด้วย อาจเกินเลยไปบ้างแต่ก็บอกพวกเรา ‘ว่าที่ภรรยา’ ตรงๆ เรื่องของท่านโซเฟียท่านเรเซอร์ผิดเองก็จริงที่ไม่ยอมถอนตัว”
เรเซลพยายามบอกว่าผมไม่ได้เล่นชู้อะไรแต่อย่างไร แต่ก็ผิดกับโซเฟียอยู่ดีที่เล่นไม่สื่อแม้ว่าผมจะไม่ตั้งใจอย่างนั้น
แล้วก็เหมือนจะเน้นประโยคบางประโยคมากเป็นพิเศษด้วย นั่นทำให้เบลลามีตัวสั่นเลย แต่สภาพผมแย่กว่าเบลลามีอีก
“ขอโทษครับ”
ลุงอายุสี่สิบโดนเด็กอายุสิบกลางๆพูดสอนเรื่องความเหมาะสมในความสัมพันธ์ ดูไม่จืดเอาซะเลย แต่ก็ช่วยไม่ได้ ผมไม่เคยมีประสบการณ์ความรักอะไรเลย มีแค่ช่วงวัยรุ่นที่ไปจีบเขาแบบเต๊าะๆ ใช่ จีบแบบเต๊าะเล่น แฟนจริงๆไม่เคยมีหรอก แค่เต๊าะสาวตามเพื่อน
ว่าง่ายๆคือผมแค่ไอ้ลุงซิงไร้ประสบการณ์
แองเจลิน่าถอนหายใจ
“คนเราพลาดกันได้จ๊ะ แต่อยากหนีความผิดเป็นพอ ขอโทษโซเฟียเขาแล้วก็ดูแลเขาดีๆก็พอแล้ว..เรเซลกับอันนาก็เตรียมใจให้เรเซอร์มีภรรยาหลายคนอยู่แล้ว ก็เป็นถึงขุนนาง พี่เองถ้าต้องการก็มีสามีหลายคนได้เหมือนกันน่ะนะ แต่ประเด็นคือ”
คนเดียวยังหาไม่ได้เลยนั่นเอง
ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ทุกคนในที่นี้รู้หมดแก่ใจ ยกเว้นเบลลามี
“ประเด็นคืออะไรเหรอ?”
เบลลามีถามจากใจจริง-มาแล้วเบลลามีผู้ไร้ทักษะการอ่านบรรยากาศ
“นั่นสินะ ประเด็นก็คือ”
“คือ…คืออะไรเหรอ?” เบลลามีเอียงคอ “ไม่ใช่ว่าหาไม่ได้เหรอ?”
ยะ อย่าไปกดดันแบบนั้นสิเบลลามี พี่แองเจลิน่าจะร้องไห้แล้วนะนั่น ถึงจะไม่ตั้งใจก้เถอะ แต่พูดแบบนี้มันไม่ดีนะเห้ย!
ต้องรีบหยุดเบลลามีแล้ว–ไม่ทันการณ์
“ประเด็นคือแค่คนเดียวยังหาไม่ได้ค่ะ ..”
พี่แองเจลิน่าโดนกดดันจนหลุดมาซะก่อน เธอพูดทั้งน้ำตาที่ปริ่มๆ ..ตัดมาทางเบลลามี เธอนิ่งไปสามวิก่อนพูด
“ชีวิตไม่จำเป็นต้องมีคนรักก็ได้”
พูดจบเบลลามีก็พยักหน้าพึมพำกับตัวเอง
“…ค่ะ”
ประโยคพูดสุดเหนือจากคนที่เหนือกว่าด้านความรัก การพูดแบบนี้ไม่ใช่การปลอบ มันคือการข่มใส่และเอาหินกลบฝังศพคนไร้คู่
แม้จะไม่ตั้งใจ แต่เบลลามีชั่วได้ใจมาก
แองเจลิน่าพ่ายแพ้เบลลามีอย่างหมดรูป อันนาและเรเซลถึงกับอึ้งไป
“เรเซลยัยนี่ตัวอันตราย”
“อันตรายก็จริงค่ะ แต่ ..ถ้าเป็นเธอต้องรีดข้อมูลเก่งแน่ๆค่ะ”
เดี่ยวๆเรเซล นี่หล่อนเรียนรู้การรีดข้อมูลมาจากไหนฟร้ะ แต่ก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย แล้วก็ทำไมต้องมองหน้าตูด้วยฟร้ะนั่น!? อันนาด้วย มองมาทางนี้ไม่วางตาเลย
สังหรณ์ใจไม่ดีเลย ..รีบหนีดีกว่า
“คือหอพวกผมโดนทำลายไปน่ะครับ เลยว่าจะขอที่นอนหน่อยน่ะ ราวๆนี้”
“เหรอ ..ถ้านั้นก็แยกย้ายเลยก็ได้ เรเซอร์ไปนอนกับเซบาสเตียนได้รึเปล่า”
“ได้ครับ”
“ส่วนเบลามี..คุณเบลลามี”
ใช้คำสุภาพเฉยเลย! แองเจลิน่ากลัวเบลลามีโดยสมบูรณ์แล้ว!
“คุณเบลลามีนอนกับเรเซลและอันนาได้หรือเปล่าคะ?”
“ได้สิ”
“ค่ะ ลำบากหน่อยนะคะ”
..เหวอ
จากนั้นก็แยกย้ายกัน ผมนอนแคมป์เดียวกับเซบาสเตียน เบลลามีนอนกับเหล่าเมดๆ
****
เบลลามีเข้านอนกับพวกเรเซลและอันนา ทันทีที่เข้ามาทุกคนก็นอนทันที
แน่นอนว่านอนไม่หลับสักคน
“ท่านเบลลามีตื่นอยู่รึเปล่าคะ?”
“อือ..มีอะไรเหรอ”
“ท่านเบลลามีชอบท่านเรเซอร์สินะคะ”
เบลลามีที่หน้านิ่งตลอด แก้มก็ค่อยๆแดงและมุดตัวเข้าผ้าห่ม
“อือ”
อันนาเห็นก็จั๊กจี๊ขึ้นมา แทบจะร้องเสียงหลง ส่วนเรเซลก็ยิ้มอย่างเศร้าใจ ใช่ ยิ้มอย่างอาลัยอาวรณ์ เป็นรอยยิ้มที่เศร้า
เธอไม่ชอบเบลลามี
ถ้าเบลลามีเกี่ยวข้องกับเรเซอร์เยอะเกินไป พวกเธออาจถูกเรเซอร์เมิน อาจถูกให้ค่าน้อยกว่า แน่นอนว่าเรเซลคิดไว้อยู่แล้ว ตัวเองเป็นแค่สามัญชนเป็นได้ไม่เกินเมียน้อยแน่ๆ แต่อย่างน้อยก็อยากได้ความรักเท่ากับที่เรเซอร์มีให้ภรรยาหลวง หรือเท่ากับที่มีให้อันนา
แต่เรเซลนึกกลัวขึ้นมา เพราะตอนเด็กเธอเคยคุยกับเรเซอร์ และมีชื่อของเบลลามีเข้ามา ..ในมุมมองของเรเซล เธอมองว่าเบลลามีคือคนที่เรเซอร์โหยหามาตลอด เป็นคนที่เรเซลไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับความรักเท่ากันได้ ถ้าเธอคนนี้อยู่ด้วย เรเซอร์จะเลือกเธอคนนี้มากกว่าเธอ
เรเซลเลยกลัวขึ้นมา และเผลอพูดอวดเบ่งใส่เบลลามีบ่อยๆเพื่อปกป้องจิตใจตัวเอง
ตามนิสัยเรเซลคือคนที่ยอมให้เรเซอร์มีภรรยาได้ง่ายกว่าอันนา แล้วก็ไม่ใส่ใจด้วยถ้ามีภรรยาเยอะ แต่กับเบลลามี เรเซลไม่อยากให้เบลลามีเข้ามาเป็นหนึ่งในภรรยาของเรเซอร์จากใจจริง เป็นคนเดียวที่มีปัญหากับเบลลามี
เรเซลรู้สึกโกรธตัวเองที่คิดไม่ดีกับคนสำคัญของเรเซอร์ เธออยากตำหนิตัวเอง ..ชื่อหน้าของตัวเองตอนนี้คงจะแย่มากๆ น่าจะเต็มไปด้วยความอิจฉา ความไม่พอใจแหงๆ ความรังเกียจตัวเอง คงกำลังทำท่าเหมือนแมวหวงก้างอยู่แน่ๆ
ใบหน้าเช่นนี้จะให้ใครเห็นไม่ได้ ต้องเก็บเอาไว้ ต่อให้เกิดอะไรขึ้น ต่อให้ไม่พอใจยังไงก็ต้องเก็บเอาไว้ ..ทว่า
“..อ๊ะ”
และเรเซลพึ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองหันหน้ามองเบลลามีอยู่ เบลลามีเลยเห็นหน้าเรเซลชัดเจน
เรเซลหน้าถอดสี ถ้าเบลลามีเอาเรื่องที่ตัวเองไม่พอใจกับเรเซลไปบอกเรเซอร์ เธอโดนเรเซอร์ทิ้งแน่ๆ พอคิดอย่างนั้นก็พยายามจะพูดแก้ตัวให้ตัวเอง ทางเบลลามีไม่ได้พูดต่อว่าอะไร เธอทำเพียงเอื้อมมือมาลูบหัวเรเซลเบาๆ เหมือนลูบหัวลูกแมวตัวน้อย พยายามจะเป็นมิตรด้วยอย่างสุดความสามารถ
“ไม่เป็นไรหรอกนะ ..เรเซอร์ไม่ใช่คนแบบนั้น”
เพียงคำพูดสั้นๆ ความกังวลใจทั้งหมดของเรเซลก็หายไป
ทำไมเธอถึงได้หลงรักเรเซอร์ ทำไมเธอถึงได้สงสัยในความรักของเรเซอร์ที่มีให้ตัวเอง ทำไมเธอถึงคิดว่าเรเซอร์จะขับไล่ตัวเองออกไปด้วยเหตุผลไร้สาระ
เรเซอร์ที่เธอรักไม่ใช่คนแบบนั้น ถ้าเธอโดนทิ้งเพราะเรื่องแค่นี้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะหลงรักเรเซอร์ที่เปลี่ยนไปคนนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลไป
เรเซลยิ้มให้เบลลามีอย่างจริงใจ
อันนาเห็นทั้งสองก็ถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่แก้ปัญหาทางใจเรเซลได้ก่อนเรื่องจะบานปลาย
“คุณเบลลามีก็จะเป็นภรรยาอีกคนของนายท่าน(เรเซอร์)สินะ”
อันนาโพล่งขึ้นมา นั่นทำให้เบลลามีหน้าแดงแจ๋
“เร็ว..ยังเร็วเกินไป..ขอคิดสักสามปี”
“รับทราบค่ะ”
อันนาหัวเราะขึ้นจมูก
ไม่ได้ปฎิเสธซะทีเดียว แต่เบลลามีรู้จักเรเซอร์แค่เกือบๆครึ่งปี ยังต้องรู้จักกันมากกว่านี้ก่อน
กลับกันโซเฟีย หนึ่งในผุ้เสียหายตอนนี้ก็กลับไปร้องไห้ที่บ้าน ซุกอกพ่ออกแม่อยู่ …
****
พอผมเข้ามาในแคมป์ ผมก็คุยกับเซบาสเตียนเรื่องทั่วๆไป ไม่นานก็เข้าเรื่องแขนที่หายไปของเซบาสเตียนกัน
เล่าโดยรวมคือเซบาสเตียนหลังจัดการอาร์คเดม่อนเสร็จก็โดนหญิงปริศนาที่เป็นเผ่า ‘แวมไพร์’ บุกโจมตี ระหว่างการต่อสู้เซบาสเตียนเสียเปรียบก็จริงแต่ก็ทำให้ตัวเองไม่แพ้ได้ แต่สุดท้ายเซบาสเตียนก็แพ้ในจังหวะที่เคียว อาวุธของแวมไพร์ปริศนานั้นเลืองแสงและปรากฏพลังแปลกประหลาดขึ้นมา
พริบตาที่แสงหายไป แขนของเซบาสเตียนก็หายไป และรักษาไม่ได้ เลือดก็ไม่ไหล เหมือนโดนชิงร่างกายไป ไม่ใช่โดนทำลาย แต่โดนชิงไปทำให้รักษาไม่ได้
เคียวที่มีพลังในการชิงบางอย่างได้ ..จำไม่ผิดนั่นเป็นหนึ่งในสิบอำนาจของทวยเทพ เป็นพลังที่แตกย่อยออกมาหลังจากที่เทพตายไปในสงครามกับจอมมาร
อย่างยูจิก็ได้วิญญาณของเทพไป อย่างมหามังกรก็เป็นเทพมังกรแยกส่วนสี่ส่วนมา และอย่างเคียวยะที่ใช้ก็เป็นหนึ่งในพลังของเทพทั้งสิบ
ผมพอรู้รายละเอียดอยู่เพราะเคียวนี่เคยโผล่มาในนิยายต้นฉบับ มันเป็นอาวุธที่ร้ายกาจทีเดียว
“ลำบากแย่เลยนะเซบาสเตียน”
“ไม่หรอกขอรับ เทียบกันแล้วท่านเรเซอร์น่าจะเจอเรื่องหนักกว่ากระผมอีกขอรับ”
ถึงจะเสียแขนไปแต่เซบาสเตียนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คนๆนี้ต่อให้ไม่มีแขนหนึ่งข้างก็ยังแข็งแกร่งดั่งเดิม แต่ปฎิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าเซบาสเตียนอ่อนแอลงกว่าแต่ก่อน
“สักวันต้องได้เจออีกแน่ ถึงตอนนั้นฉันจะชิงแขนกลับมาให้นายเองเซบาสเตียน”
เซบาสเตียนยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
“ท่านเรเซอร์เติบโตได้อย่างองอาจเช่นนี้ ท่านทั้งสองต้องพึงพอใจแน่ๆครับ”
หมายถึงพ่อและแม่ของผม
“ไม่หรอก สองคนนั้น ..”
เป็นพ่อแม่ที่แทบไม่เคยโผล่หน้ามาหาลูกเลย แล้วก็ไม่ได้นิสัยดีอะไรมากด้วย ตอนเด็กก็ทำเรื่องไม่ดีกับผมและแองเจลิน่าไว้พอตัว เป็นขุนนางที่เน้นผลประโยชน์มากกว่าความรู้สึกส่วนตัว เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยได้เลย ถ้าเกิดมีคนลอบสังหารผม พวกเขาถือว่าเป็นผู้ต้องสงสัย ใช่ พ่อแม่คือผู้ต้องสงสัยในการฆ่าลูกตัวเอง
เป็นคนแบบนั้นแหละ เพราะแบบนั้นผมและแองเจลิน่าจึงได้รักกันมาก เพราะคนที่ให้ความรักในครอบครัวได้ ก็มีแค่พวกเราสองคน
“ทั้งสองคนรักพวกท่านแน่นอนครับ”
คงอย่างนั้น ถ้าเซบาสเตียนพูดอย่างนั้นก็คงอย่างนั้น ผมแค่คิดมากไปเอง
“ท่านเรเซอร์เองหลังจบการศึกษาจากวิทยาลัยเวทมนตร์แล้วก็ต้องมีอัศวินแล้วสินะครับ”
เซบาสเตียนเห็นว่าผมไม่ชอบคุยเรื่องเกี่ยวกับสองคนนั้นเลยเปลี่ยนเรื่องคุย
อัศวิน นั่นสินะ ขุนนางชั้นสูงจำเป็นต้องมีอัศวินข้างกาย ..อย่างพ่อของผมก็มีเซบาสเตียน แต่พักหลังๆเซบาสเตียนก็ถูกสั่งให้มาอยู่ข้างแองเจลิน่าบ่อยขึ้นแล้ว อีกไม่นานคงมอบอำนาจให้พี่แองเจลิน่าแล้วรวมถึงอัศวินข้างกายของตัวเองอย่างเซบาสเตียน
ผมเองสักวันก็ต้องมี
“เลือกได้หรือยังครับ”
อีกไม่นานแล้ว คิดไว้ก็ดี
แน่นอน ผมมีอยู่แล้ว คิดไว้แล้วตั้งแต่ตอนเด็ก
“มีแล้วล่ะคนคนนั้น”
ชินยังไม่ตาย เขานี่แหละอัศวินของผม สักวันหนึ่งถ้าได้เจอกันอีกครั้ง ผมจะทวนสัญญาที่ว่าจะเป็นนายบ่าวกันอีกครั้ง และถ้าเขายังปารถนาจะรับใช้ผมอยู่ ผมก็จะรับเขามาเป็นมือขวา
ตอนนี้ชินเป็นอย่างไรผมไม่รู้ รู้แค่อยู่กับฟัฟนิร์ เรื่องจดหมายก็ยังไม่ได้อ่าน กะว่าจะอ่านในวันพรุ่งนี้พร้อมกับเอเธอร์และทุกๆคน
ยังไงผมก็เชื่อว่าชินไม่มีทางผิดสัญญาแน่นอน
ตอนนี้ชินเป็นยังไงบ้างนะ ..น่าคิดถึงจริงๆ
****
“..ท่านฟัฟนิร์”
อัศวินหนุ่ม? ไม่สิ ค่อนไปทางสาวแต่ก็คล้ายกับหนุ่ม เขาคือ ชินหรือชินดร้า เป็นผู้หญิงหล่อ
ตอนนี้ชินก็เอ่ยทักหาฟัฟนิร์ มหามังกรเพลิงในตำนานด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
และไม่มีเสียงตอบรับ
“อย่าเงียบสิครับท่านฟัฟนิร์”
“..อะไร”
“ขาผมหายไปแล้วนะขอรับ”
มองไกลออกไป ตอนนี้ชินกำลังนอนในสภาพไร้ขาอยู่ แถมร่างกายยังไม่รักษาด้วย ทั้งๆที่เป็นครึ่งมหามังกรที่มีพลังเยียวยาสูง แต่ไม่ว่ารอนานแค่ไหนก็เรียนขาคืนไม่ได้
ส่วนฟัฟนิร์ก็นั่งบนท่อนไม้อยู่ข้างๆชินในสภาพที่แขนหายไป ไม่มีแขนงอกออกมาอย่างที่ควรเหมือนกัน
“ต้าวชินนี่ขี้บ่นจังนะ วันที่เจอกันวันแรกยังเป็นคนพูดน้อยอยู่เลย ทำไมไม่ปฎิบัติกับข้าเหมือนวันแรกล่ะ”
“นั่นไม่ได้หรอกครับ..ท่านฟัฟนิร์ ไหงท่านบอกว่าแกนน่อนเป็นมิตรไม่ใช่หรือครับ แกนน่อนที่เป็นเทพดาบคนนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับเราไม่ใช่เหรอครับ?”
ชินพึมพำเสียงสั่น เต็มไปด้วยความโกรธ ฟัฟนิร์รู้ได้จากน้ำเสียง เลยไม่ตอบโต้อะไรเงียบใส่
จากที่คุยกันทำให้อนุมานได้ว่าสภาพของทั้งสองเป็นเช่นนี้เพราะโดนเทพดาบแกนน่อนที่ว่าเล่นงาน
และแน่นอน เกือบตายคู่
ฟัฟนิร์ยังคงนิ่งเงียบ กะจะใช้วิธีไม่พูดแล้วให้เรื่องจบทันที
“ท่านฟัฟนิร์ครับ!!”
“อะ อภัยให้ข้าด้วย ข้าไม่รู้นี่นา! ไม่รู้ก็ช่วยไม่ได้ หยุดบ่นข้าสักที ข้าไม่ชอบโดนบ่นเลย มันน่ากลัวนะรู้มั้ย!! โดนดุแล้วข้าจะร้องไห้นะรู้เปล่า!?”
ฟัฟนิร์ร้องโฮ ชินหรี่ตาลงอย่างเอือมระอา
“ทางผมพูดขึ้นเสียงก็ไม่ดี ขออภัยด้วยนะครับ มาตั้งสติหาลือกันเถอะครับ”
“สมกับเป็นต้าวชิน เลือกทางได้ถูกมาก แทนที่จะตำหนิต่อว่าข้าอย่างใจร้าย สู้มาคิดหาวิธีแก้ดีกว่า”
อารมณ์ฟัฟนิร์ดีขึ้นทันทีเหมือนดึงคันโยก
“ครับ ลำดับแรก พวกเราจะมาเจรจากับเทพดาบแกนน่อนเรื่องร่วมมือจัดการกับเนลยอนสินะครับ แล้วพอไปเจรจาก็พบกับเจ็ดมหาบาปเข้า ..ตอนที่ทำท่าจะสู้กับเจ็ดมหาบาปแกนน่อนคนนั้นก็เข้ามาห้าม และคุยกับท่านฟัฟนิร์ก่อน”
อนึ่งเนลยอนคือมหามังกรวารี น้องเล็กสุดในหมู่มหามังกร เป็นเป้าหมายที่ฟัฟนิร์ต้องการหยุดไว้ ส่วนปีศาจเจ็ดมหาบาปก็คือกลุ่มปีศาจสมุนที่มีเป้าหมายคืนชีพจอมมาร ปัจจุบันร่วมมือกับเรน และแกนน่อนเขาเป็นเทพดาบคนปัจจุบันของโลกที่อยู่มายืนยาวเป็นพันปีแล้ว
“ใช่แล้ว จากนั้นข้าก็เชื้อเชิญเข้าร่วมวงกินโต๊ะเนลยอนน้องข้า”
“จากนั้นภาพก็ตัดอีกทีตอนพวกเราวิ่งหนีเทพดาบแกนน่อนกันครับ”
…ทั้งชินและฟัฟนิร์รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว มันสรุปได้ง่ายๆเลย
แกนน่อนอยู่กับปีศาจมหาบาปปฎิเสธให้ความร่วมมือจัดการเนลยอน และหันดาบเข้าใส่
“แกนน่อนเป็นศัตรูครับ ดูจากที่คิดจะฆ่าเราเขาน่าจะอยู่ฝั่งเดียวกับเนลยอน ยิ่งกว่านั้นยังปีศาจเจ็ดมหาบาปอีก หมายความว่าปีศาจเจ็ดมหาบาปกับเนลยอนเป็นพวกเดียวกัน..ท่านฟัฟนิร์ บอกตามตรงคือผมอยากกลับไปรับใช้ท่านเรเซอร์น่ะครับ คิดจะช่วยท่านเคลียร์เรื่องส่วนตัวให้จบก่อนค่อยกลับไป แต่พวกเราจะไหวรึเปล่าครับ ไม่ใช่ว่าจะตายกันก่อนหรือครับ”
ถ้ามีใครตายก็จะตายเลย อีกคนจะขึ้นเป็นมหามังกรแทน สภาพของชินและฟัฟนิร์ก็ประมาณนี้
“จะถอนตัวมั้ยล่ะต้าวชิน ถ้าต้าวชินคิดจะไปข้าก็ไม่คิดรั้งหรอก”
“ไม่หรอกครับ ..ผมละเลยผู้มีพระคุณไม่ได้หรอกครับ”
ฟัฟนิร์ได้ยินเช่นนั้นก็ชื่นใจ
“สมกับเป็นต้าวชิน มุ่งสู่นรกด้วยกันเถอะ วะฮ่าๆๆ!”
“ขะ ขอไม่ลงนรกนะครับ”
ทั้งสองคุยกันท่ามกลางแสงจันทร์ ในสภาพที่ร่างกายไม่สมประกอบ
หลังจากนั้นไม่นานร่างกายก็กลับมาฟื้นฟู และทั้งสองก็ดำเนินเป้าหมายกันต่อ และสักวันพวกเขาและเรเซอร์ต้องได้บรรจบกันแน่ๆ
MANGA DISCUSSION