< < 75 > >
“แล้วมันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย”
คนที่พูดบ่นคือเคียวยะ ตอนนี้ยังนอนติดเตียงอยู่แต่ท่าทางดูองอาจ ดูห้าวมากๆ
“เกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ”
“อือ ..นิดหน่อยจริงๆนะ”
“สภาพเลือดท่วมตัวขนาดนั้นเนี่ยนะนิดหน่อย!?”
นั่นสิเนอะ
หลังจบเรื่องกับเอเธอร์และไปรับร่างยูจิผมก็รีบกลับมาที่ซุ้มรักษาพยาบาล เพราะว่ายูจิได้รับบาดเจ็บสาหัส
เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ใครสักคนจะพูดถาม แล้วคนที่รับบทนี้คงหนีไม่พ้นเคียวยะคนเดียวคนเดิม จอมขี้บ่นประจำกลุ่ม
ข้างซ้ายเคียวยะก็มีไอริส ข้างขวาถัดไปสองเถียงมีเรย์อยู่คนเดียว
ส่วนสภาพผมตอนนี้ก็แบกยูจิไว้ข้างหลังและมีเบลลามีที่ตาแดงเพราะร้องไห้มาอยู่
สภาพเหมือนไปเจอศึกหนักมา
“แล้วยูจิด้วยเกิดอะไรขึ้น? สภาพดูไม่ได้เลยสักนิด แล้วหนิงมันไปไหนซะละ เบลลามีแกก็ด้วยจะร้องไห้ทำไมเนี่ย”
“..ไม่ได้ร้อง”
เบลลามีมีสีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนเดิม แค่เพิ่มสีแดงๆบริเวณแก้มเข้ามาเล็กน้อย ก็เขินนั่นแหละคงอับอายจากเรื่องก่อนหน้านี้ไม่น้อย
เคียวยะกอดอกมองพวกผม ไม่ได้ใช้ดวงตามหาปราชญ์ ใช้ตาและความคิดจริงๆของตัวเองในการวิเคราะห์
“คงไม่คิดจะปิดบังกันสินะ”
“..แน่นอน”
“ให้ยูจิพักก่อนเถอะ”
ผมทำตามที่เคียวยะว่าเอาร่างยูจิวางไว้บนเตียงนอน ไอริสเดินมาดูอาการก็ถึงกับหน้าถอดสี
“สภาพแย่สุดๆเลยนะค่ะเนี่ย เกิดเรื่องอะไรหรือคะ?”
“จะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง”
ทุกคนในที่นี้พยักหน้าให้กัน และผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ตั้งแต่เหตุการณ์ที่โดนตัวตนปริศนาบุกอาณาจักรฟัฟนิร์ เรื่องของการ์ปที่คาดคะเนไว้ เรื่องของผมและเบลลามีที่โดนเอเธอร์ตามมาหาเรื่อง เรื่องของยูจิที่โดนคาลอสจัดการ สุดท้ายก็เรื่องของหนิงทั้งหมด
แน่นอนผมปิดบังว่าตัวเองเป็นคนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดไว้อยู่ เพราะคิดว่าเก็บไว้ก่อนจะดีกว่า
“เรื่องทั้งหมดก็ประมาณนี้”
เรย์ตกใจหนักที่สุดในที่แห่งนี้ ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ด้วย เคียวยะตกใจหน่อยๆแต่ก็ทำเก็กขรึมได้ดั่งเดิม เบลลามีเองก็ด้วย แต่คนที่ไม่แสดงอารมณ์มากสุดคือไอริส
“ท่านหนิงเลยไม่ได้มาด้วยสินะค่ะ”
ไอริสพึมพำขึ้นมา ใบหน้าของเธอยังเหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เพราะเธอรู้เรื่องของหนิงอยู่แล้วตั้งแต่แรก ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องเกิด
ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร ไม่จำเป็นต้องตื่นตัวอะไรภายนอกเป็นเช่นนั้น แต่ในที่นี้มีแค่ผมคนเดียวที่รู้ว่าไอริสรู้สึกยังไงในใจ เพราะเคยอ่านเนื้อเรื่องต้นฉบับมาก่อน
“ช่วยไม่ได้คะ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ตั้งแต่เกิดของท่านอยู่แล้วด้วย”
“โทษทีแต่ต้องขอพูดดักไว้ก่อน ฉันจะไปช่วยหนิง”
ไอริสเขม็งใส่ผม ส่งสายตาเป็นศัตรูเต็มที่
“ไม่ได้จะดูถูกความสามารถหรอกนะคะ แต่ลำพังเธอไม่ไหวหรอก”
“เอเธอร์ตกลงเป็นพวกกับผมแล้วนะ รุ่นพี่ไอริส”
“ถึงอย่างนั้นในฐานะว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไป ฉันจะปล่อยให้เกิดการกบฏไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเอเธอร์คนนั้นมีเอี่ยวด้วย มันยิ่งไม่ตลกเข้าไปใหญ่ เธอเองก็เป็นหนึ่งในขุนนางที่ต้องปกป้องอาณาจักรนี่ ทำไมถึงได้-”
“จะเป็นยังไงก็ช่างไอ้อาณาจักรบ้านี่น่ะ ขาดแค่หนิงคนเดียวมันจะทำให้อาณาจักรพังรึไง”
“อาณาจักรนี้จำเป็นต้องมีคนที่เสียสละคะ และท่านหนิงก็เป็นผู้ถูกเลือก”
“โดยไม่ถามกันสักคำมันใช่เรื่องรึไง ทำไมไม่ให้ผู้สมัครใจอย่างราชาอัศวิน ราชาจอมเวทย์ผู้ทรงเกียรตินั่นดูแลไปซะล่ะ”
“พวกเขาเป็นได้แค่ทรัพยากรบุคคล แต่ท่านหนิงน่ะไม่ใช่”
เพราะเป็นมหามังกรแท้ๆเลยมีคุณค่าในสนามรบมาก เป็นเสมือนป้อมปราการอมตะของอาณาจักรฟัฟนิร์
อาณาจักรฟัฟนิร์แห่งนี้มีผู้ทรงพลังหลักๆอยู่สามตนได้แก่ ราชาอัศวินคาลอส ราชาจอมเวทย์เบญจามิน และมหามังกรหนิง ส่วนเอเธอร์เป็นตัวตนพิเศษของอาณาจักร ไม่ได้ขึ้นตรงอะไรมากแต่ก็ใช้ประโยชน์ได้
แน่นอนมีแตกย่อยไปอีกเป็นขั้นๆ มีนักดาบขั้นบรรลุเกือบๆร้อยคน มีจอมเวทย์ขั้นบรรลุมากมาย มีทั้งนักดาบและนักเวทย์คุณภาพอยู่มากมาย ต่อให้ขาดมหามังกรไปก็ไม่มีทางแพ้ใครง่ายๆ เพียงแต่ข้อได้เปรียบต่ออาณาจักรอื่นมันจะเสียไปอย่างหนึ่ง
มหามังกรสำหรับอาณาจักรฟัฟนิร์ก็เหมือนหลักประกันอย่างหนึ่ง
ที่หนิงพูดมาก็ถูก อาณาจักรนี้จะขาดหนิงไม่ได้เด็ดขาด
“แต่ว่านะที่เรียกตัวไปนั่นเป็นเพราะหนิงควบคุมตัวเองไม่ได้สินะ”
“คิดว่าอย่างนั้นค่ะ แล้วยังไง”
“เพราะแบบนั้นไงเลยต้องรีบไปช่วย หนิงต่างกับเจ้าหญิงมังกรคนก่อนหน้า ตัวหนิงมีความรู้สึกที่เจ้าหญิงมังกรไม่มี ซึ่งนั่นเป็นภัยต่ออาณาจักร”
ต่อให้ต่อหน้าราชาจะเป็นได้แค่คนธรรมดา แต่ถ้าละสายตาไปหนิงจะทำอะไรก็ได้ ถ้าผมเป็นราชาอับเบโด้ ผมจะรีบส่งต่อพลังของหนิงให้เด็กคนใหม่โดยเร็ว
การส่งต่อพลังคือการให้กำเนิดบุตรจากเลือดราชวงศ์ และตายไป มีหน้าที่แค่ทำลูกเท่านั้น
“อีกไม่นานหนิงจะต้องให้กำเนิดบุตร และต้องตาย ..หนิงควรมีเวลาเหลืออีกสี่ปีเป็นอย่างต่ำ แต่คราวนี้ไม่ใช่แล้ว หนิงกำลังจะตาย เวลาสี่ปีที่เธอควรได้ก็ไม่มี ฉันรู้ดีว่ามันไม่เกี่ยวอะไรเลย เหตุผลก็มีแค่ฉันอยากช่วยหนิงเท่านั้นแหละ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น เธอจะแจ้งให้ทหารมาจับฉัน ประจานฉัน หรืออย่างแย่ก็ลงมือฆ่าฉันทิ้งก็เอาเลย กำลังพลของบ้านเธอมากพอจะทำได้อยู่แล้ว”
ผมส่งสายตาแสดงความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน เหมือนกับที่ไอริสเหมือนผล
“กลับกัน ทางฉันก็จะสู้ และถ้าชนะก็อย่าหวังว่ากำลังรบผู้ทรงเกียรติของเธอจะรอดไปได้สักคนเดียวเชียว”
ที่ผมทำคือการขู่ ขู่ว่าถ้าอีกฝ่ายคิดจะหยุดผม ผมจะฆ่าทิ้งให้หมด แหงล่ะ ผมคงไม่กล้าพอฆ่าไอริส แต่ถ้าเป็นพวกทหารที่มีหน้าที่สู้ถวายหัวอยู่แล้วผมฆ่าไม่เลี้ยงแน่
“..”
“เป็นศัตรูกับฉันและเอเธอร์พร้อมกัน ต่อให้ชนะได้ก็คงได้รับความเสียหายมากอยู่ดี” ผมแสยะยิ้ม “ฉันน่ะว่าไปอย่าง แต่เอเธอร์อย่าหวังว่าจะชนะมันได้เลย กองทัพเธอถูกบดขยี้แน่นอน”
“..”
“ปล่อยวางซะ ทำเป็นหลับตาให้ฉันจัดการทุกอย่าง จะไปช่วยหนิงเอง แต่เดิมเป้าหมายของเธอก็คือเปลี่ยนแปลงอาณาจักรนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“ทำไมถึงรู้..ได้”
ผมพูดต่อเลี่ยงไม่ตอบคำถามของเธอ
“อาณาจักรนี้จำเป็นต้องได้รับความเปลี่ยนแปลง ไม่คิดว่าการที่ไปชิงตัวเองหนิงมาวะเลยมันจะช่วยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในได้เลยเหรอ อาจจะห้วนไปหน่อยแต่แล้วยังไง ถ้าปล่อยไว้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เป้าหมายที่จะนำพาอาณาจักรไปในทิศทางที่ดีขึ้นก็จะหายไป อาณาจักรนี้สุดท้ายก็ต้องพึ่งพาแต่ผู้แข็งแกร่ง พึ่งพาแต่พลังอำนาจเฉพาะบุคคลเรื่อยมา ..อาณาจักรที่พลังของทุกคนรวมเป็นหนึ่งแล้วแข็งแกร่งกว่าใครๆ อาณาจักรที่ไม่จำเป็นต้องมีคนเสียสละ นั่นไม่ใช่อาณาจักรในฝันของเธอหรือไง”
ไอริสหลบหน้าผม เป็นครั้งแรกที่หลบหน้า เป็นครั้งแรกที่ไม่สู้หน้าคนอื่นขัดกับลักษณะนิสัยปกติ ตอนนี้เธอกลายเป็นคนที่กลัวบางอย่าง
การจี้จุดไอริสมันไม่ได้ยากเลย แค่รู้ที่มาที่ไปทั้งหมดของเธอก็พอ
“เธอจะยอมให้อาณาจักรนี้มันเน่าไปอีกเท่าไหร่กัน ..อยากเห็นเด็กอีกกี่คนที่ต้องเกิดมาเพื่ออาณาจักรและตายเพื่ออาณาจักร”
“ก็จริง..อาณาจักรนี้จำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง จำเป็นต้องแก้ไขตั้งแต่รากเหง้า ..แต่ชีวิตคนนับล้านมันไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ง่ายๆอย่างประมาท”
“ใครสนกัน พรุ่งนี้ตอนเย็นๆฉันมีนัดคุยกับเอเธอร์อีกที ถ้าอยากจะเรียกทหารมาจับก็เชิญเลย ทางนี้พร้อมเสมอ”
พูดจบผมก็ไม่หน้าด้านอยู่ต่อ คุยเถียงกันไม่พอยังขู่กันไปมาแบบนี้ใครมันจะกล้าหน้าดานนั่งๆนอนๆอยู่แถวนั้นอีก ผมตัดสินใจหาที่นอนชั่วคราวอย่างแคมป์ตระกูลดราแคล์ของผม
เบลลามีไม่รู้อะไรดลใจให้เดินตามผมมาด้วย
ผมปล่อยให้ไอริสนั่งคิดกับตัวเองอยู่คนเดียว
****
ภายในห้องพักตกอยู่ในความเงียบ จากการสนทนากึ่งทะเลาะกันของเรเซอร์และไอริสทำให้ไม่มีใครกล้าพูดอะไร กลายเป็นห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นมาคุ
ไอริสก้มหน้ามองพื้น เธอสับสนตัวเองอยู่
“..เคียวยะเห็นด้วยกับฉันสินะคะ”
แล้วก็มองหาที่พึ่ง ถ้ามีคนเห็นด้วยในสถานการณ์นี้ความตั้งใจของเธอคงไม่ไขว้เขว
เคียวยะร่างทรงแห่งความไม่สนโลกหาได้สนไม่
“ช่างหัวมันสิอาณาจักรนี้ จะเป็นยังไงก็ช่าง เรียนจบไปฉันก็จะออกเดินทางทั่วโลกอยู่แล้ว จะช่วยใครก็จะช่วยด้วย”
เคียวยะอยู่ข้างเรเซอร์แน่นอน ..ไอริสรู้ดี เธอรู้อยู่แล้ว แต่ที่ถามเคียวยะเพราะเขาเป็นคนที่ใกล้ชิดกับไอริสมากสุดตอนนี้ ถ้าพูดเห็นด้วยกับเธอ เธอคง ..ไอริสกัดริมฝีปาก
“ช่างหัวมันสินะคะ ชีวิตคนนับล้านน่ะ”
“เออ ช่างหัวมันไป เจ้าพวกนั้นไม่ได้รู้จักฉัน ฉันก็ไม่ได้รู้จัก พวกนั้นไม่ได้ช่วยฉันด้วย”
จะบอกว่าหนิงสำคัญกว่าคนที่ตัวเองไม่รู้จัก หรือต่อให้หนิงไม่สำคัญ แต่เรเซอร์และเบลลามีที่คิดจะทำการใหญ่ เคียวยะก็ไม่ลังเลที่จะช่วย
“คนสำคัญดีกว่าคนธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว”
“ฉัน..ไม่สำคัญเหรอ”
ไอริสไม่ใช่คนที่จะพูดแบบนี้ ไม่คิดจะพูดหาความเห็นใจจากเคียวยะด้วย ที่พูดคืออยู่ในสภาพจนมุม เธอไม่อยากพูดแบบนี้เลย
ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องที่เคียวยะต้องใส่ใจ
“เออ เทียบกับเรเซอร์รึเบลลามีแล้ว แกน่ะรองลงมาขั้นสองขั้น”
“นั้นเหรอคะ”
บรรยากาศเงียบไปอีกครั้ง มาคุกว่าเก่า เรย์มองทั้งสอง ..และทำท่าจะอาเจียน
เรย์ไม่สามารถทนกับความกดอากาศตอนนี้ได้
“ทะ โทษที ขะ ขะ ขอตัว! ขอตัวก่อน คุยกันดีๆนา อย่ามีเรื่องเลย ยังไงก็เพื่อนๆกันอยู่แล้วไม่ใช่? ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ..เอ้า ยูจิมาเถอะ ไปล่ะนะ ฮะๆ บ๊าย!”
เรย์เลือกจะแบกยูจิไปไว้แคมป์อื่น ขาที่เจ็บอยู่ก็ฝืนๆเดินเอา ดีกว่าเผชิญสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ ..
สุดท้ายเลยเหลือแค่เคียวยะและไอริส
ไอริสไม่พูดอะไร ไม่กวนตีนเคียวยะเหมือนทุกที เคียวยะที่ไม่พูดอะไรอยู่แล้วถ้าไม่จำเป็นหรือถูกทักก็ไม่ได้ใส่ใจ
ทั้งสองเงียบใส่กัน ..ทว่าไอริสก็พูกขึ้นก่อน
“ฉันอยากให้อาณาจักรนี้ดีขึ้นคะ ..ในใจเองก็อยากช่วยเหลือท่านหนิงเอาไว้ด้วย เพราะถ้าเกิดทำให้เธอคนนั้นมีความสุขตลอดชีวิตได้ ความฝันที่จะทำให้อาณาจักรนี้ดีขึ้นมันก็ไม่ใช่แค่ฝันกลางวัน ..แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ รู้ดีอยู่แล้วว่าทำไม แต่ก็อดเจ็บใจไม่ได้ ..เพราะถ้าท่านหนิงไม่มีความสุข อาณาจักรในฝันของฉันก็จะไกลออกไป เป้าหมายของฉันจะถูกล้อเลียนว่าเป็นแค่สิ่งจอมปลอม ..’
แม้ว่าไอริสจะเป็นจอมเห็นแก่ผลประโยชน์ ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อผลประโยชน์ แต่ผลประโยชน์ทั้งหมดเธอจะมอบมันให้อาณาจักรฟัฟนิรื เพื่อให้อาณาจักรแห่งนี้ดีขึ้น
ต่อให้ที่ทำจะดูชั่วร้าย แต่เป้าหมายของเธอคือความดี แน่นอนวิธีการค่อนข้างเลวร้ายในหลายๆครั้ง แบล็คเมล์เอย สร้างสถานการณ์เอย ทั้งหมดมันการกระทำของพวกขุนนางชั่วทั้งนั้น เธอไม่ปฎิเสธว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น แต่เธอก็ช่างย้อนแย้ง เพราะเธอเกลียดพวกขุนนางชั่ว
การจะไปถึงเป้าหมายได้จำเป็นต้องมืดเปื้อนเลือด ไอริสรู้ดีแก่ใจจึงยอมเป็นผู้ย้อนแย้งในความฝันและการกระทำ ยอมเป็นสิ่งที่ตัวเองเกลียดที่สุด
ไอริสมองมือตัวเองที่ตอนนี้สั่นอยู่
“วินาทีแรกที่ได้พบกับท่านหนิงตอนที่ยังเด็ก เธอไม่เห็นฉัน ทีแค่ฉันที่เห็นเธอ แต่ ..ตั้งแต่วินาทีนั้นฉันก็คิดขึ้นมาได้ว่าอาณาจักรในฝันของฉันคือการทำให้เธอที่อยู่ในกรงได้ออกมาเดินข้างนอก แต่สุดท้ายฉันก็คิดจะทำเลือกย้อนแย้งกับตัวเองอีก ..คุณมีดวงตาที่ดีนี่คะ ช่วยบอกฉันหน่อยได้หรือเปล่าคะว่าตอนนี้ฉันเป็นยังไงบ้าง”
ไอริสพูดอย่างเศร้าใจ ไม่รู้ทำไม เคียวยะถึงถอนหาย
“คนโง่คนหนึ่งมั้ง”
“โง่?”
เคียวยะหรี่ตาลงและพูดต่อ
“อาณาจักรนี้มันไม่ใช่อาณาจักรในอุดมคติของแก แกเองก็คิดจะเปลี่ยนแปลง ถ้านั้นแล้วจะไปแคร์อะไรล่ะ”
“ในช่วงผลัดเปลี่ยน มีคนอีกตั้งหลายคนที่ต้องเจ็บปวด ในระยะยาวอาจเป็นผลดีก็จริง แต่ระยะสั้นมีหลายชีวิตต้องสูญสิ้น..นี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องค่ะ เพราะมีผู้ต้องสูญเสีย”
“ไม่คิดวิธีรับมือกับเรื่องในอนาคตดูล่ะ สิ่งที่จำเป็นเมื่อขาดอำนาจมหามังกรไปมีอะไรบ้าง คิดๆรวมกันไว้ดู”
ไอริสถอนหายใจ
“เรื่องแค่นี้รู้อยู่แล้วค่ะ แต่ไม่ว่าทางไหนมันก็มีแต่สูญเสีย บางครั้งคุณก็มีมุมมองที่ไร้เดียงสาดีนะ”
“แน่นอนแค่สมองคนอย่างแกคงคิดเองไม่ได้ เพราะแต่แรกคณะกรรมการระเบียบวินัยไอริสก็คิดเป็นแต่วิธีเอาเปรียบคนอื่น เรื่องช่วยคนอื่นคิดไม่ได้อยู่แล้ว”
เคียวยะหัวเราะขึ้นจมูก ไอริสเจ็บใจกว่าเก่า
ที่พูดไม่ใช่การช่วยหาทางอื่น แต่มันเป็นการซ้ำเติมไอริส-ไอริสรู้สึกโกรธเคียวยะจากใจจริง แต่ไม่ได้พูดโต้ไป
“ไม่สมเป็นไอริสคนนั้นเลย เวลาแบบนี้ไม่ใช่ว่าต้องหาคนที่มีประโยชน์ต่อตัวเองรึไง เหมือนทุกครั้ง ช่วยทำตัวให้เหมือนขุนนางสกปรกไปจนจบไม่ได้รึไง”
“..หมายความว่ายังไงคะ?”
“หลังจบการศึกษาจากวิทยาลัยเวทมนตร์ ฉันจะออกเดินทาง”
ไอริสพยักหน้าทราบ เธอรู้อยู่แล้ว
“ค่ะ แล้วยังไง”
“แต่ถ้ามีคนมาแบล็คเมย์ด้วยเรื่องอะไรสักเรื่อง หรือขอร้องหรือว่าจ้าง ฉันอาจต้องยอมๆทนอยู่อาณาจักรเน่าๆนี่อีกสักสามปี”
“นั่นน่ะ หมายถึง”
ไอริสพอรู้แล้วว่าเคียวยะพูดถึงอะไรอยู่ แต่เจ้าตัวพูดซะอ้อมโลกเหลือเกิน
เคียวยะหัวเราะขึ้นจมูกและกล่าว
“ฉันจะมอบชีวิตของฉันให้แกสามปี ในช่วงนั้นจะช่วยคิดหาวิธีรับมือในช่วงผลัดเปลี่ยนที่ไม่มีมหามังกรเอง ใช้ให้ทำอะไรก็จะทำ”
ไอริสนิ่งไปหลังเคียวยะพูดจบ เธอหันไปมองหน้าเคียวยะที่คงเดิม ..และหัวเราะออกมาอย่างน่ารัก ต่างกับทุกครั้ง เธอตอนนี้ดูน่ารัก แถมยังหัวเราะได้อย่างจริงใจ
“จะมอบชีวิตให้ฉันสินะคะ”
“แค่สามปีเท่านั้นจำใส่หัวเอาไว้”
“เข้าใจแล้วค่ะ แต่มั่นหน้ามั่นโหนกจริงๆนะ คิดว่าตัวคุณมีค่าระดับมหามังกรเลยหรือคะ”
“ยิ่งกว่านั้นไปอีก”
เคียวยะกล่าวอย่างหนักแน่น หลายคนบอกเขาว่าเป็นแค่คนอวดเก่ง ซึ่งมันจริงทั้งหมดเลย แน่นอนไอริสก็มองเหมือนทุกคน เห็นเคียวยะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพก็จริง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเคียวยะอวดดีเกินไป
แต่มีแค่คราวนี้นี่แหละที่เธอมองเคียวยะต่างจากทุกที .อาจจะจริงก็ได้ ที่ว่าเคียวยะมีค่ายิ่งกว่ามหามังกร เธอคิดขึ้นมาอย่างนั้น โดยลำเอียง ใช่ โดยที่ลำเอียงสุดๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตของไอริสที่ใช้ความรู้สึกตัดสินอย่างลำเอียง
เธอกลายเป็นคนลำเอียงที่ให้ค่าเคียวยะมากกว่ามหามังกร
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันขอรับชีวิตคุณไปสามปี และใช้ให้คุ้มค่านะคะ”
“ตามสบาย”
ไอริสมองเคียวยะอย่างเป็นมิตรและถือวิสาสะนวดไหล่ให้ แม้ว่าเจ้าตัวจะตอบปฎิเสธ ..
เรย์บังเอิญมาได้ยินทั้งสองคุยกันทั้งหมด
ก่อนหน้านี้เรย์วิ่งไปส่งยูจิและเกิดลืมดาบที่ละลึกของตัวเองไว้เลยวิ่งมาเอา และเผอิญได้ยินบทสนทนาของทั้งสองเข้า นั่นทำให้เรย์ไม่กล้าเข้าไปในแคมป์ ซึ่งก็รู้กันดีว่าทำไม เรย์จึงยืนอยู่เฉยๆฟังทั้งสองคุยทะเลาะกันเรื่องนวดไหล่ ไม่นานก็ทนไม่ไหวกระอักเลือดออกมา ลงไปทรุดกับพื้นและต่อยพื้นเข้าให้ทั้งน้ำตา
“เรเซอร์ก็ดี!!!! ยูจิก็ดี!!!! เคียวยะก็ดี!!!!! ทำไมรอบตัวตูมันมีแต่พวกหวานแหววฟร้ะ!!!!!!”
เรย์เองก็ยังทำหน้าที่เป็นเพื่อนพระเอกได้อย่างดีเยี่ยม โดยการอิจฉาผู้ชายทุกคนที่บังเอิญใกล้ชิดกับผู้หญิงได้ …เรย์เองก็อยากมีโมเม้นต์อย่างนี้บ้าง!
MANGA DISCUSSION