เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 87: สัญญาสิ (1)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 87: สัญญาสิ (1)
< < 72 Sec1 > >
ผมฝัน
ฝันเห็นยูนากำลังนั่งมองหน้าผมอยู่ เธออยู่ในชุดฝึกดาบกางเกงดำยาวถึงข้อเท้าและเสื้อสีขาวเหมือนทุกที เลือนผมสีม่วงเช่นเดียวกับสีเวลาเธอตัดมิติ และดวงตาที่เฉียบคมเสมือนนกอินทรีย์
ภาพลักษณ์ราวๆรุ่นพี่หญิงสุดสวยชมรมเคนโด้ในสื่ออนิเมล่ะมั้ง?
“ยะ โย่ว”
ตกใจเล็กน้อย ผมเลยพูดไปแบบเกร็งๆ เพราะไม่คิดว่ายูนาจะตามมายันฝัน ยูนาพยักหน้ารับ
“ขออธิบายนะคะมาสเตอร์ เวลาที่มาสเตอร์หลับฉันจะสามารถเข้าฝันได้”
“พึ่งรู้นี่แหละ”
ไม่เห็นเคยบอกกันเลย
“เพราะปกติก็โดนฉันอ่านใจหมดเลย ฉันก็กลัวว่ามาสเตอร์จะเครียดเอา เกิดรู้ว่าฉันจะรู้เรื่องราวในฝันของมาสเตอร์ด้วย ..หึ”
ยูนาหัวเราะขึ้นจมูก เหมือนตั้งใจหยอกล้อกัน-ตายล่ะ
ช่วง 13-15 นี่วัยกำลังโตด้วย คงฝันอะไรแปลกๆบ่อยแหง แล้วเจ้าหล่อนก็รู้เรื่องราวในฝันดีกว่าตัวผมที่ตื่นมาก็ลืมอีก
บัดซบ ความเป็นส่วนตัวไม่มีเลย
“ถ้าเมดสาวของมาสเตอร์รู้เรื่องในฝันคงดีใจกันไม่น้อยเลย” ยูนาหยักไหล่ “เอาเถอะคะ ฉันเข้าใจดี ไม่ใช่ว่าฉันเป็นสาวบริสูทธิ์อะไรด้วย”
“เหอะๆ” ผมหัวเราะอย่างมีเลศนัย
ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากหญิงสาวที่ไม่เคยได้คบกับชายใดหรือหญิงใดเลยสักคน ยูนาพยายามวางมาดเป็นผู้เชี่ยวชาญใหญ่
ผมมั่นใจว่าเจ้าหล่อนน่ะ ‘เป็นสาวจิ้น’ อยู่ ตั้งแต่เกิดยังตายเลยแหละ น่าสงสารชะมัด
ไม่ใช่ว่าตลอดมาเธอไม่ได้เกี่ยวพันกับผู้ชายคนไหนเลย ก็มีบ้างอย่าง ‘เรน’ ที่เคยเล่าให้ผมฟัง หรือเพื่อนรัก ‘ซากุระ’ ที่ดูทรงแล้วน่าจะเกินกว่าเพื่อน
แต่ทั้งหมดก็ ..ช่างเถอะ ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ
“..”
ส่งสายตาน่ากลัวมาเชียว ถ้าไม่ใช่ว่าผมเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับเทพที่มีการป้องกันจิตสังหารอย่างดีเลิศ ตอนนี้ผมคงกลัวยูนาจนตัวสั่นแล้ว
ต่อให้มีเกราะป้องกันก็ยังแอบๆกลัวอยู่ดี
“ขอโทษด้วย”
“ไม่หรอกค่ะ มาเข้าเรื่องดีกว่า”
ยูนาตบมือดับสองสามที
“มาสเตอร์ทราบถึงสาเหตุที่ตัวเองสลบไปหรือเปล่าคะ?”
อยากจะทดสอบสติผมสินะ หวังว่าสมองผมจะไม่พังไปก่อนล่ะ
“เพราะใช้ ‘ตัดมิติ-ถลายขีดจำกัด’ มากเกินไปทำให้ร่างกายรับไม่ไหวล่ะมั้ง” ผมแหงนหน้ามองเพดานสีดำภายใต้จิตใจ “แค่นั้นไม่พอยังใช้เวทมนตร์ขั้นบรรลุติดต่อกันเป็นสิบกว่าครั้งอีก ใช้ตัดมิติเยอะจนเกินตัว”
แต่มันช่วยไม่ได้ ผมเจอศัตรูระดับมหามังกรถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ถ้าเกิด ‘มหามังกรเทียมสายฟ้า’ ที่มาช่วยเพื่อนมาเร็วก่อนที่ผมจะชนะคนก่อนหน้าได้ ผมอาจจะโดนรุมแล้วแพ้ในที่สุด เพราะมานาที่ต้องจ่ายเมื่อใช้การตัดมิติเร่งเวลาก็กินมานาไปเยอะถึง 1/4 ของผมแล้ว
ตอนมหามังกรเพลิงโผล่ ก็เล่นอัดมานาไปหมดตัวอีก แอบๆเกินขีดจำกัดด้วย
ยูนากล่าวเสริม
“พอรวมทั้งหมดรวบเข้ากันทำให้ร่างกายมาสเตอร์ล้าจนร่างกายรับไม่ไหวคะ ยิ่งทำแบบนี้ในโหมดถลายขีดจำกัดด้วยแล้ว จากที่เวลาการใช้ถลายขีดจำกัดได้อย่างปลอดภัยจะมีแค่ 5 ปี ตอนนี้ลดไปราวๆสี่เดือนเต็มแล้วคะ”
ใช้ครั้งแรกก็หมดไปตั้งขนาดนั้น ..จะไหวมั้ยเนี่ยเรา
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่มีทางเลือกล่ะนะ”
“ใช่ค่ะ ไม่มีเหตุผลต้องต่อว่ามาสเตอร์ จริงๆต้องชมด้วยซ้ำ..ทำได้ดีมากคะ”
ยูนายิ้มให้ผมอย่างจริงใจ เห็นแล้วก็เขินหน่อยๆเพราะยูนาไม่ใช่คนที่ปกติจะส่งยิ้มแบบนี้ให้ผม
ตามปกติควรก่นด่าผมให้ซ้ำใจเล่นสิ เฮ้อ—เอาเถอะ แบบนี้ก็ไม่เลว
ผมยิ้มให้ยูนากลับ
“จากนี้อาจต้องพักฟื้นร่างกายอีกสักสามวันถึงกลับมาปกติ แรกๆจะ เ*ี่ยวเจ็บ *ี้เจ็บหน่อยนะคะ”
ก็ชินแล้วล่ะ เวลาชกมวยศึกเดือดเสร็จก็ประมาณนั้นแหละ เอาล่ะ เตรียมรับแรงกระแทกเวลาถ่ายของเสียได้เลย
“เรื่องสำคัญอีกเรื่องยูนา”
“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์อีกทีสินะคะ”
ผมพยักหน้าให้
ผมและยูนาต่างรู้กันดีว่ามีคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่อาร์คเดม่อนบุก และการ์ปโผล่มาทำหน้าที่ตัวร้ายแทนผม โดยเฉพาะกับพวกมหามังกรเทียมที่ออกอาละวาด
“เธอเองก็เชี่ยวชาญเรื่องมหามังกรด้วย พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับพวกนั้นรึเปล่า”
“มหามังกรเทียมก็เป็นของเทียมตามที่มาสเตอร์ได้รับมือคะ พวกนั้นแค่เอามานาตัวเองไปแลกกับพลังชั่วขณะหนึ่งตามที่วิเคราะห์ไว้ตอนแรก เบาะแสนอกจากนั้น..อาจดูพูดไร้แก่นสารไปหน่อย แต่คนที่สร้างมหามังกรเทียมมาได้ต้องเก่งมากคะ”
ดูไร้สาระจริงด้วย แต่เปิดประเด็นถึงหมอนั่นน่ะถูกแล้ว
ศัตรูที่สร้างผู้มีพลังทัดเทียมมหามังกรได้ถึงสองตน นั่นน่ะอันตราย
“อย่างน้อยก็ในยุคของฉัน คนที่ทำอย่างนั้นได้ไม่มีคะ ต่อให้ราชาแห่งไสยศาสตร์ก็ทำไม่ได้ นักเล่นแร่แปรธาตุที่เก่งสุดในยุคนั้นก็ไม่ไหว ตัวฉันเองก็ทำไม่ได้ เซเนียด้วย เท่าที่รู้จักไม่มีใครทำได้คะ แต่คนที่คาดว่ามีคุณสมบัติพอจะทำได้มีอยู่”
ยูนาดูลำบากใจที่จะพูด ผมเลยเดาได้ว่าเป็นใคร
‘เรน’ ศิษย์น้องของยูนา
“เรนเป็นอัจฉริยะด้านการสร้างคะ บนโลกนี้คนที่ฉันคิดว่าสร้างมหามังกรขึ้นมาได้มีแค่เขาคนเดียว”
ผมแอบคิดว่าเป็นการอวยศิษย์น้องของยูนาหรือเปล่า คนที่ฉลาดเป็นกรดถึงขนาดสร้างของเหนือมนุษย์มาได้เนี่ยมีด้วยเหรอ
ข้อสงสัยทั้งหมดได้หายไปทันทีที่นึกถึงตอนสู้กับมหามังกรเทียม
ทั้งหมดคือเรื่องจริง คนที่สร้างก็ต้องมีอยู่จริง เรื่องแค่นั้นเลย
“มีเบาะแสอื่นนอกจากนี้อีกรึเปล่า”
“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเลียนแบบมหามังกรค่ะ แน่นอน มหามังกรนั้นแข็งแกร่ง แต่ขั้นตอนการสร้างมันยาก จุดเด่นของมหามังกรคือพลังที่ไร้ขีดจำกัด การจะสร้างมหามังกรเทียมได้จำเป็นต้องมีภาชนะที่มีมานาระดับมหามังกร ซึ่งสู้ไปพัฒนาด้านอื้นดีกว่า สู้ไปสร้าง ‘เทพดาบเทียม’ หรือตัว ‘ราชาไสยศาสตร์เทียม’ ยังจะดีกว่าและง่ายกว่ามาก เพราะตัวเรนก็เข้าใจหลักการของสองตัวตนข้างต้นดีกว่ามหามังกรที่เป็นตัวตนปริศนา”
เรนเป็นลูกของราชาไสยศาสตร์ด้วย ส่วนเรื่องดาบก็น่าจะรู้จากยูนา เพราะยูนาเป็นนักดาบที่เก่งเข้าขั้นติดบัคเลย
ถ้านั้นแล้วเหตุผลที่ไม่สร้างสิ่งที่ง่ายกว่านี่คือ—
“ผู้สร้างต้องมีแผนการณ์คะ มาสเตอร์เคยเล่าให้ฟังสินะคะว่าเนื้อหานิยายของโลกนี้ มหามังกรเกิดจาก-เทพมังกร”
มหามังกรมีความเชื่อมโยงกับเทพมังกร เทพที่แข็งแกร่งที่สุดในอดีตที่ตายไปเพราะถูกจอมมารดิลุคฆ่า ภายหลังมานาของเทพมังกรที่กระจายก็ค่อยๆก่อร่างเป็นมหามังกร
จากนั้นก็เกิดสงครามเพราะเนลยอนต้องการคืนชีพเทพมังกร แล้วปัจจุบันนี้ตามเนื้อเรื่องเป้าหมายของเนลยอนน่าจะยังเหมือนเดิม ..เทพมังกร
“เป้าหมายของผู้สร้างคือเทพมังกรคะ ส่วนตัวผู้สร้างมหามังกรเทียมนี่..ขอไม่ฟันธง แต่จะคิดไว้ว่าเป็น ‘เรน’ ไว้ก่อน”
“เอาตามนั้นล่ะกัน”
ว่าก็ว่าเถอะ นอกจากเทพที่อยู่ในตัวยูจิและเทพแห่งธรรมชาติ นอกเหนือจากนั้นตัวเรื่องในนิยายไม่ได้แตะเลย
เป็นหนึ่งในปมที่ยังไม่ได้แก้ไขในตัวเรื่องเหล่าทวยเทพอีก8ตนที่ตายไป และเรื่องของทูตสวรรค์ที่เป็นข้ารับใช้ของเทพ ในเรื่องเล่นแต่ประเด็นของจอมมารและมหามังกรจนตัดบทพวกเทพจนหมด
มาคราวนี้ก็ได้เจอกันคนที่เป้าหมายคือเทพมังกรด้วย
โลกนี้ชักจะเพี้ยนไปกันใหญ่แล้ว—–พื้นที่สีดำรอบตัวผมค่อยๆจางขึ้นมา
“เหมือนว่ามาสเตอร์ในโลกความจริงได้สติแล้วน่ะคะ”
“ไว้คุยกันต่อล่ะกัน”
ยูนาพยักหน้าตอบรับ
****
ผมกลับสู่โลกความจริงแล้ว สิ่งแรกที่เห็นคือผ้าม่านสีขาวรอบๆตัว แล้วก็สภาพร่างตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ และรู้สึกไม่มีแรงกายจนน่าใจหาย
ยับสุดๆ
ผมยิ้มเจื่อนๆอดอนาถใจไม่ไหว ..
“ให้ตายสิ”
ทันทีที่พึมพำออกไปผ้าม่านด้านซ้ายมือผมก็เปิดขึ้น-เรย์เป็นคนเปิด เหมือนจะนอนเตียงข้างๆผม สภาพดูแย่มากเพราะใส่เฝือกหลายจุดเลย
หนักสุดน่าจะเป็นตรงคอ เรย์โดนซัดหัวโยกเลยสินะนั่น
“ตื่นแล้วสินะ!”
“ตามนั้น ว่าแต่หลับไปนานแค่ไหนเนี่ย”
“ช่างเรื่องนั้นเถอะน่า นึกว่าจะตายซะแล้ว! ยูจิร้องไห้ใหญ่เลยนะ”
“ยูจิคงเจ็บใจน่าดู บ้าจริง ฉันจะไม่ทำให้ยูจิเสียน้ำตาอีกแล้ว”
“เข้าใจก็ดี!”
ว่าจบเรย์ก็หัวเราะลั่น ทำอย่างกับยูจิเป็นนางเอกผู้ทูลหัวของพวกเรา เหอะๆ
ผ้าม่านทางขวาเองก็เปิดออกเมื่อได้ยินเสียงเอะอะของพวกเรา ผู้ที่เปิดคือไอริสที่สภาพร่างกายแข็งแรงดี-โดยมีเคียวยะเป็นผู้บาดเจ็บนอนบนเตียง
ให้เดาน่าจะมาเฝ้าดูอาการเคียวยะ
“สบายดีสินะคะ”
ไอริสยิ้มให้
“ก็ครับ”
ผมตอบแบบขอไปทีพลางแอบๆเล่ห์มองเคียวยะ เจ้าตัวเคียวยะกอดอกด้วยท่าทางเข้มขรึมเหมือนทุกที แต่ครั้งนี้ดูจะเครียดกว่าปกติ คิดอะไรอยู่กันนะ?
“ยังหายใจอยู่สินะเคียวยะ”
“อย่างที่เห็น”
เคียวยะตอบแบบขอไปที เหมือนเอาคืนให้ไอริสอย่างไรอย่างนั้น หมอนั่นตอนนี้เหมือนอยู่คนล่ะโลก คิดเรื่องอะไรไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
“..ลูซิเฟอร์..หมอนั่น”
เคียวยะพึมพำหาแต่ชื่อศัตรูที่แพ้ไป แค้นฝังหุ่นสุดๆ
สบายดีแน่นะนั่น?
ผมเป็นห่วงหน่อยๆ เรย์แตะหลังผมและส่ายหัวให้
“อย่าไปห่วงมันเลย อย่างที่เห็น มีรุ่นพี่ไอริสสุดสวยมาดูแลเชียวนะ” เรย์ทำเป็นมากระซุบข้างหู “ถ้าจะห่วงพวกเราห่วงตัวเองกันดีกว่า ไม่มีสาวสวยมาดูแลเลยสักคนเดียว”
นั่นสินะ
ผมยิ้มเหยาะใส่เรย์
“โทษทีว่ะ ทางนี้ได้หมั้นหมายกับเพื่อนสมัยเด็กไปตั้งสองคนแล้ว”
หมายถึงคุณเมดเรเซลกับอันนาน่ะแหละ
เรย์ถึงกับหน้าเหวอ จากนั้นก็เปลี่ยนความตกใจมาเป็นพลังงานอันร้อนแรง
“อะ ไอ้พวกเรียลจู!!!”
“ก็แหม่ ทำไงได้ ทางนี้ไม่ได้อยากเป็นเรียลจูเสียหน่อย จู่ๆทุกอย่างมันก็เข้ามาเองแล้วแบบ ..นะ?”
ผมแสยะยิ้มอย่างสะใจ การได้อยู่เหนือกว่าคนอื่นนี่มันแจ่มสุดๆบ่องตง เรย์เลือดขึ้นหน้า ดูจะฆ่าผมได้ทุกเมื่อถ้าเกิดแขนไม่ได้ใส่เฝือกอยู่ล่ะก็-นั่นสินะ
“ไอ้เบื้อกนี่น่าต่อยนัก”
อิจฉาตาร้อนกับเรื่องผู้หญิงตลอด สมกับตำแหน่งเพื่อนพระเอกเลย สุดยอด ทำหน้าที่ได้ดีมากจริงๆ อาจดูไม่ดี แต่เวลาเพื่อนพระเอกอย่างเรย์ไปอิจฉาพระเอกอย่างยูจิเวลามีสาวมาติดนี่ บังเทิงใจจริงๆ เป็นการสนองนีทขั้นสุดเลยล่ะ ผู้เขียนที่เขียนฉากพวกนี้มาก็ช่างสนองนีทตัวเอง
“เรื่องตลกน่ะขอแบบหอมปากหอมคอพอ”
“หะ หา!?”
“คนอื่นๆเป็นไงบ้างล่ะ”
เรย์ทำท่าจะบ่นแต่สัมผัสได้ถึงความจริงของผมเลยเงียบไป แล้วเล่าให้ฟัง
“หายห่วงได้ ปลอดภัยดีทุกคนแหละ หลังจากที่นายสลบไปก็ผ่านมาราว 8 ชั่วโมงได้”
ได้ยินแบบนั้นก็โล่งอก กลัวว่าจะโดนพวกบุคคลปริศนามาซ้ำเติม
“กอรี่ไปเป็นอาสาสมัครดูแลคนประสบภัย โซเฟียกลับไปอยู่กับครอบครัวที่บ้านก่อน แล้วก็ อ่า พี่สาวของนาย แล้วก็เมดสองคนที่ว่าก็ด้วย ตอนนี้ตระกูลดราแคล์ของนายกำลังช่วยซ่อมแซมความเสียหายเบื้องต้นอยู่น่ะ”
ตระกูลดราแคล์สินะ หมายความว่า..
“พี่สาวฝากข้อความให้ด้วยว่าพ่อนายจะมาในอีกหนึ่งสัปดาห์”
พ่อของผม ผู้นำตระกูลดราแคล์ปัจจุบัน จะได้เจอหน้ากันในรอบเกือบสิบปีแล้ว
“หนิงกับยูจิตอนนี้ก็ไปไหนกันไม่รู้สองคน”
“เห๋”
พอเดาๆได้ว่าคุยอะไรกัน
“แล้วเบลลามีล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้ก็คอยเฝ้าดูอาการนายอยู่แหละ แต่เห็นว่าขอออกไปดูเล่นสักสิบนาทีนะ”
“น่าเสียดายจริง อดได้อ้อมกอดจากเบลลามีซะแล้ว”
“มักมากไปแล้วแก ไม่โดนเบลลามีเขม่งใส่รึไง มีคู่หมั้นตั้งสองคนแบบนั้นน่ะ”
…อ่า
ก็ไม่เชิง แต่ก็โดนต่อว่าด้วยล่ะนะ เรื่องของโซเฟีย เป็นความผิดผมเองแหละ แต่เบลลามีตอนที่ต่อว่าผมนี่ก็ไม่ได้ใช้คำรุนแรง ไม่ได้โกรธเรื่องมีเรเซลกับอันนาอยู่แล้ว ทว่า..น่ากลัว
ซะ ซวยแล้ว จู่ๆก็รู้สึกกลัวขึ้นมาล่ะ ไม่อยากเจอหน้าเบลลามีเลย! กลัว กลัวโดนด่าวุ้ย! ไม่กล้าสู้หน้าแล้ว
ผมตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว
“อ่า ฮะๆ กลัวใหญ่เลย พวกเพลย์บอยก็เป็นซะแบบนี้จบไม่สวย น่าสมเพซชะมัด!”
เคียวยะหัวเราะขึ้นจมูกอัดผม
“นี่แกนอกใจเบลลามีเรอะ?”
“ไม่ได้นอกใจสักหน่อย! ตอนแรกก็เป็นแค่เพื่อนด้วยนะเห้ย! ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย!”
แต่เคียวยะโกรธแทนเบลลามีด้วยแหะ สมกับเป็นเพื่อนซี้คนหนึ่งของเบลลามี หนึ่งในสหายที่ร่วมสั่งสอนเคียวยะในคดีโจรกางเกงในวิตถาร
ไอริสยิ้มเย็นชาใส่ผม
“ค่ะ ไม่ผิดหรอก ต่อให้สนิทกันเกินควรแล้วจู่ๆก็มาบอกว่ามีคู่หมั้นอยู่แล้วก็ไม่ผิดหรอกคะ เป็นฉันอาจเผลอคิดไปว่า-นี่จงใจไม่บอกสินะก็ตาม ปกติถ้าเป็นแค่เพื่อนน่าจะบอกกันก่อนอยู่แล้วนี่คะ ถ้าอยากเป็นแค่เพื่อนจริงๆ”
คือผมก็พึ่งหมั้นกันแบบด่วนจี๋เลยนา แต่..น่ากลัววุ้ย! รู้สึกผิดถึงกระทรวงอกเลย แต่บอกไว้ก่อนผมไม่ได้คิดเกินเลยน้า!
ผมตอนนี้เหมือนโดนรุมสาม เป็นแค่ไอ้กระจอกที่โดนเหล่า CHAD สามหน่อสั่งสอน
“ฟังนะสหาย” เรย์ทำเป็นชี้นิ้วสอน “ทำอะไรผิดก็ต้องขอโทษนะเห้ย ขนาดเคียวยะตอนขโมยกางเกงในยังต้องขอโทษเลยไม่ใช่รึไ–”
“หุบปากกกก!!!”
เคียวยะพุ่งมาจะปิดปากเรย์ ดีที่ไอริสรั้งไว้ได้ทัน
อย่างกับหมาคลั่งแหน่ะเคียวยะเนี่ย
“ดูเคียวยะเป็นตัวอย่าง ถึงจะโวยวายแต่ก็กล้าขอโทษ นายเองก็กล้าซะบ้าง ก่อนที่จะเสียไป เหมือนที่สอนฉัน-ไม่ใช่รึ? ลืมไปแล้วเรอะ?”
เรย์ตบไหล่ผมเหมือนสอนกัน ..ไม่สิ สอนกันเลยแหละ ซึ่งผมก็ต้องรับไว้
“ทำเป็นสอนฉันซะดิบดีเมื่อตอนงานเต้นรำสานสัมพันธุ์” เรย์หัวเราะร่า “อย่าเก่งแต่สอนคนอื่น ทำเองซะบ้าง”
..โคตรตรงและจริง รู้สึกเจ็บอกแปร๊ดๆเลย
บางทีผมก็ดีแต่ปากเกินไป
“เข้าใจแล้ว เดี่ยวจะไปคุย ตอนนี้เลย กับโซเฟียด้วย”
“เดี่ยวนะ ไม่เคยได้ยินเลยว่าโซเฟียก็เกี่ยวด้วย”
“ไม่คุยล่ะ ขอตัว ไว้จะอธิบายให้ฟังทีหลัง”
“เห้ย เดี่ยวๆ!”
เรย์พยายามจะรั้งไว้แต่ผมก็พุ่งตัวหนีไปได้ทันก่อน
****
ตอนนี้มืดแล้วน่าจะราวๆสามทุ่มได้
ผมออกมาจากเต้นท์สำหรับพักชั่วคราว ตอนนี้ผมอยู่แถวๆวิทยาลัยเรดฮอตที่พังยับเยิน พอเดินไปเรื่อยๆก็พบกับความเสียหายตามบ้านเมืองที่สุดบรรยาย
เมืองพังยับเลย ไม่ใช่แค่จุดที่สู้กับมหามังกร แต่มีอีกหลายจุดที่อาร์คเดม่อนโผล่ แล้วก็น่าจะปริศนาอีกหลายจุดที่ผมไม่ทราบ
..ในนิยายมันบอกมาไม่หมดอย่างที่คิดไว้ แต่คาดไม่ถึงเลยว่ามันจะหนักขนาดนี้
แบบนี้ลำพังผมจะหยุดไหวรึเปล่านะ? ด้วยตัวคนเดียว กับจอมมารและตัวตนอื่น
“..”
ผมอยากจะ ‘ถอนหายใจ’ แต่มีคนชิงถอนหายใจไปก่อนผมแล้ว นั่นคือ ‘เบลลามี’ ที่ถูกแสงจากดวงจันทร์อาบร่าง
รูปโฉมของเธองดงามขึ้นหลายสิบเท่าเมื่อถูกดวงจันทร์ส่อง ..จิตใต้สำนึกของผมตกอยู่ในความเงียบงันเมื่อได้เห็นใบหน้าของเธอ ใต้แสงจันทร์ทำให้ดวงตาของเธอเหมือนจะเลือนแสงได้
ดวงตาสีแดงเสมือนไร้ความรู้สึก ..ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ กล่องดวงใจแทบจะหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว
ผมรวบรวมความกล้าโพล่งออกไปอย่างกับตอนคุยกับเบลลามีครั้งแรก
“ปะ เป็นไงบ้าง”
เบลลามีเงยหน้ามองผมเพราะนั่งอยู่เลยเตี้ยกว่า ต่อให้ยืนก็เตี้ยกว่าจนต้องเงยเหมือนกัน
“..เรเซอร์ต่างหาก..ลำบากแย่เลยนะ”
“เรื่องนั้นเธอก็เหมือนกัน”
“เราไม่ได้ทำอะไรเลย”
เบลลามีพึมพำอย่างรู้สึกผิด เห็นแล้วผมก็ผล๊อยไม่รู้จะพูดอะไรไปด้วย
ต้องหาเรื่องคุยหน่อยแล้ว เอาเป็นเรื่องไร้สาระก็ได้
“รู้เปล่าเบลลามี เคียวยะนี่น่าอิจฉาสุดๆเลยเนอะ”
“ยังไงเหรอ?”
เบลลามีเอียงคอฉงน เอาล่ะ ได้เวลาปรับบรรยากาศ
“ก็แบบได้นอนตักไอริสเลยนา ส่วนฉันดันโดนสหายรุมรัดจนสลบเฉยเลย นึกแล้วก็อยากนอนหนุนตักบ้างจัง เฮ้อออ”
ทำเป็นหยอกเล่นเฉยๆ ทว่าเบลลามีกลับทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา สัมผัสได้ถึงอันตรายเลย
กลัว กลัว กลัวโว้ย!!
“อยากหนุนตักเราเหรอ?”
“นะ นะ นั่นสินะ”
ไม่น่าพูดไปเลย ขอโทษด้วยนะเรเซลแล้วก็อันนา ที่พูดแบบนั้นไปแค่อยากปรับบรรยากาศขอโทษนะ ผิดไปแล้ว!
“เรื่องแบบนี้ ..ให้คนรักเรเซอร์สองคนทำให้ไม่ดีกว่าเหรอ?”
นั่นไงโดนเข้าแล้ว
เป็นครั้งแรกที่เบลลามีดูอารมณ์ไม่ดีแบบเห็นได้ชัด
“..ขอโทษ ฉันพูดไม่คิดไปหน่อย”
ไม่มีความละเอียดอ่อนซะเลยนะตัวผม
“ไม่เป็นไร รู้ตัวก็ดีแล้ว”
ยังโกรธอยู่ สัมผัสได้เลยต่อให้หน้าตาเรียบเฉย แต่ดวงตาของเธอมันซื่อสัตว์ต่อความรู้สึก
เพราะสมองยังเบลอจากศึกหนักสินะ เลยพล่ามแต่อะไรโง่ๆออกไป
“คุกเข่า”
“ครับ”
ผมทำตามอย่างว่าง่าย เบลลามีตัวสูงกว่าผมแล้ว เธอมองต่ำมาด้วย
น่ากลัว
“เรเซอร์มีว่าที่ภรรยาที่น่ารักอยู่ตั้งสองคนอยู่แล้ว จะมาคุยเล่นแบบนี้ไม่ได้นะ”
เบลลามีขมวดคิ้วพูดสอนผมจากใจจริง ทางผมก็ได้แต่พยักหน้ารับจากใจจริง
“ขออภัยครับ”
จากนั้นเบลลามีก็พูดบ่นผมยาวเยียด จนผมอยากจะร้องไห้ ..
“เรื่องของโซเฟียก็..คุยอีกรอบนะ”
“แน่นอนครับ”
เบลลามีพยักหน้าให้แล้วก็ดูโล่งอก
“จากนี้เราก็จะเริ่มเว้นระยะห่างกับเรเซอร์เหมือนกัน จะไม่ไปไหนแค่สองต่อสองแล้ว เวลามีปัญหาอะไรเรื่องส่วนตัวก็จะไม่ขอให้เรเซอร์ช่วย ..ต้องพยายามไม่สนิทกันหน่อย”
พยายามไม่สนิทสินะ
“เรเซอร์เองก็รักสองคนนั้นด้วย?”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ก่อนหน้านี้ที่ผมใกล้ชิดกับเบลลามีก็เพราะเรื่องของเรเซลกับอันนายังไม่ได้ชัดเจน แต่จากนี้ไม่ใช่แล้ว ตามสามัญสำนึกในโลกเก่าผม การมีคนรักถึงสองคนเป็นเรื่องที่ผิด แต่ผมเป็นขุนนางมันอนุโลมให้กันได้ แต่เรื่องที่ไปมีความสัมพันธ์ดูเกินเลยกับผู้หญิงคนอื่นไม่ว่าโลกไหนก็ผิด
ถ้าผมจะมีภรรยาเพิ่มก็ต้องมีตามที่เรเซลและอันนาเห็นชอบ จะเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่ได้ ..ผมจริงจังกับทั้งสอง ผมจะไม่เป็นคนเห็นแก่ตัวเด็ดขาด
เบลลามีเห็นท่าทางจริงจังของผมก็โล่งอก
ผมนั่งพื้นยังไม่กล้าลุกไปยืน ส่วนเบลลามีก็นั่งเก้าอี้ม้าเหมือนเดิม เธอมองพระจันทร์อย่างเศร้าสร้อยแล้วเปิดบทสนทนาต่อไป
“รู้รึเปล่า”
“ว่าอะไรเหรอ”
“คนที่ชื่อลูซิเฟอร์อยากได้ร่างกายของเรา”
ผมยิ้มให้
“หมายถึงมีเหตุผลให้ชิงตัวไปเพื่ออะไรสักอย่างสินะ”
ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักเบลลามีหรือรู้เรื่องทุกอย่างดี คงเผลอคิดไปว่าลูซิเฟอร์อยากได้ร่างกายไป-แบบนั้นแหละ ทำอย่างกับขอนั่นแหละกับเบลลามีแล้วก็ได้เลย หลายคนน่าจะคิดอย่างนั้น
แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เบลลามีแค่พูดชวนเข้าใจผิด
“รู้ด้วยสินะ”
เบลลามีอมยิ้ม ..ถึงจุดนี้ไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าหล่อนจงใจพูดให้เข้าใจผิดรึเปล่า
“อ่า ..ถ้ามีอะไรก็ช่วยเล่าให้ฟังทีนะ”
ผมลุกขึ้นไปนั่งเก้าอี้หมาอีกตัวข้างๆเบลลามี เบลลามีจึงเริ่มเล่า
เธอเจอกับชายที่ชื่อ ‘ลูซิเฟอร์’ แต่เบลลามีเรียกว่า ‘ลูซี่’ เคยเล่าให้ฟังหนึ่งรอบในชื่อว่าลูซี่
ภายหลังช่วงงานเทศกาลโลหิตมังกร ลูซิเฟอร์ก็โผล่มาคุยกับเบลลามีเรื่องโรคมานาย้อนกลับ ตอนนั้นการ์ปก็มาทำร้ายพวกเธอ แต่ลูซิเฟอร์ก็ช่วยไว้ได้ทัน
จากนั้นก็ไม่รู้ทำไม ลูซิเฟอร์ถึงไปเข้าฝ่ายการ์ปและจะจับตัวเธอไป
ช่วงที่จะถูกจับตัว ทุกคนก็พยายามช่วยเบลลามีไว้สุดตัว จังหวะนั้นผมก็มาพอดี และเรื่องราวดำเนินไปจนถึงตอนนี้
ไม่รู้ว่าลูซิเฟอร์เป็นยังไงบ้าง โดนฟัฟนิร์ซัดเต็มหางซะขนาดนั้น
เบลลามีเล่าจบแล้ว เธอนั่งดูซึมกว่าเก่าเล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องเห็นได้ยาก
“ระหว่างที่คุยกัน ลูซี่..ลูซิเฟอร์เรียกเราว่าจอมมารด้วย เขาบอกถ้าตามมาจะบอกทุกอย่างให้เอง เราจะจำทุกอย่างได้ นั่นหมายความว่าเราลืมอะไรบางอย่างไปสินะ?”
เบลลามีมองผมอย่างอ้อนวอน เธออยู่ไม่สุข อยากจะรู้คำตอบ
“เราควรจะรู้รึเปล่า เกี่ยวกับจอมมาร ..เป็นเรื่องที่เราควรรู้มั้ยนะ ..เราควรทำยังไง”
ง่ายๆ
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
ผมโพล่งออกไปจับไหล่เธอไว้ด้วยแขนสองข้าง
“ทุกอย่างที่เธอแบกส่งมาให้ฉันซะ ..ไม่จำเป็นต้องแบกรับอะไร ทั้งเบลลามีหรือยูจิ ทุกคนเลย ส่งมาให้ฉัน”
ผมยิ้มให้
“ฉันจะจัดการทุกอย่างเอง ..พวกเธอทุกคนแค่ใช้ชีวิตของตัวเอง ไปตามเส้นทางที่อยากเถอะ”
ยูจิแค่อยากเป็นช่างสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ เบลลามีแค่ต้องการรักษาโรคมานาย้อนกลับ คนอื่นๆก็ด้วย
ชะตากรรมที่บังคับให้เด็กพวกนี้เป็นวีรบุรุษผมจะแบกรับไว้เอง ทั้งภาระและชื่อเสียง ผมจะขอรับไปคนเดียว และพยายามคนเดียวพอ
ผมมาเพื่อการนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง ..จะปก..ป้อง..เอง
ผมนิ่งไป วิญญาณแทบจะหลุดจากร่าง
“..เรเซอร์”
เธอเรียกชื่อผมทั้งน้ำตา
เบลลามีกำลังร้องไห้
ทำไมล่ะ? ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ไม่เห็นรู้เรื่องเลย
ผมวางตัวไม่ถูก อยากจะเข้าไปกอดเธอแต่ห้ามทำเด็ดขาด เพราะมีเรเซลและอันนาอยู่แล้ว
ทำไมเธอถึงได้..ร้องไห้ล่ะ
ไม่เข้าใจเลย
“แบบนั้นขี้โกง..เราขี้โกงเกินไป”
ขี้โกงยังไง ..เบลลามีก็ทำหน้าที่ตัวเองไป พยายามเพื่อสังคมส่วนมากต่อไป ผมแค่ทำส่วนที่เธอไม่จำเป็นต้องแบกรับเท่านั้น
ไม่เข้าใจเลย
“ให้เรเซอร์แบกรับคนเดียว แบบนั้นมันขี้โกง”
เบลลามีโน้มตัวมากุมมือผมไว้
“บอกทีสิว่าจะไม่แบกรับไว้คนเดียวจนเหมือนคนๆนั้น..แล้วก็จะ..เสียใจเหมือนคนๆนั้น โดดเดี่ยวนั่งเสียใจอยู่คนเดียวเหมือนคนๆนั้นในฝันเรา”
เบลลามีสะอึกสะอื้น เธอร้องไห้จนเสียภาพลักษณ์เย็นชาไปหมดสิ้น
“พยายามอยู่คนเดียว ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยิ้มให้พวกเราทุกคน แล้วก็พยายามต่อไป ..ในตอนสุดท้ายก็แบกรับความโศกเศร้าทั้งหมดไว้คนเดียว นั่งอยู่บนกองศพ ยืนอยู่บนโลกที่สูญสิ้นคนเดียวและ..พยายามใหม่อีกครั้ง”
…
“ขอร้องล่ะ ..ช่วยพึ่งพาเราด้วย”
..เบลลามี
ผมควรจะทำยังไง ในสถานการณ์แบบนี้
ผมเตรียมใจไว้แล้ว ต่อจากนี้พวกเธอไม่จำเป็นต้องแบกรับอะไรแล้ว ผมจะทำเอง ทั้งอย่างนั้นเธอที่ผมอยากจะช่วยกลับร้องไห้แล้วขอให้พึ่งพาเธอ
พูดมาแบบนี้ก็เหมือนขอให้ผมพึ่งพา ..ซึ่งนั่น
ในหัวนึกถึงภาพของเคียวยะและเรย์ที่นอนบาดเจ็บ ภาพของยูจิที่ตาย ภาพของหนิงที่คลุ้มคลั้ง
ถ้ามาทางเดียวกับผม พวกนั้นทุกคนจะต้องร้องไห้แน่นอน
เหล่าตัวเอกในนิยายที่มอบความกล้าให้ผม ทุกคนต้องเสียใจ บางคนอาจต้องตาย
เรื่องนั้นจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
“ไม่..ได้..ไม่ได้เด็ดขาด”
ผมหลบตาเบลลามี
“เรเซอร์”
“อะไร”
เบลลามีซ้อนตามองผมอย่างเศร้าสร้อย
“ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ..เราน่าจะชอบเรเซอร์ไปแล้ว และเราไม่อยากจะเห็นเรเซอร์เหมือนกับคนๆนั้นในฝัน ..”
..นั่นสินะ มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว คนในฝันหมายถึงยูจิแน่ๆ เธอไม่อยากให้ผมลงเอยเหมือนยูจิ นั่นหมายความว่ายูจินี่จบไม่สวยสินะ
ทั้งหมดเป็นเพราะแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวนั้นเหรอ
“สัญญาสิ”
ว่าจากนี้ไป ผมจะขอความช่วยเหลือจากเธอ
เบลลามียื่นนิ้วก้อยมาให้ผม นิ้วของเธอมันเล็กมัน ดูบอบบาง ไม่อยากเชื่อว่านิ้วนี้สักวันจะต้องกำพลังที่มหาศาลไว้เพื่อเข้าห้ำหั่นกับใครสักคน ..หรือตอนนี้ ผมก็ไม่อยากเชื่อว่านิ้วมือที่ดูอ่อนแอขนาดนี้ จะอยากช่วยเหลือผม
ต่อให้ผมยอมรับแต่เธอก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะคนที่ต้องช่วยมันผมต่างหาก ..เหมือนกับมือของเธอ มันเล็กเกินไป มันไม่พอจะคว้าผมไว้ได้หรอก
ไม่พอจะช่วยผมหรอก..
ผมกัดฟันกรามแน่น หรี่ตาลงอย่างเจ็บปวด
เบลลามีเดาท่าทางของผมได้เธอจึงพึมพำออกมา
“เหมือนกับเรเซอร์ ไม่ได้มีแค่เราคนเดียวสักหน่อย”
..นั่นสินะ คนที่พร้อมจะช่วยผมทุกเมื่อไม่ได้มีแค่เบลลามี ใกล้ตัวหน่อยก็มีแองเจลิน่า เซบาสเตียน หรือเมดๆที่รักของผม หรือเคียวยะด้วย
เพื่อนทุกคนก็คิดว่าน่าจะช่วยผมทุกคน ..แต่ว่า..
ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ ผมเงียบไปไม่ตอบอะไร เบลลามีก็เงียบไม่คะยั้นคะยออะไร
ไม่นานความเงียบก็ได้สลายไปเมื่อ ‘สัตว์ประหลาด’ ก้าวเท้าเขามาร่วมการสนทนา
ผมสีเทา ดวงตาสีขี้เถ้า ผิวสีขาว ตัวสูงร่างหนาระดับหนึ่ง รูปโฉมงามอย่างกับหลุดมาจากภาพวาด สวมสูทสีขาวไร้รอยขีดข่วนหรือยับใดๆ
สมบูรณ์แบบภาพลักษณ์ที่เห็นภายนอกประมาณนี้ เขาคือชายที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งบนโลกไม่ผิดแน่
ผมรู้จักดีด้วย ..ผู้แข็งแกร่งที่สุดบนโลก ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวละครสุดเด่นในนิยายต้นฉบับ
“..เอเธอร์”
เอเธอร์ปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้าผมและเบลลามี เขายิ้มให้เราอย่างเป็นมิตร
ทว่าผมไม่อาจไว้ใจเอเธอร์ได้