เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 84: จอมขี้ขลาดแห่งยุคสมัย
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 84: จอมขี้ขลาดแห่งยุคสมัย
< < 68 Sec2 > >
“..หนู..หนูชื่อ”
..ฉันรวบรวมความกล้าโพล่งออกไป
“หนูชื่ออะไรเหรอ?”
หมายถึงตัวฉันเอง
ฉันไม่มีชื่อ แอนไม่เคยเรียกชื่อของฉันสักครั้งเดียวเลยคิดเช่นนั้น..คุณพ่อดูจะไม่ได้ตกใจอะไร เขายังมีสีหน้าที่เรียบเฉยอยู่ๆทั้งๆที่ตามสามัญสำนึกแล้ว ..ตามที่ได้อ่านในนิยาย..เขาควรสนใจฉันสิ ควรตกใจ ควรตื่นตันที่ได้เจอ ควรเอ็นดู ควรโอ๋
ทั้งอย่างนั้นมันกลับไม่มีสักอย่างเลย
รู้สึกผิดหวังจัง
คุณพ่อนั่งเงียบไป
“ตั้งตามที่อยากสิ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอยู่แล้ว”
ไม่ใช่เรื่องสำคัญเหรอ
..นั่นเองเหรอ
ตั้งแต่แรกฉันไม่ได้สำคัญอะไรอยู่แล้ว ชีวิตของฉันน่ะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง คิดว่า
แอนมองมาที่ฉันอย่างกังวลแต่เธอไม่ได้ปลอบแต่อย่างไร เธอแค่ยืนเฉียดตรงอยู่หลังพลางๆส่งสายตาเป็นห่วงมาเท่านั้น
“..ค่ะ..คุณ..ชื่ออะไรเหรอคะ”
ฉันไม่กล้าเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ เขาเองก็ไม่ติดใจอะไรสักนิด
“เรียกว่า ‘อัลเบโด้’ ล่ะกัน”
“ค่ะ คุณอัลเบโด้ คุณมีความสัมพันธ์ยังไงกับฉันเหรอ”
คำแทนตัวเองของฉันเองก็เปลี่ยนไป ในเมื่อเขาไม่ใช่พ่อก็ไม่จำเป็นต้องแทนตัวอย่างนั้น ต่อให้เป็นพ่อจริงๆแต่ความรู้สึกมันไม่ใช่อย่างแน่นอน
คุณอัลเบโด้เงียบไปสักพักหนึ่ง ใบหน้าดูเรียบเฉย ไม่ได้มองมาที่ฉันด้วย
“เรื่องนั้นไว้คุยทีหลัง”
“แสดงว่าคุณอัลเบโด้มีเรื่องจะคุยกับฉันสินะคะ”
“ใช่ ถึงได้เรียกมาวันนี้”
ธุระนี่เอง
“ธุระที่ว่า?”
“การเติบโต ..เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
หมายถึงความเป็นอยู่ของฉันสินะ
“สบายดีคะ ได้รับการสั่งสอนอย่างเข้มข้น อาหารการกินเองก็ดี มีครบทุกประการ ที่สำคัญยังได้กินในปริมาณที่พอเหมาะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แบบ” ฉันปั้นยิ้มฝืนๆให้ “ชีวิตดีมากคะ”
โกหกทั้งเพ
ไม่ได้อยากเรียนหนักขนาดนั้นสักหน่อย อยากจะกินเยอะกว่านี้ด้วย เลือกได้ก็อยากกินของทอดที่สุด อยากกินให้ตายไปข้างเลย ..ชีวิตสุดจะห่วยเลย มีดีแค่หนังสือนิยายที่แอนเอามาให้แค่นั้นแหละ
“ดีแล้ว”
..
“เธอต้องโตมาได้ดีแน่นอน ดีกับอาณาจักรแห่งนี้”
ดีกับอาณาจักรแห่งนี้เหรอ
ฉันเอียงคอฉงน ไม่เข้าใจว่าการที่ฉันเติบโตได้ดีมันจะเป็นผลดีกับอาณาจักรนี้อย่างไร
คุณอัลเบโด้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนลุกขึ้นยืน
แม้แต่ท่ายืนของเขายังเต็มไปด้วยความสง่างามสมกับเครื่องแบบประหนึ่งราชา
“ตามมา”
ฉันพยักหน้ารับและเดินตามไปโดยมีแอนเดินตามหลังมาติดๆ
คุณอัลเบโด้พาฉันเดินไปหยุดอยู่หน้าชั้นหนังสือ เขาแตะที่ล็อคหนังสือจุดหนึ่ง ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็แยกออกจากกันและปรากฏเป็นบรรไดไปทางใต้ดิน
ห้องใต้ดินนั่นเอง
ฉันตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะห้องใต้ดินก็คงจะเหมือนกับห้องลับในนิยาย
“เธอคิดว่าตัวเองเกิดมาทำไม?”
คุณอัลเบโด้ทักขึ้นขณะที่เดินลงบรรได
“เกิดมาทำไมนี่มัน”
“ใช่ มนุษย์ทุกคนมีเหตุผลที่ต้องถือกำเนิด”
เหตุผลที่เกิดเหรอ ..
“อาทิเช่นลูกชายตระกูลอัศวินที่สักวันจะต้องรับใช้ชาติภายใต้ธงแห่งอัศวิน หรือว่าครอบครัวสาวใช้ที่มีชะตาต้องทำให้นายเหนือหัวพึงพอใจ ไม่ว่าจะด้วยทางไหนก็ตาม”
..นั่นหมายถึง..เรื่องพวกนั้นเหรอ?
ฉันหน้าแดงก่ำรีบก้มหัวลงทันทีเพราะไม่อยากให้ใครเห็นหน้าตอนเขินอาย
แอนพอจะสอนฉันมาหน่อยหนึ่งทำให้ฉันรู้ว่าคุณอัลเบโด้พูดถึงอะไร
“ทุกคนมีหน้าที่ตั้งแต่เกิด เธอคิดเห็นอย่างไรล่ะ”
เขาหันมาถามฉัน อยากจะทราบความเห็นของฉัน
สำหรับฉันแล้ว
“มนุษย์เกิดมาเพื่อตามหาเหตุผลในการใช้ชีวิต”
“หึ” คุณอัลเบโด้หัวเราะขึ้นสมูก “น่าเสียดายจริงนะ”
..หมายความว่ายังไง
“คนที่พูดอย่างนั้น ในฐานะร่างสถิตคงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์”
ร่างสถิต?
ฉันได้แต่งงนวย เขาพูดเหมือนเข้าใจคนเดียว ..ไม่สิ
พอหันมามองแอน เธอก็มีสีหน้าที่ดูเศร้าใจ
ในที่นี้น่าจะมีแค่ฉันคนเดียวที่ไม่เข้าใจความหมาย
“รู้จักตำนานเจ้าหญิงมังกรรึไม่”
ในบทเรียนที่สอนไม่มีก็จริง แต่แอนเคยเอาให้อ่าน
“ไม่เคยค่ะ”
จะบอกตรงๆไม่ได้ เพราะที่ฉันเคยอ่านเป็นเพราะแอนเอามาให้อ่าน ถ้าบอกไปตามตรงแอนต้องโดนโกรธแน่
“ไม่เคยก็ดี จะเล่าให้ฟังเอง”
คุณอัลเบโด้เดินไปและเล่าให้ฟังไป ดูท่าอีกนานกว่าจะเดินถึงตัวชั้นใต้ดินจริงๆ
“ตำนานเจ้าหญิงมังกรคือเรื่องราวหลัง ‘ยุคมังกรธาตุ’ หลังจากที่วีรสตรียูนาได้กำราบเหล่ามหามังกรลง เธอก็ได้ผนึกพลังของมหามังกรทั้งสี่ลงในภาชนะสี่อย่างได้แก่-ปืนใหญ่-ประการลอยฟ้า-ดาบ-และสุดท้ายคือ สายเลือด”
‘ปืนใหญ่-เนลยอน’
‘ประการลอยฟ้า-เกรล’
‘ดาบ-แซร์อิซ’
‘สายเลือด-ฟัฟนิร์’
แอนเคยเล่าให้ฟัง อาวุธสงครามของสี่ทวีปใหญ่ แต่ไม่ได้บอกที่มาให้ฟังเลย เหมือนเธอจงใจหลีกเลี่ยงฉันตลอดเวลาจะพูดถึงที่มาตรงๆ
สิ่งที่ทั้งสี่อย่างเหมือนกันคืออาวุธ ยกเว้นของฟัฟนิร์ที่เป็นสายเลือด ฉันแอบสงสัยมาตลอดแต่แอนไม่เคยบอกเลย
“เจ้าหญิงมังกรคือผู้ถือครองสายเลือดของฟัฟนิร์ เพราะอย่างนั้นเธอจึงมีพลังที่มหาศาล มากพอจะขยี้ศัตรูกว่าครึ่งโลกได้ในคราเดียว ทว่าพลังนั้นจะไร้ค่าทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าสายเลือดราชวงศ์ เพราะวีรสตรียูนาได้ทำการสร้างกฎในการใช้พลังขึ้นมา
เธอจึงถูกจองจำภายใต้ปราสาทลอยฟ้าของราชวงศ์อาณาจักรฟัฟนิร์ ถูกกักขังไว้ในโลกที่ดำมืด โดยจะได้ออกมาก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาติจากราชาหรือว่ายามที่อาณาจักรถูกโจมตี
เป็นเรื่องน่าขัน ที่ถึงแม้จะมีพลังอยู่ในกำมืด แต่เธอไม่สามารถออกจากสถานที่แห่งนั้นได้ ชีวิตความเป็นอยู่อาจจะดูดีก็จริง แต่มันไม่ต่างกับคุกภายในใจ ..นั่นแหละที่มาตำนานเจ้าหญิงมังกร”
..คุณอัลเบโด้เล่าไม่จบ
เขาไม่ได้เล่าว่าสุดท้ายแล้วก็จะมีเจ้าชายบุตรของราชาคนหนึ่งจะทนไม่ไหวกับการกดขี่ เขาจึงโผล่มาช่วยเจ้าหญิงมังกรออกจากคุก และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคนอย่างมีความสุข
“จริงๆแล้วมีอีกอย่างในตำนานที่ไม่มีใครรู้ เพราะเป็นความลับ”
“..นั่นหมายความว่าตำนานเจ้าหญิงมังกรมีอยู่จริงสินะคะ”
“ใช่ ตำนานเจ้าหญิงมังก—”
“เดี่ยวก่อนสิค่ะท่านอัลเบโด้ เรื่องนั้นยังเร็วกว่ากำหนดนี่คะ!”
จู่ๆแอนก็พูดสวนกับอัลเบโด้ เธอดูกล้าๆกลัวๆก็จริงแต่เธอพยายามเต็มที่เพื่อพูดออกมา
“ไร้สาระ ฉันไม่คิดจะยึดตามธรรมเนียมของคนรุ่นก่อนหรอก”
“แต่ว่า”
“อย่าสอดปากสอดคำให้มันมากสาวใช้” คุณอัลเบโด้มองแรง “รู้จักหน้าที่ตัวเองด้วย”
“..ขออภัยด้วยค่ะ”
..แอน
คุณอัลเบโด้ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เรื่องจริงอีกอย่างก็คือ ..เจ้าหญิงมังกรจำเป็นต้องแต่งงานกับราชวงศ์เพื่อให้กำเนิดบุตร และบุตรคนนั้นจะต้องแต่งงานกับราชวงศ์ต่อไปอีก”
การแต่งงานร่วมสายเลือด นั่นมันทางการวิจัยแล้วมัน ..
“การแต่งงานกับสายเลือดเดียวกันจะทำให้บุตรที่เกิดมาอาจมีปัญหาทางร่างกายได้ เรื่องนั้นราชวงศ์รู้ดีอยู่แล้ว แค่ในกรณีของเจ้าหญิงมังกรมันพิเศษ ..ต่อให้เลือดราชวงศ์จะทำให้เจ้าหญิงมังกรท้องได้ แต่ลูกที่ออกมาก็ไม่ใช่ลูกของพวกเขา ที่ออกมาจะเป็น-บุตรของมังกร ..บุตรแห่งฟัฟนิร์
ด้วยร่างกายที่ผิดแนกไม่จากคนปกติของเจ้าหญิงมังกร ทำให้ไม่ว่าเธอจะมีลูกกับชายใด เด็กที่เกิดมาก็เป็นได้เพียงบุตรของฟัฟนิร์และเธอเท่านั้น เพราะอย่างนั้นเด็กที่เกิดมาจึงไม่มีทางมีข้อผิดพลาด เพราะแต่เดิมราชวงศ์ก็เป็นได้แค่ตัวแทนพ่อเท่านั้น ..แน่นอนเหตุผลที่ต้องแต่งงานกับราชวงศ์ก็เป็นเพราะเจ้าหญิงมังกรไม่สามารถใช้พลังกับราชวงศ์ได้ ทำให้ต่อหน้าเหล่าราชวงศ์เธอจะเป็นได้เพียงผู้หญิงธรรมดาที่มีหน้าที่ตั้งท้อง”
…
“ตะหงิดใจใช่มั้ยล่ะ ในฐานะผู้หญิงย่อมเป็นกังวลใจอยู่แล้ว ทว่า-นั่นคือเรื่องปกติของโลก เจ้าหญิงมังกรมีหน้าที่ที่ต้องเกิดมาเพื่อสู้และสืบพันธ์และตายไปในที่สุด ชีวิตมีแค่นั้นแหละ เช่นเดียวกับราชวงศ์”
..
“เจ้าหญิงมังกร ..น่าสงสาร”
“หน้าที่ไม่มีคำว่าสงสารหรอก”
จากที่คุยกันทำให้ฉันเข้าใจอย่างชัดเจน-คุณอัลเบโด้เป็นคนไร้หัวใจ
“คุณอัลเบโด้คือสายเลือดราชวงศ์ที่ว่าสินะคะ แปลว่าเจ้าหญิงมังกรกับคุณอัลเบโด้ก็..”
“ตามที่เธอคิด ฉันกับเจ้าหญิงมังกรคนก่อนได้ให้กำเนิดบุตรของฟัฟนิร์คนต่อไปมาเอง หลังจากนั้นเจ้าหญิงมังกรคนก่อนก็ตายจากไป”
ใบหน้าของคุณอัลเบโด้ดูเจ็บปวด
พอเข้าใจคุณอัลเบโด้แล้ว เหมือนเขาจะนึกถึงเธอที่เป็นเจ้าหญิงมังกรคนก่อน และชิงชังเจ้าหญิงมังกรคนใหม่ที่พรากคนๆนั้นไปจากเขา
ซึ่งนั่นน่ะคือ…แบบนี้นี่เอง
“เจ้าหญิงมังกรคนต่อไปที่ว่าก็คือเธอนั่นแหละ”
คือฉันเองแหละ เจ้าหญิงมังกรคนล่าสุด
เรื่องมันเป็นอย่างนี้เองสินะ ตลอดมาที่ต้องอยู่แต่ในห้องเล็กๆมันเพราะชีวิตของฉันควรเป็นอย่างนั้น
เขาคือพ่อแต่แค่ในทางศีลธรรม เขาไม่ใช่พ่อของฉัน พ่อของฉันเป็นฟัฟนิร์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ..แต่ว่าตามความรู้สึกแล้ว ทั้งคุณอัลเบโด้และฟัฟนิร์ ทั้งสองไม่ใช่พ่อของฉันเลย
ฉันไม่มีพ่อ แม่เองก็ไม่มี ..ไม่สิ มีอยู่ แต่..เธอไม่อยู่กับฉันแล้วตอนนี้ คุณอัลเบโด้เองก็สูญเสียเจ้าหญิงมังกรที่รักไป
คุณอัลเบโด้มีสิทธิ์ที่จะเกลียดฉัน เขาเกลียดฉันแล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นตอนที่เล่าเรื่องนี้..เขาคงกุมมือของฉันไว้แล้ว คงปลอบใจฉันแล้วบอกว่าตัวเองเป็นพ่อไปแล้ว
ฉันมัน..ไม่มีอะไรเลย เกิดมาก็เพื่อผลประโยชน์ของคนอื่นเท่านั้น คนรักไม่มีสิทธิ์เลือกเอง เส้นทางชีวิตเองก็ด้วย ไม่ช้าก็เร็วฉันก็ต้องมีลูกและตายจากไปเหมือนเจ้าหญิงมังกรคนก่อนๆ
..ชีวิตฉันมันถูกกำหนดไว้แล้ว ตั้งแต่แรก
คุณอัลเบโด้ลงมาที่ล่างสุดแล้ว เขาเปิดประตูไม้ออกและ–ปรากฏให้เห็นทิวทัศน์เขียวขจีที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ในชั้นใต้ดิน
ทุ่งหญ้าสีเขียวสวยสดงดงาม แม่น้ำเล็กๆและต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ไม่มากไม่น้อยเกินไป
ภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ที่เหมือนห้องจำลองป่าในฝันนั้นมีหลุมศพอยู่นับร้อย
“ทั้งหมดคือหลุมศพของเจ้าหญิงมังกร สักวันเธอเองก็ต้องนอนอยู่ข้างในนี้ ..”
คุณอัลเบโด้หันหน้ามาหาฉัน ถึงจะมองมาทางนี้แต่ไม่ได้มองฉันหรือแอนที่อยู่ข้างหลัง ไม่ได้มองใครเลย เขาบอกออกไปไกล ..มองหาคนที่ไม่อยู่แล้ว
“จงนึกถึงหน้าที่ตัวเองไว้ซะเจ้าหญิงมังกร เธอจะต้องเป็นอาวุธให้กับอาณาจักรฟัฟนิรื จะต้องอุทิศทุกอย่างให้กับอาณาจักรฟัฟนิร์ ตายเพื่ออาณาจักรฟัฟนิร์ มีทายาทเพื่ออาณาจักรฟัฟนิร์ ต่อให้ไม่เต็มใจแต่ทั้งหมดคือหน้าที่ของเธอ ..ในอนาคตเธอจะต้องแต่งงานกับเจ้าชาย-บุตรของฉันโดยแท้จริง และให้กำเนิดเจ้าหญิงมังกรคนต่อไป”
…ทั้งหมดคือหน้าที่
รู้แล้วล่ะ แต่..กลัว
ฉันไม่อยากทำเลย ฉันกลัว
ฉันยืนขาสั่น ได้แต่ก้มหน้ามองพื้น ..กลัว..ไม่เอา..กลัว..ฉันกลัว..กลัว
ไม่อยากแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ ไม่อยากสู้กับใครด้วย ไม่ได้รักอาณาจักรฟัฟนิร์ที่ว่าเลยสักนิด เกลียดที่สุดเลยด้วยซ้ำ ทั้งอย่างนั้นแต่ชีวิตของฉันกลับไม่ใช่ของฉัน มันกลายเป็นของทุกคนเพื่ออาณาจักรฟัฟนิร์ แบบนั้น…ไม่เอานะ
คุณอัลเบโด้มองแรงใส่ฉันที่ไม่ก้าวขามายอมรับ
“ทำไมถึงได้กลัวขนาดนั้นล่ะ สำหรับเจ้าหญิงมังกรแล้วชีวิตไม่มีค่าอะไรอยู่แล้วนี่ ..ทั้งคนก่อนหรือคนก่อนๆอีกเป็นสิบคน ทั้งหมดก็ไม่ต่างกับตุ๊กตาไร้ความรู้สึก ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเธอถึงลังเลอยู่ล่ะ”
..ทำไมเหรอ
มันแน่อยู่แล้วสิ ก็ฉัน..
“ฉันไม่ใช่ตุ๊กตานะ..ฉันคือมนุษย์…อยากมีชีวิตเป็นของตัวเองเหมือนทุกคน”
ฉันพูดไปร้องไห้ไป ในใจมีแต่ความกลัวต่อโชคชะตาของตัวเอง
“กลัวต่อโชคชะตาสินะ..ทั้งๆที่ตลอดมาไม่เคยมีใครหยิบยื่นชีวิตให้เลยแท้ๆ ต่างกับเธอ”
เธอที่ว่าคงพูดถึงเจ้าหญิงมังกรคนก่อน คุณอัลเบโด้พูดอย่างเจ็บปวด
“ช่างเถอะ เรื่องวันนี้คงเร็วไปสำหรับเธอ จำเป็นต้องจัดการสอนใหม่ทั้งหมด”
คุณอัลเบโด้เดินมาทางฉัน
“เรื่องวันนี้ลืมไปซะ”
เขาพยายามจะคว้ามือฉัน—–ฉันไม่มีแรงขัด ไม่คิดจะขัดขืน ทั้งหมดน่าจะเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของเจ้าหญิงมังกร
..ฉัน..ฉัน
ไม่อยาก
“ไม่เป็นไรนะคะ”
เธอกุมมือฉันไว้-แอนจับมือของฉันไว้ และปัดมือของคุณอัลเบโด้ออก
แอนยิ้มให้ฉันเหมือนทุกที ..นั่นทำให้ฉันคิดได้
คนที่มอบชีวิตที่คุณอัลเบโด้พูดถึงให้ฉัน นั่นคือแอน
ที่ฉันอยากมีชีวิตเหมือนคนปกติ เริ่มมีความฝันและความปารถนา ทั้งหมดมันเป็นเพราะแอนคนเดียวเลย ทั้งหมดเป็นเพราะเธอ เพราะเธอคนเดียวที่ทำให้ฉัน ..อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง
แอน..เธอ..เธอผิดแท้ๆ..แต่ฉันโกรธไม่ลง
อยากขอบคุณเสียด้วยซ้ำ เพราะบนโลกนี้มีแค่เธอที่รู้สึกกับฉัน
ตลอดมามีแค่เธอนั่นแหละที่มอบความรู้สึกมากมายให้ฉัน
ขอบคุณ ขอบคุณนะ ฉันจะต้องมีชีวิตของตัวเองให้ได้ จะต้องมีความสุขให้ได้ พร้อมไปกับเธอสำหรับฉันแล้วแอนน่ะ—เธอเหมือนกับแม่ที่ฉันต้องการมาตลอด
ฉันจะพุ่งเข้าไปกอดแอน เธอเองก็รอรับร่างของฉันไว้ ทว่า
“ฉันจะอยู่กับเจ้าหญิงมังกรเ…”
พูดไม่ทันจบร่างของเธอก็ลงไปฟุ๊บกับพื้น ..เลือดไหลออกจากอกของเธอ เลือดได้ปกคลุมผืนหญ้าที่สวยงาม
..เอ๊ะ
ฉันหันไปมองคุณอัลเบโด้ เขาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น แต่เขารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ที่แห่งนี้คือประสาทลอยฟ้าของราชวงศ์ ถ้าเกิดราชวงศ์ถูกทำร้ายประสาทจะทำการลงโทษผู้ร้าย ..สมควรแล้ว สาวใช้ที่ไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองสมควรตาย”
..
“สาวใช้นั่นน่าจะเป็นคนที่ยื่นชีวิตให้กับเธอด้วยสินะ”
“..ฉันจะ ..จะ”
พูดไม่ได้
สายเลือดของฟัฟนิร์ทำให้ฉันพูดออกมาไม่ได้ เขาไม่ได้กลัวฉันเลยสักนิดเพราะไม่มีทางที่ฉันจะทำร้ายเค้าได้
“ฉัน..ฉัน..อึก”
สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ต่อสายเลือดตัวเอง
ฉันลงไปทรุดลงกับพื้นข้างๆแอนที่นอนมองเพดางชั้นใต้ดิน เธอหรี่ตามองฉันที่นั่งอยู่ข้างๆ
“แอน..อย่าตายนะ”
ฉันพยายามสะบัดร่างของแอนไปมา เธอไม่ขยับเลย แต่แววตาของเธอยังอยู่ดี
เธอยังไม่ตายแค่ขยับร่างไม่ไหว—
“ช่วยด้วย ได้โปรดช่วยแอนด้วย!”
“…”
ฉันวิ่งไปเกาะปลายเสื้ออัลเบโด้
“ขอร้อง ช่วย—”
เขาเตะฉันออก ด้วยแรงที่มากกว่าเขาส่งฉันลงไปนอนกับพื้นเหมืนอกับแอน
“…ทำไม”
“อย่ามาแตะ ..อย่ามาจับตัวฉัน ไอ้ตัวประหลาด” อัลเบโด้มองฉันจากที่สูงอย่างเหยียดหยาม “มังกรสวะอย่างแกไม่สมควรได้รับการช่วยเหลือ ทั้งชีวิตและความรัก แกไม่จำเป็นต้องมีมัน ใช้ชีวิตอยู่ในฐานะอาวุธก็พอ ..อย่างแกไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น”
อัลเบโด้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าเขาดูสิ้นหวังเหมือนกับฉัน ..พวกเราคล้ายกันสมกับเป็นพ่อลูกในนาม
ฉันอยากจะหัวเราะออกมา ..
“คนรับใช้ที่รักของแกก็ต้องตาย สมควรตาย …เรื่องมันแค่นั้น ตลอดมาเลือดของแกก็ใช้ชีวิตอย่างนั้นมาตลอด ไม่เห็นต้องกังวลอะไรเลย ..”
พูดจบเขาก็หันหลังให้และเดินออกจากห้องใต้ดิน ปล่อยให้ฉันอยู่กับแอนตามลำพัง
…
“..แอน..ได้สติรึเปล่า”
ฉันพยายามเรียกแอน-เธอพยักหน้าให้
“ได้ยินค่ะ”
“..แอนรอดไปให้ได้นะ” ฉันยิ้ม “ช่วยสอนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตให้ฉันมากกว่านี้ได้รึเปล่านะ?”
“..เรื่องนั้นคงจะ”
ไม่ได้นี่เอง คงอย่างนั้นก็ตอนนี้ร่างของแอนมัน..ไปต่อไม่ได้แล้ว
ฉันฟุ๊บหน้าลงกับตัวแอน ปล่อยให้น้ำตาไหล
“..ทำไมกันเล่า
“ทำไมชีวิต..มันถึงได้เป็นแบบนี้กัน
“..ชีวิตเป็นของฉันไม่ใช่หรือไง ในหนังสือบอกว่าชีวิตเป็นแค่ของฉันคนเดียวไม่ใช่รึไง!”
ไม่เท่าเทียมเลย โลกนี้มันโหดร้าย แอนที่ใจดีกับฉันแค่คนเดียวก็กำลังจะจางหายไป
ในโลกแบบนี้..ฉันอยากตาย..ไม่อยากอยู่แล้ว ชีวิตแบบนี้ทิ้งๆไปซะได้ก็ดี
“ฉันขอพูดอะไรสักหน่อย..นะคะ”
แอนพูดอย่างทุรักทุเร น้ำเสียงเต็มไปด้วยความลำบาก แค่พูดนิดเดียวเธอก็ลำบากแล้ว
“ฉันมีลูกอยู่คนหนึ่งคะ ..เป็นเด็กที่คล้ายกับท่าน ..เป็นเด็กน่ารักคะ”
แอนจับมือฉันอยู่ ต่อให้เธอใกล้จะตายแต่ก็ยังไม่ละมือออก
“คือฉัน..ขอเข้าเรื่องเลยนะคะ…ท่านสนใจ” แอนพูด “สนใจเป็นลูกของฉันไหมคะ?”
ในใจของฉันตลอดมาก็เป็นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากความ ฉันรู้ใจตัวเองดี..ตลอดมาเธอคือแม่ของฉันเพียงคนเดียว
“ตก..ตกลง ฉันตกลงแอน ให้ฉันเป็นลูกเธอด้วย ขอร้องล่ะ..ตลอดมา..สำหรับฉัน..เธอคือแม่อยู่แล้ว”
ฉันดีใจ ดีใจที่แอนเห็นฉันเป็นลูกเหมือนกัน
“ดีใจจังค่ะ”
พวกเราคิดเช่นเดียวกัน…แอนเร่งพูดต่อ
“จะว่าไปท่านยังไม่มีชื่อสินะคะ”
“..ใช่”
“ฟังนะคะ นับจากนี้ท่าน ..ไม่สิ ลูกไม่ใช่เจ้าหญิงมังกร ลูกชื่อว่า ..”
เธอคิดชั่วหนึ่ง
“ชื่อ ‘หนิง’ ที่แปลว่า ‘ความสงบ’ ..แม่ขอตั้งชื่อนี้ให้ลูกในวาระสุดท้าย ..เพื่อขอภวนาให้ลูก..พบเจอแต่ความสงบนะ”
‘หนิง’ ตั้งแต่วันนี้ฉันชื่อว่าหนิง ..ไม่ใช่เจ้าหญิงมังกรของทุกคน แต่เป็นหนิงที่เป็นตัวฉันเอง
“อา ..อยากให้หนิงได้เจอกับ ..สักครั้งจังนะ ลูกทั้งสองคนต้องเข้ากันได้แน่ๆ”
กล่าวจบตาของเธอก็ไร้แวว ปากปิดเงียบไป ร่างไร้ลมหายใจอย่างสมบูรณ์
เธอตายแล้ว
..
“..แอน”
ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ..เธอคงไม่อยากให้ลูกของตัวเองตายเร็วหรอก เพราะอย่างนั้นฉันจะไม่อยากตายเด็ดขาด ..จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
เธอคงไม่อยากเห็นลูกตัวเองร้องไห้ด้วยเพระาอย่างนั้นฉันจะไม่ร้องไห้เด็ดขาด
จะต้องทำให้ได้ ..เพื่อเธอและตัวฉันเอง
น่าเสียดาย
หลังจากวันนั้นฉันก็ลืมทุกอย่างในวันนี้ ความทรงจำข้ารับใช้ของราชวงศ์ดัดแปลง เรื่องในวันนี้กลายเป็นแค่ความฝันปลอมๆ ความจริงกลายเป็นของปลอม ของปลอมกลายเป็นความจริง ฉันรู้เพียงแค่ว่าแอนหายไป ..เธอหายไปโดยไม่บอกกล่าวฉัน ฉันรูัแค่นั้น
เรื่องราวลูกของเธอฉันก็ไม่รู้ เรื่องที่เธอตายฉันไม่รู้ เรื่องที่ฉันกลายเป็นลูกของเธอฉันก็ไม่รู้ จะรู้ก็เพียงแค่ ..ความปารถนาของตัวเอง
นี่คือที่มาความโหยหาของฉันอย่างหนึ่ง ..ฉันโหยหาที่จะเจอเธออีกครั้ง-ไม่ใช่ ฉันปารถนาที่จะมีชีวิตที่มีความสุข และไปเจอกับลูกของเธออีกครั้ง นี่แหละความต้องการของฉันในวันนั้น
แม้ว่ามันจะถูกลบหายไปทั้งหมดก็ตาม แต่..สิ่งหนึ่งที่ฉันได้รับมาคือ—ชื่อของฉัน
มีแค่ชื่อที่ฉันไม่มีวันลืม ชื่อ ‘หนิง’ คือชื่อที่ฉันได้รับมาจากคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต
ทั้งหมดคือเรื่องราวช่วงอายุสิบขวบ ก่อนที่อีกสองปีเศษๆให้หลัง ในงานวันเกิดครบรอบสิบสามปีของฉัน ฉันจะได้พบกับ ..สองคนนั้น
และเกิดความโหยหาใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง
เรเซอร์และยูจิ สองคนนั้น..คือคนสำคัญที่ทำให้ฉันจำเรื่องในวันนี้ได้ ในตอนที่ได้สูญเสียคนสำคัญไปอีกแล้ว
เหมือนกับครั้งก่อนตรงที่ฉันสูญเสีย แต่ต่างกันตรง ..ที่ฉันไม่สามารถทนรับความเศร้าได้อีกแล้ว
ทำไมฉันต้องสูญเสียตั้งเยอะขนาดนี้ด้วยกัน ทั้งแอน ทั้งยูจิ พวกเขาตายหมด..ทำไมฉันถึงมีชีวิตอย่างที่อยากไม่ได้กัน
..ทำไมฉันถึงได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในกรงกัน
ทั้งหมด..ฉันรับไม่ไหว มันมากเกินไปแล้ว
ไม่เอาอีกแล้ว ..พังให้หมดเลย ทั้งตัวฉันและโลกนี้ อยากจะทำให้พังทั้งหมด
สุดท้ายฉันจะได้ตายๆไปให้จบเรื่องสักที—-ชีวิตฉันตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้วนี่นา
ไม่เหลืออะไร—-วินาทีที่คิดอย่างนั้นกระจกก็ได้แตก
ฉันเห็นทิวทัศน์ข้างนอก เห็นท้องฟ้าและเห็น–เรเซอร์ที่ยื
< < 69 > >
“แม่งเอ้ย ..แม่งเอ้ย”
ตัดมาทางเรน ขณะนี้เรนกำลังเดินตามตรอกซอยด้วยสภาพร่างที่แหวะเละไส้ไหล
แขนขาดหนึ่งข้าง ตาโบ๋หนึ่งข้าง เลือดไหลท่วมตัว บริเวณท้องมีไส้โผล่ออกมาอย่างน่าสยอง น่าแปลกที่เรนยังคงมีลมหายใจอยู่กับสภาพร่างกายแบบนี้
“..บัดซบเอ้ย..มันอะไรกันวะ..ไอ้เวรนั่น..สัตว์ประหลาดชัดๆ”
เรนหรี่ตาลงด้วยความเจ็บปวด ใบหน้ามีแต่ความเจ็บใจหาที่สุดไม่ได้ ซ้ำยังอับอายด้วย ..ผู้ที่ทำให้เรนอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้คือ ‘เอเธอร์’ สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกนี้ ยุคสมัยนี้
เมื่อสักครู่นี้เรนได้เข้าต่อสู้กับเอเธอร์และถูกอีกฝ่ายเล่นงานจนเละ สภาพเลยเป็นดังที่เห็น รายละเอียดไม่แน่ชัด เพราะทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก รู้ตัวอีกทีเรนก็ต้องหนีตายจากเอเธอร์แล้ว ตามที่เห็นว่าเรนกำลังเดินตามตรอกซอยอยู่ เพื่อไม่ให้เอเธอร์หาตัวเจอจำเป็นต้องเดินทางลับต่างๆ ..ทว่า เอเธอร์เป็นผู้ถือครอง ‘ดวงตามหาปราชญ์’
ไม่นานก็ตามทัน-ไปได้เร็วกว่าตัวผู้หนีด้วยซ้ำ ตอนนี้เรนเลยตัวสั่นอีกครั้งด้วยความกลัว เพราะเอเธอร์ยืนดักอยู่ข้างหน้า
แม้จะเล่นเรนซะยับ แต่สภาพร่างกายเอเธอร์ไร้รอยขีดข่วน ไร้กระทั่งรอยเลือดของเรนตามบริเวณสูทด้วยซ้ำ
สามารถกล่าวได้ว่าการต่อสู้กับเรน สำหรับเอเธอร์แล้วมันง่ายจนไม่ต้องเอาจริงก็ได้
“คุณมีความสามารถในการหนีนะครับ”
“หึ หึ หึ ..อย่ามาหยามกันนะเว้ย”
เรนทำใจดีสู้เสือ หัวเราะใส่เอเธอร์ทั่งๆที่ตอนนี้ขาสั่นพรั่บๆอย่างกับลูกกวางพึ่งเกิด ถ้าเกิดเอเธอร์เป็นคนไร้มารยาท เขาคงขำอัดหน้าเรนไปเสียแล้ว–
“ฮ่า ฮ่า น่าตลกจังเลยนะครับ”
ใช่แล้ว เอเธอร์เป็นคนไร้มารยาท เรนที่ถูกหยามก็หน้าแดงก่ำพลันกัดฟันกรามข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้
“..จะฆ่าแกให้ดู..ไอ้เบื้อกเอ้ย!!!”
สุดท้ายเรนก็ทนไม่ไหว ตะบะแตกพุ่งมาหาเอเธอร์
เอเธอร์ปัดมือของเรนออก หลบการโจมตีถัดไปของเรนสองสามครั้งก่อนใช้เข่าแทงเข้าท้องส่งเรนลงไปนอนกองกับพื้นโดยไม่ใช้แม้แต่เวทมนตร์
“ยะ..อย่าเข้ามา”
เรนพยายามคลานหนีแต่ร่างกายไม่ตอบสนองแล้ว
“สภาพของคุณไม่ไหวแล้วครับ ตอนนี้ต่อให้ไม่ใช่ผมก็ชนะได้” เอเธอร์ยิ้มให้อย่างเรียบเฉย “แต่จะว่าไปคุณนี่แข็งแกร่งใช้ได้เลยนะครับ”
เอเธอร์ถูคางตัวเอง
“ถ้านับแค่พลังก็มีคุณสมบัติพอจะสู้กับผมได้ ทว่า ..คุณเป็นคนประเภทขี้ขลาดสินะครับ คนอย่างคุณน่ะต่อให้ได้พลังมาเยอะยังไง แต่ก็ไร้ความสามารถอยู่ดี ไร้คุณภาพ ด้านการต่อแล้วจัดว่าเป็นพวกเสียของครับ”
เอเธอร์วิจารย์ตรงไปตรงมาและไร้ซึ่งความเกรงใจ
“เซนต์การต่อสู้เข้าขั้นห่วย รู้ทั้งรู้ว่ารับมือกับผมไม่ได้แล้วยังจะเข้ามาโจมตีก่อน ตัวเองไม่ใช่คนที่มีความเร็วเป็นเลิศแท้ๆ ตัวคุณน่าจะเด่นด้านเทคนิคไสยศาสตร์ที่สุดไม่ใช่หรือครับ เช่นนั้นแล้วยังเข้ามาใช้พลังกายอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ก็ เข้าใจได้ครับ ทั้งหมดที่คุณทำเป็นเพราะถูกความกลัวเข้าครอบนำจนทำอะไรไม่ถูก”
“หุบ..ปาก”
อย่างที่ว่า เรนเกลียดการถูกต่อว่าว่าเป็น ‘พวกขี้ขลาด’ ที่สุด เกลียดการ ‘ถูกวิจารย์’ ด้วยเหมือนกัน
ตอนนี้เรนอยากจะพุ่งไปฉีกร่างของเอเธอร์ให้แหลกจนใจแทบจะขาด แต่..ทำไม่ได้ เพราะต่างชั้นเกินไป
เรนเห็นเอเธอร์แล้วก็แอบนึกถึงศิษย์พี่ของตัวเองอย่าง ‘ยูนา’ การต่อสู้กับเอเธอร์ทำให้นึกย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อน
ตอนนั้นเรนคลั่งแสวงหาความอมตะจากแผลใจในช่วงสงคราม แน่นอนเส้นทางการเป็นอมตะมันไม่ได้โรยด้วยกรีบกุหลาบ เรนจำเป็นต้องทดลองมนุษย์ จำเป็นต้องฆ่ามนุษย์มากมาย ลักพาตัวสิ่งมีชีวิตต่างเผ่ามาทรมาณและทดลอง ทำสิ่งที่ไร้หัวใจทั้งหมด
และตอนนั้นยูนาก็โผล่มาหยุดเรน จนสภาพเรนเละเหมือนตอนนี้ กำลังจะถูกฆ่าทิ้งเหมือนกันด้วย แต่..เรนได้แต่ร้องขอชีวิตจากยูนา
เวลานั้นในสายตาของยูนา เรนเป็นแค่คนขี้ขลาด ..เป็นพวกที่รับความเจ็บปวดไม่ได้ เป็นพวกไม่รู้จักโต เป็นคนขี้ขลาดที่ไม่กล้ารับความผิดของตัวเอง เป็นคนน่าผิดหวังที่สุดในสายตาของยูนา
ห้วงเวลานั้นเรนสมเพชตัวเอง ได้รับแผลใจ รู้สึกเหมือนไม่ใช่มนุษย์ เป็นความรู้สึกที่หลายคนรู้สึกว่าตายๆไปซะยังจะดีกว่า แต่—ถึงอย่างนั้น เรนก็ยังไม่อยากตายอยู่ดี ต่อให้ตัวเองต้องร้องขอชีวิต ต้องขายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไปแต่เรนจะต้องมีชีวิตรอดให้ได้
ที่ตอนนั้นเรนรอดจากยูนาได้ก็เป็นเพราะสถานะศิษย์น้องที่รัก คำพูดโน้มน้าวขอชีวิต คำสัญญาปากเปล่าที่บอกว่าจะไม่ทำชั่วอีก และสภาพน่าอดสู่ทั้งหมดที่ปรากฏให้เห็นตอนนั้น ..ทำให้เรนรอดมาได้
แต่ทั้งหมดก็กลายมาเป็นแผลใจของเรน มันทำให้เรนนอนไม่หลับ ทำให้เรนกลัวความตายสุดขีด อับอายการโดนหยาม ปารถนาจะได้ความอตะและพลังมากกว่าเก่า ..แต่เพราะเป็นแผลใจนี่แหละเลยรู้ดี ว่าทั้งหมดมันเป็นตัวเรน เรนเป็นไอ้ขี้ขลาดที่พาลไปทั่วแล้วถูกสั่งสอน จากนั้นก็ร้องขอชีวิต อ้อนวอนขอโอกาส จนแล้วจนรอดก็รอดมาได้ และรอให้ยูนาตายไปก่อนจะออกอาละวาดอีกครั้ง
เรนน่ะ เป็นเดนมนุษย์คนหนึ่ง เป็นคนที่สมควรตายที่สุดคนหนึ่งบนโลก
เรนรู้ความชั่วของตัวเองดี แต่เกลียดการที่ตัวเองถูกคนอื่นรู้จักตัวเองที่สุด ..
“จากข้อมูลลับในอดีตทำให้ผมรู้จักคุณในระดับหนึ่งครับ พอจะรู้เป้าหมายและรูปแบบการกระทำอยู่ ..รู้รึเปล่าครับ ว่าทุกอาณาจักรยกให้คุณเป็นอันตรายที่สมควรกำจัดทิ้ง ..เป็นคนที่ควรหายไปจากโลกครับ คุณน่ะ”
เอเธอร์พูดความจริงโดยไร้ความเห็นใจ–ไม่สิ ความเห็นใจต่อเรนไม่จำเป็นต้องมี เศษสวะอย่างเรนคือคนที่ถ้านรกมีจริง สมควรจะอยู่ที่สุด ยิ่งกว่าพวกพ่อค้าทาสเถื่อนหรือขุนนางบ้าอำนาจ
เรนคือความผิดพลาดของยูนาในอดีต เพราะยูนาไม่ฆ่าเรนทิ้งเสีย เรนเลยรอดและทำตัวเป็นอุปสรรคต่อโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นในฐานะตัวแทนของอาณาจักรมหาอำนาจที่มีหน้าที่ทำให้โลกดำเนินต่อไปได้แล้ว–เอเธอร์จำเป็นต้องฆ่าเรนเดี่ยวนี้
“มีอะไรจะสั่งเสียมั้ยครับ?”
“..โปรด..ไว้ชีวิตด้วยเถอะ จะไม่ทำอีกแล้ว”
เอเธอร์หัวเราะเบาหวิว
“น่าเสียดายครับ”
พูดจบเอเธอร์ก็อัดมานาไว้ที่ปลายแขน จะลงมือสังหารเรนทิ้งเดียวนี้แล้ว
เรนพยายามพูดโน้มน้าวสุดตัว
“อยากได้อะไร แกต้องการอะไร จะหามาให้เอง ไม่ว่าอะไร ..หรือว่าอยากเป็นอมตะก็ได้ จะหามาให้เองความอมตะน่ะ ร่วมกันกับทางนี้ มาร่วมมือกันเถอะนะ นะ ได้โปรด”
เอเธอร์ไม่ตอบ——
“——-ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!!!!”
เรนกรี๊ดร้องออกมาสุดเสียงพร้อมกันกับเอเธอร์ที่ลงมือฆ่าเรนทิ้ง
เปร๊ง มือของเอเธอร์ถูกปัดออกด้วยเคียวทรงประหลาดเหมือนเศษเนื้อ แม้จะเป็นการเล่นทีเผลอแต่ผู้ที่ทำแบบนี้ได้ต้องแกร่งระดับหนึ่ง
เอเธอร์หันไปมองและเผลอยิ้มออกมา
ข้างๆเอเธอร์มีสาวสวยผิวสีซีดในชุดคลุมสีดำ บริเวณดวงตาถูกปิดไว้ผ้าคาดตาสีดำ เห็นผมสีบลอนด์โผล่มาได้หน่อยนึง ร่างสูง หุ่นดี นี่คือภาพลักลักษณ์คร่าวๆของเธอ
แค่นั้นก็จริงแต่ด้วยดวงตามหาปราชญ์ทำให้เอเธอร์ระบุตัวตนอีกฝ่ายได้ และหลุดยิ้มออกมา
“อะไรล่ะครับนั่น ..คุณเนี่ยถนัดการหาเผ่าพันธ์โบราณจังเลยนะครับ”
เอเธอร์หันไปพูดกับเรนกึ่งชื่นชมนิดหน่อย
“ผมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้พบเห็น.. ‘แวมไพร์’ ในยุคนี้น่ะ”
ตัวตนของหญิงสาวที่ออกมาปกป้องเรนคือ ‘แวมไพร์’ เป็นคนเดียวกับที่ก่อนหน้านี้เข้าไปต่อสู้กับเซบาสเตียนด้วย
ผลการต่อสู้เป็นเช่นไรมีแค่ตัวเซบาสเตียนและแวมไพร์ที่รู้
“..อะ อลิซาเบธ มาแล้วสินะ มาช่วยผมแล้วสินะ!?”
แวมไพร์สาวชื่อ ‘อลิซาเบธ’
“กลัวแย่เลยสินะค่ะนายท่าน”
“มะ ไม่ได้กลัว ผมไม่ได้กลัวเลยสักนิด รู้อยู่แล้วล่ะว่าเธอจะมา หึ หึ”
เรนกลัวหน้าเสียเลยพูดโกหกไป อลิซาเบธไม่ได้ติดใจอะไร เธอเชื่อเรนทุกอย่าง สำหรับเธอแล้วเรนคือทุกอย่างด้วยจึงเชื่อทุกอย่าง
“ยินดีที่นายท่านไว้วางใจค่ะ”
“อ่า แหงอยู่แล้วสิ มาแล้วก็ดี อลิซาเบธรับมือกับเอเธอร์ซะ แล้วก็ผมจะหนีไปก่อน เธอรีบหนีตามมาล่ะ”
เรนบอกเป็นนัยว่าให้อลิซาเบธไปสู้เสี่ยงตายแทนเขา ตัวเองจะหนีไปก่อน ถ้ารอดจากเอเธอร์ได้ก็ค่อยตามมา
“รับทราบค่ะ ทว่าหายห่วงคะ”
อลิซาเบธตอบกลับอย่างไร้ซึ่งความหวั่นเกรง ต่อให้เจอเอเธอร์เธอก็ไม่รู้สึกกลัวแม้แต่นิดเดียว เพื่อปกป้องนายท่านแล้ว ความกลัวจึงเป็นได้แค่ปัจจัยไร้สาระ
“หมายความว่ายังไง” เรนถาม
“อาวุธของนายท่านมาแล้วคะ”
กล่าวจบบ้นฟ้าก็ปรากฏเด็กหนุ่มเด็กสาวในร่าง [อาภรณ์เทพมังกร] ทั้งหมดสามคน
เอเธอร์แหงนมองและยิ้มให้ พร้อมกันกับเสียงระเบิดหัวเราะของเรน
“เจอขนาดนี้ทางผมคงฆ่าคุณไม่ไหว ถ้านั้นคงต้องเปลี่ยนแผนเป็นไล่ตะเผิดไปแทนล่ะนะครับ”
เอเธอร์พูดกึ่งๆยอมรับว่าตัวเองแพ้แล้ว
“ก็ดี!! ดีมาก! ทำได้ดีจริงๆ! ..เสียใจด้วยเอเธอร์ เหมือนว่าครั้งนี้พวกแกก็จะคว้าน้ำเหลวในการเด็ดหัวผมเหมือนเดิม หึ หึ”
“การจับคนขี้ขลาดมันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอกครับ ไม่ช้าก็เร็ว จะขอรับหัวคุณไปล่ะนะครับ ..ว่าแต่ว่าคาลอสล่ะ?”
เอเธอร์กอดอกเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
ราชาอัศวิน ‘คาลอส’ ก่อนหน้านี้เขารับมือกับหนึ่งในสามมหามังกรเทียมอย่าง ‘เมอัน’ อยู่ การที่เมอันโผล่มารับมือกับเอเธอร์ได้ก็หมายความว่า ..
“จัดการแล้ว”
เมอันกล่าว
เธอกำลังจะบอกว่าตัวเองชนะคาลอสที่เป็นราชาอัศวินได้แล้ว
อนุมานได้ทันทีว่าเมอันแกร่งสุดในหมู่มหามังกรเทียม ..ทว่า
“แค่นั้นเองเหรอครับ ถ้านั้นขอเข้าแผนเดิมล่ะนะครับ” เอเธอร์กล่าวอย่างเรียบง่าย “คุณต้องตายวันนี้ครับเรน”
เรนเอียงคองง เอเธอร์เท้าสะเอวพลางอธิบาย
“เกราะ ‘อิจิส’ ที่คาลอสสวมใส่เกราะอิจิสอยู่สัญลักษณ์แห่งราชาอัศวิน มันไม่ใช่ของที่พวกคุณจะสามารถเจาะการป้องกันได้ครับ ต่อให้คาลอสจะเผลอโดนท่าใหญ่เข้าไปจนสลบ แต่เขาก็ลุกขึ้นมาได้ในไม่กี่วิ ประมาณนี้ครัง”
ว่าแล้วก็มาเลย
เสียงพื้นสั่นสะเทือนดังขึ้นเหมือนมีคนกระโดด–เงาสีดำผุดอยู่เหนือหัวทุกๆคนและพุ่งลงพื้น
ตู้ม!!!! แรงจากการแลนลิ่งของเงาสีดำทำให้บ้านรอบๆพังจนตรอกเล็กๆกลายเป็นที่โล่งเหมือนไก่ชน
เกราะสีขาววับออกมาพร้อมกับร่างของ ‘คาลอส’ ที่กำดาบขนาดยักษ์ไว้แน่น
“อย่างที่เห็นครับ” เอเธอร์ผายมือไปทางคาลอส
คาลอสแลนลิ่งลงพื้นอย่างสวยงาม ร่างกายไร้บาดแผลตัวเกราะไม่มีรอยอะไรทั้งนั้น นั่นเป็นผลจากเกราะราชาอัศวิน
คาลอสสังเกตุเห็นเอเธอร์
“เอเธอร์รึ”
“ไม่เจอกันนานนะครับ เป็นอย่างไรบ้างครับ สบายดีหรือเปล่า? ทั้งคุณทั้งราชา หวังว่าจะปลอดภัยดีนะครับ คุณราชาเลิกนิสัยข่มเหงลูกสาวได้หรือยังครับ คุณหาภรรยาที่ดีได้หรือยังครับ”
“เอเธอร์ ค่อยคุยทีหลัง”
“รับทราบครับ”
คาลอสยกดาบชี้ใส่พวกเรนทุกคน เหล่าอาวุธของเรนและอลิซาเบธตั้งท่าเตรียมปะทะ
“เมอันเธอรับมือคาลอส สโนว์กับปีเตอร์ร่วมมือกับดิฉันรับมือเอเธอร์ อย่าเข้าไปสู้ด้วยระยะประชิด”
อลิซาเบธออกคำสั่งให้เหล่าอาวุธอย่างรวดเร็ว
“เอเธอร์หน้าที่แกคือยื้อพวกมันให้ได้ อย่าให้พวกมันหาทางหนีได้เด็ดขาด ทางนี้จะรีบเผด็จศึกแล้วไปช่วยแกต่อ” คาลอสเขม็งอีกฝ่าย “อย่างแกทำได้สบายอยู่แล้วนี่”
ในมุมคาลอสเอเธอร์เป็นพวกรักอิสระ เป็นคนที่ใช้งานได้ยาก แต่ความสามารถคือของจริง บนโลกนี้ไม่มีใครที่แกร่งไปกว่าเอเธอร์แล้ว อย่างน้อยก็ในยุคนี้ เพราะอย่างนั้นคาลอสจึงเชื่อในพลังของเอเธอร์
“เข้าใจแล้วครับ”
เอเธอร์รับคำสั่งด้วยรอยยิ้ม แม้จะแกร่งสุดแต่เอเธอร์ไม่ใช่คนถือตัว ต่อให้โดนด่าหรือโดนหยามเขาก็ไม่ใส่ใจ ที่ทำตัวตามใจบ่อยๆเป็นนิสัยรักอิสระส่วนตัวเท่านั้น
ทุกสองฝ่ายพร้อมจะบวกกันแล้ว อากาศสั่นไหวเพราะการรวบรวมมานาของทั้งสองฝ่าย บรรยากาศเริ่มร้อนเสมือนยืนอยู่ที่กลางปล่องภูเขาไฟที่จะระเบิด กล่าวได้ว่าบรรยากาศเดือดได้ที่ ถ้าเกิดการปะทะที่แห่งนี้ขึ้นล่ะก็ มีคนตายแน่นอน ทว่า มีอยู่คนเดียวที่ไม่เข้าพวก ยืนขาสั่นและทำหน้ากลัวสุดขีดอยู่คนเดียวโดดๆ
คนๆเดียวที่ว่าเป็นคนธรรมดา(ด้านจิตใจ)ในที่แห่งนี้
เรนน่ะเอง ถ้าเอเธอร์คือแกร่งสุดในยุค เรนก็เป็นจอมขี้ขลาดแห่งยุคสมัย
สภาพเรนตอนนี้เหมือนยืนอยู่ท่ามกลางผู้มีพลังระดับมหามังกร เป็นสงครามวงกว้างขนาดย่อม ..ในมุมของเรนเขาเหมือนกระต่ายในสนามรบของสิงโต ความจริงเรนก็แข็งแกร่งอยู่หรอก แต่อย่างที่เอเธอร์ว่าไว้ว่าเรนคือคนขี้ขลาด
สิ่งที่เรนเกลียดที่สุดอีกอย่างคือ ‘การต่อสู้’ ยิ่งกับ ‘คนที่มีพลังพอกันหรือเหนือกว่า’ แล้วเรนยิ่งไม่กล้า
ตอนนี้จึงกลัวสุดขีด
“หนี!! ยังไงก็ได้! หาโอกาสหนีให้ได้!!”
ทางเลือกเดียวสำหรับเรนคือ ‘หนี’ ต่อให้ดูไม่ได้ยังไง แต่ชีวิตสำคัญที่สุด
****
ผมพุ่งทยานขึ้นฟ้าด้วยการตัดมิติมันช่วยให้ผมลอยไปอยู่ในระยะสายตาเดียวกับมหามังกรเพลิงได้
ขณะนี้ตรงหน้าผมมีมหามังกรตัวยักษ์อยู่ เกร็ดสีแดงเข้มที่มีออร่าร้อนละอุโชยออกมา แค่เห็นก็รู้ได้ถึงความถึกทนของเกร็ดนั่น แม้แต่นักดาบชั้นยอดคงยากจะทะลุเกราะป้องกันนั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็คือปริมาณมานาที่ไร้ซึ่งขีดสิ้นสุด
มหามังกรเพลิงหรือจะเรียกว่าหนิงก็ได้ หล่อนโค้งตัวหนีระยะจู่โจมและพ่นไฟออกมา
ผมใช้ตัดมิติตัดทิศทางเพลิงของหนิงไปบนฟ้าแทน และพุ่งเข้าใส่
“ย๊ากกกก!!!”
เมื่อเข้าประชิดตัวได้ผมก็กู่ร้องอัดเวทมนตร์นานาธาตุเข้าใส่บริเวณคอของหนิง ผนวกไปกับใช้ตัดมิติทำลายผิวหนังของหนิง
—-ตู้ม!!!
เกร็ดของมหามังกรได้สลายไป–พริบตาเดียวก็กลับมาใหม่ในสภาพคงเดิม
หนึ่งในพลังที่ทำให้มหามังกรแข็งแกร่งคือการฟื้นฟู
ถ้าเกิดโจมตีแรงไม่พอก็เจาะไม่ได้ แต่ถ้าทำให้การโจมตีต่อเนื่องไม่ได้ร่างกายของมหามังกรก็จะกลับมาเหมือนเดิม
การรับมือกับมหามังกรคือการหาเรื่องกับก้อนมานาที่ไร้ซึ่งขีดจำกัดนั่นแหละ เหมือนการต่อสู้กับหุ่นจำลองที่รีเซ็ตตัวเองได้ทุกเวลา
หนึ่งในความต่างของมหามังกรของจริงกับของเทียมคือความไร้ขีดจำกัดที่ว่าของมหามังกรของจริงมันเป็นของแท้ พวกของเทียมก็แค่ทำให้ตัวเองไร้ขีดจำกัดชั่วขณะหนึ่ง มีวิธีจะทำให้พ้นเวลาทำการนั้นเยอะระดับหนึ่ง กลับกัน พวกเราไม่สามารถทำให้มหามังกรของแท้ไร้พลังได้ไม่ว่าทางใดก็ตาม
ต่อให้ด้านพลังการต่อสู้จะเหนือกว่าก็ไม่สามารถชนะได้
เพราะฉะนั้นแล้วการรับมือกับมหามังกรจึงยาก และควรถามผู้ชำนาญอย่างยูนา
‘วิธีที่จะทำให้มหามังกรหมดสภาพได้คือการทำให้ตายคะ ไม่สามารถชนะได้ก็จริงแต่ก็หยุดได้ชั่วขณะหนึ่ง’
เข้าใจแล้ว ว่าแต่ขอถามซ้ำซากหน่อยเถอะ หล่อนใช้วิธีไหนถึงเก็บมหามังกรตั้งสี่ตัวได้เนี่ย?
สัตว์ประหลาดชัดๆ แม้แต่เอเธอร์ยังทำเหมือนยูนาไม่ได้เลยล่ะมั้ง แน่นอนว่าเก่งพอกันแหละตอนมีชีวิต แต่เทคนิคที่ใช้ชนะมหามังกรมันมีด้วยเรอะ ถึงมีก็ไม่อยากเชื่อว่ามันจะใช้ได้ผล
‘ในสงครามไม่ได้มีแค่ฉันที่สู้คะ มีสหายร่วมรบที่แข็งแกร่งมากมายแล้วยังมีอุปกรณ์วิเศษที่ช่วยอำนวยความสะดวกมากมาย ..ฉันแค่ตัดมิติสร้างมิติด้วยพลังของเซเนีย โจมตีซ้ำๆหาโอกาสอัดท่าโจมตีรัวๆ สุดท้ายผลก็คือทำให้มหามังกรรักษาแผลไม่ทันแล้วก็ใช้อุปกรณ์พิเศษประจำยุคในการผนึกพลังคะ’ ยูนาถอนหายใจ ‘แค่หาจังหวะโจมตีไม่ให้มหามังกรพักหายใจก็พอคะ เป้าหมายไม่ใช่ผนึกพลังของหนิงอยู่แล้วนี่คะ แค่ทำให้อีกฝ่ายหมดสติก็พอ’
เข้าใจแล้ว ตามนั้น
ผมฟังยูนาไปและใช้ตัดมิติพุ่งหลบการโจมตีของหนิง
หนิงในร่างมหามังกรเพลิงอาจใหญ่ไป เดาการโจมตีได้ง่ายไป ช้าไปหน่อยก็จริง แต่ถ้าโดนเข้าจังๆสักที บอกตามตรงว่าเละ
แรงของยัยนี่ตอนนี้มากพอจะซัดภูเขาให้หายลูกหนึ่งชิลๆเลย ต่อให้นักดาบขั้นบรรลุร่างกายก็ไม่ได้ถึกถึงขนาดรับการโจมตีที่มีอณุภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่าเวทมนตร์สายโจมตีของ [เวทมนตร์ขั้นบรรลุ] หรอก แม้แต่เอเธอร์ที่วงจรย์เวทย์ว่ากันว่าดีสุดในโลกนี้ก็น่าจะเจ็บปางตายเหมือนกัน เห็นภาพเอเธอร์นอนมองฟ้าได้เลยล่ะ แต่นอกจากเอเธอร์แล้วไม่ตายก็พิการทั้งนั้น กรณีของผมก็ 50/50 ตายหรือพิการล่ะมั้ง
แต่รวมๆก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก หลบมันไม่ยากอยู่แล้ว แค่อย่าพลาดไปโดนเป็นพอ
ผมรับมือกับหนิงพลางหาโอกาสโจมตีชุดใหญ่—
หนิงเขวี้ยงหางมา ผมกระโดดหลบไปเกาะที่หางและกระโดดลมเพลิงละอุจากบริเวณเกร็ด
ยัยนั่นพ่นไฟใส่ผมที่ลอยกลางอากาศ ผมใช้ตัดมิติเบี่ยงเบนทิศไปข้างบนฟ้าแทน
..เอาล่ะ มัวแต่สู่แบบนี้ต่อก็ไม่รู้จบสักที ต้องคิดหาวิธีดีๆทำให้หนิงสลบให้ได้อย่างที่ยูนาว่า
ผมกระโดดหลบวิ่งไต่ตามตัวหนิงพลางคิดแผนไปด้วย
นเกาะบางอย่างอยู่ตรงหน้าฉัน
เขามองมาที่ฉัน และฉันก็คิดขึ้นมาได้
ไม่ใช่แค่เรเซอร์คนเดียว ..ไอริสคนหนึ่ง .. อีกหลายคน..ฉันยังมีอยู่นี่นา
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่วิทยาลัยเวทมนตร์ พี่ๆที่ลานแข่งกินจุมากมายที่คอยสอนเทคนิคการกินให้ฉัน กรรมการที่คอยเป็นห่วงว่าฉันจะฝืนกินจนร่างกายรับไม่ไหวหรือเปล่า คุณป้าร้านขายอาหารที่คอยสอนการทำอาหารให้ฉัน ให้ข้าวกับฉันเยอะเป็นพิเศษตอนนั่งกิน ..ทั้งหมดนั่นคือคนสำคัญ ฉันยังมีอยู่ไม่ใช่เหรอ?
คิดแง่ดีเกินไป รู้ ฉันรู้ดี แต่..จะให้เมินเฉยจริงๆเหรอ? พวกเขาทุกคนจะให้ฉันเมินเฉยมันได้เหรอ? ในเมื่อความจริงที่ว่ามีอยู่ยังมี แล้วฉันจะทำลายไปเพื่ออะไร? ..สักวันต้องสูญเสียอีก ไม่อยากเลย แต่..มันใช่ข้ออ้างให้ทิ้งทุกอย่างไว้เหรอ?
อา ..ถึงจะอย่างนั้น แต่ฉันคงหยุดตัวเองตอนนี้ไม่ได้
จำเป็นต้องมีใครสักคนช่วยหยุด ช่วยสู้ชนะฉัน
เรเซอร์มองหน้าฉัน เขารู้ว่าฉันอยู่ตรงนี้ ..แบบนี้นี่เอง เรเซอร์คิดจะมาช่วยฉันสินะ
เอาสิ ชนะฉันให้ได้แล้วช่วยฉันทีสิถ้าเก่งจริง ถ้าเกิดทำได้ ..จะพูดขอบคุณสักคำให้ล่ะกันนะ
สำหรับเรเซอร์ที่ฉันกัดด้วยมาตลอด การพูดคำขอบคุณมันยากซะจนตายไปยังดีกว่าเลย ..หึ หึ นึกถึงหน้าหมอนั่นที่ขำฉันที่ฝืนพูดขอบคุณแล้วก็หงุดหงิดปนขำขึ้นมาเลย
ไม่อยากยอมรับ แต่ในมุมของฉันเรเซอร์คือเพื่อนล่ะ เป็นเพื่อนที่คุยด้วยแล้วสนุกทุกครั้ง เป็นคนประเภทที่ไม่อยากพูดขอบคุณหรืออะไรจากใจจริงให้ฟังเลยก็จริง แต่แค่ครั้งนี้…เอาเป็นว่า
จะพูดอย่างซื่อตรง แค่ครั้งนี้จริงๆนะนะ ..ได้โปรด
ได้โปรดช่วยฉันด้วย