เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 81: งานเทศกาลโลหิตมังกรที่แท้จริง (2)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 81: งานเทศกาลโลหิตมังกรที่แท้จริง (2)
< < 68 > >
บนหลังคาบ้านที่สูงที่สุดของอาณาจักรฟัฟนิร์นั้นสามารถเห็นทิวทัศน์ที่ดีได้กว่าใครๆ ขณะนี้ก็มีคนที่ใช้บริการชมทิวทัศน์อยู่
ชายหนุ่มรูปงามเฝ้ามองทิวทัศน์ของอาณาจักรฟัฟนิร์ที่ถูกเปลวเพลิงของมหามังกรแผดเผา เขามองอย่างรื่นรมย์ต่างกับคนปกติที่จะรีบหนีตายกัน ความบันเทิงของเขาอย่างหนึ่งคือดูผู้คนถูกเผาไหม้ด้วย ไม่ก็ คนที่เผยสันดานจริงๆออกมาปล่อยให้ลูกตัวเองหรือคนรักถูกเผาทั้งเป็นหน้าตาเฉย
ไม่น่าเชื่อที่จะมีสิ่งมีชีวิตที่มีรสนิยมชมชอบความบันเทิงอันน่ารังเกียจเช่นนี้ด้วย เว้นเสียแต่ ‘เรน’ ชื่อของชายทีน่ารังเกียจ
เลือนผมสีดำยาวเท่ากับดวงตา ตาสีดำไร้นัยน์ตา เจาะหูข้างขวา สวมชุดบาทหลวงสีดำตัดทอง ..รูปโฉมของเรนคือชายรูปหล่อที่แต่งตัวเลียนแบบบาทหลวง แน่นอนข้างในจิตใจของเขามันพังจนไม่มีคุณสมบัติจะเป็นบาทหลวง
บอกว่าเขาแค่คอสเพลย์ก็คงได้
“..มหามังกรเพลิง..ไม่ได้พบเสียตั้งนาน หึๆ ยังคงน่ารังเกียจเหมือนเคย ต่อให้ข้างในนั้นจะไม่ใช่ ‘ฟัฟนิร์’ ก็ตามที แต่กลิ่นอายยังเหมือนเดินในทุกรุ่น”
เรนหรี่ตาลงคล้ายกับลำลึกถึงเรื่องราวในอดีต พลางพูดขึ้น
“อา ..โลกสีดำในอดีตมีเพียงแค่00ดอกไม้ที่ส่องแสง ไร้ซึ่งแสงสว่าง-เพราะถูกช่วงชิงไป โลกถูกปกคลุมไปได้พายุความมืดด้วยการอาละวาดของเหล่ามหามังกร ทำให้มนุษย์ต้องลุกขึ้นสู้เพื่อชิงแสงสว่างของตัวเองกลับคืนมา”
เรนลุกขึ้นยืนอ้าแขนรับอากาศไอร้อนจากเพลิงของมหามังกร
“ผู้คนไล่ตามไคว่คว้าแสงสว่าง—-ไล่ตามหาอิสระ อิสระภาพที่แท้จริงคือสิ่งที่ทุกคนแสวงหา”
เรนยิ้มมุมปากหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมากาง เป็นหนังสือนิทานที่เขียนไว้ว่า ‘ตำนานวีรบุรุษแห่งยุคมังกรธาตุ’
“โลกให้กำเนิดวีรบุรุษและวีรสตรี เหล่าผู้แข็งแกร่งเข้าต่อสู้กับมหามังกร และ! ชนะในที่สุด ..แสงสว่างกลับมาแล้ว ใช่ โลกใบนี้มีแสงสว่างที่ดีคอยหล่อเลี้ยงผู้คนจนถึงทุกวันนี้ ทว่า–แสงสว่างที่ได้มามันเป็นเพียงชั่ววูบเท่านั้น”
ชายหนุ่มก้มหน้าลงพื้นในมือกำหนังสือนิทานไว้แน่น ..
“..สักวันก็ต้องตายอยู่ดี เหมือนกับทุกคน เหมือนกับท่านพ่อ เหมือนกับศิษย์พี่ เหมือนกับเหล่าวีรชนผู้แข็งแกร่ง เหมือนกับสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลก ไม่ช้าก็เร็วความตายก็จะมาหา ต่อให้ได้แสงสว่างมา ความตายก็ยังไม่จางหายไป ..มองในทางกลับกัน ต้องตายไปตั้งมากต่างหาก กว่าจะได้แสงสว่างนี่มา ในอดีตผู้คนยอมตายเพื่อแสงสว่างไร้สาระ ละทิ้งชีวิตอันมีค่าและตายกันนับไม่ถ้วน บางทีศพผู้คนอาจสามารถกองเลียนกันจนข้ามโลกได้เลย”
เรนชูหนังสือนิทานขึ้นฟ้าและ-ลงมือเผามันทิ้ง
“แรกเริ่มเดิมทีการแสวงหาแสงสว่างคืออะไรล่ะ? อิสรภาพเหรอ? ไม่ใช่ ทุกคนต้องการแค่ชีวิต ทว่าต่อให้ได้แสงสว่างมาชีวิตก็สามารถเหี่ยวเสาได้อยู่ดี ..พูดง่ายๆเลยล่ะกัน ..มนุษย์แสวงหาในความนิรันด์ไงล่ะ”
ในหัวของเรนมีแต่เรื่องราวในอดีต
สนามรบที่มีผู้คนล้มตาย ทุกคนคิดเหมือนกันหมดว่า ‘ขอแค่สักวันก็ยังดี อยากจะ …อะไรสักอย่าง’ ถ้านั้นแล้วสิ่งที่พวกนายปารถนาก็ไม่ใช่แสงสว่างที่ยอมแลกด้วยชีวิต แต่เป็นชีวิตของพวกแกไม่ใช่รึไง
เรนคือคนที่สงสัยในอิสรภาพที่ได้มา ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับมัน แต่-เรนต้องการมากกว่านี้
เรนไม่ปารถนาในความตาย เรื่องมันก็แค่นั้น พวกที่ตายเพื่อแลกกับอิสรภาพก็ดี พวกที่ตายเพื่ออุดมการณ์ก็ดี ไม่ว่าจะอย่างไรในสายตาของเรนก็แค่พวกใช้ชีวิตไม่คุ้มค่า เพราะความคุ้มค่าของชีวิตน่ะคือการได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆโดยไร้ซึ่งที่สิ้นสุด
“ถ้าเพื่อให้ผมได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกอันนิรันดร์แล้ว ไม่ว่าอะไรก็จะทำ ..ต่อให้ต้องเรียกเหล่ามหามังกรกลับมากลืนกินโลกนี้ก็ตาม..ที่นี้ก็เข้าใจถึงความปารถนาอันยลึกซึ้งของกระผมแล้วสินะ”
เรนเอ่ยถามมนุษย์ที่มีสภาพร่างคล้ายกับเศษเนื้อ มนุษย์ข้างล่างของเรนนอนเหมือนกับสัตว์น้ำเกยตื้น แขนขาดไปหนึ่งข้าง ขาเองก็เช่นกัน เนื้อตัวมีแผลไหม้ทั่วไปหมดจนแทบไม่เหลือหนังแล้ว หากมองดีๆก็จะพบว่าอวัยเพศได้หายไปเช่นเดียวกับแขนและขา
แน่นอนว่าสภาพเช่นนี้เสื้อผ้าก็ขาดกระจุยจนหมด
สภาพของมนุษย์ใต้เท้าเรนนั้นเหมือนกับเศษเนื้อมากกว่ามนุษย์ แต่เหมือนจะยังมีสติอยู่จึงเรียกว่ามนุษย์ได้อยู่
“ว่าไวล่ะครับ ‘การ์ป’ เพลิงของมหามังกรร้อนแรงดีใช่มั้ย?”
มนุษย์ที่เหมือนกับเศษเนื้อคือ ‘การ์ป’ นั่นเอง
สภาพตัวการ์ปตอนนี้มันน่าตลกสุดๆ เรนคิดอย่างนั้น
“..ยก..โทษ..ให้..ด้วย”
“มนุษย์ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรือรับคำขอโทษจากใครหรอกนะ”
“ขอ..โทษ..ครับ..ช่วย.ด้วย”
เรนหัวเราะออกมา
“สภาพของนายนี่ต่างกับตอนที่เจอกันครั้งแรกเยอะเลยนะ ตอนนั้นดูเป็นพวกอวดเบ่งสุดๆ มาตอนนี้ก็..กลายเป็นเศษเนื้อขี้เกรงใจซะแล้ว ผมไม่รังเกียจนายที่เจียมเนื้อเจียมตัวดีหรอกนะ”
“..ขอโทษ..ครับ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะผมเองก็จะไม่ขอโทษนายเหมือนกันที่ทำให้เป็นอย่างนั้น”
“..ฮะ?”
“ตอนที่ฆ่ายูจิไปพึ่งพูดไปเองไม่ใช่เหรอ ..ว่าคนที่ผิดจริงๆน่ะคือฉัน ก็นั่นแหละ อย่างที่นายว่ามาเลย ผมผิดเอง แต่ไม่ขอโทษหรอกนะ”
เรนขยิบตาให้อย่างกวนประสาท น้ำตาไหลสีเลือดไหลออกจากตาของการ์ป
“..ยังไง..กัน”
“แรกเริ่มตัวตนของนายมันถูดสังเวยทดแทนกับตัวตนของใครสักคนที่เปลี่ยนไป เรื่องนี้มีแค่ข้อผิดพลาดของโลกเท่านั้นที่รู้ ..ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น และเต็มใจใช้งานนายที่สภาพจิตใจกลายเป็นของใครไม่รู้แทนอย่างหนำใจ
“เข้าใจยากหน่อยๆเนอะ? ผมเองก็ไม่รู้อะไรมากหรอก เพราะ ‘เศษเสี้ยวความทรงจำ’ มันยังได้มาไม่ครบ แต่พอเดาได้ล่ะนะว่าศัตรูของยูจิจริงๆน่ะไม่ใช่นาย มันต้องมีใครสักคนที่เปลี่ยนแปลงความจริงนั้น..แสดงความโลกนี้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นแล้วในรอบหลายพันปี”
การ์ปไม่เข้าใจว่าเรนพูดบ้าอะไรอยู่ แต่เขารู้สึกโกรธเรนที่หลอกใช้ตน ถึงกระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้อย่างน่าสังเวส
“เอาล่ะๆ ในเมื่อสถานการณ์เป็นใจ มีมหามังกรของจริงอาละวาดขนาดนี้แล้ว ผมก็ขอตัวไปเก็บร่างไร้วิญญาณของยูจิรอ ‘เมอัน’ ที่ถ่วงเวลาคาลอสไว้ดีกว่า ..แล้วก็อีกเรื่องนะ ถือซะว่าเป็นของขวัญก่อนตาย”
เรนดึงหน้าการ์ปที่ไร้หนังและเส้นผมขึ้นมามอง
“ยูจิน่ะไม่ตายหรอกนะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เจ้าศูนย์กลางโลกนั่นก็ไม่ตายหรอก สบายใจได้ นายน่ะได้ตายฟรีแล้วล่ะ”
พูดจบเรนก็ปล่อยหัวของการ์ปลงพื้นหลังคาโดยไม่สนใจแรงกระแทกที่ร่างไร้หนังต้องรับ ..เลือดไหลออกจากร่างของการ์ปอย่างน่าสยดสยอง
เรนบิดขี้เกียจเล็กน้อย กำลังจะรีบวิ่งไปเก็บซากยูจิ แต่ว่า—-
“รุนแรงกับลูกแกะเกินไปแล้วนะจ๊ะ คุณชายเรน”
สาวสวยผู้คลุมฮูดแต่งตัวเหมือนนักดูดวงโผล่มาข้างหลังโดยไร้ซึ่งเสียง เรนเล่ห์ตามองสาวสวยอย่างไม่สบอารมณ์
“มีธุระอะไรเหรอครับ ท่านเทพ”
“เดี๊ยนชื่อว่า ‘คาร่า’ นะ เรียกให้ถูกด้วย”
‘คาร่า’ หมอดูที่ดูดวงให้เรเซอร์และโซเฟียจนสร้างปัญหาให้ทั้งสอง และเป็นตัวต้นเหตุนำพาไปสู่เหตุการณ์รถไฟชนกัน
ไม่ทราบหน้า ส่วนสูงมาตรฐานผู้หญิง แต่งตัวประหลาดเพราะแต่งตัวเป็นหมอดูปกปิดหน้าตา แต่งตัวไปโทนสีม่วงเข้ม ดูจากลักษณะการพูดแล้วควรเป็นคนมีอายุ แต่ถ้าวัดจากปากที่โผล่มาก็ไม่น่าจะแก่อะไรมาก
“แล้วมีอะไรครับ?”
“โลกคราวนี้เปลี่ยนไปเยอะจนน่าใจหายเลยนะ”
“จะพูดอะไรกันแน่ครับ?”
“..เด็กคนนี้ เดี๊ยนขอไปได้รึเปล่า?”
หมายถึงการ์ปที่เป็นแค่เศษเนื้อ
“ไม่ได้ ..การ์ปน่ะได้รับหมอบหมายให้เข้าที่แทนข้อผิดพลาด”
แรกเริ่มตำแหน่งของการ์ปเป็นของข้อผิดพลาดที่ว่า ผู้ที่ต้องรับบทเป็นผู้แพ้ยูจิไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ทว่าครั้งนี้มันต่างออกไป
ศัตรูคนแรกของยูจิถูกเปลี่ยน การ์ปจึงมาแทนที่ข้อผิดพลาดที่ถูกเปลี่ยนและฆ่ายูจิไปเพราะอะไรบางอย่าง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ข้อผิดพลาดของโลก’
ถ้าการ์ปไม่ตายแทนข้อผิดพลาดของโลกแล้วล่ะก็-ตำแหน่งนี้ก็จะว่าง
“..ท่านเทพกำลังทำให้แผนของผมเสียนะ ไหนบอกว่าจะเป็นกลางไม่ใช่รึไง จู่ๆก็เกิดเหม็นขี้หน้าผมแล้วไปเข้าข้างฝ่ายอื่นแล้วรึไง” เรนหัวเราะขึ้นจมูก “ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านคงเป็นศพต่อไปที่ผมต้องเก็บล่ะนะ ..เทพแห่งธรรมชาติ ..ถ้าไม่อยากตายตามทวยเทพทั้งหมดในอดีตก็อยู่เฉยๆซะ ”
เรนพูดสั่ง ‘เทพแห่งธรรมชาติ’ ผู้เป็นเทพตนเดียวที่เหลือรอดในศึกกับพวกจอมมารในอดีต
เทพตนเดียวที่เหลือรอดผมโลกนี้ก็คือ ‘เทพแห่งธรรมชาติ’ หรือ ‘คาร่า’ นามแฝงปลอมๆคนนี้นี่แหละ
“โลกนี้เปลี่ยนไปแล้ว ข้อผิดพลาดของโลกได้จุติขึ้นมาอีกแล้ว หลังจากนี้เองทุกอย่างน่าจะโกลาหลยิ่งกว่านี้ เพื่อชีวิตที่มั่นคงแล้ว-เดี๊ยนอยากได้ลูกมือน่ะ”
“นั่นหมายความว่าจะไม่เป็นกลางแล้วใช่มั้ยครับ?” เรนมองค้อนใส่
“ถ้าใช่คิดจะทำอะไรต่อล่ะ? คุณชายตาขาว(ขี้ขลาด)เรน”
“..จะฆ่าแกเดี่ยวนี้เลย”
สิ่งที่เรนเกลียดที่สุดบนโลกนี้มีหลายอย่าง แต่หนึ่งในอันที่เจ็บปวดที่สุดคือ ..การถูกด่าว่าขี้ขลาด ด่าเรนเพียงแค่นั้นก็มากพอจะทำให้เรนสติหลุดจนคลั่งได้
“เดี๊ยนก็อยากตอบรับคำเชื้อเชิญแล้วสู้เสี่ยงชีวิตด้วยอยู่นะ แต่น่าเสียดาย เพราะเทพคือตัวตนที่ถูกโลกใบนี้คุ้มครอง มีแค่จอมมารเท่านั้นแหละที่ฆ่าเทพได้ มนุษย์สามัญชนอาทิเช่นคุณชายเรนน่ะ ไม่มีทางฆ่าเทพได้หรอก”
คาร่าพูดดักตัวเรนเองก็รู้ดีถึงความไม่เท่าเทียมของสิ่งมีชีวิตและเทพ-อย่างที่ว่าไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เทพก็จะไม่ตาย เว้นเสียแต่จอมมารที่มีพลังในการฆ่าเทพโดยเฉพาะ หรือข้อผิดพลาดของโลกใบนี้
ซึ่งตั้งแต่อดีตมาข้อผิดพลาดของโลกนี้มีเพียงจอมมารตนเดียวเท่านั้น
เช่นนั้นแล้วสถานการณ์ที่คาร่ากำลังจะถูกฆ่าโดยคนที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกทั่วไป ไม่ใช่ข้อผิดพลาดนั้นจะต้องมีอย่างบางอย่างโผล่มาปกป้องเทพแน่นอน นี่คือหนึ่งในอำนาจของเทพ
“ชิ”
เรนเดาะลิ้นไม่พอใจ และหันหลังกลับไปมองข้างหลังของตัวเองที่มีคนยืนอยู่ทันทีที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น เหมือนวางระบบเอาไว้
‘สัตว์ประหลาด’ เอเธอร์โผล่มาในชุดสูธสีขาวดั่งทุกที และสภาพที่ดูสบายๆเหมือนทุกครั้ง
“..”
แขนของเรนสั่นโดยไม่รู้ตัว ..เรนมีเซนต์ตรวจจับความตายที่ดี จากเหตุการณ์เมื่ออดีตที่เป็นแผลใจทำให้เรนตื่นตัวกับเรื่องอันตรายอย่างเหนือมนุษย์ เขารู้ดีว่าการต่อสู้ไหนจะส่งเค้าไปสู่ความตายที่รังเกียจได้
อย่างการเจอกับเอเธอร์ตอนนี้เป็นต้น-เรนสัมผัสได้ถึงความตาย
สิ่งที่เรนเกลียดไม่แพ้การถูกกล่าวหาว่าขี้ขลาด คือความรู้สึกที่ตัวเองจะต้องตาย ..เรนกลัวตายที่สุด เป็นคนที่กลัวตายที่สุดบนโลก ตอนนี้ร่างของเรนเลยสั่นอย่างน่าเวทนา
เอเธอร์ไม่สนใจเรนที่ตั่วสั่นด้วยความกลัว เขามองร่างที่ไม่ต่างกับเศษเนื้อของการ์ปสลับกับคาร่า
ค่าร่าเมินเอเธอร์ เธอลงไปนั่งยองและเอียงคอเล็กน้อยข้างก้อนเนื้ออย่างการ์ป
“ต้องการลูกมือ ไม่ทราบว่าสนใจรึเปล่า?”
“..ช่วย..รับผมไป..ด้วย”
คาร่ายิ้มอย่างพึงพอใจ เมื่อเสร็จสิ้นการเจรจา เธอก็ลงมือห่อร่างของการ์ปด้วยแสงสีขาว และวับหายไปทั้งอย่างนั้น
“..แกนะแก..บังอาจมาก..บังอาจมาทำให้แผนของผมมันผิดเพี้ยน แม่งเอ้ย! ไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่าโลกนี้มันมีข้อผิดพลาดเพิ่มเข้ามา!” เรนขยี้ผมตัวเองอย่างรุนแรง “บัดซบเอ้ย! ทั้งเทพก็ดี ทั้งข้อผิดพลาดของโลกก็ดี!! แกเองก็ด้วยเอเธอร์ แกมันโคตรจะน่ารำคาญเลย!”
เรนชี้นิ้วด่าเอเธอร์
“อย่ามาขวางทางผมนะ!!”
เอเธอร์ยิ้มให้อย่างไร้อารมณ์
“ผมคือนักเวทย์หน่วยพิเศษของอาณาจักรฟัฟนิร์ มีหน้าที่ต้องปกป้องเมืองตามคำสั่งของราชา” เอเธอร์แตะสัญลักษณ์ราชสำนักตรงเน็ตไทคเสื้อสูทโชว์ “ผมแค่ทำตามหน้าที่ตัวเองครับ อาทิเช่นการฆ่าคุณ”
..เรนกัดฟันกรามดัง ก๊อกแก๊ก
“อะ เอาเซ้! มาตัดสินให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีกว่า ตัวอันตรายอย่างแกน่ะทำแผนผมมันเสียมาหลายครั้งแล้ว เข้ามาหาเรื่องกันแบบนี้นี่เข้าทางเลย เอาสิ เอาเลย!”
เรนพูดขณะที่ขาสั่นไปด้วย สภาพของเรนดูไม่จืดเลยสักนิด แต่เอเธอร์ไม่ได้ใส่ใจนัก ไม่คิดจะจี้จุดด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องพูด ที่ทำต่อไปนี้มีแค่-ขยี้เรนให้ตายคามือเท่านั้น
****
“..มหามังกรเพลิง”
ผมพึมพำขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง เพราะมหามังกรที่ว่าคือหนิงที่เสียสติไปแล้ว
เรื่องแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้น และผมก็คิดว่าจะยับยั้งเหตุการณ์คลั่งของหนิงไว้ให้ได้ด้วย ทว่าทำพลาดแล้ว ผมดำเนินการณ์ได้ช้าเกินไปจนทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับยูจิ อันเป็นฉงวนทำให้หนิงคลุ้มคลั่ง
..แม่งเอ้ย
“มหามังกรร่างจริงรึ ไม่ได้เห็นเสียตั้งนาน”
ลูซิเฟอร์พึมพำขึ้นข้างหลังผมขณะที่นอนกองกับพื้นอยู่ ผมหรี่ตามองอย่างจริงจัง
ฟื้นตัวได้เร็วสมกับเป็นปีศาจชั้นสูงสุดเลย
ลูซิเฟอร์ลุกขึ้นยืนตั้งท่าพร้อมสู้กับผมเต็มที่ ผมเห็นดังนั้นแล้วก็เตรียมตัวจะอัดให้ลูซิเฟอร์ล่วงยาวอีกรอบทันใด
ทว่าจังหวะนั้นเอง
“เอาสิ” ลูซิเฟอร์หันไปมองข้างตัวเอง “–บัดซบ”
หางของมหามังกรเพลิงโผล่มาทำลายตึกบริเวณรอบๆ มันเขวี้ยงหางตัวเองมาทางนี้-ผมรีบใช้ตัดมิติกันตัวผมและนักเรียนวิทยาลัยเวทมนตร์ทุกคนไว้ ยกเว้นลูซิเฟอร์คนเดียว
ลูซิเฟอร์ยืนอยู่เดียวๆโดยที่เคลื่อนไหวไม่ได้-ด้วยเหตุผลบางอย่างการโจมตีของมหามังกรเพลิงมันสามารถยั้งไม่ให้คนขยับตัวได้
เกี่ยวกับเพลิงที่มีคุณสมบัติ ‘เผาผลาญมานา’ ล่ะมั้ง นั่นทำให้ลูซิเฟอร์ที่ไม่มีพลังสำหรับป้องกันการโจมตีเช่นเดียวกับผมตกที่นั่งลำบาก
“ให้ตายเถอะ—–อึก!!!”
ลูซิเฟอร์ไม่สามารถหลบได้ทัน หรือป้องกันการโจมตีเชิงกายภาพได้เลยถูกหางของมหามังกรเพลิงซัดเข้ากลางลำตัวและลอยขึ้นฟ้าไป
ถ้าเป็นศัพท์กีฬานี่ก็เหมือนกับ ‘โฮมรัน’
ถ้าวัดแค่แรงเพรียวๆอาจส่งลูซิเฟอร์ข้ามเมืองได้เลยล่ะมั้ง ดีแล้วล่ะ ถ้าต้องสู้กับลูซิเฟอร์อีกรอบไอ้บ้านั่นคงเดาได้ว่าผมรีบไปหยุดหนิงในร่างมหามังกรเพลิง ไอ้คนรู้เยอะอย่างมันน่าจะเดารูปแบบพลังของผมแล้วเลือกวิธีต่อสู้สำหรับถ่วงเวลาโดยเฉพาะ
ไม่อยากคิดว่าถ้ามันมีพลังครบร้อยทั้งร้อย การต่อสู้คงลำบากขึ้นเป็นกอง ในเนื้อเรื่องก็มีบอกว่าช่วงพีคสุดของชีวิตลูซิเฟอร์นั้นลูซิเฟอร์เก่งสุดในเรื่องเลยล่ะ แน่นอนนั่นสมัยที่ใช้พลังของทูตสวรรค์ได้ ไอ้หมอนั่นมันเป็นเทวดาตกสวรรค์ พลังโกงๆเลยหายไปหมดเลย
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เรเซอร์”
เบลลามีเดินมาทักผม เธอไม่มีสีหน้า กล่าวให้ถูกแสดงออกทางสีหน้าไม่ได้ แต่ในใจคงกังวลอยู่แย่ๆ-ผมนำมือไปสัมผัสบนหัวเธอ
“ไม่ต้องห่วง ..ฉันจะช่วยยูจิเอง รวมถึงหนิงด้วย ..ทุกคนเลย” ผมยิ้มให้ “ฉันจะช่วยทุกคนเอง เธอไม่จำเป็นต้องคิดมากอะไรหรอก”
ตัดสินใจแล้ว
ต่อจากนี้ไปจนถึงจุดจบของเรื่องราว จนถึงตอนจบของชีวิตผม
ผมจะปกป้องพวกเขาเหล่านี้ จะไม่ยอมให้..เด็กพวกนี้เผชิญหน้ากับชะตากรรมของโลกอีกแล้ว
จอมมารเอย เหล่ามหาบาปเอย ตัวร้ายข้างทางเอย มหามังกรเทียมก็ดี ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้เก่งแค่ไหน ต่อให้เก่งกว่าผม ต่อให้เป็นไอ้สัตว์ประหลาดที่วินิจฉัยดูแล้วผมไม่มีทางชนะก็ตาม ต่อให้ยังไงผมก็จะโค่นมันทุกคนให้ดู
ขอสาบานเลย ..ผมจะชนะทุกคนเพื่อปกป้องทุกคน พวกเธอ(เหล่าตัวละครในนิยายต้นฉบับ)ไม่จำเป็นต้องพยายามอะไรอีกแล้ว เพราะฉันมาเพื่อการนี้
ล้มเลิกแผนการณ์ยกระดับพวกยูจิ ยกเลิกแผนการณ์ช่วยสู้กับจอมมารหรือตัวร้ายอื่นๆ ยกเลิกมันให้หมด ที่เหลือเอามาไว้ให้ผมคนเดียวพอ ผมจะสู้กับมันทั้งหมดนี่แหละ
ถ้าตอนนี้สู้ไม่ไหวหรอก แต่จะแกร่งมากกว่านี้ให้ดู จะพยายามทุกวิทีทางให้ตัวเองแข็งแกร่งกว่าใครๆให้ดู
ต่อให้นั่นเป็นทางเลือกที่ทิ้งความเป็นมนุษย์ก็ตาม แต่แล้วจะทำไมล่ะ? ศัตรูที่ผมจะเจอตอนนี้และในอนาคตมันเกินมนุษย์ไปแล้ว มหามังกรเทียม มหามังกร ปีศาจมหาบาป จอมมาร ผู้แข็งแกร่งต่างเผ่าพันธ์ุ สัตว์ประหลาด …ทั้งหมดนั่นลำพังพลังของผมชนะไม่ไหวหรอก แน่นอนไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดเป็นคู่มือให้อีกฝ่ายไม่ได้เลย คงสู้ยื้ออย่างสูสีได้เป็นสิบๆนาที ทว่ามันก็ไม่มากพอจะชนะได้
กลับกันเป้าหมายของผมคือปกป้องพวกเบลลามีโดยการสู้กับไอ้พวกข้างต้น เพราะอย่างนั้นเลยต้องเก่งขึ้นกว่านี้
ผมต้องแข็งแกร่งกว่านี้—–สัมผัสอ่อนๆราวกับขนนกได้โอบหมัดที่กำไว้แน่นของผม …เบลลามี เธอสัมผัสมือของผมด้วยสีหน้าที่คล้ายจะร้องไห้
ทำไมกันนะ?
“..ให้เราช่วยด้วยเถอะ”
เธอว่ามาอย่างนั้น
..ให้ช่วย? หมายถึงให้ร่วมต่อสู้ด้วยสินะ
ไม่ได้ ขอปฎิเสธล่ะ เรื่องในคราวนี้ทำให้ผมรู้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง และอาจดูไม่ดีก็รู้ถึงความอ่อนแอของพวกเบลลามีด้วย
เคียวยะกับเรย์ สองคนนั้นรุมลูซิเฟอร์ที่มีพลังเหลือแค่หนึ่งในสิบยังไม่ไหวเลย จะให้ช่วยสู้น่ะมันเรื่องไร้สาระ
แน่นอนอีกสี่ห้าปีพวกนี้คงเก่งพอจะสู้ด้วยได้ เผลอๆบางคนเก่งกว่าผมอีก แต่—กว่าจะถึงตอนนั้น ทุกอย่างก็จบลงแล้ว
เรื่องในคราวนี้มันยิ่งบอกให้ผมรู้ว่าทุกอย่างมันต่างกับในนิยาย หลายๆอย่างมันเร็วเกินไป แม้แต่ผมก็ตามไม่ทัน เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้จำเป็นต้องมีพลังที่รับมือกับทุกสถานการณ์ได้-และพลังของคนที่แกร่งไม่พอผมไม่ต้องการ เจ้าพวกนั้นมันอ่อนแอเกินจะสู้กับศัตรูในตอนนี้หรือในอนาคต
เจ้าพวกนั้นอยู่ให้ผมปกป้องเฉยๆก็พอแล้ว
“เข้าใจแล้ว”
ผมยิ้มโกหกหน้าตาย
แหงล่ะ จะตอบปฎิเสธตรงๆได้ที่ไหน ขืนทำเก็กตอบไปตามความจริงเบลลามีก็ไม่ยอมรับอยู่ดี ถ้านั้นแล้วตอบตกลงไปล่ะทำมึน ทำตามตามที่คิดไว้ดั่งเดิมก็จบ
คุยกับเบลลามีจบผมก็ผละตัวออกจากเธอ เบลลามี ..เธอยังมีสีหน้าที่เหมือนเดิม
“พูดจริงนะ”
“อืม ฉันเหมือนคนโกหกเก่งที่ไหน”
พูดจบผมก็เดินไป ไม่มีใครมารั้งไว้ต่อ มีแต่คนยืนอยู่ข้างหลังผม ไม่มีใครมายืนสู้พร้อมกันกับผม ให้เดาถ้าเคียวยะหรือเรย์รึกอรี่ยังมีสภาพดี พวกนั้นน่าจะตามผมมาด้วยแน่ แน่นอนว่าผมจะหาเรื่องให้พวกนั้นไม่ได้ไปต่อ
แต่ผลลัพธ์เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว มีผมอยู่คนเดียวนี่แหละยิ่งดีเลย
..ดีแล้วล่ะ
ที่เหลือฉันจัดการเอง
ผมวิ่งขึ้นบนหลังคาและตรวจหายูจิ ..ไม่นานผมก็หาเจอเลยรีบกระโดดลงไปดู
ผมพบกับยูจิที่นอนไร้สติ จึงรีบใช้มือตรวจชีพจร ทำให้ผมว่ายูจิอยู่ในสภาพไร้ชีวิต
‘…ปลอดภัยสินะคะ’
“นั่นสินะ โล่งอกไปที’
ปลอดภัย? ยูจิในสภาพไร้ลมหายใจเนี่ยนะ แหงสิ ยูจิโดนแค่นี้ไม่ตายหรอก ตามที่ผมกับยูนารู้กัน ยูจิเป็นตัวละครที่ไม่มีวันตายประจำเรื่อง
อีกไม่นานไอ้เทพแห่งวัฐจักรและการควบคุม บลาๆแล้วแต่จะเรียกก็คงโผล่มา แล้วชุบชีวิตยูจิให้ ง่ายๆแบบนั้นเลย ยูจิไม่มีวันตายหรอก ว่าตามตรงการเห็นแค่ศพยูจินับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีด้วยซ้ำ ถ้าเกิดโดนขโมยศพไปนี่แหละปัญหา ลำบากผมต้องรีบสู้กับหนิงให้ชนะแล้ววิ่งวุ่นไปช่วยยูจิต่อ ไม่ก็ช่วยยูจิก่อนโดยปล่อยให้เมืองโดยถล่ม แต่หายห่วง ในเมืองนี้มีพวกเก่งๆอยู่อีกเพียบ พวกเก่งที่ผมยากจะชนะได้
โล่งอก โชคดีชะมัด อืม โชคดีจริงๆแหละ แบบนี้เรื่องทั้งหมดก็สบายขึ้นเยอะ ดีๆ ดี ..ก็บ้าแล้ว
ความจริงที่ว่ายูจิถูกกระทำถึงขนาดนี้มันจริง ยูจิถูกฆ่าจนตายคือความจริง ..ยูจิตายเพราะผมมาช้าเกินไป เพราะผมไม่สามารถปกป้องได้ตามที่สัญญากับตัวเองเอาไว้
เพราะผมมันกากไงล่ะ
อีกสักพักยูจิคงฟื้น ผมเลยใช้เวทย์หินปกคลุมร่างยูจิไว้ก่อนเพื่อไม่ให้โดนขโมยศพ
ผมถอนหายใจและมองไปทางหนิงอย่างเดือดดาล ผมไม่ได้โกรธหนิงแต่โกรธตัวเอง
สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ ผมจำเป็นต้องงัดทุกอย่างที่มีมาใช้
ยูนามาใช้ ‘ไอนั่น’ กัน
‘เอาจริงหรือคะ?’
อ่า ตอนนี้ถึงเวลาต้องใช้แล้ว
สิ่งที่ผมกับยูนากำลังจะทำต่อจากนี้คือการต่อยอดของพวกเรา พวกเราคิดหาวิธีที่จะรีดพลังของผมให้มากขึ้นตลอดการเดินทางทำให้ค้นพบวิธีนี้ เป็นหนึ่งในไพ่ตายลับที่ใช้เวลาเจอกับสิ่งที่อันตราย หรือพวกที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะชนะได้
‘รับทราบค่ะ แต่ก่อนจะใช้ขอย้อนผลข้างเคียงให้ก่อน ..ถ้าเปิดใช้งานวงจรเวทย์ของมาสเตอร์จะมีความเสียหายซึ่งจำเป็นต้องพักรักษาถึงสามวันเต็ม และสามารถใช้ซ้ำได้แต่ถ้าบ่อยไปจะเกิดผลข้างเคียงรุนแรงอาจต้องพักไปเป็นเดือน หรืออย่างเลวร้าย วงจรเวทย์ของมาสเตอร์จะสำรุด ทำให้การใช้มานาติดๆขัดๆและปวดร่างตลอดเวลา บ้างเลือดก็ออก บ้างก็สลบไป บ้างก็เวียนหัว สภาพไม่ต่างกับคนขี้โรคค่ะ’
จากที่ฟังผลข้างเคียงดูอันตรายมากๆไม่เหมาะจะใช้อย่างยิ่ง เอาเถอะ เพราะอย่างนั้นมันเลยเป็นไม้ตายลับของพวกเรา
‘อนึ่งการใช้แบบสามวันครั้งหรือสิบวันครั้งก็อาจลดอาการบาดเจ็บระยะสั้นได้ แต่มันจะสะสมความเสียหายไปเรื่อยๆจนไม่ช้า วงจรเวทย์ของมาสเตอร์จะสำรุดจนมีปัญหาเหมือนกับการใช้ติดต่อกัน ไม่ว่าทางไหนถ้าใช้เยอะเกินไปก็มีแต่วงจรเวทย์จะสำรุด และถ้าสำรุดแล้วยังฝืนใช้อยู่ต่อ-วงจรเวทย์มาสเตอร์จะพัง และอยู่ในสถานะที่ต้องใช้เคลื่อนช่วยหายใจและใช้เวทมนตร์ไม่ได้ตลอดชีวิต’
ตามนั้นเลย วงจรเวทย์บนโลกนี้มีส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตมาก มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายใจด้วย ถ้ามันพังขึ้นมา สภาพผมไม่ต่างกับคนป่วยใกล้ตายที่ต้องนอนใช้เครื่องหายใจในโรงพยาบาลประคองชีวิต ..แต่ก็นั่นแหละ เป็นข้อแลกเปลี่ยน เทียบกับพลังที่ได้มาแล้วมันคุ้มค่า
“อย่างน้อยในสามปีมันก็พอใช้ไหวอยู่”
‘ตามนั้นค่ะ แค่สามปีไม่มีปัญหา’
เรื่องสี่ปี ห้าปี หริบสิบปีต่อจากนี้ ไม่จำเป็นต้องคิด ..สำหรับตอนนี้ผมต้องแข็งแกร่งขึ้น คิดแค่นี้เป็นพอ
“เรื่องก็ง่ายๆเลย เอาสิ!”
ดาบสีม่วงอันเป็นสัญลักษณ์พลังของยูนาโผล่มาข้างหลังผม นี่คือ ‘การตัดมิติ’ สิ่งนั้นแทนที่จะผ่ารอบๆตัวผมมันกลับหันคมดาบเข้าใส่ผมและ–สับลงมา
เพล๊ยง
รอยกระจกแตกเกิดขึ้นทั่วร่างผม–ร่างของผมเลือนแสงอ่อนๆเหมือนกับภูต การตัดมิติ(ดาบ)เองก็สลายไปทันทีที่ร่างของผมผุดแสง
“[สะบั้นมิติ]-[ทลายขีดจำกัด]”
เพราะเป็นการยกระดับตัวเองผมเลยเรียกมันว่า [ทลายขีดจำกัด]
นอกจากร่างที่เลือนแสงแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากในเชิงภายนอกอ่ะนะ ถ้าเป็นเรื่องพลังตอนนี้
ผมมีความเร็วเหนือกว่าพวก [นักดาบขั้นบรรลุ]
ใช้เวทมนตร์ได้เร็วพอจะตอบโต้การโจมตีของ [นักดาบขั้นบรรลุ]
สามารถใช้ตัดมิติได้พร้อมกันหลายๆครั้ง ซึ่งนั่นก็ช่วยทำให้รับการโจมตีที่เร็วยิ่งกว่าพวก [นักดาบขั้นบรรลุ]
ประสาทสัมผัสเองก็เร็วขึ้นมากระดับที่รีแอ็คความเร็วดาบของ [นักดาบขั้นบรรลุ] ได้สบายๆ
สภาพร่างกายโดยรวมต่อให้ไม่มียูนา ผมก็สามารถชนกับ [นักดาบขั้นบรรลุ] ได้แบบง่ายดาย
กล่าวโดยรวมคือ ผมตอนนี้มีพลังกายภาพที่เหนือกว่านักดาบขั้นบรรลุทั่วๆไป ด้านเวทมนตร์เองก็เร็วยิ่งกว่าพวกนักดาบขั้นบรรลุเวลาลงดาบ ตัดมิติจากที่ใช้ได้แค่เป้าหมายเดียว ตอนนี้ผมสามารถใช้ทีเดียวได้สูงสุดสามครั้ง ซึ่งก็มากพอจะชนะพวกปีศาจมหาบาปหรือมหามังกรได้ ประสาทสัมผัสผมตอนนี้ยิ่งกว่าพวกกายภาพแท้ๆมากมายก่ายกอง
นักดาบขั้นบรรลุพวกระดับท็อปที่เหมือนอยู่คนล่ะโลกเองก็มี อาทิเช่น [ไรเดน อาคาสะ] ที่แกร่งเกือบจะพอกันกับเอเธอร์ หรือ [คาลอส] ราชาอัศวินที่คอยเฝ้าราชาแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์อยู่ เจ้าพวกนั้นอยู่ในกลุ่มส่วนน้อย ที่ผมในตอนนี้รับมือได้แบบตึงมืออยู่ แน่นอนหลายคนในหมวดนี้ผมคิดว่าโอกาสตัวเองชนะยังเยอะกว่าอยู่หน่อยๆ แต่โอกาสแพ้ก็มีอยู่ให้เห็น จึงเป็นกรณียกเว้น
ถ้ามองในมุมส่วนมากแล้ว ไม่มีนักดาบขั้นบรรลุคนไหนชนะผมได้ ที่ชนะผมตอนนี้ได้มีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์หรอก เป็นจำนวนที่นับได้โดยมือสองข้าง แม้แต่เซบาสเตียนต่อให้ทุ่มทุกอย่างมาจริงๆ ผมก็ไม่แพ้
ว่าโดยไม่อวยตัวเอง ถ้าให้ผมเวลานี้ไปชนกับมหามังกรตัวเป็นๆอาทิเช่นหนิงตอนนี้ ผมก็คิดว่าตัวเองมีพลังพอจะชนะได้เลยล่ะ แน่นอนมันไม่ง่ายหรอก แต่ก็โอกาสชนะเยอะกว่าหนิงรึพวกมหามังกรพอตัว 75/25 ได้
แน่นอนแค่นี้ยังไม่มากพอจะชนะพวกระดับเอเธอร์หรือจอมมาร
เรื่องนั้นช่างมัน ตอนนี้โฟกัสที่หนิงก่อน
ผมจะช่วยหนิง และจากนั้นก็จะ–ไปขยี้พวกที่อยู่เบื้องหลังต่อ จะต้องมีคนที่บงการมหามังกรเทียมอยู่เบื้องหลังแน่ๆ ไอ้หมอนั่นนี่แหละเป้าหมายต่อไปของผม พวกมหามังกรเทียมก็ได้
พวกมันทั้งหมดนี่แหละ หวังว่าจะไม่ตายหรือหนีหายไปอย่างขี้ขลาดซ่ะล่ะ ..ไอ้พวกกร๊วก