เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 75: ตัวร้าย กับ Arc-อาร์คเดม่อนที่ผิดเพี้ยน (2)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 75: ตัวร้าย กับ Arc-อาร์คเดม่อนที่ผิดเพี้ยน (2)
< < 63 Sec2 > >
ยูจิและเบลลามีวิ่งออกจากภายในตึกตามคำชี้แนะของลูซี่ แต่ตลอดทางพวกเขาทั้งสองก็หันหน้ากลับไปดูตลอด
“คุณลูซี่จะไหวรึเปล่าครับ”
ยูจิรู้สึกอาการไม่ดีเมื่อได้เห็นการต่อสู้สุดดุดเดือดอันเป็นต้นเหตุที่ทำให้—ตึกเรียนถล่ม
เบลลามีทอดสายตามองโดยไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆเป็นพิเศษ
ไม่รู้ทำไมแต่ในใจของเบลลามีมันมีคำตอบแสนง่ายอยู่
“ลูซี่ไม่มีทางแพ้ใคร นอกเสียจาก ..”
‘เรา’
..เอ๊ะ
เธอเผลอโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว เบลลามีแตะริมฝีปากตัวเอง และรู้สึกปวดหัวแปล๊ยบๆขึ้นมาทันทีที่รู้สึกตัว
“คะ คุณเบลลามี เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
อาการของเบลลามีดูไม่ดีเอามากๆ เธอจับศรีษะตัวเองด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมกับหยุดเดิน
“เรา..เป็นใครกัน?”
“คุณเบลลามี?”
เบลลามีรู้สึกได้ถึงเสียงของยูจิทำให้เธอกลับมาได้สติ ความรู้สึกประหลาดในอกที่คล้ายจะไหลย้อนมาได้จางหายไป เธอโล่งอกเมื่อเป็นเช่นนั้น แต่ก็รู้สึกตะหงิดใจกับความรู้สึกเมื่อครู่ของตัวเอง
ทั้งลูซี่ก็ดี ทั้งความมั่นใจในตัวลูซี่ก็ดี หรือเรื่องของตัวเอง เบลลามีเกิดสงสัย แต่เรื่องนั้นไว้ทีหลัง ตอนนี้เธอจำเป็นต้องรีบอพยพให้เร็วที่สุด
****
อาร์คเดม่อนได้ออกอาละวาดไปทั่วอาณาจักรฟัฟนิร์ เหล่ากองอัศวินและกองทัพของอาณาจักรย่อมไม่ทนต่อการรุกรานของศัตรูอย่างแน่นอน
อย่างไรเสียอาณาจักรฟัฟนิร์ก็เป็น ‘หนึ่งในสี่ประเทศมหาอำนาจของโลก’ ผู้ถือครองอำนาจแห่งมหามังกรไว้อยู่ หรืออย่างแย่ ต่อให้ไม่มีอำนาจของมหามังกร ศัตรูระดับอาร์คเดม่อนเพียงสิบหรือร้อยก็ไม่ใช่คู่มือแต่อย่างไร
เหล่าอาร์คเดม่อนนับสิบค่อยๆล้มตายกันอย่างรวดเร็ว ด้วยการประสานงานกันของอัศวินและทหาร แต่สำคัญที่สุดคือ ‘แสงยานุภาพแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์’ นาม ‘ราชาอัศวิน คาลอส’
ว่ากันว่าเพียงการสะบัดดาบครั้งเดียวของคาลอส มันทรงพลังระดับทำให้ภูเขาหายไปทั้งลูก หรือว่ากันว่าคาลอสคือชายที่แหวกน้ำทะเลและก้อนเมฆออกจากกันเพียงแค่ดึงดาบออกจากฝัก
ก่อนที่จะได้เป็นแม่ทัพใหญ่ เขาถูกแต่งตั้งเป็นนักดาบขั้นบรรลุ ฉายา ‘ดาบภัยพิบัติ คาลอส’ และไม่นานด้วยคุณงามความดีอันมากมายทำให้คาลอสยกระดับตัวเองเป็น ‘ราชาอัศวิน’ ตำแหน่งสูงสุดในกองทัพอัศวินของฟัฟนิร์ อำนาจที่เขามีมันมากระดับที่ต่อรองกับเหล่าขุนนางชั้นสูงได้อย่างสูสีเลยล่ะ
คาลอสคือชายหนุ่มอายุราวสี่สิบปีที่ร่างสูงและหนา เขาสูงถึง 250 ซ.ม. และลำตัวใหญ่ระดับที่ต้องให้ผู้ชายสองคนมาต่อกัน ร่างหนาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ทรงพลังยิ่งกว่าออร์คหรือใครต่อใคร ผิวสีน้ำผึ้งเข้ม ดวงตาเฉียบคมประหนึ่งสัตว์นักล่า
สวมเกราะที่มีเพียงราชาอัศวินเท่านั้นที่ใส่ได้อย่างเกราะ ‘อีจิส’ เกราะที่ถูกบันทึกไว้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก ไม่เคยมีผู้ใดที่สวมเกราะนี้แล้วตายในสนามรบ
บนหลังมีดาบขนาดยักษ์อันเป็นของคู่กายของเขาตั้งแต่สมัยอดีตอย่าง ‘ดาบคลั่งเบอร์ซัส’ ดาบที่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆตลอดการต่อสู้
เกราะที่ใส่แล้วเสมือนเป็นอมตะกับดาบที่แข็งแกร่งขึ้นได้โดยไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด นี่แหละคือพลังของราชาอัศวิน
คาลอสปล่อยให้ผ้าคลุมสีแดงตราอาณาจักรฟัฟนิร์สะบัดไปทุกจังหวะที่เดิน—ความแข็งแกร่งของอาณาจักรฟัฟนิร์สามารถรับรู้ได้เพียงการมองคาลอส
เขาคืออัศวินที่แกร่งที่สุดในอาณาจักรฟัฟนิร์ไม่ผิดแน่
เวลานี้เองคาลอสผู้ที่สวมเกราะครบยศก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เขากำลังเดินออกจากปราสาทเพื่อหยุดยั้งการโจมตีจากศัตรู ทว่า—มีแขกสุดพิเศษมาดักเขาไว้
ตรงหน้าคาลอสคือชายที่มีใบหน้าหล่อเหลายากจะหาได้ และเด็กสาวร่างเล็กที่สวมฮูดสีน้ำตาลไว้
“ไม่เจอกันนานนะ คาลอส”
ชายหนุ่มอ้าแขนให้คาลอสด้วยรอยยิ้ม ทั้งอย่างนั้นทางคาลอสไม่ได้มีท่าทีเป็นมิตรแต่อย่างไร
“อ่า ยังคงเป็นตัวปัญหาดั่งเคยเลยแกน่ะ เรื่องคราวนี้เองก็ด้วยสินะ? คิดจะมาถ่วงเวลากันด้วยสินะ?”
คาลอสถามอย่างเยือกเย็นเพียงภายนอก เพราะตอนนี้อีกไม่นานคาลอสคิดจะลงมือฆ่าเรนทิ้งเสียแล้ว
“ไม่บอกหรอกครับ หึๆ”
“ในเมื่อไม่คิดจะพูดหรือยอมจำนนก็จง–ตายซะ ผู้รุกราน”
คาลอสชักดาบออกจากฝัก และทันทีที่ดาบถูกชักออกพื้นที่โดยรอบก็ได้แตกด้วยแรงอัดอากาศอันมากมายจากการออกแรงของคาลอส
เรนถึงกับหน้าเหวอเมื่อได้เห็นพลังเมื่อครู่ เด็กสาวข้างๆไม่รอช้ารีบมาบังหน้าเรนและกางแขนออกสร้างโล่ป้องกันที่ทรงพลังไว้–เพียงเพื่อป้องกันแรงลมที่เกิดจากการดึงดาบออกจากฝัก
“..สัตว์ประหลาดเอ้ย”
เรนถึงกับเหงื่อตก ..สำหรับเรนแล้ว ผู้แข็งแกร่งนี่แหละน่ากลัวที่สุด ไม่ใช่ว่าเรนไม่มั่นใจในพลังของตัวเองแต่อย่างไร เพียงแต่–เรื่องในอดีตทำให้เขารู้ว่าผู้แข็งแกร่งอยู่คนละระดับกับเรนอย่างสิ้นเชิง
จะว่าดูถูกตัวเองยังได้เลย
คาลอสไม่พูดพร่ำอะไรทั้งนั้น เขาก้าวเท้าหนึ่งจังหวะและ–ลงดาบ โดยไม่สนว่าตรงหน้าจะเป็นเด็กเพราะสำหรับเขาเวลานี้ ทั้งสองเป็นเพียงภัยต่ออาณาจักรฟัฟนิร์
หากเป็นคนปกติ ไม่สิ ต่อให้เป็นเรนที่แข็งแกร่ง เขาก็น่าจะถูกแยกเป็นสองส่วนโดยที่โต้กลับไม่ทัน แน่นอนเรนไม่โง่ถึงขนาดเข้ามาทักเฉยๆหรอก
—ภาพที่ได้เห็นคือเรื่องมหัศจรรย์ เป็นสิ่งที่คาลอสไม่คิดว่าเขาจะได้พบเห็น
ตรงหน้าคาลอสเป็นเด็กสาวเผ่นเอลฟ์ผู้มีเลือนผมสีขาวดำปนกัน มันน่าตกใจก็จริง แต่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ—เธอมีปีกของมังกรขาวสลับดำอยู่บนไหล่
เอลฟ์ผู้มีปีกมังกร?
คาลอสรู้สึกสงสัยจนไม่ได้ออกแรงโจมตีชุดต่อไป เขาจ้องไปยังเด็กสาว หรือ ‘เมอัน’ โดยที่วินิจฉัยเท่าที่ตัวเองรู้
“เรื่องบ้าอะไรกัน ..เรนแกไปทำอะไรมาอีก”
“สมกับเป็นคุณราชาอัศวินเลยนะครับ เปี่ยมด้วยคุณธรรมรู้สึกเศร้าที่ต้องสู้กับเด็กผู้หญิงตัวเท่าหลานหรือครับ?”
คาลอสเขม็งใส่เรนจนเรนรู้สึกหายใจไม่ออก ..
“ระ รู้แล้วน่า รู้แล้วครับ ไม่เห็นต้องคิดจะฆ่าเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้นเลย ..” เรนหยิบผ้ามาเช็ดเหงื่อตัวเอง และควบคุมลมหายใจตัวเอง “ฟังแล้วอย่าตกใจละครับ”
“อ่า”
เรนแสยะยิ้มและยกแขนทั้งสองขึ้นฟ้า
“เธอคือสิ่งประดิษฐ์—คืออาวุธที่สมบูรณ์แบบที่สุดของผม เธอคนนี้เป็นมหามังกรเทียมไงล่ะครับ”
เรนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ตัวเมอันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ คาลอสสามารถเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้แล้ว อย่างน้อยก็คร่าวๆล่ะนะ
“มหามังกร? เป็นคู่มือที่ไม่มีโอกาสได้เจอ น่าสนใจ—เพื่อพิสูจน์ความมั่นคงของอาณาจักรฟัฟนิร์ เริ่มจากโค่นมหามังกรสักตัวคงไม่เลว”
คาลอสตั้งท่าดาบอีกครั้ง เรนเห็นท่าไม่ดีเลยรีบสั่งการ
“รีบเอาจริงแล้วจัดการชายคนนั้นซะ!!!”
“รับทราบค่—-”
เสียงของเมอันหายไปพร้อมกับร่างที่กลายเป็นเศษเนื้อ
..เรนหน้าซีดเผือกเขาถึงกับเหงื่อตกไม่หยุด
“บ้าน่า”
“แค่นี้รึ”
คาลอสง้านดาบฟาดใส่เรนต่อ—ทว่าดาบก็ได้ถูกหยุดไว้ด้วยแขนสีดำทมิฬ
“คุณพ่อ ให้หนูจัดการเอง”
เมอันกลับมามีสภาพสมบูรณ์ในพริบตาเดียว นี่ก็คือหนึ่งในพลังของมหามังกรเทียมอย่างการรักษาเทียบเท่าอมตะ
เรนโล่งใจเมื่อเห็นอย่างนั้น เขากลับมาทำหน้าระรื่นใส่คาลอส
“ในสามมหามังกรเทียมของผม เธอคือผลงานที่น่าภาคภูมิใจที่สุด เป็นผลงานที่แข็งแกร่งเหนือยิ่งกว่ามหามังกรแท้ๆเสียอีก”
“ไร้สาระ”
คาลอสสบถออกมา และแลกจังหวะต่อสู้กับเมอันโดยที่ทางเมอันเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกรอบ บางครั้งร่างก็ถูกเฉือนไปแล้ว แต่ยังดีที่มีพลังรักษาขั้นสูงอยู่
อย่างไรเสียการปะทะกันเหมือนน้ำจิ้มของทั้งสองก็มากพอจะทำให้ท้องไส้เรนปั่นป่วน และมากพอทำให้คนทั่วไปไส้แตกได้แล้ว
“เอาจริงได้แล้วเมอัน!”
คาลอสแปลกใจเล็กน้อย เหมือนทางศัตรูจะยังไม่ได้ใส่สุดแรง ซึ่งทางเค้าเองก็เช่นกัน เพียงแต่ ..คาลอสรู้สึกกังวลขึ้นมาว่าถ้าเรนมีตัวหมากที่แข็งแกร่งเกือบพอกันหรือพอกันระดับนี้ถึงสามตนนี่มันเข้าข่ายอันตรายแล้ว
แต่ไหนแต่ไรเรนก็เป็นตัวอันตรายที่อยากกำจัดมากเป็นอันดับต้นๆเป็นทุนเดิม การที่มันมีกำลังเสริมที่แข็งแกร่งตั้งขนาดนี้อีกสามคนนี่ ..พูดได้เต็มปากเลยว่า ภัยคุกคามฉุกเฉินของอาณาจักร
ทันทีที่คิดได้คาลอสก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องกำจัดสองคนนี้ทิ้งตั้งแต่ตอนนี้อย่างจริงจัง
“—รีบๆเซ้ เมอัน!!!!”
เมอันพยักหน้าให้และพึมพำออกมาว่า-
“[อาภรณ์เทพมังกร]-[เมอันคามิ]”
“—อึก”
คาลอสสัมผัสได้ถึงความอันตรายเพียงชั่ววูบที่แสงสีดำและขาวได้มารวมกันรอบตัวเมอันเป็นเกลียว ไม่นานแสงสีขาวและดำก็ได้จางหายไปปรากฏให้เห็นร่างของเมอันที่ถูกปกคลุมได้เกราะเกร็ดมังกรสีขาวสลับกับดำ
เรนยืนอธิบายอย่างปลื้มปิติ
“อาภรณ์เทพมังกร ขีดจำกัดที่มหามังกรไม่สามารถไม่ถึงได้ในอดีต ..ว่าอีกอย่างก็การใช้พลังของมหามังกรอย่างถูกที่ถูกทางนั่นเอง พวกมหามังกรของแท้ไม่มีทางเทียบชั้นกับอาวุธของผมได้ก็ตรงที่พวกมันโง่เกินกว่าจะเรียนรู้พลังของตัวเองไงล่ะ”
เมื่ออดีตเรนรู้ดี รู้ดีกว่าใครเลย …เพราะเขาเผชิญมากับตัว และถูกทิ้งให้เดียวดายอยู่ท่ามกลางโลกที่โหดร้าย
“มหามังกรพึ่งถือกำเนิดเมื่อไม่กี่พันปีก่อน พวกมันได้ออกลาวาดและใช้พลังที่มหาศาลของตัวเองทำให้ทั่วทั้งโลกจมสู่ความมืดมิด แน่นอนตามตำนานแล้วศิษย์พี่ของผม(ยูนา)จะเป็นคนกำราบ พร้อมกันกับแยกโลกใบนี้เป็นสี่สวมหลักๆ ..ทว่าความจริงที่พวกมันใช้พลังของตัวเองไม่เป็นก็บ่งชี้ให้เห็นถึงความน่ากลัวแล้ว ว่าหากมันใช้พลังเป็นล่ะก็โลกใบนี้จะเป็นยังไงกันนะ ..เอาจริงๆก็ช่างหัวโลกมันไปเถอะ และช่างหัวทุกๆคนไป”
เรนชี้นิ้วสั่งเมอัน
“ฆ่าไอ้ราชาอัศวินกระโหลกกระหลานั่นซะ เมอัน!!!”
“รับทราบค่ะ ..คุณพ่อ”
เมอันในร่างอาภรณ์เทพมังกรได้พุ่งด้วยความเร็วสูงเข้าใส่คาลอส คาลอสรับการโจมตีได้ด้วยดาบ และเริ่มการต่อสู้อีกครั้ง
****
หนิงเดินผ่านอาร์คเดม่อนที่ไหม้จนเหลือแต่กระดูกด้วยเพลิงของเธอโดยไม่ใยดี …
“ยูจิอยู่ไหน ยูจิ ยูจิ ยูจิ ยูจิ ยูจิ ยูจิ ยูจิ ยูจิไม่เป็นอะไรนะ รักนะยูจิ อย่าเป็นอะไรนะยูจิ เกิดเรื่องอันตรายขึ้นแล้ว ยูจิต้องรีบหนี แล้วก็..ทุกคน?”
เธอรู้สึกแปลกไปเมื่อเธอคิดถึงทุกคนพร้อมไปกับยูจิ แต่ด้วยความอายส่วนตัวเธอเลยสลัดความคิดเหล่านั้นออก และก้าวเท้าไปอย่างมั่นคงเพื่อหาหวานใจของเธออย่างยูจิ
“..ทุกคนไม่มีทางสู้อาร์คเดม่อนไหวแน่”
หนิงคิดเช่นนั้น ในมุมของเธอ ตัวเธอนั้นแข็งแกร่งที่สุด เธอรู้ถึงพลังในตัวเองดีทำให้ประเมินว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุดได้ ทว่า–นั้นอาจเป็นข้อเสียก็ได้ เพราะแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครทำให้เป็นห่วงคนรอบตัวมากกว่าตัวเอง อย่างยูจิหรือเรเซอร์เป็นต้น
“แล้วเรเซอร์มาเกี่ยวอะไรด้วยกัน ไม่ใช่แค่เรเซอร์คนเดียวด้วย” หนิงกุมหน้าอกของตัวเอง เธอเหมือนกับเด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง “..น่ารำคาญใจ”
หนิงข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้และคิดจะออกวิ่ง ทว่าการวิ่งของเธอได้ถูกขัดไว้โดยเด็กหนุ่มผมสีน้ำฟ้าอ่อนตรงหน้า
ตรงหน้าหนิงมีเด็กหนุ่มรูปงามที่อายุไม่มีทางเกิน 12 ปี ยิ่งกว่านั้นใบหูของเขายังเป็นของเอลฟ์อีก ..
“เอลฟ์เหรอ ไม่ใช่ว่าสูญพันธ์ไปนานแล้วหรือไง”
“เสียมารยาทจังนะพี่สาว แค่เกือบสูญพันธ์ต่างหาก”
เด็กหนุ่มเท้าสะเอวเชิดหน้ามองหนิง
“น่าแปลก” หนิงพึมพำ “เป็นเอลฟ์แท้ๆ แต่ทำไม..มีกลิ่นเหมือนฉันล่ะ”
หนิงไม่ไว้วางใจเด็กหนุ่มตรงหน้า แหงล่ะเวลาแบบนี้ไม่มีทางไว้ใจใครหรอก แต่กรณีของเด็กหนุ่มมันพิเศษ
มันคือความไม่ไว้วางใจต่อผู้ที่เหมือนกับตัวเอง
“กลิ่นของมังกร”
“จมูกดีนี่ สมกับเป็นพวกของแท้”
พวกของแท้
“อย่างบอกนะว่าเธอคือมหามังกร”
“ใช่ แต่เป็นแค่ของปลอมชั้นต่ำอะนะ”
กล่าวจบเด็กหนุ่มก็ดีดนิ้วเรียกสายฟ้าให้ผ่าลงตัวเอง สายฟ้าทยานลงมาใส่เด็กหนุ่มจนเกิดกระแสสายฟ้าขึ้น ท่ามกลางกระแสสายฟ้านั้น เด็กหนุ่มก็ได้สวมเกร็ดของมังกรดำลายฟ้าที่มีกระแสไฟอยู่รอบตัว
“[อาภรณ์เทพมังกร]-[นารุคามิ]”
เด็กหนุ่มกล่าวชื่อออกมาด้วยใบหน้าที่เหมือนขยะแขยง
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอวัดหน่อยละกันว่าของปลอมกับของแท้มันต่างกันแค่ไหน”
****
ตัดมาทางเซบาสเตียนที่ยืนควงดาบไปมาเพื่อสร้างความคุ้นเคย
“จำเป็นต้องทดสอบระยะดาบขนาดนั้นเลยเหรอ?”
แองเจลิน่ากล่าวถามอย่างนึกสงสัย เพราะเธอไม่ใช่นักดาบด้วย การกระทำแปลกๆของนักดาบนั้นมีหลายอย่างจนเธออดแอบสงสัยไม่ได้
เซบาสเตียนเองก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาทุกครั้ง
“กระผมเองก็แก่แล้ว เกรงว่าทักษะดาบอาจจะทื่อหรือระยาสายตามันเพี้ยนได้น่ะขอรับ จึงจำเป็นต้องทดสอบสักครู่”
“ไม่ว่าร่างกายจะดีแค่ไหน แต่เรื่องอายุขัยนี่น่ากลัวเนอะ ..ว่าแต่เซบาสเตียนอายุพอๆกันกับท่านพ่อไม่ใช่รึ ทำไมหน้าอย่างกับคนอายุหกเจ็ดสิบปลายๆอย่างนั้นล่ะ”
อนึ่งท่านพ่อของแองเจลิน่าหรือเรเซอร์มีอายุอยู่ที่สี่สิบปี
เรื่องของเซบาสเตียนกับท่านพ่อเองแองเจลิน่าก็ได้ยินมาบ้าง เห็นว่าเป็นคู่หูกันช่วงสมัยศึกษาอยู่โรงเรียนเวทมนตร์ อายุจึงเท่ากันเลย แต่รูปร่างของเซบาสเตียนดูจะแก่เกินพอเธอไปเกือบสามสิบไปได้
เซบาสเตียนหยุดควงดาบเขายืนนิ่งสักพัก
“ถามล่วงเกินไปสินะ”
“ไม่หรอกครับ แค่คิดว่าเป็นเรื่องที่พูดยากเล็กน้อยขอรับ”
แองเจลิน่าหัวเราะเบาหวิว
“ในมุมตระกูลของฉันหรือท่านพ่อ คุณไม่ต่างกับเพื่อนหรือลุงที่น่าเคราพหรอกนะ ไม่อยากเล่าอะไรหรือไม่ชอบใจอะไรจะพูดก็ได้นะ”
“..ขอบพระคุณมากขอรับท่านแองเจลิน่า เช่นนั้นแล้วกระผมขอตัวทำภารกิจ”
“อือ ไปดีมาดีนะค่ะ”
เซบาสเตียนพยักหน้าและกระโดดหายวับไป
“..เอาล่ะ”
แองเจลิน่ากลับมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
****
เซบาสเตียนใช้นกตรวจจับของเรเซอร์และหาที่อยู่ของอาร์คเดม่อนได้ถึง 3 ตัว เซบาสเตียนลอยขึ้นฟ้าด้วยแรงกระโดด—เขาลอยขึ้นมาเหนือเมฆ และอยู่เหนือยิ่งกว่าเหล่าอาร์คเดม่อนที่กำลังวิ่งฝ่าเมฆมากันเป็นกลุ่มก้อน
อาร์คเดม่อนผงะให้กับการปรากฏตัวเยี่ยงยอดมนุษย์
“—เผ่าพันธ์มีปีก!!”
“ไม่ใช่ นั่นมันแค่มนุษย์”
อาร์คเดม่อนถึงกับหน้าซีก
“ [ดาบประกายแสง]”
เซบาสเตียนเปิดใช้งานเทคนิคดาบขั้นสูง เขาฟาดดาบลงมาด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่านักดาบชั้นสูงถึงห้าเท่า และการออกดาบเมื่อครู่ทำให้อาร์คเดม่อนทุกตนปีกขาด
“—– [ดะ เดวิลเฟรม(เพลิงปีศาจ)]”
อาร์คเดม่อนพากันร่ายเวทมนตร์สารพัดใส่เซบาสเตียนในสภาพนกปีกขาด
แน่นอนยิ่งในระยะประชิดอยู่แล้วด้วย เซบาสเตียนในฐานะนักดาบไม่มีทางยอมให้อาร์คเดม่อนเล่นงานเขาได้แน่นอน
“[วิชาดาบสำนักสัตว์]-[เสียงร้อง]”
วิชาดาบขั้นสูงเฉพาะสำนักดาบที่อิงวิชาดาบจากลักษณะของสัตว์ สำหรับเซบาสเตียนแล้วถือว่าเป็นวิชาที่ใช้บ่อยและถนัดที่สุด อย่างวิชา [เสียงร้อง] ข้างต้นที่มีคุณสมบัติในการขยายความเสียหายให้เป็นวงกว้าง คล้ายๆกับคลื่นเสียงรุนแรงที่สั่นพ้องนั่นแหละ เทคนิคดาบเมื่อครู่เองก็จะสั่นพ้องจนเกิดระเบิดขนาดเล็กขึ้น
ด้วยพลังทำลายล้างที่ไม่ได้มหาศาลมากแต่รวดเร็วและพอเหมาะที่จะทำลายร่างของอาร์คเดม่อนนั้นทำให้อาร์คเดม่อนทั้งสามสิ้นชีวิตในสองจังหวะดาบ
เซบาสเตียนเก็บดาบเข้าฝักและปล่อยร่างตัวเองลงพื้นดิน
เพียงครู่เดียวเซบาสเตียนก็ใช้เวทมนตร์สร้างจังหวะรับร่างตัวเองลงพื้นให้ และเปิดนกตรวจจับของเรเซอร์หาเป้าหมายต่อไป ..แต่ตรงหน้าเซบาสเตียนมีศัตรูมาหาเองถึงที่
ตรงหน้าเซบาสเตียนเป็นสาวสวยผิวขาว ผมสีเงิน เธอปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้ด้วยผ้าปิดตาสีดำ เธอสวมเสื้อคลุมสีดำดูมีราคา และในมือเองก็ถือเคียวไว้
“นี่มัน” เซบาสเตียนถึงกับตกใจ “เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงได้ยังเหลืออยู่กัน”
“ไม่จำเป็นต้องรู้ค่ะ แล้วก็จะขอเริ่มการขัดขวางคุณนะคะ”
สาวสวยตั้งท่าต่อสู้ใส่เซบาสเตียน ทางเซบาสเตียนเองก็เช่นกัน
****
(มุมมองเรเซอร์)
ผมออกวิ่งสุดแรงเกิดหวังจะไปให้เร็วที่สุด และมั่นใจว่าอีกไม่นานก็คงถึงที่หมายแล้ว หากว่า—-ไม่บังเอิญเจอกับเด็กสาวตรงหน้า
หล่อนยืนอยู่หน้าผม และยิ้มให้
เธอสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลโทรมๆ แต่ตอนนี้เธอเปิดฮูดออกให้ผมได้เห็นหน้าจริงๆ
เด็กสาวตรงหน้าคือว่าที่สาวสวยในอนาคตเลยล่ะ เลือนผมสีขาวโพนี่เทล ดวงตาก็เช่นเดียวกัน ผิวสีขาวเหมือนกับหิมะอีก ทั่วทั้งร่างเธอให้ความรู้สึกหนาวเย็นเหมือนหิมะ ..เหมือนร่างจำแลงของหิมะอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นใคร แต่จงใจขวางใช่มั้ย?”
ด้วยเซนต์บางอย่าง ผมรับรู้ได้ทันทีว่าเธอตรงหน้านั้นอันตรายมาก ระดับที่มีโอกาสฆ่าได้ควรจะฆ่าทิ้งซะ