เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 71: ทัวร์งานเทศกาลโลหิตมังกร (1)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 71: ทัวร์งานเทศกาลโลหิตมังกร (1)
< < 60 > >
ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนะ? เบลลามีคิดเช่นนั้นกับตัวเอง
เธอเดินขนกล่อนไม้อย่างไร้วิญญาณภายในรั้ววิทยาลัย อีกไม่นานเธอจะต้องไปจัดของเตรียมสำหรับงานวิจัย แต่ทั้งอย่างนั้นใจเธอกับไม่อยู่กับตัวเลย เหตุผลนั้นเป็นเพราะเมื่อไม่สักครู่นี้เธอได้ไปพบกับเรเซอร์ ที่มีเมดคลั่งรักสองคนตามติด และตัวจริงคืออลันแมนที่คบอยู่กับโซเฟีย …ทั้งหมดมันมากเกินกว่าที่สมองของเบลลามีจะทำความเข้าใจอย่างท่องแท้และปล่อยวางได้
ตอนนี้เธอเลยเดินแบบไม่ดูทาง และไม่ทราบจุดหมายตัวเอง ว่าง่ายๆเหม่อลอยนั่นแหละ
นั่นทำให้เธอไปชนกับแขกผู้หญิงมากอายุภายในงานโรงเรียนเข้าให้
“เดี่ยวสิเธอ ช่วยดูทางหน่อย”
…เบลลามีเอียงคอฉงน
เกิดอะไรขึ้นเหรอ? เบลลามีคิดดังนี้
“คือว่า”
“หา?”
“ถ้าผู้ชายคนหนึ่งไปเกาะติดกับผู้หญิงสองคนนี่เขาเรียกว่าอะไรเหรอ?”
“พลอดรักมั้ง ว่าแต่เธอเดินดูทางหน่อยนะ”
ใครสักคนพูดสอนเบลลามี ..เธอไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ นอกเสียจาก-
“มีปัญหากับเราเหรอ?”
-ไม่ใช่ เธอไม่คิดจะพูดหาเรื่อง แค่เผลอพูดไปตรงๆที่หากให้แปรรูปประโยคดีๆหน่อยจะเป็น ‘เราทำอะไรผิดเหรอ?’
“หา?”
แน่นอนสร้างความไม่พอใจให้แขกภายในงานแน่ๆ
“นี่เธอพูดจาแบบนั้น ไม่มีใครสอนมารยาทมาหรือไงนั่น ที่บ้านสอนมายังไงน่ะ”
“โทษทีนะ เราไม่มีใครสอนหรอก”
ก็เป็นเด็กกำพร้าในสถานห่วยๆนี่นะ
“กะ กวนปราสาทจริง มาเจอกันที่ห้องคุมวินัยหน่อยละกัน อย่าคิดว่าเป็นคนใหญ่คนโตแล้วจะพูดอะไรก็ได้เชียวนะ”
เบลลามีถูกแขกจูงมือ แต่โชคช่วยที่จังหวะนั้นมีคนเข้ามาช่วยทัน
“เดี่ยวก่อนครับๆ! จะ ใจเย็นก่อนนะครับ”
ยูจิ พระเอกหน้าหวานวิ่งเข้ามาขวางและอธิบายที่มาที่ไปให้ เบลลามีเลยรอดพ้นจากการคุมตัว
เมื่อเสร็จสิ้นการช่วยเหลือ ยูจิก็ยืนกุมเข่าหอบเพราะต้องพูดแลปอธิบายเหตุการณ์ให้แขกสาวในงานทราบ กลับกันเบลลามีตัวต้นเรื่องก็ยืนงงดั่งเดิม
“คุณเรเซอร์สุดยอดเลยนะครับเนี่ย ที่รับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ตลอด”
ยูจิหัวเราะแห้งๆเพราะปกติเรเซอร์จะเป็นคนดูแลเบลลามี เวลาเผลอไปพูดจาหาเรื่องอีกฝ่ายเข้า ซึ่งมันค่อนข้างจะเหนื่อยเลย เป็นงานที่เกินแรงยูจิเอามากๆเพราะเขาไม่ใช่คนพูดเก่งอะไรด้วย
ความทึ่งในตัวเรเซอร์ของยูจิจึงเพิ่มพูนเข้าไปด้วย
“ตะกี้เราพูดอะไรไม่ดีไปสินะ”
“เริ่มจะจับเคล็ดได้แล้วสินะครับ ฮะๆ ถ้าคุณเรเซอร์หรือทุกคนได้ยินต้องดีใจสุดๆแน่นอนครับ”
“ทำไมถึงดีใจล่ะ”
“ก็คุณเรเซอร์พยายา..”
“ถามหน่อยสิยูจิ”
“ครับ?”
เบลลามีเบือนหน้าหนีดวงตาที่ใสซื่อของยูจิ และพึมพำออกมา
“ทำไมต้องพูดแต่ชื่อของเรเซอร์ด้วยล่ะ ..ตอนนี้เราไม่อยากได้ยินเลย”
…..
….
บรรยากาศถูกปกคลุมด้วยความเงียบทันใด ถุงพลาสติกที่มีน้ำดื่มอยู่ในมือยูจิได้ล่วงหล่นลงพื้นทันทีที่ได้ยิน
ร่างของยูจิสั่นเทาด้วยความกลัวในบางอย่าง
“ทะ..ทะ..ทะเลาะกันมาเหรอครับ!?”
“ทะเลาะ..ทะเลาะ..ไม่น่าเรียกว่าทะเลาะได้หรอก แต่-แค่ไม่พอใจเฉยๆ”
“เอาไงดีนะตัวผม” ยูจิลูบคางครุ่นคิดเป็นจริงเป็นจัง “เป็นเรื่องของคนสองคน..ไม่สิ ในฐานะเพื่อนให้ปล่อยไปก็ไม่ได้ด้วยนี่นา ไปถามเรย์ก่อนดีมั้ยนะ-มะ ไม่ได้ๆ เรย์กำลังจัดงานอยู่จะรบกวนไม่ได้เด็ดขาด ถ้านั้นพึ่งใครดีล่ะ คุณหนิง? คนๆนี้ไม่น่าจะรู้เรื่องความรักมากนัก คุณกอรี่? ตอนนี้น่าจะติดงานอยู่ด้วยนะครับนั่น คุณไอริสกับคุณเคียวยะก็ทำงานหนักกันอยู่..ชวนคุณโซเฟียคุยด้วยดีมั้ยครับ?”
“..ไม่ได้..ไม่อยากเจอกับโซเฟียยิ่งกว่าเรเซอร์อีก”
อนึ่งที่พูดหมายถึงเจอตอนนี้ยังไม่ดี เบลลามีอยากให้เวลาโซเฟียทำใจที่โดนปฎิเสธก่อน ..
“..อย่าบอกนะว่า..คุณโซเฟียจะ..มีเรื่องเกี่ยวกับคุณเรเซอร์เข้า”
“ใช่ เกี่ยวพันอย่างแน่แฟ้นเลย เราตกใจมากเลยล่ะ”
อนึ่งพูดถึงร่างอลันแมน แต่อย่างไรซะเรื่องราวในหัวยูจิก็ได้ประติดประต่อไปคนละทางกับที่บอกมาหมดแล้ว
ยูจิถึงกับเข่าทรุด
“คุณเรเซอร์ ทำไมกันล่ะ ผมอุตส่าห์เชื่อใจแท้ๆ..ปัญหานี้เกินกว่าที่ผมจะแก้ได้”
“เกินมือเราเหมือนกัน ถ้านั้นเราขอตัวไปจัดของเตรียมงานก่อนนะ”
“คะ ครับ เดี่ยวผมช่วยนะครับยังไงก็กลับทางเดียวกัน แล้วก็ช่วยเล่ารายละเอียดเรื่องเมื่อครู่ให้ผมฟังทีนะครับ”
“อือ จะพยายามนะ”
ยูจิกลืนน้ำลายดังอึก และมีสีหน้าหดหู่ขึ้นทันใด
เพียงไม่นานยูจิก็ช่วยเบลลามีจัดเตรียมซุ้มงานวิจัยเกี่ยวกับโรคมานาย้อนกลับเสร็จ แล้วพบว่าไม่มีใครคิดจะเข้ามดาูงานของเบลลามีเลยทำให้ทั้งสองนั่งเหงาๆ จากที่คิดว่าจะถามหลังจบงาน ยูจิเลยถามมันซะตอนนี้เลยด้วยความคาใจ
“เรื่องเมื่อสักครู่นั่น”
“อือ เดี่ยวเราเล่าให้ฟังเอง”
“จะตั้งใจฟังเลยครับ ว่ามาเลยครับผม”
เบลลามีพยักหน้ารับ และเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง …
“..เลวร้ายกว่าที่คิดอีกนะครับนั่น”
“อือ เรเซอร์ทำผิดมาก”
เบลลามีต่อว่าเรเซอร์จากใจจริง
“ผมคิดว่าคุณเรเซอร์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบมาตลอดเสียอีกครับ เห็นทีผมต้องบอกใหม่แล้ว อย่างน้อยก็เรื่องความรัก ฮะๆ แต่ก็ดีแล้วครับ ผมนึกว่าคุณโซเฟียจะแอบ..อะไรสักอย่าง”
ทั้งหมดดันกลายเป็นว่าเรเซอร์เป็นคนแอบเสียอย่างนั้น ถึงแม้จะไม่ตั้งใจให้เรื่องบานปลายก็ตาม
“แต่ที่เราคาใจที่สุดคือเรื่องของเมดสองคน ..เมดสองคนที่ตัวติดกับเรเซอร์น่ะ”
“ครับ ..น่าจะเป็นแค่เมดของพี่สาวคุณเรเซอร์นะครับ”
“ไม่ใช่ เราว่ามันมากกว่านั้น พวกเขาดูสนิทเกินไป-ยิ่งกว่าเพื่อนหรือเมดของพี่สาวมาก ตอนที่พูดกับเราก็เหมือนจะเน้นคำว่า ‘ท่านเรเซอร์ของพวกเรา’ เป็นพิเศษอีก”
เบลลามีไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ตัวเองเริ่มมีน้ำเสียงที่แปลกไปจากทุกที ..ประโยคพูดเธอดูมีอารมณ์ ต่างกับทุกที เรื่องนี้น่ายินดีอยู่หรอกแต่ไม่ควรเกิดขึ้นกับสถานการณ์เช่นนี้
ยูจิเกาแก้มและเร่งคิดหาทางออก
“ผมพอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วครับ”
“น่ายินดี ช่วยอธิบายให้เราฟังทีได้รึเปล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“เรื่องง่ายๆเลยครับ”
เบลลามีพยักหน้างึกๆรับฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“คุณรู้สึกหึงครับ”
“..เข้าใจผิดแล้ว”
“ทางผมไม่คิดอย่างนั้นนะครับ”
ยูจิพูดทั้งรอยยิ้ม กระดานได้พลิกแล้ว ฝ่ายที่ถูกรุกและทำให้เหงื่อตกตอนนี้แปรเปลี่ยนมาเป็นเบลลามีแทนเสียแล้ว
“สองเดือนก่อนคุณเบลลามีก็พึ่งจะพูดให้ผมฟังเองนี่ครับว่าชอบคุณเรเซอร์น่ะ”
“..สถานการณ์พาไปน่ะ”
“พักหลังๆก็เริ่มให้ผมเป็นพ่อสื่อด้วย”
“นั่นมัน ..เพื่อนกัน..สินะ”
“อ้างเพื่อนแบบนั้นไม่ดีนะครับคุณเบลลามี ยอมรับมาเถอะครับว่าหึงน่ะ”
เบลลามีนิ่ง เธอหลบหน้าหนียูจิ
“ฟังนะครับคุณเบลลามี ..ถ้ารักใครสักคนต้องกล้าจะยอมรับว่ารักครับ ต้องกล้าสารภาพ กล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะเจ็บ เมดสองคนนั้นก็คงเหมือนกัน เช่นนั้นผมขอถามนะครับว่าคุณเบลลามีความกล้าพอรึเปล่า”
“..มันไม่ใช่เรื่องของกล้าไม่กล้าหรอก ความรู้สึกของเราไม่ว่าจะยังไงก็ควรถูกปฎิเสธ”
“หมายความว่ายังไงเหรอครับ”
“..ก็เรเซอร์น่ะ..คล้ายกับคนในฝันของเรา ฝันที่เสมือนกับโลกอีกใบของเรา มีคนที่คล้ายกับเรเซอร์อยู่ในนั้นและเราในฝันก็ตกหลุมรักคนๆนั้นทุกครั้ง ..แบบนั้นไม่ใช่ว่าเราชอบแค่คนในฝัน แต่เรเซอร์มาบังเอิญคล้ายเราเลยเผลอชอบไปด้วยหรือ แบบนี้มันไม่แปลกเหรอ”
สรุปแล้วเบลลามีชอบเรเซอร์ที่บังเอิญคล้ายกับคนในฝัน หรือชอบเรเซอร์ที่เป็นเรเซอร์จริงๆกันแน่ ..เธอยังคงสับสนอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
..ฝัน ยูจิรู้สึกเกลียดคำนี้ชอบกล แต่เขาก็สลัดความรู้สึกนั้นไป
“เรื่องนั้นมันก็”
“ก็อธิบายได้ยาก เพราะความฝันมันมีหลากหลายระดับ”
มีคนแปลกหน้าเข้าร่วมวงสนทนา ยูจิรีบหันไปดูกลับกันเบลลามีหันหน้ามาช้าๆและทักทาย
“ลูซี่เหรอ?”
ลูซี่หรือลูซิเฟอร์ ที่ ณ ตอนนี้มีแมวตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ได้เข้ามาซุ้มงานวิจัยของเบลลามี
“ไม่ได้พบกันเสียนานนะครับ ท่านเบลลามี แล้วก็ท่านผู้ชาย”
“อือ ไม่ได้เจอกันตั้งเกือบวัน”
“เอ่อ ยูจิครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ลูซี่กอดอกวินิจฉัยยูจิเล็กน้อย
“ได้กลิ่นของโชคชะตาโชยมาจากคุณเลยล่ะครับ”
“เอ่อ ..ครับ?”
ลูซี่จ้องยูจิตาเขม็งก่อนที่ไม่นานจะหรี่ตาลงและหันมาคุยกับเบลลามีแทน
“ดูเหมือนจะจริงจังกับการวิจัยมานาย้อนกลับน่าดูนะครับ เหมือนที่พูดไว้เมื่อนานมาแล้วเลย”
เมื่อนานมาแล้วคือเมื่อวันสองวันก่อน ..ลูซี่ตั้งใจพูดให้มันลึกและดูมีลับลมคมในโดยที่เนื้อแท้ไม่มีอะไรทั้งนั้น จะบอกว่าเขาเป็นคนพูดไร้สาระซะส่วนมากก็ไม่เกินจริง
ลูซี่มองไปรอบๆตัวผลงานวิจัย
“ไม่เลว สำหรับมนุษย์แล้วถือว่าทำได้ไม่เลวนะท่าน”
“ไม่หรอก เป็นเพราะเรามีฐานมาจากงานวิจัยของรุ่นพี่คนก่อนๆน่ะ”
“เพราะอายุขัยที่สั้นทำให้ต้องสืบทอดเจตจำนงต่อๆกันมาสินะท่าน”
“ประมาณนั้น”
ลูซิเฟอร์เผยรอยยิ้มออกมา
“ข้าขอแลกเปลี่ยนข้อมูลกับท่านได้หรือไม่?”
..โอกาสมาถึงแล้ว
เบลลามีเองก็เผลอยิ้มมาโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะยังซึมเรื่องเรเซอร์อยู่แต่ว่าตอนนี้ความฝันของเธอมีคนพร้อมจะแลกข้อมูลให้แล้ว บางทีนี่อาจเป็นก้าวสำคัญของเธอก็เป็นได้
“เชิญครับ”
ยูจิรีบขนเก้าอี้หมอบให้ ลูซี่โค้งศรีษะขอบคุณก่อนจะลงไปนั่ง
“เช่นนั้นก็เริ่มด้วยหัวข้ออะไรก่อนดีล่ะ”
“เกี่ยวกับทฤษฎีต้นกำเนิดของมานาย้อนกลับ”
“มานาย้อนกลับเกิดจากการไหลย้อนของมานาจนทำให้ความทรงจำหายไป ซึ่งบนโลกนี้ก็มีมานาหลากหลายรูปแบบที่หากเกิดข้อผิดพลาดจะเป็นโรคต่างๆขึ้นมา อาทิเช่นโรคมานาแบ่งครึ่งที่จะเกิดกับฝาแฝดคู่หนึ่ง หรือโรคมานาอุดตันที่ทำให้ใช้มานาไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะกระแสมานาในร่างกายผิดพลาด–และน่าเศร้าที่พูดล้วนเป็นภูมิความรู้เชิงกายภาพ ซึ่งใช้ไม่ได้กับสิ่งที่เรียกว่ามานา”
“..หมายความว่ายังไงเหรอ?”
“ท่านที่ศึกษามาดีก็รู้อยู่แก่ใจนี่ว่าแค่กระแสมานาผิดปกติน่ะ วิธีแก้มันไม่ควรจะไร้หนทาง ยังไงเสียมนุษย์ก็มักใช้มานาเพื่อเรียกเวทมนตร์หรือสร้างปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ที่พบเห็นคือไร้หนทางการควบคุมมานา ทั้งๆที่มานาคือสิ่งที่แตะต้องได้แท้ๆ”
เบลลามีพยักหน้ารับ เธอเพ่งสมาธิให้กับข้อมูลที่ลูซี่จะพูดต่อไปนี้
“ข้าคงพูดให้ท่านฟังหมดไม่ได้ แต่ข้าจะบอกเล็กน้อยละกันว่า-โลกใบนี้มีกฎอยู่ กฎแห่งโลกที่ไม่มีใครฝ่าฝืนได้ แม้แต่ตัวข้าหรือนายเหนือหัวของข้าก็ไม่อาจข้ามกฎแห่งโลกได้”
“กฎแห่งโลก..กฎของโลกใบนี้?”
เบลลามีเหมือนจะนึกอะไรออก ภาพในหัวของเธอค่อยๆก่อร่างขึ้นคล้ายจะจับเคล็ดบางอย่างได้
“ข้าช่วยท่านได้มากสุดแค่นี้แหละ พูดมากกว่านี้มันจะไม่ดีกับนายของข้า เพราะการสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นไม่ใช่วิทีของท่านผู้นั้น”
“เราไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แล้วนายเคยพูดถึง ‘มานาบริสุทธิ์’ ด้วยนะ มานาบริสุทธิ์มันเกี่ยวข้องกับกฎแห่งโลกด้วยสินะ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“ลูซี่เหมือนนายจะเคยพูดนะว่า ถ้าเกิดเราคิดจะทำอะไรกับกฎแห่งโลกและมานาบริสุทธิ์ขึ้นมา พวกเราจะคือศัตรูกันเหรอ?”
“ตามที่พูดไป แต่กว่าจะถึงตอนนั้นคงอีกไกล หรือไม่ท่านก็อาจจะล้มเลิกไปก่อน”
“ในเมื่อเป็นแบบนั้นจะมาพูดให้เราฟังทำไมล่ะ”
ลูซี่ยิ้มให้เห็นอีกครั้ง
“เรื่องนั้นข้ายังถามตัวเองอยู่เลย”
“เหรอ ..ว่าแต่แมวน้อยตัวนั้นน่ารักดีนะ”
“สหายข้าผู้นี้ชื่อ ‘อาซาเซล’ ทั้งขนและใบหน้าล้วนสง่างามคู่ควรกับนามที่ตั้งให้ ท่านคิดเห็นเยี่ยงไรบ้างล่ะ”
จากนั้นทั้งสองก็คุยเรื่องแมวกันยาวจนลืมไปเลยว่าตัวเองตั้งแผงวิจัยโรคมานาย้อนกลับอยู่ ส่วนยูจิคือส่วนเกินที่คอยฟังเขาคุยกัน..
****
(มุมมองเรเซอร์)
ผมเดินคอตกเมื่อพบว่าตัวเองเป็นเป้าสายตาจากทุกคนในโรงเรียน เพราะขณะนี้ผมกับเมดสองคนที่เดินขนาบข้างผมจนตัวแทบจะติดกัน
ไม่นานก็พบกับแองเจลิน่าและเซบาสเตียนที่นั่งรับประทานอาหารภายในร้านเมดกัน
“มาแล้วเหรอเรเซอร์ พี่รอจน ..อ่าว เจอเรเซลกับอันนาแล้วรึ”
“ก็ครับ บังเอิญน่ะ”
“ได้แหวนหมั้นมาด้วยล่ะคะ”
อันนาโชว์นิ้วก้อยที่มีแหวนราคาถูกตามตลาด แต่ใบหน้ากลับเปี่ยมด้วยความสุข เรเซลเห็นก็โชว์ด้วยเช่นกัน
“เห็นเรเซอร์แล้วพี่รู้สึกท้อแท้เลยอะ อายุแค่นี้แต่ได้ตั้งสองคน”
“จะแข่งกันทำไมละนั่น ..เฮือก!”
ภายในห้องครัวมีสายตาที่ดูอันตรายออกมา พอมองดูให้ดีก็พบกับ ‘โซเฟีย’ ที่จ้องเขม็งมาจนเกิดเสียง จี๊~
..ทำไมโซเฟียถึงอยู่ที่นี่ได้ ไม่ใช่ว่าหมดก๊ะแล้วรึไง!?
ผมเหงื่อไหลพรั่กๆ ใจเต้นแรงสุดขีดที่มนุษย์จะเต้นได้แล้วละมั้งเวลานี้
“อ๊ะ/เอ๊ะ”
อันนากับเรเซลเผอิญเห็นโซเฟียจ้องมา พวกเธอหันหน้ามายิ้มให้กันก่อนจะกระโดดมากอดแขนผมคนละข้าง
“ดะ เดี่ยว!”
“ฮ่าๆๆ น้องพี่นี่มันเนื้อหอมจริงๆ แต่อย่าโชว์ให้เด็กน้อยดูนักสิ เดี่ยวก็อิจฉาตาร้อนจนเกิดเรื่องหมดหรอก”
พูดออกมาแล้วด้วยคุณพี่สาว ประโยคสบประหม่าที่ห้ามพูดใส่ชายหนุ่มวัยรุ่นน่ะ–อ่า ซวยแล้ว สัมผัสได้ถึงจิตสังหารมากมายจากชายฉกรรจ์รอบตัวเลยแฮะ
“ปะ ไปกันดีกว่าพี่แองเจลิน่า ผมเองก็หมดกะแล้วด้วย”
“ถ้าว่าอย่างนั้นก็ตามนั้น เซบาสเตียนว่าไงล่ะ”
“ตามที่ท่านต้องการครับ”
“ตะ ตามนั้นนะครับ รีบไปดีกว่า”
อยู่ต่อคงไม่ดีกับโซเฟียเท่าไหร่นัก ..ขอโทษนะ
สุดท้ายก็ตัดสินใจออกจากโรงเรียนกัน ตอนนี้พวกเราห้าคนได้แก่ ผมเรเซอร์ แองเจลิน่า เซบาสเตียน เรเซล และอันนา เลยเดินเล่นด้วยกันภายในงานเทศกาลโลหิตมังกร
ตั้งสามปีเต็มๆที่พวกเราไม่ได้เดินกันห้าคนเช่นนี้ มันชวนคิดถึงหน่อยนึง
แองเจลิน่ากอดอกพึมพำกับตัวเอง
“ต่อไปจะเข้าสู่ช่วงการลำลึกความหลังพี่สาวกับน้องชายสุดซึ้งละนะ”
“พอพี่พูดแล้วความซึ้งก็หายไปหมดเลยนะครับ แต่เข้าใจครับ กลัวผมลืมสินะ”
เพื่อให้พี่สาวสุดที่รักไม่หายห่วงผมเลยหยิบสร้อยคอที่อยู่ใต้คอเสื้อมาโชว์
“ของขวัญที่พี่ให้ไว้กับผมยังอยู่ดีนะ”
ของช่วงวันเกิด 12 ปีของผมเองล่ะ
“แน่นอนผ้าที่เรเซลให้กับกระเป๋าคาดเอวที่อันนาให้ก็ยังอยู่ดี”
อันนากับเรเซลพากันตาเป็นประกายหัวใจ ส่วนแองเจลิน่าก็ยืนกอดอกเงียบๆ
“ขอกอดสักทีนะจ๊ะ”
“ไม่ได้ครับ โตๆกันแล้วมันน่าอา–มะ ไม่ฟังกันเลย!”
แองเจลิน่าพุ่งมากอดผม ตอนนี้เธอตัวเตี้ยกว่าผมแล้วทำให้นัวเนียเหมือนสมัยเด็กไม่ได้
“กาลเวลาช่างน่ากลัวจริงๆ”
“นั่นสินะครับ คนมีอายุพูดแล้วดูน่าเชื่อถือทันใดเลย”
“นี่ๆ พูดแบบนั้นมันน่าเศร้าหน่อยนะพี่ว่า”
ผมเมินไม่ขอโทษเธอ ทำให้เธอเริ่มจะกอดแรงขึ้นเรื่อยๆแต่เสียใจด้วย สภาพร่างกายของผมมันทัดเทียมกับนักดาบขั้นสูงทำให้เวลานี้คนที่พยายามจะบีบให้ผมเจ็บน่าจะเจ็บเองมากกว่า
ตามคาด กอดแค่นิดเดียวเธอก็ปล่อยผมไปแล้ว
และบังเอิญ บังเอิญ เจอกับเคียวยะที่กำลังต่อแถวยาวเยียดเข้า
“คนรู้จักเหรอจ๊ะ”
แองเจลิน่าสังเกตุว่าผมจ้องเคียวยะได้เลยทักถาม
“ผมขอไปทักหน่อยนะครับ”
“เชิญจ๊ะ”
ผมรีบเดินไปหาเคียวยะ กะจะสะกิดไหล่สักทีแต่เหมือนหมอนั่นจะรู้สึกตัวได้เลยปัดมือผมออก
สมกับเป็นเคียวยะ ทำอะไรได้ชวนหาเรื่องตลอดเวลาเลย
“มีอะไร”
“มีธุระอะไรแถวนี้รึสหาย”
“สหาย? หึ ก็นิดหน่อย ..เขามีจัดงานประชันฝีมือตรงโซเดี้ยมข้างหน้า”
“ไหน ไหน โฮ่ ตั้งกันตอนไหนฟร้ะนั่น”
แต่เดิมไม่มีโซเดียมยักษ์อย่างข้างหน้าผมหรอก แต่ก็น่าจะคล้ายๆพวกบ้านลมสไลด์เดอร์ที่เคลื่อนที่ได้ละมั้ง
ผมอ่านรายละเอียดงานจากป้ายใกล้ๆ
“สู้แบบตะลุมบ่อนซะด้วย คิดดีแล้วรึเคียวยะ เจ้าพวกในงานคงมีแต่พวกเหลี่ยมจัดๆถึงแทบจะทั้งหมดสเป็คจะต่ำกว่านายหมดเลยก็เถอะ แต่พลาดนิดเดียวนายมีหวังตกสนามไม่ก็กระดูกหักเพราะโดนเล่นผิดกฎที่ลับตาคนแหงๆ”
“แบบนั้นยินดีเลยไม่ใช่รึไง การต่อสู้มันต้องแบบนั้นแหละ ฉันจะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ให้ได้เพื่อจะโค่นแกในสักวัน แล้วก็คนที่แกร่งกว่าแก ถ้าแค่นี้ยังชนะไม่ไหวก็อย่าฝันเลย”
“ฉันมีโควต้าให้สี่ปี ถ้าทำไม่ได้จะไม่รับคำท้าของนายอีกแล้ว”
อนึ่งสี่ปีที่ตั้งไว้คือเวลาที่ผมจะเก่งกว่าเคียวยะชัวร์ หลังจากนั้นไม่แน่ใจ แต่ค่อนไปทางเคียวยะอาจก้าวข้ามผมได้
“เข้าใจแล้ว ในสี่ปีฉันคนนี้จะทำให้แกจูบกับพื้น”
“ตามใจเลย ทางฉันขอตัวไปเที่ยวกับพี่สาวก่อนละกัน”
“แกมีน้องสาวมั้ย?”
“ไม่มี ในอนาคตก็คาดว่าจะไม่มีด้วย”
“เหรอ ..แกสนิทกับพี่สาวสินะ อารมณ์ตอนคุยกับพี่สาวคงคล้ายมันเหมือนตอนคุยกับน้องสาวรึเปล่า”
ถามมาตรงๆก็จบแล้วมั้ยนั่น
“อยากได้วิธีคุยกับน้องสาวรึ”
“ไม่ใช่ แค่ถามเป็นภูมิเฉยๆ”
“อ่า นั้นก็..คุยแบบเป็นตัวของตัวเองละมั้ง ติดตลกหน่อยก็ดี”
“ติดตลก? ไม่ถนัดเลยแฮะ”
จะเอาไปคุยกับคุณน้องสาวจริงด้วยล่ะ เห็นว่าพักนี้นัดพบกับแม่เลี้ยงและน้องสาวอยู่บ่อยๆ คงประหม่าละมั้ง
เคียวยะมีด้านนี้เหมือนกันด้วยสินะ
“พยายามเข้าละกันทั้งเรื่องครอบครัว และงานแข่ง เอาแชมป์มาประดับห้องซะ”
“แน่นอน ไม่ต้องบอกก็รู้ๆกัน”
“อ่า เป็นไปได้ก็อยากแวะดูนายซัดกับพวกลุงๆน่ะนะ”
ผมเดินกลับมาหาแองเจลิน่า
“ไปดูงานประลองกันเถอะ”
เธอว่ามาเช่นนั้น ..ทำไมถึงถนัดเอาใจผมจังนะ พี่สาวคนนี้
ปล(อีกแล้ว).ช่วงนี้จะปูบทหลายๆตัวละครหน่อยนะครับ เพราะ Arc นี้ค่อนข้างใหญ่แล้วมีหลายตัวละครเลย ผมอยากจะกระจายบทตัวละครหลักให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้น่ะครับ บทต่อๆไปจากนี้ก็น่าจะเหมือนกัน พวก เบลลามี ยูจิ เคียวยะ เรย์ หนิง จะมีบทเยอะกันเป็นพิเศษเลย
ปล2.ผมจะไล่ลบ ปล ตอนเก่าๆนะครับ เพราะรู้สึกมันขัดตาพิลึก (ฮา)