< < 7 > >
3 วันผ่านเร็วราวกับโกหก ผมเตรียมตัวสำหรับการออกเดินทางแล้วเรียบร้อย
หน้าคฤหาสน์มีรถม้าขนาดเล็ก และตัวผมยืนอยู่ โดยที่มีเรเซลและอันนากำลังช่วยกันขนของทีละนิด
“ช่วยได้มากเลย” ผมส่งสายตาขอบคุณไปทางเมดสาวทั้งสองที่ช่วยผมขนของ
เรเซลเธอขนของมากมาย จนแอบสงสัยว่าแขนเล็กๆนั่นเอาแรงมาจากไหนกัน …ส่วนอันนาเธอมักจะหยิบเพียงของชิ้นเล็กชิ้นน้อยขึ้นทีละหน่อยทีละหน่อย หรือว่าเธอติดนิสัยชอบใช้เรเซลไปแล้วนะ? ไม่สิ ดูทรงเธอคงแค่ไม่อยากออกแรงเยอะแค่นั้นแหละ จะว่าติดนิสัยอีกอย่างก็ได้
แต่ก็ช่างมันปะไร ปกติอันนาไม่แม้แต่จะยกของด้วยซ้ำ นี่เรียกว่าการเติบโตได้แล้วละ คุณพ่อภูมิใจในตัวลูกเหลือเกิน ให้ตายสิ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางเบือนหน้าหนีไปหาเซบาสเตียน
“นายจะไม่ไปจริงๆ หรอเซบาสเตียน?”
“ขออภัยด้วยขอรับนายน้อย กระผมมีงานต้องสะสางในเร็ววันนี้” เซบาสเตียนตอบกลับด้วยความจริงใจ
ถึงแม้การไปป่ามหาภูตมันจะไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไปด้วยซ้ำ—–เพียงแค่ฉากหน้าอะนะ ในป่ามหาภูตข้อมูลเบื้องหลังที่มีแค่ผมที่รู้เพราะเป็นคนที่เคยอ่านเรื่องราวต้นฉบับมาก่อน ผมรู้ดีเลยว่าป่ามหาภูตติมันน่ากลัวแค่ไหน ถึงทุกๆ อย่างที่น่ากลัวมันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ตามปกติ ใช่ ในกรณีที่ตามปกติเท่านั้นนะ
ป่ามหาภูตมีมหาภูตนามว่า ‘เซเนีย’ อาศัยอยู่ ถึงจะไม่ปรากฏตัวออกมาบ่อยๆแต่ถ้าเป้าหมายผมคือทั้งนา เธอจะต้องปรากฏตัวแน่นอน การต้องเจอกับเซเนียนั้นน่ากลัว ผมจำได้ดีเนื้อหานิยายเล่ม 14 นั่น…แต่ถึงเอาเซบาสเตียนก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอก
ฮะๆ ป่ามหาภูตมันโหดระดับนั้นเลยละ
และหากมองในตรรกะเกม RPG ป่ามหาภูตติก็เปรียบได้ดั่งดันเจี้ยนชั้นสูงสุดดีๆนั่นแหละ มีทั้ง’มหาภูตเซเนีย’ กับ ‘ยูนา’ อาศัยอยู่ นอกจากนั้นยังมีไอเทมและเหล่าภูตให้แมลงสาบธด้วยมากมาย ..บลาๆ อีกเยอะแยะ เป็นสถานที่ที่ผมไม่ควรไปซ่าด้วยเลย
แต่ก็เอาเถอะ ไม่เห็นจำเป็นต้องกลัวอะไรเลย ไม่ได้จะไปท้าใครเขาต่อยเสียหน่อย
ว่าแล้วผมก็ถอนหายใจอีกคราว ขณะนั้นชายชุดพ่อบ้านรูปงามอีกคนก็มายืนอยู่ข้างตัวเซบาสเตียน
“…คนที่มาแทนนายรึ?”
“ใช่ขอรับ ระหว่างการเดินทางชายคนนี้จะคอยคุ้มกันคุณหนูเอง”
ชายตรงหน้าผู้มีผมสีน้ำเงินเข้มมัดจุกจากปลายคอยาวลง มีดวงตาสีเหลือง แม้สูงเพียง 170 ซ.ม. และร่างกายดูเล็กเรียบเหมือนผู้หญิง ถึงกระนั้นก็ดูมีฝีมือและประสบการณ์สูง
“เชิญเลยครับ ชิน” เซบาสเตียนผายมือให้เขาที่ชื่อ ‘ชิน’ แนะนำอย่างเป็นทางการ
“ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ กระผมมีนามว่า ‘วาลาเมีย ชิน’ ตั้งแต่วันนี้จวบไปถึงวันสุดท้ายของการเดินทาง ผมจะเป็นผู้ติดตามของท่านเรเซอร์เองขอรับ”
“อืม ฝากตัวด้ว—————-วาลาเมีย ชิน!!?”
“…ขอรับ?”
วาลาเมีย…วาลาเมียคนนั้นน่ะเหรอ
“-ป เปล่า โทษทีๆ พอดีชื่อนายแปลกดีน่ะ”
“อ๊ะ ฮะๆ ไม่หรอกครับ นี่เป็นเพียงชื่อทั่วๆไปเท่านั้นเอง” ชินหัวเราะคิกคักน่ารัก
นั่นสินะ ชื่อ ชิน เขาใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ที่แปลกน่ะนามสกุลต่างหาก …ไม่สิ หากว่าตามตรงก็ไม่แปลกนัก ถ้าเกิดนามสกุลนั่นไม่ใช่นามสกุลของเพื่อนซี้พระเอกในไลทโนเวลละนะ
…. ‘วาลาเมีย ชิน’ ——ตัวละครสำคัญผู้เป็นพี่ชายของเพื่อนสุดรักของพระเอกอย่าง ‘วาลาเมีย เรย์’ ..เป็นเรื่องปกติในไลทโนเวลที่มักจะมีตัวละครเพื่อนพระเอกสักคน หรือสองคน แทนที่จะมีสาวๆ ล้วน
ซึ่งโดยปกติตัวละครเพื่อนพระเอกมักถูกเรียกกันว่าพระรอง และบทบาทของพระรองก็คือกระสอบทราย …ใช่ ‘กระสอบทราย’ ไม่ใช่แค่สำหรับตัวร้ายด้วย แต่ดันเป็นกระสอบทรายสำหรับตัวละครผู้หญิงในฮาเร็มด้วย
‘วาลาเมีย เรย์’ หน้าตาดี นิสัยดูกวนๆ เป็นคนดี ทั้งอย่างนั้นเขากลับไม่มีสาวมอง บางคราวถูกสาวๆในเรื่องมองเยี่ยงแมลงสาปด้วยซ้ำ ด้านความรักแล้วตัวเรย์ค่อนข้างอาภัพเลยทีเดียว เพราะสาวที่ชอบดันไปตกหลุมรักพ่อพระเอกเนื้อหอมยูจิเข้าให้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะขวางทางรักเธอ เขาทำเพียงอวยพรให้เธอ โดยยอมเป็นพ่อสื่อที่ดีให้ด้วย
นอกจากนี้เรย์ยังปกป้องสาวที่เขาชอบโดยที่เธอไม่รู้ตัวมาโดยตลอด เขาแท็กทีมสู้ร่วมกับพระเอกอย่างสมภาคภูมิ—แต่นั่นก็คือช่วงแรกของเรื่องราว ในช่วงกลางเรื่อง เรย์ที่ได้วิชาดาบเทพๆ มาไม่ทันไรกลับถูกตัวร้ายหน้าใหม่ตบ และทำลายวิชาดาบที่ภาคภูมิใจจนยับเยิน หลังจากนั้นก็โดนตัวกีกี้ไม่มีชื่อรุมและแพ้ปางตาย …ซ้ำร้ายนับจากนั้นฝีมือของเรย์ก็ไม่กระเตื้องเลยสักนิด ต่างกับยูจิที่นำเขาไปไกลเป็นร้อยๆก้าว
นี่แหละขีดจำกัดของเรย์ เขาไม่มีทางยืนเคียงคู่เพื่อนซี้(ยูจิ)ที่เป็นถึงเทพเกิดใหม่ กับผู้ถือครอบวิญญาณระดับเทพทั้ง 10 ตนได้หรอก
เพราะไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้แบบก้าวกระโดดเรื่อยๆอย่างยูจิ เรย์ไม่สามารถเก่งทันพอจะสู้พวกตัวร้ายหลังๆได้ และโดนเล่นยับเป็นกระสอบทรายไร้ทางตอบโต้
ถึงชะตากรรมจะเล่นตลก แต่เรย์ก็ไม่ปริปากบ่น เขาลุกขึ้นมาฝึกตลอดเดี๋ยวนี้ม่หยุด แกว่งดาบเท่าที่คนแบบเขาจะทำไหว—-ไปเรื่อยๆ
ในช่วงสุดท้ายของเรื่องราวเรย์ระเบิดพลังขั้นสุดของตัวเอง ใส่จอมมารไป——-แต่ดัน ไม่สามารถทำให้เป็นได้แม้แต่แผล และถูกดีดนิ้วตัวขาดครึ่งก่อนขาดใจตายไปทั้งอย่างนั้น เป็นบทดราม่าให้พระเอก และนางเอกโชว์พลังความรักหนุงหนิงน่าหมั่นไส้กันข้างๆศพเพื่อน …แค่นั้นไม่ก่อนสิ้นใจไปเรย์ก็สารภาพความรู้สึกออกมา และถูกปฏิเสธแทบจะทันที …
เนื้อเรื่องอาฟเตอร์สตอรี่ ดูเหมือนเรย์จะได้เห็นหน้าลูกสาวคนที่ชอบจากบนฟ้าด้วย แน่นอนว่านั่นคือลูกของเธอคนนั้นกับยูจิ
….ที่ผมตกใจ ไม่ใช่เพราะเขาคือคนสุดยอดมากหรอก เพียงแค่เขาเป็นพี่ชายของตัวละครที่ถูกคนสงสารมากที่สุดเท่านั้น ….อึก….ไอบ้ายูจิแบ่งความโกงให้ชาวบ้านบ้างสิฟร้ะ
ผมเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วกล่าวทักทายพี่ชายของพระรองกระสอบทราย
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉัน เรเซอร์ …คนที่ดูใจดีเอางานเอาการทางนั้นชื่อเรเซล ส่วนอีกคนที่ดูขี้อู้ชื่ออันนา”
“-ด เดีย——-ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ท่านชิน”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
ชินรับคำทักทายจากสองสาว
“ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ การเดินทางครั้งนี้ต้องขอรบกวนด้วยนะครับ”
จากนั้นไม่นานผมก็เริ่มออกเดินทาง โดยมีคนขับรถม้าหนึ่งคน และเมดส่วนตัวสองคน และคนติดตามผมหนึ่งคน
**********
‘วาลาเมีย ชิน’ หนุ่มรูปงามที่ดูสง่างามผู้นี้ เป็นเพียงตัวละครประกอบที่ตายลงเพราะสงครามกับอาณาจักร ‘แซร์อิซ(แดนมังกรวายุ)’ เหมือนว่าจะตายเพราะผู้กล้า ..นับจากนั้นก็เป็นปมให้ตัวละคร ‘เรย์’ ในอนาคตเกี่ยวกับบักเรเซอร์ จนต้องให้ยูจิมาแก้ไขให้
เนื้อเรื่องบทนั้นคือส่วนที่จัดว่าดีงามเลย ใครต่อใครก็ต่างมารักเรย์และเอ็นดูเขากัน แม่ยกทั้งหลายก็พากันอวย ผู้ชายก็ไม่เว้น—–นั่นรวมผมไปด้วยละนะ อืม ชีวิตไปได้ดีเลย แต่คนเขียนแกไม่ได้ปลื้มตัวละครอย่างเรย์เท่าไหร่ จึงส่งแต่บทไร้ค่ามาให้ และฆ่าทิ้งแบบง่อยๆ พอเล่มที่เรย์ตายออกไปก็ออกมาทวิตว่า ‘พวกหล่อหน้าสวย ดูแล้วน่าจะสาวเยอะน่ะ ไม่เอาเฟ้ย! นิยายเรื่องนี้แบนแม่ยกงับ’ หลังจากนั้น 6 ช.ม. ก็ลบทวิตนี้ไปเป็นอันจบประเด็นร้อน ….แกว่งเท้าหาเสี้ยนเก่งชะมัด ไอนักเขียนที่มีแต่ดวงนั่น
ชะตากรรมของเรย์นั้นแสนเศร้า ชินก็ด้วย แต่ไม่ชินหรอกนะเออ
ผมหันไปมองข้างๆ อัศวินที่มารับหน้าที่คุ้มกันผม คนที่ผมกำลังคิดเกี่ยวกับภูมิประวัติ เขากำลังนั่งอยู่ข้างผมตัวเป็นๆ ร่างที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นเพราะต้นฉบับไม่ว่าจะรูปแบบใดวาดเพียงเงาดำๆให้ ณ ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ข้างตัวผมแล้ว
ท่าทางสง่าผ่าเผย ดูฝึกฝนมาดี นอกจากนั้นยังมีใบหน้าที่สวยงามเกินกว่าใคร ทั้งเท่และสวยไปในตัว ถ้าหากนี่เป็นนิยายเรื่องหนึ่งคงมีแต่คนเม้นต์ว่า ‘แต่งครับ’ แหง
“ชินรึเปล่า?”
“ใช่ขอรับ”
“เห๋ สมกับเป็นอัศวิน สามารถชินกับอะไรใหม่ๆ ได้ง่ายขนาดนี้ เจ๋งเลย”
’หะ’ เสียงสะท้อนไปมาในหัว ไม่เว้นเจ้าของประโยค แม้แต่เรเซลกับอันนาที่นั่งตรงข้ามผมก็เช่นกัน
“โทษที บ้านเกิดฉันเขาเล่นแต่มุกแป๊กๆ แบบนี้กันน่ะ”
ขออภัยคนไทยทั้งประเทศ
“…-ม ไม่หรอกครับ แต่ท่านเรเซอร์ผิดกับที่คิดไปเยอะเลยนะครับ”
เรเซลกับอันนาแอบพยักหน้าเห็นด้วย พวกหล่อนอยู่กันมาตั้งนานไปเห็นอะไรด้วยกับเขาเล่า
“พอดีหัวกระแทกพื้นนิดหน่อย อย่าใส่ใจเลย ว่าแต่ว่าชิน ..นายมีพี่น้องรึเปล่า?”
ชินเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ผุดยิ้มบางๆ ออกมา
“ขอรับ ถ้าน้องชายกระผมมีอยู่ รุ่นราวคราวเดียวกับท่านเรเซอร์เลยขอรับ”
“เห๋ เล่าเรื่องให้ฟังหน่อยสิ”
ชินหลับตาลงอย่างสง่าและเริ่มเปิดปาก
“น้องชายของกระผมมีชื่อว่า ‘เรย์’ ครับ”
ใช่จริงๆด้วย ตอนนี้ผมอยู่กับคนที่ไม่นานก็จะตาย คุณพี่ชายของพระรอง
“เรย์เขาเป็นเด็กที่ฉลาดน้อยครับ ต่างกับท่านเรเซอร์ เรียนก็ไม่ค่อยจะเรียน วันๆ เอาแต่ฝึกดาบทั้งๆที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์อย่างแท้จริง อาจจะดูอวดดีไปหน่อยแต่แตกต่างกับผมมากขอรับ”
ตรงเป๊ะเลย ถ้าผมบอกพี่แกไปว่า เรย์ที่ไร้พรสวรรค์คนนั้นกลายเป็นนักดาบที่เก่งที่สุดในรุ่นเดียวกัน แกคงปลื้มปีติมากแน่นอน อาจจะน้ำตาไหลเลย
“รวมๆแล้วเป็นเด็กโง่น่ะครับ ไม่ใช่เด็กที่น่าสนใจอะไรหรอกขอรับ”
ผมส่ายหัวให้ชิน
“ครั้งหนึ่งฉันเคยอ่านนิทานละนะ เขาว่ากันว่าคนโง่คืออัจฉริยะผู้ริเริ่ม เพราะคิดต่างกับคนอื่นแต่สร้างสิ่งที่สุดยอดมาได้ จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นอัจฉริยะ ..อะไรจำพวกนี้ดูเจ๋งดีว่ามั้ย?”
“ยกยอน้องชายนี่เง่ากระผมมากไปหน่อยนะขอรับ ฮะๆ”
“เชื่อฉันสิ”
ในเนื้อเรื่องเรย์คือผู้คิดค้นวิชาดาบที่เร็วที่สุดขึ้นมา—–ด้วยวิญญาณที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์นั้น แม้ว่าท่าสุดเทพนั้นจะถูกตัวละครที่เทพกว่าก็อบไปใช้ทั้งๆที่ได้เห็นแค่ครั้งเดียว แถมยังใช้ได้ดีกว่ามากโขก็ตาม
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้คิดค้นวิชาดาบนั้นคือ ‘เรย์ พระรองแสนรัดทน’
“…กระผมก็ไม่ได้คิดว่าเรย์เหนือกว่าคนอื่นหรอกนะขอรับ แต่เรย์มีสิ่งหนึ่งที่พิเศษกว่าทุกคนอยู่ …จริงๆแล้วไม่ได้สุดยอดขนาดนั้นหรอกนะครับ แค่เด็กหัวดื้อที่พยายามแต่สิ่งที่ชอบเท่านั้น”
“อืม เป็นเด็กที่น่าประทับใจจริงๆ เป็นไปได้อยากเจอหน้าเลยละ”
“เป็นเกียรติมากขอรับ”
***
หลังจากนั้นก็ผ่านไปหลายชั่วโมง ดวงอาทิตย์ตกลง และดวงจันทร์ขึ้นมาแทน
ราวสองทุ่มผมเดินออกมาจากรถม้า และแหงนมองท้องฟ้าสีมืดที่มีแสงดวงจันทร์สาดส่อง
“การได้ดูพระจันทร์ท่ามกลางความมืดมัวชั่งงดงามจริงๆ แต่ว่า——-ชิน ถ้านายมัวแต่มองฉันแบบนั้นมันชวนหมดอารมณ์เอานะ”
ผมหันไปยิ้มเจื่อนๆ ให้หนุ่มหน้าสวย ‘ชิน’ ที่มองผมที่ดูดวงจันทร์อยู่อีกทอดหนึ่ง
“ขออภัยขอรับ ในฐานะอัศวินจะทิ้งให้ผู้เป็นนายตื่นอยู่และตัวกระผมหลับสบายใจเฉิบคงไม่ดี”
“นั่นสินะ”
ผมถอนหายใจออกมาก่อนยิ้มให้ชิน
“นายเก่งรึเปล่า?”
“…..”
“ห้ามถ่อมตัวนะบอกก่อน”
“..ขอรับ หากว่ากันตามตรงก็ใช่”
คงจะอย่างนั้นแหละ ไม่นั้นเซบาสเตียนไม่ส่งเขามาคุ้มกันผมหรอก
“แล้วคิดว่าอยู่ระดับไหนละ”
“ในเครืออัศวินของประเทศฟัฟนิร์ กระผมถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สักวันอาจสามารถขึ้นไปเหนือคุณเซบาสเตียนได้ขอรับ”
ดาวรุ่งระดับตัวเต็งนี่เอง
แบบนี้ก็โอเครเลย กว่าจะถึงป่ามหาภูตติคงใช้เวลาราว 7 วันได้ ถ้าแบบนั้นผมก็จะมีคู่ซ้อมให้ไม่ขาดสาย
“ช่วยฝึกฉันทีนะชิน”
ผมเดินไปหยิบดาบไม้ใกล้ๆ โยนให้ชินและถือมันชี้เข้าหาชิน
“…รับทราบขอรับ”
“อ่า!”
ดีใจจริงๆที่เขายอมรับคำขอเห็นแก่ตัวของผมด้วย
“มีคนกล่าวไว้ว่าลูกผู้ชายจะส่งต่อความรู้สึกให้กันด้วยการแลกหมัด!”
“…ท่านเรเซอร์เป็นคนที่ดูบ้าบิ่นนิดๆนะครับ ต่างกับที่ลือกันไปทั่วเลย”
ถือโอกาสนี้สร้างภาพลักษณ์ดีๆ เลยละกัน
“ก็แค่ข่าวลือโคมลอยเฟ้ย ทั้งหมดเป็นเรื่องแต่ง!”
เอาเป็นว่าขออภัยผู้คนที่ถูกเรเซอร์กระทำไว้ก่อนหน้านี้ด้วยครับ
“ได้มาเห็นกับตาแล้ว ก็คงจะเป็นเช่นนั้นขอรับ”
ชินโค้งคำนับเป็นอันเริ่มการซ้อม
“ไม่ทราบว่าต้องการให้ผมเอาจริงระดับไหนครับ”
“ใช้ดาบไม้ และเวทย์ได้ตามใจชอบเลย”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ชินหยิบดาบไม้ใกล้ๆขึ้นมาตั้งท่า แต่ดูเหมือนจะไม่มีทีท่าจะใช้เวทมนต์เลย
ผมไม่คิดว่ามันเป็นการดูถูกหรอกนะ เพราะการสู้กับเด็กที่วงจรเวทย์ไม่สมบูรณ์แบบใช้เวทมนต์ด้วย มันเอาเปรียบจนดูโกงเลย
ผมผายมือขึ้น
“ในนามของข้า ‘เรเซอร์’ ขอบัญญัติ—เพลิงที่เปรียบได้ดั่งไฟของชีวิต จงตื่นขึ้น”
บอลเพลิงขนาดเท่านิ้วชี้คนราว 10 ลูกโผล่ออกมาลอยกลางอากาศ
“…เวทมนตร์… น่าเหลือเชื่อเลยนะครับ”
เมื่อชินเห็นเค้าก็กุมขมับตัวเองทั้งที่ยิ้มอยู่
“ท่านคือยอดอัจฉริยะเลยนะครับ ท่านเรเซอร์”
“ของแค่นี้ใครๆ ก็ทำได้น่า”
“ยกเว้นเด็กที่วงจรเวทย์ไม่สมบูรณ์ขอรับ——-คนที่ทำได้ดั่งท่านบนทวีปฟัฟนิร์นี้ แทบจะนับคนได้เลยละครับ”
‘เรเซอร์คือยอดอัจฉริยะ’ นั่นคือสิ่งที่ดูดีสำหรับตัวร้ายอย่างผม
“ชั่งเรื่องนั้นไปเถอะ คำยกยอค่อยมาพูดทีหลัง ตอนนี้ฉันอยากเก่งขึ้นให้มากๆ”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ว่าแล้วผมก็วิ่งเข้าใส่ชิน————————-ชินตวัดดาบสองทีด้วยท่าทางพลิ้วไหว เพียงพริบตาเดียวบอลเพลิง 10 ลูกของผมที่ใช้มานาราวหนึ่งในสี่ก็ดับไป
“——-เอ๋!?”
“ยั๊ก!”
ดาบไม้ฟาดเข้ามาข้างหัวผม ถึงผมจะสามารถพุ่งหลบได้แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อดี
…ไฟที่สร้างขึ้นจากมานา มันอ่อนเกินไประดับที่โดนการโจมตีเปล่าๆก็ดับเลย เราลืมเรื่องคุณภาพของเพลิงได้ไงกัน
ผมถอนหายใจและร่ายเวทย์อีกครั้ง
“———–ในนามของข้า ‘เรเซอร์’ ขอบัญญัติ—เพลิงที่เปรียบได้ดั่งไฟของชีวิต จงตื่นขึ้น”
บอลเพลิงขนาดเท่านิ้วชี้คนดั้งเดิมปรากฏขึ้น แต่มานาผมหายไปจนแทบจะเกลี้ยงตัว เหตุเป็นเพราะผมเสริมคุณภาพของเพลิงให้แทนปริมาณ
“ถ้าเป็นบอลเพลิงระดับนี้คงสามารถเผาต้นไม้ทั้งต้นได้เลยนะครับ”
“ขอบใจที่ช่วยประเมินให้”
ผมฉีกยิ้มออกมาและวิ่งเข้าใส่อีกครั้ง————-
—ผ่านไปราว 10 นาที
“…นายสุดยอดไปเลยนะ”
“ไม่หรอกขอรับ”
ตัวผมที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงพื้นพึมพำออกมา
แม่นแล้ว ผมแพ้อย่างง่ายดายโดยที่เหงื่อของชินไม่ออกเลยสักหยด ความต่างของพลังกายมันมากเกินไป มานากับพละกำลังในร่างกายมีส่วนเชื่อมโยงกันอยู่ เพราะฉะนั้นตัวผมที่มานาไม่สมบูรณ์ก็มีร่างกายที่เทียบกับคนที่มานาสมบูรณ์บนโลกนี้ไม่ได้อย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นการแพ้นี้มันไม่ได้น่าเกลียดเลยสักนิด อืม ปลอบใจตัวเองได้ดี
“น่าผิดหวังชะมัด”
“ไม่หรอกขอรับ ในช่วงสุดท้ายท่านเรเซอร์ทำให้ผมประทับใจมากจริงๆ ที่เขวี้ยงดาบใส่ผมและมาแลกหมัดกันแทน ทักษะการออกหมัดเยี่ยมมากครับ”
…แต่ก็แพ้อยู่ดีละนะ อย่างหมดรูป
ชินลงมานั่งข้างตัวผม ส่วนผมก็ตีตัวเองให้หลุดมานั่งบนพื้นดินได้
“แต่นายเก่งเกินคาดเลยนะ ตอนแรกนึกว่าจะเป็นแค่อัศวินเย่อหยิ่งทั่วไปซะอีก ดันมีมาดอัศวินขั้นสูงแทนซะได้เนี่ย”
“…ไม่หรอกขอรับ กระผมถูกจัดว่าเป็นอัศวินชั้นผู้น้อยเสียด้วยซ้ำ”
ชินถอนหายใจออกมา
“นอกจากนี้เหมือนว่ากระผมจะถูกเกลียดด้วยละครับ”
“เจ้าพวกขี้อิจฉาสินะ”
“….ขออภัยด้วยขอรับที่เล่าเรื่องไร้สาระให้ฟัง”
“อ่า จริงๆ แล้วจะฟังหรือไม่ฟังก็ได้แหละนะ อืม …ถึงจะแค่วันเดียวก็เถอะ แต่ฉันถูกชะตากับนายชอบกลแฮะ”
ชินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาหวิว คล้ายกับผู้หญิงชะมัด—
“ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกเป็นเกียรติมากขอรับ กระผมคิดว่าการได้เจอกันของพวกเราอาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้”
“เทคนิคมัดใจนายรึ? จะให้ฉันจ้างถาวรสินะ?”
“-ม ไม่ขอรับ กระผมไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น!”
ชินดูร้อนรนในทันทีที่ถูกกล่าวหา ท่าทางแบบนั้นค่อนข้างถูกใจผมทีเดียว
“ล้อเล่นนา คนเฮฮาแบบฉันไม่พูดอะไรเป็นจริงเป็นจังหรอก—แต่ถ้าเกิดจ้างได้ก็อยากจ้างได้ละนะ”
พลันใดนั้นใบหน้าของชินก็ดูเศร้าสร้อย
“…เป็นเกียรติมากจริงๆ ขอรับ เพียงแต่”
เพียงแต่?
“อัศวินอย่างผมไม่คู่ควรจะเป็นบริวารของท่านเรเซอร์หรอกขอรับ การที่ได้รับหน้าที่นี้นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ยังได้ด้วยซ้ำครับ”
เรื่องภายในกองอัศวินเยอะจริงๆ
หน้าผมเองก็เริ่มบึ้งตึงเล็กน้อย
ชินสังเกตเห็นสีหน้าของผมได้คงเข้าใจผิดไป
“-ข ขออภัยด้วยขอรับ!”
“ไม่ได้โกรธนายสักหน่อย …ไว้อายุ 16 เมื่อไหร่ค่อยไปขยายอำนาจแล้วกดดันกองอัศวินเอาก็ได้”
“…ฮะๆ อยู่ๆก็พูดอะไรโหดๆ ขึ้นมาเลยนะขอรับ”
“อืม จะเก็บไว้ในเป้าหมายของการที่อยากแข็งแกร่งขึ้นละกัน”
ผมพึมพำอย่างไม่จริงจังอะไรนัก แต่ชินกลับดูสงสัย
“…เหตุใดท่านเรเซอร์ถึงอยากแข็งแกร่งขึ้นหรือครับ?”
จู่ๆ เจ้าตัวก็ถามเช่นนั้นมา
ผมครุ่นคิดกับตัวเอง————-เบลลามี ผมอยากช่วยเธอ และผมก็ไม่อยากตาย
เหตุผลแรกๆ มันมีเพียงแค่นี้เท่านั้น ทว่าในเวลาเพียงหนึ่งเดือนมันกลับเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ …อยากอยู่กับเรเซลและอันนา ไม่อยากให้เซบาสเตียนผิดหวัง ..และตอนนี้ก็เหมือนว่ามันจะเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
ชิน เพียงแค่วันเดียวแต่ผมกลับสนิทกับชายคนนี้ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับว่าเคมีตรงกันอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันอยากช่วยผู้มีพระคุณละนะ อา แล้วก็อีกอย่างพึ่งคิดได้เลย อืม—-อยากได้นายเป็นอัศวินพิทักษ์ด้วย เพราะฉะนั้นช่วยรอฉันก่อนทีนะ”
…ชินเงียบลง ใบหน้าของเขาดูว่างเปล่า ก่อนที่จะค่อยๆ ผุดยิ้มสง่าให้ผม
“จะพยายามขอรับ”
….ผมรู้ดี
ในอีกปีเดียว ชินก็จะตายโดยที่ไม่สามารถเลี่ยงได้
ไอพวกกองอัศวินชั้นเลวมันส่งชินไปทำภารกิจที่ตายแน่นอนกลางดงสงครามระหว่างประเทศ …ชินจะตายแน่นอน บางทีเขาคนรู้อยู่แล้วจึงพูดออกมาว่า ‘จะพยายาม’ ไม่ใช่ ‘ขอรับ’ อย่างเดียว
ผมไม่อยากให้ชินตายเลย เพราะฉะนั้นอย่างที่สองที่ผมจะเปลี่ยนมันเองก็คือ ‘ชะตากรรมของชิน’
ผมยิ้มให้ชิน
“เข้านอนเถอะ”
“…อ๊ะ ขอรับ”
ชินดูกลัวแปลกๆ
“เป็นอะไรไป?”
“รอยยิ้มของนายท่ายน่ากลัวขอรับ ท่านโกรธอะไรกระผมหรือเปล่า?”
….
“โทษที”
********
บทสั้น—–ตัวจริงของชิน
ผ่านไปราว 1 ชั่วโมงหลังจากเรเซอร์เข้านอนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าชินยังไม่ได้นอนหลับสนิท
เขาลุกขึ้นมาและมองดูเรเซอร์เพื่อเช็กดูว่าหลับสนิทหรือยัง เมื่อเห็นว่าหลับแล้วเรียบร้อย ชินค่อยๆผละร่างตัวเองออกจากรถม้า
“ท่านเรเซอร์เป็นคนที่วิเศษจริงๆ ผิดกับที่ทุกๆคนบอกต่อกันมา …ใครกันนะที่สร้างข่าวลือโคมลอยเช่นนั้น”
ชินพึมพำอย่างไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะถอนหายใจปรับอารมณ์
เขาเดินไปแอบในป่าและถอดเสื้อพ่อบ้านออกมา ปรากฏให้เห็นสายพันรอบอก
เหมือนว่าสายพันนั้นจะกดหน้าอกไว้อยู่?
เมื่อถอดออกมาแล้วชินก็มีสีหน้าเศร้า
“เดิมทีที่ทุกคนเกลียดเราก็เป็นเพราะเพศกำเนิดด้วยละมั้ง”
——-ชินไม่ใช่ชายแท้ เขาคือผู้หญิงในกองอัศวิน มีชื่อจริงๆ ว่า ‘ชินดร้า’
แน่นอนว่าไม่ใช่คนเดียว แต่เธอลอยหน้าลอยตาเหนือใครต่อใครในกองอัศวินทำให้ไม่มีคนชอบหน้า แม้แต่ผู้มียศสูงยังไม่ชอบเธอ
ด้วยความซื่อตรงที่บริสุทธิ์และพรสวรรค์ที่มากล้น ทำให้เธอถูกอิจฉา
….ตามธรรมเนียมอัศวินหญิงมักจะเป็นฝ่ายสอดแนม และงานวิชาการๆ มากกว่าผู้ชาย แต่ชินดร้ากลับไม่ได้ทำตามธรรมเนียม นั่นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งก็ได้
“..รู้สึกผิดจังเลยนะ”
ชินดร้าพึมพำออกมาพลางมองขึ้นไปบนพระจันทร์
เธอรู้ดีถึงชะตากรรมของตัวเอง เพราะหลังจากภารกิจนี้เธอจะถูกส่งไปชายแดนที่เกิดสงครามใหญ่ทันที เธอรู้ดีว่าเธอถูกกำหนดให้ไปตาย …แต่ว่าสัญญากับเรเซอร์มันมีค่ามากเช่นกัน
เพียงเวลาสั้นๆ เธอก็รู้สึกว่าการพบกันกับเรเซอร์คือโชคชะตา ความเข้ากันที่น่าแปลกนั่นทำให้เธอไม่อยากตาย ราวกับได้เห็นเศษเสี้ยวบางสิ่งที่จูนอะไรบางอย่าง …ความทรงจำ?
“…คงต้องพยายามมากกว่านี้”
ชินดร้าพึมพำเบาหวิว …ก่อนจะก้มลงมองหน้าอกตัวเอง
“…รู้สึกโชคดีชอบกลเลยที่เราเกิดมาหน้าอกเล็กเนี่ย”
เธอหัวเราะแห้งๆ ออกมา—–
‘—-แม่เจ้า’ หญิงปากเสียคิดเช่นนั้นในใจ
ในที่ที่ไม่ไกลมาก ห่างกันเพียงสิบเมตรเท่านั้นในป่า ….อันนาและเรเซลเธอทั้งสองจ้องมองชิน ไม่สิ ชินดร้าตั้งแต่ต้นจนจบ
“…-ข ขอโทษคะ ขอโทษคะ ขอโทษคะ!”
“อย่าตะโกนสิยัยบ๊อง!”
อันนาปิดปากของเรเซลไว้
“-ต -ต -ต แต่ว่าคุณชินเขา คุณชินเขามีหน้าอก!”
“ …ตาฝาด?”
“…นั้นเองหรือคะ เห้อ”
อันนาจับนุ๋ยแก้มทั้งสองข้างของเรเซลทันที
“ก็บ้าแล้วยัยลูกไก่นี่!”
“-ง งือ ทำไมต้องเรียกว่าลูกไก่ด้วยละ!?”
“เห็นก้มหัวจิกพื้นบ่อยๆ เลยเรียกเช่นนั้นคะ …เอาเป็นว่าเงียบไว้ เหยียบทุกอย่างที่เห็นให้มิดเลยเข้าใจมั้ยคะ?”
เรเซลพยักหน้างึกๆทั้งน้ำตา
อันนาก่ายหน้าผากตัวเองเซ็งๆ
“มาเห็นของไม่ดีเอาซะแล้วดิฉันเนี่ย ช่วงนี้ซวยชะมัด”
“…แต่ฉันว่าช่วงนี้ฉันดวงดีมากเลยนะคะ แหะๆ”
“…มีอะไรเกิดขึ้นหรอ?”
“—-เปล่าคะ เปล่าคะ”
อันนาทำเป็นไม่สนใจเรื่องที่เรเซลพูด
“รีบกลับเข้าไปนอนก่อนที่คุณชินจะสังเกตเถอะคะ”
“…แต่ว่าฉันปวด”
“ไปกันก่อนเถอะค่ะ รอให้คุณชินกลับมาก่อนค่อยออก”
“…ค่ะ”
เรเซลดูหงอยๆ อย่างเห็นได้ชัด อันนาที่เห็นก็รู้สึกไม่ชอบใจ
“เข้าใจแล้วค่ะ รีบๆ ทำธุระเร็วๆ นะคะ เดี่ยวดิฉันกลับไปก่อน”
“-ผ ผี ฉันกลัวผี!”
‘ยัยลูกไก่นี่!’ อันนากัดฟันกรามตัวเองแน่นและยืนตรงรอ
“เร็วๆ นะคะ”
“ค่ะ…เอ่อ -ม ไม่มองได้หรือเปล่าคะ?”
“เรื่องมากจริงโว้ย!!”
“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ จะรีบเคลียร์ให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้แหละคะ!”
MANGA DISCUSSION