เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 67: เริ่มงานเทศกาลโลหิตมังกร
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 67: เริ่มงานเทศกาลโลหิตมังกร
< < 56 > >
อีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง ‘งานเทศกาลโลหิตมังกร’ จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ระหว่างนั้นทางเราซึ่งเป็นนักเรียนผู้มีส่วนร่วมกับงานๆนี้อย่างยิ่งก็ต้องมานั่งล้อมวงคิดว่าจะทำอะไรในวันงานดี
ช่วงเช้าของวันจันทร์ อันเป็นวันสุดแสนจะเจ็บปวดของชีวิตนักเรียน และคนทำงานนั้นการเรียนการสอนทุกอย่างถูกยกเลิก ไม่ใช่แค่วันเดียว แต่ทุกวันจนกว่าจะจบงานเทศกาลโลหิตมังกร นักเรียนวิทยาลัยเรดฮอตไม่มีเรียน–นั่นทำให้ภายในห้องเรียนครึกครื้นขึ้นมาผิดหูผิดตากับแต่ก่อน
เหล่าจิกโก๋ที่ไม่ยักจะโผล่หน้ามา ตอนนี้ได้ผุดเป็นดอกเห็ดเพื่อช่วยจัดงานเทศกาลกัน (จริงๆไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอก เหมือนมานั่งเล่นเฉยๆ)
ขณะนี้ผมและเหล่านักเรียนห้องเดียวก็เลยมานั่งล้อมวงนับห้าสิบกว่าคน โดยที่ขาดเคียวยะซึ่งเป็นคณะกรรมการนักเรียนไป
“คิดจะทำอะไรครับบอสเรเซอร์”
“บอส?”
ใครก็ไม่รู้ที่หน้าดูดุๆเข้ามาทักผม เป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่เคยโผล่หน้ามาเรียน มีแต่จะวับไปงานเลี้ยงหรือวงชกต่อยของพวกเลือดร้อน
“ชื่อเสียงของบอสกระฉ่องไปทั่วแวดวงเลยครับ ทั้งเรื่องที่ต่อปากต่อคำกับคุณหนูตระกูลมาควิซหรือท้าชนกับประธานนักเรียนหนิงได้ คุณคือความหวังของเด็กเกเรและบอสแห่งห้องสายปฎิบัติแห่งนี้”
ไม่ยักจะรู้เรื่องเลย-ผมหรี่ตามองไปรอบๆ ซึ่งทุกคนพากันหลบตาหนีหมด อะไรละนั่น?
“ไม่ชอบเลยแฮะชื่อเสียงพรรค์นั้น เรียกฉันว่าเรเซอร์เถอะ มันสบายใจกว่า”
ขืนโดนเรียกนำหน้าว่าบอสทั้งๆที่เป็นนักเรียนมันจะทำให้โดนชาวบ้านเข้าใจผิดเอา ผมเป็นแค่นักเรียนนะ ไม่ใช่หัวหน้าแก็งมาเฟียหรือเจ้าพ่อจากไหน
“เข้าใจแล้วครับ ถ้านั้นเรื่องวันงานเทศกาลบอส-หมายถึงคุณเรเซอร์จะจัดยังไงครับ”
“เรื่องนั้นก็ต้องถามความเห็นพวกนายและทุกคนสิ”
“ความเห็นคนอื่นหรือครับ?”
ก็เป็นซะแบบนี้
“ฉันไม่ใช่คนฉลาด ไม่ได้เก่งการตลาดหรือมีความชอบอะไรอย่างแรงกล้า เพราะฉะนั้นความเห็นของพวกคนที่มีไฟย่อมดีกว่าอยู่แล้ว” ผมยิ้ม “ลองเขียนเรื่องที่อยากทำลงในกระดาษเป็นไง? แล้วค่อยหยิบขึ้นมาสุ่มโหวตว่าจะเอาอันไหนกัน”
ทุกคนเห็นด้วย ผมเลยเริ่มส่งกระดาษให้ทุกคนบรรเลงตัวดินสือลงหน้ากระดาษ ก่อนจับมันยัดเข้าใส่กล่องผ้าขนาดครึ่งเมตร เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พิธีกรเฉพาะกิจอย่าง ‘กอรี่’ จึงเริ่มงาน
“ฟังนะพวกแก เลือกอย่างขาวสะอาดซะ ไม่อย่างนั้นโดนต่อยแน่”
ทุกคนที่มาเรียนระจำหยักไหล่ให้เหมือนกับว่า ‘เอาอีกแล้ว’ กับลักษณะการพูดของไอ้คนดีประจำห้อง จะมีแค่แต่โซเฟียที่เป็นเดือดเป็นร้อนมันทุกครั้ง
“เจ้าบ้า อย่าพูดแบบนั้นสิ” โซเฟียเดินไปกระซากคอเสื้อกอรี่ “คนดีเขาไม่ต่อยคนอื่นหรอกนะ ไอ้บ้านี่”
ทุกคนในห้องยักไหล่อีกครั้งเหมือนกับว่า ‘เอาอีกแล้ว’ กับการพล่ามไปเรื่อยของโซเฟีย
ถ้าจังหวะนี้มีเคียวยะมันจะมันกว่านี้เยอะเลย เอาเถอะ ตอนนี้มันเหตุจำเป็น ไม่ใช่เวลาต้องมาตบมุกไปมาไร้สาระแล้ว
ทุกอย่างเป็นแค่ของขึ้นชื่อประจำเห็น มีแค่พวกไม่มาเรียนเท่านั้นที่ไม่ทราบ เจ้าพวกนั้นเลยพากันงงหมด
“ท่านพิธีกรเริ่มเลยครับ”
“..เอ๊ะ ฉันเหรอ?”
โซเฟียชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“เพราะคำด่าของเธอทำให้กอรี่หมดกำลังใจแล้ว ..หมอนั่นกลายเป็นสาหร่ายทะเลแล้ว”
ผมชี้ไปทางกอรี่ที่นอนพึมพำกับพื้นว่า-‘ฉันไม่ใช่คนดี ฉันมันเลว แย่ที่สุด เป็นสาหร่ายทะเลดีกว่า’
“อ่อเรอะ ฉันไม่พูดอะไรต่อดีกว่า ถ้าเถียงต่อมีแต่จะสืบความยาว สาวความยืด”
อะไรกันสำนวณสุดล้ำนั่น ..แปลว่าอะไรหว่า ไม่เข้าใจ
โซเฟียเมินกอรี่เพราะเข้าใจแก่นแท้รูปแบบการคุยประจำกลุ่มแล้ว เลยเลี่ยงจะไม่เสียเวลาและจำฉลากแทน
ทุกคนเฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อ–
“–อันแรก วิจัยอาจารย์ใหญ่”
รีแอคชั่นก็ราวๆนั้นแหละ
“อันนั้นมันงานห้องสายทฤษฎีปะ?”
“น่าเบื่อตายชัก”
โซเฟียหยักไหล่ให้ ก่อนจะหยิบอันต่อไป
“สาหร่ายทะเล”
“ไอ้บ้านั่นชัวร์”
ทุกคนจ้องไปทางกอรี่ โซเฟียรีบหยิบอันต่อไปต่อ
“วิจัยยูจิ”
“ไอ้เบือกเรเซอร์ เรื่องคุณแฟนขอทีเถอะ นี่งานเทศกาลกลุ่มนะเฟ้ย!”
เหล่าสหายร่วมห้องพากันตวาดใส่ผม-ทั้งๆที่ในใบไม่มีชื่อผมแท้ๆ
“ทะ ทำไมรู้ว่าเป็นตูหมดเลยฟร้ะ แล้วก็ไม่ใช่แฟนด้วย แค่เพื่อนน่ะ เพื่อน”
โซเฟียเร่งหยิบอันต่อไปต่อทันที เธอตอนนี้ได้หลีกเลี่ยงการพูดคุยที่จะนำพาไปสู่การคุยที่ไร้จุดสิ้นสุด และสุดจะสิ้นเปลืองเวลา
“ต่อไป ..ร้านเมด”
“เอาอันนั้นแหละ”
“เห็นด้วย”
“โซเฟียในชุดเมด”
พลันใดนั้นหน้าของโซเฟียก็แดงก่ำ
“ยะ ยังไม่บอกเลยนะ ฟะ! เฟ้ย ว่าจะสวมชุดเมดให้น่ะ!”
อย่างหล่อนขอแค่มีคนมาวานให้ใส่ก็คงทำตามง่ายๆอยู่แล้ว
“นักเรียนหญิงห้องเรามีแต่น่ารักๆด้วย ไม่เลว”
“แต่ว่านา”
พวกผู้หญิงในห้องเริ่มจะออกเสียงบ้าง
“มีแค่พวกนายที่ได้เห็นของดีนี่มันเอาเปรียบหน่อยมั้ย?”
“ของดี? ของดีของตูมีแค่ยูจิกับเบลลามีเฟ้ย ประเมินตัวเองสูงไปแล้ว” ผมตะเบ๊ะปากไม่พอใจ
“เรื่องของคุณแฟนกับชู้รักช่างไปเถอะน่า คือว่านา-ชุดเมดมันน่าอายนะสำหรับพวกเรา จะให้เราใส่โดยที่พวกผู้ชายไม่
..จะว่าไปมันก็
“ถ้าจะให้สวมชุดเมด ผู้ชายก็ต้องใส่ชุดอะไรที่มันเชิงๆเดียวกันด้วย” โซเฟียพูดขึ้น
“..บันนี่เกริลเหรอ?” ผมพูดไปก็เขินไป
“อันนั้นแรงไป” โซเฟียพูด “ขออะไรที่เบาๆหน่อยนะ”
ทุกคนในห้องพากันครุ่นคิด ..ก่อนที่กอรี่จะได้คำตอบก่อนใครเพื่อน
“ชุดบาร์โฮส?”
….
ทั้งห้องเงียบกริบ-ไม่นานหน้าของโซเฟียค่อยๆแดงขึ้นมา เธอปิดหน้าตัวเอง
“แบบนั้นมันนอกใจคุณอลันแมนนะ” โซเฟียหรี่ตาลง “ฉันสัญญากับตัวเองแล้ว ว่าจะเป็นภรรยาที่ไม่ทำให้สามีรู้สึกหึงให้ได้”
อลันแมน(ตัวผมอีกคน)ไม่ได้เป็นอะไรกับหล่อนสักหน่อย-นอกเสียจากคุณลุงร้านขายดอกไม้ใกล้ๆ! ไม่มีอารมณ์มาหึงคนที่ไม่ได้เป็นอะไรหรอกวุ้ย!!
“แค่เด็กเล่นเองนี่ ถ้าจะนับว่าแค่นี้ก็นอกใจ ฉันไม่โดนเบลลามีกับยูจิโกรธแย่เลยหบรือไง?”
“พูดบ้าๆ แกไม่ได้เป็นอะไรกับเบลลามีสักหน่อย แล้วยูจิมาไงหะ!?”
“โทษทีๆ พอขึ้นอื่นพูดกรอกหูบ่อยๆมันก็เผลอไป”
ผมหันไปถามความเห็นทุกคนแทน
“พวกนายว่าไงล่ะ?”
เพียงครู่เดียวพวกเราก็ตกลงกันเรียบร้อย เสียงเป็นเอกฉันฆ์ว่า ‘เห็นด้วย’ งานเทศกาลโลหิตมังกรพวกเราจะทำในธีมร้านเมด/บาร์โฮส เวอร์ชั่นของเด็กเล่นกัน
พวกเราจัดแบ่งหน้าที่หลักๆกันดังต่อไปนี้
1.คนครัว ใช้ประมาณ 25คน โดยที่กว่าครึ่งเป็นผู้ชาย รวมผมด้วย
2.เมด ผู้หญิงที่อยากจะทำประมาณ 10 คน มีโซเฟียอยู่ด้วยแน่นอน
3.บาร์โฮส ผู้ชายที่อยากทำประมาณ 9 คน ถ้ามีโอกาสอาจเอาเคียวยะมาใส่ไว้
4.คนเฝ้ารักษาความปลอดภัย 10 คน มีกอรี่อยู่ด้วย
5.คนดูแลหน้าทางเข้า ตรวจตั๋วหรือประชาสัมพันธ์ 5 คน
ทั้งหมดรวมกันได้ 59 คน ขาดไป 1 คน คือเคียวยะที่ต้องไปทำงานคณะกรรมการนักเรียนเลยไม่ว่างมาร่วมงานด้วย น่าเสียดายหน่อย แต่สำหรับหมอนั่นงานคณะกรรมการนักเรียนน่าจะสนุกกว่าเห็นๆ
พวกเราจะแบ่งกันเป็นกะๆไป ถ้าทำจริงๆจะมีบาร์โฮสและเมดคอยดูแลอยู่ช่วงละสองถึงสามคนเท่านั้น คนครัวและหน่วยรักษาความปลอดภัยจะลดลงตามกะที่ตกลงเหมือนกัน
วันงานจะมีแค่วันเดียว แบ่งกะได้เป็น 5 กะ เพราะงานอยู่ตั้งแต่เช้ายังพลบค่ำ ยังดีที่ตัวโรงเรียนเราไม่ได้จัดไปจนจบงานเลย ไม่นั้นได้เหนื่อยตายแน่ เพราะงานเทศกาลโลหิตมังกรหลังจบพลบค่ำ ก็จะไปต่อช่วงค่ำที่มีการจุดพุอวยพรกันตามธรรมเนียมที่สืบต่อกันมา
ก็ราวๆนี้ การจัดเตรียมงานแบบจริงๆจังๆได้เริ่มขึ้นแล้วอย่างสนุกสนานปนตึงเครียด—
****
ระหว่างที่หลายคนกำลังคุยแบ่งหน้าที่กัน ผมได้ผละตัวออกจากวงสนทนาและเดินออกไปสูดอากาศนอกห้องเสียหน่อย ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือยังไง ผมถึงได้พบกับยูจิที่เดินออกจากห้องพร้อมกับผม
พวกเราจ้องหน้ากันก่อนจะส่งยิ้มให้กันและกัน
“ห้องคุณเรเซอร์จะจัดอะไรกันเหรอครับ?”
ยูจิเดินเข้ามาทักทายผมอย่างเป็นกันเอง ดูแปลกตาไปหน่อยที่ตัวร้ายและพระเอกนั้นสนิทกันเกินควรเช่นนี้
“ร้านเมดน่ะ ถ้าเป็นนายที่ไปร้านเมดบ่อยๆคงรู้สินะว่ามันเจ๋งแค่ไหน?”
“..จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไรสักหน่อย แค่โดนคนคนนั้นลากตัวไปมาตามใจชอบเท่านั้นเองครับ ฮะๆ”
คนคนนั้นที่ว่าถึงคือ ‘เรย์’
“แล้วทางนายล่ะ?”
“วิจัยอุปกรณ์เวทมนตร์ครับ แต่จริงๆจะมีแบ่งย่อยไปตามที่คนในห้องต้องการอีก แค่ตัวหลักเป็นอุปกรณ์เวทย์ครับ”
ของถนัดยูจิเลยสินะถ้าจำไม่ผิด
“เจ้าเรย์มันล่ะ?”
“รายนั้นเปิดย่อยเป็นของตัวเองครับ-วิจัยดาบครับ”
อืม นี่มันสายทฤษฎีวทย์นะ แต่ก็เอาเถอะ ทางผมที่เปิดร้านเมดไม่มีสิทธิ์ไปบ่นมันหรอก
“จะว่าไปยูจิ พักนี้รู้สึกเหมือนมีเพื่อนคุยอยู่ในหัวมะ?”
“เพื่อนคุย? ถามเรื่องนี้บ่อยจังเลยนะครับคุณเรเซอร์เนี่ย”
อนึ่งหลังจากงานเต้นรำสานสัมพันธ์ ผมก็ได้ตรวจเช็คว่ายูจิสามารถพูดคุยติดต่อกับวิญญาณระดับเทพในตัวเองได้หรือยัง
“นั่นสินะครับ ..” ยูจิครุ่นคิด “ไม่เลยครับ ผมหลุดวัยเด็กที่มักมีเพื่อนคุยเป็นประจำไปนานแล้วนะครับ ของพวกนั้นไม่มีหรอกครับ”
ยูจิยิ้มเจื่อนๆ ผมถูคางอย่างจริงจังนั่นทำให้ยูจิหยุดยิ้มลง
“คุณ..เรเซอร์?”
“ไม่รู้จักคนที่ชื่อ ‘อลัน’ เลยเหรอ?”
‘อลัน’ วิญญาณระดับเทพของยูจิตามเนื้อเรื่อง หมอนั่นเปรียบได้ดั่งคู่หูของยูจิ ว่าอีกอย่างเป็นตัวตนที่ขนานกับ ‘ยูนา’ ที่เป็นคู่หูของผมนั่นแหละ ถึงแม้ยูจิจะมีวิญญาณระดับเทพหลายตน แต่ตนที่เรียกว่าคู่หูได้เต็มปากเต็มคำนั้นมีเพียงแค่ ‘อลัน’
เป็นการสปอยเนื้อหาสำคัญไปบ้าง แต่อลันนั้นเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคโบราณ จะกล่าวว่าอลันคือวิญญาณระดับเทพตนแรกนั้นไม่เกินจริงแต่อย่างไร และด้วยโชคชะตาที่นำพา อลันที่ในยุคโบราณรับตำแหน่งเป็น ‘ทูตสวรรค์’ ผู้คอยปกป้องเหล่าทวยเทพและสรวงสวรรค์ และเวลานั้นอลันก็เป็นมือขวาของ ‘เทพแห่งการปกครอง’ หรือยูจิในชาติก่อนๆหน้านั่นเอง
ทั้งสองคือนายบ่าวทีถู่กฟ้าละขิตไว้ ตั้งแต่การถือกำเนิดของโลกยังปัจจุบันก็ไม่มีใครแยกสองคนนี้ออกจากกันได้ ช่างเป็นเรื่องที่ซึ้งกินใจเหลือเกิน
“ทำไมถึงรู้ชื่อนั้นได้ละครับ”
“ไม่รู้สิ แล้วนายรู้สึกชื่อนี้ด้วยรึ?”
แสดงว่าอลันปรากฏตัวแล้ว?
“นะ นั่นเป็นชื่อเพื่อนในฝันตอนเด็กผมเองครับ ..พูดแล้วก็น่าอาย”
บังเอิญ-ไม่สิ จะว่าไปยูจิได้รับวิญญาณระดับเทพมาตั้งแต่ก่อนความทรงจำจะหาย พอความทรงจำหายไปอลันเลยเป็นได้แค่เพื่อนในฝันเท่านั้น ..แบบนี้นี่เอง
“แบบนี้น่ะเอง ช่วยได้มากเลย”
“คุณเรเซอร์จะถามไปทำไมหรือครับ”
“ทำวิจัยอยู่น่ะ”
ยูจิเอียงคอฉงน เมื่อเห็นท่าทางนั่นผมก็ผลอยยิ้ม
พวกเราคุยกันต่อสักพักก่อนจะแยกย้ายกลับเข้าห้องเดิม
****
ผมกลับไปในห้องเพื่อเจรจาหาลือเรื่องประชุมต่อ และทำเช่นนั้นจนจบวันนี้ ก่อนที่พรุ่งนี้จะเริ่มจัดงานกัน
ตัวงานจัดกันได้อย่างราบรื่นย์ชุดสามารถตัดได้ทันภายในวันสองวันด้วยอำนาจแห่งเงินตราของลูกคนรวยทั้งหลาย กะอีแค่การตัดชุดสัก60ชุดภายในสองวันนั้นเป็นเรื่องกล้วยๆ
เมื่อเตรียมชุดและข้าวของภายในงานเสร็จเรียบร้อย-งานเทศกาลโลหิตมังกรก็เป็นอันเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
****
งานเทศกาลโลหิตมังกรได้เริ่มขึ้นแล้ว เหล่านักเรียนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานได้มารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจัดเตรียมความพร้อมของตัวงานอีกครั้ง
“ฟังนะพวก”
ตัวผมไม่รู้ทำอีท่าไหนถึงได้กลายเป็นหัวหน้าใหญ่ประจำงาน ขณะนี้ก็กำลังยืนหัวโด่อยู่บนแท่นที่ยืนของอาจารย์และกำลังพูดอะไรบางอย่างให้พวกนักเรียน ประมาณว่า-ปลุกใจละมั้ง?
“เป้าหมายคือสนุกไว้ก่อน คุณภาพไว้ทีหลัง โอเครนะ?”
วันนี้แปลกกว่าทุกวัน ปกติภายในห้องเรียนจะมีนักเรียนอยู่แค่สามสิบเศษๆจากหกสิบคน ทว่าวันนี้ดันอยู่กับครบ เหมือนกับงานเต้นรำสานสัมพันธ์ ..นี่คือเครื่องยืนยันในความสำเร็จชั้นดีเลย มันหมายความว่าทุกคนรู้สึกสนุกระดับที่ยอมเสียแรงและเวลาเพื่อช่วยกันทำให้งานวันนี้ดีที่สุด
น่าปลื้มใจชะมัด
“..เท่านี้แหละ”
“พูดให้มากเหมือนทุกทีหน่อยเซ้!”
เคียวยะแหกปากหวังทำให้ผมอับอายในสถานการณ์เช่นนี้ ช่างเป็นคนที่น่าทะเลาะวิวาทด้วยเหลือเกิน
“นะ หนวกหูน่า แค่นี้แหละ สนุกก่อนเครียดทีหลัง”
เมื่อยัดเยียดคติความขี้เกียจของตัวเองเสร็จเรียบร้อย ผมก็ลงจากพื้นสูงที่ยืนอยู่ ลงมาช่วยเหล่าสหายร่วมรบจัดเตรียมงานต่ออย่างที่ควร
เคียวยะกอดอกชายตามองไปทั่วทั้งห้อง ก่อนจะหัวเราะในลำคอออกมา
“ถ้าเคลียร์งานของคณะกรรมการเสร็จเร็ว ฉันคนนี้อาจจะอาสามาช่วยก็ได้นะ”
โซเฟียที่ยกของส่งไปมาพูดกับเคียวยะอย่างเย็นชา ..
“เรื่องนั้นไม่ต้องหรอก”
ว่าจบก็เดินทำงานต่อ เคียวยะยืนนิ่งสักพักก่อนเดินหนีออกจากห้องไป
“ปิดประตูด้วยนะ”
“..อย่า”
อย่า?
“อย่าทำเหมือนฉันเป็นส่วนเกินนะ!”
“เหวอ ที่แท้ก็เหงานี่หว่าที่ไม่ได้ทำงานร่วมกับพวกฉันน่ะเอง”
“นะ นะ หนวกหู ถ้าอยากแล้วมันจะทำไมฟร้ะ!? ไม่สิ จริงๆก็ไม่ได้อยากทำงานกับพวกแกมากนักหรอก ให้เดาคงทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากกันหมดสิท่า เหอะ ขืนทำงานกับพวกแกมีหวังเครียดตาย”
“อ่า ถ้านั้นก็ช่วยรีบปิดประตูไปทำงานที่ดีกว่าที่นี่ได้แล้วครับ คุณเคียวยะ”
“..คุณเรอะ เอาสิจะเรียกอย่างนั้นก็ได้ ..ไม่สิ กลับมาเรียกฉันคนนี้แบบสนิทสนมเหมือนเดิมเดี่ยวนี้เลยนะ!” เคียวยะพุ่งเข้ามาจะเอาเรื่องทั้งน้ำตา
อย่างที่เห็น พักนี้ถ้าเคียวยะโดนเมินหรือถูกกระทำเยี่ยงคนแปลกหน้า เขาจะรู้สึกนอยด์อย่างเห็นได้ชัด ต่างกับวันแรกที่เจอกัน
อย่างไรก็ช่าง เอาเป็นว่าตอนนี้ยังไม่มีเหตุขัดข้องอะไร หรือจะบอกว่าเริ่มงานได้อย่างดีเยี่ยมก็ยังได้ ไอ้งานเทศกาลโลหิตมังกรนี่น่ะ
****
ย้อนกลับไปราวอาทิตย์หนึ่ง ก่อนเริ่มงานเทศกาลโลหิตมังกร
“ได้มาแล้ว ..ฮา..ฮา..ฮ่า! ในที่สุดก็ได้มาแล้ว พลังที่แข็งแกร่งที่สุด!”
ท่ามกลางความมืดมิด เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งได้แหกปากโวยวายออกมาอย่างบ้าคลั่ง-เขามีชื่อว่า ‘การ์ป’
“ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่นา ไอ้วิญญาณระดับเทพนี่นะ”
ข้างตัวการ์ปเกิดเงาจางๆขึ้นมาก่อนที่จะเผยให้เห็นชายชราคนหนึ่ง
“วิญญาณระดับเทพ ‘ไอน์’ สินะ แกน่ะ”
เป็นการยากที่จะเชื่อ ..การ์ปได้ครอบครองวิญญาณระดับเทพแล้ว
ไอน์หรือวิญญาณระดับเทพนั้นเป็นชายแก่ตัวเล็กในชุดทักชิโด้สีม่วงดำ สวมแว่นตาเดียวหรือแว่นโมโนเคิล และมีไม้ไว้สำหรับช่วยเดิน
“ใช่แล้วละหนุ่มน้อย”
“หนุ่มน้อย? ช่างเถอะ ตั้งแต่วันนี้เรียกฉันว่าเจ้านายซะ”
“รับทราบ เจ้านาย..ว่าแต่ว่า” ไอน์ดันแว่นข้างเดียวของตนเองขึ้นอย่างขรึงขัง นั่นทำให้การ์ปถึงกับเหงื่อตก “ว่าแต่ว่า ..เจ้านาย ที่บอกว่าท่านเป็นสาวสวยวัยสามสิบอกสะบึ้มหุ่นสุดเอกซ์สวมแว่นสายตาเนี่ย โกหกรึ”
..ไอน์เขยิบเข้าไปใกล้นิดหน่อย
“สามสวยวัยสามสิบอกสะบึ้มหุ่นสุดเอกซ์สวมแว่นสายตา ที่สำคัญเป็นพวกอารมณ์ทางเพศสูงเนี่ยหลอกกันรึ”
“ไอ้อารมณ์ทางเพศสูงน่ะไม่เคยบอกเว้ย” การ์ปแสยะยิ้ม “แล้วก็ใช่ แกโดนตูหลอกเข้าให้แล้วล่ะ ไอ้สาวสวยที่ว่าน่ะไม่มีเฟ้ย! ที่เห็นก็แค่ภาพลวงตาโง่ๆเท่านั้น ฮ่าๆๆ เผอิญเห็นว่าวิญญาณร้ายแถวนี้มันชอบเปิดกระโปรงผู้หญิงหรือแอบลวนลามผู้หญิงน่ะนะ เลยเดาไปว่าอาจจะเป็นตาเฒ่าหัวงูก็ได้ ซึ่งก็จริงตามที่คาดไว้เลย”
ไอน์หน้าซีกเผือก ..ส่วนการ์ปยิ้มเหยาะเต็มที่
“แกนี่มันโง่ชะมัด เป็นถึงตัวตนที่ครั้งหนึ่งแกร่งสุดบนโลกแท้ๆ ไม่รู้จักระวังตัวเลย เจอผู้หญิงอ่อยนเข้าหน่อยคงเดินตามต๊อยๆละมั้งเนี่ย”
“..จริงอย่างที่เจ้านายว่าเลย ..อา รู้สึกเดือดหน่อยๆแล้วล่ะ เอาไงกับความรู้สึกนี้ดีนะ-ไอ้หนูวอนเก่งจริงๆนะ”
การ์ปได้ยินก็เดินไปตบหัวไอน์หนึ่งที พอเห็นว่าไอน์จะตอบโต้ก็พูดดักไว้
“ช่วยถวนพันธสัญญาอีกทีสิไอ้แก่”
ไอน์จ้องการ์ปอย่างไร้ความรู้สึก นี่คือดวงตาที่ใช้มองศัตรูอย่างแท้จริง
“จะมอบทุกอย่างให้ตลอดชีวิต แลกกับการทำเรื่องลามกสารพัดกับเจ้านาย ..”
“ตามนั้น”
ไอน์ได้แต่กำหมัดแน่น น่าละอายใจสุดๆที่วิญญาณระดับเทพผู้ยิ่งใหญ่นั้นตกหลุมพลางโง่ๆของเด็กน้อยคนหนึ่งเข้าให้ ..ความหื่นกระหายนี่แหละคือจุดจบของผู้แข็งแกร่งในประวัติศาสตร์ อารมณ์ทางเพศคือศัตรูต่อความแข็งแกร่ง
เขารู้ดีกว่าใครจากประสบการณ์มากมายในชีวิต ถึงอย่างนั้น ..เพราะรู้ดีกว่าใครนี่แหละ ถึงไม่สามารถหาวิธีแก้จุดนั้นได้ ก็–ไอน์น่ะเป็นพวกที่ถ้าโดนผู้หญิงยั่วเข้าหน่อยจะเดินตามและมอบทุกอย่างให้เลย เป็นแค่ไอ้โง่คนหนึ่งหากไม่มีพลังที่แข็งแกร่งกว่าใครๆ
“ในฐานะวิญญาณระดับเทพ พันธสัญญาก็คือพันธสัญญา ตกลงคือตกลง ข้าจะทำตามข้อตกลงทุกอย่างของเจ้านายเอง ..ลำดับแรก เจ้านายเอ๋ย”
“ว่ามา”
ไอน์ยกไม้เท้าขึ้นมาชี้ทางข้างหน้าของการ์ป
“ทางตรงหน้าอย่าได้ไปเชียวล่ะ ตัวอันตรายยืนดักอยู่”
ทันทีที่กล่าวจบก็มีคนๆหนึ่งเดินออกมาจากความมืด
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ผม ‘เรน’ มีความประสงค์จะคุยเรื่องธุรกิจกับท่านการ์ปและท่านไอน์เสียหน่อย”
เรนปรากฏตัวออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่น่ากลัว
****
ณ เมืองข้างเคียงของอาณาจักรฟัฟนิร์ ซึ่งเป็นศูนย์ของรถไฟเวทมนตร์ประจำฟัฟนิร์
อนึ่งบนโลกใบนี้นั้นเวทมนตร์สามารถประยุกต์ใช้และสร้าไงด้หลายสิ่ง เมื่อนำไปใช้คู่กับไสยศาสตร์หรือเล่นแร่าแปรธาตุ ทั้งหมดก่อให้เกิดเทคโนโลยิชั้นยอดอย่างรถไฟเวทมนตร์ขึ้นมา แต่ค่าโดยสารค่อนข้างจะแพงต่างกับรถม้า ทำให้มีแต่คนมีสะตังค์เยอะเท่านั้นที่ใช้กัน
กลับมาที่ปัจจุบันนี้ภายในรถไฟเวทมนตร์นั้นมี ..สัตว์ประหลาดอยู่
ชายสูงโปร่ง เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานของมนุษย์แล้วจัดว่าสูงเอามากๆแตะๆสองเมตรเลย มีผมสีเถ้าธุรี ดวงตาก็เช่นเดียวกัน สวมสูทสีขาวล้วนที่ดูมีราคาและที่สำคัญสะอาดเหมือนกับว่าไม่เคยใส่มาก่อน
อย่างที่รู้กันดีว่าคนๆนี้คือ ‘สัตว์ประหลาด’ – ‘เอเธอร์’
“งานเทศกาลโลหิตมังกร ..ฮึฮึ น่าสนุกจริงๆ” เอเธอร์กุมปากเพื่อไม่ให้เสียงหัวเราะรั่วออกมารบกวนแขกคนอื่น “อยากเห็นจริงๆนะว่าโลหิตมังกรของปีนี้มันจะแตกต่างจากปีก่อนๆหรือไม่”
****
แสงจากพระอาทิตย์ที่ค่อยๆขึ้นมาเพื่อส่องแสง ถ้าให้ประมาณเวลานี่คงราวๆตีห้ากว่าๆ
“ดวงจันทร์ได้ล่วงหล่น พระอาทิตย์อาสาขึ้นมาแทน ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เพราะแต่ก่อนโลกใบนี้มอบให้มนุษย์ได้เพียงแค่แสงจากดวงจันทร์ พระอาทิตย์เป็นสมบัติของทวยเทพ..ไม่น่าเชื่อที่มนุษย์จะมีวันได้สมบัติของเทพมาใช้กัน ถ้าไปบอกคนในยุคก่อนคงไม่มีใครเชื่อแน่ๆ เพราะอย่างนั้นทิวทัศน์เช่นนี้สำหรับข้าแล้ว มันน่าอัศจรรย์มาก”
คนประหลาดที่แต่งตัวดูน่าสงสัย ได้พูดอะไรประหลาดๆชวนน่าอายออกมา
“อา ทั้งแสงยามค่ำคืนหรือแสงอาทิตย์ยามเช้า ลูซิเฟอร์ผู้นี้สมควรได้รับหรือ ทั้งๆที่อีกไม่นานตัวข้าก็จะต้องทำลายโลกใบนี้ตามความประสงค์นายเหนือหัว การจะจำใจทำลายสองสิ่งเหล่านั้นช่างน่าเศร้าใจ”
เขายังไม่หยุดพูดอะไรพิลึกๆ
“โลกใบนี้จักต้องถูกทำลาย ..หึ..หึ..จักต้องถูกขจัด ใช่ แล้วก็ชำละล้าง อืม คำไหนดูเข้ากว่ากันนะ-คิดออกแล้ว โลกใบนี้จักต้องถูกขจัดชำระล้างให้ไร้ซึ่งมลทิน ..ไม่เลว ไม่เลว แบบนี้แหละดี”
ลูซิเฟอร์ยิ้มมุมปาก พร้อมกันนั้นลูกแมวตัวน้อยก็กระโดดขึ้นมาอยู่บนตักลูซิเฟอร์
“สิ่งมีชีวิตตัวน้อยในปัจจุบัน ..รู้สึกจะชื่อ แมว สินะ”
ลูซิเฟอร์นำมือไปสัมผัสบริเวณหัวโดยออมแรงไว้สุดตัว
“สัมผัสค่อนข้างดี ให้ลูบเช่นนี้ทั้งวันก็ไม่เบื่อ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เสมือนกับพวก ‘แคทตัส’ ละมั้ง”
(ปล.แคททัสคือแมวแฟนตาซีที่ตัวเป็นกระบองเพชร)
ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาทีแล้ว แต่ลูซิเฟอร์ยังไม่หยุดลูบหัวแมวตรงหน้า ไม่นานลูซิเฟอร์ก็นำหน้าเข้าไปใกล้ๆและถูไถสักทีก่อนจะผละตัวออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“แบบนี้นี่เอง ทั้งๆที่อ่อนแอแต่ก็อยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ได้ เป็นเพราะสิ่งนี้สินะ ..น่ารัก นี่คือพลังของท่านตัวน้อย(แมว)สินะ ดูถูกไม่ได้เลย”
ลูซิเฟอร์ยิ้มพลางล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเอง นำถุงพลาสติกที่ใส่ขนมปังอยู่ออกมา
“ข้าให้”
แมวงับขนมปังของลูซิเฟอร์ตั้งแต่ยังอยู่บนมือจนตัวลอย
“น่ารักน่าชังเหลือเกิน” ลูซิเฟอร์อุ้มแมวตัวน้อยไว้และป้อนขนมปังอย่างเอ็นดู “ข้าขอแนะนำนะท่านตัวน้อย(แมว)หน่อยนะ ..หาที่ซ่อน ไม่สิ หนีออกจากเมืองได้จะดีมากเลยล่ะ แค่วันนี้วันเดียว ช่วยอย่าอยู่ที่นี่นะท่านตัวน้อย(แมว)”
ลูซิเฟอร์ยกร่างตัวเองขึ้นมา และเดินออกจากที่ซุกหัวนอนชั่วคราว ซึ่งเป็นในตรอกข้างถนน
“อย่ารีบตายนักซะละ จนกว่าจะถึงวันที่โลกจะถูกท่านจอมมารพิพากษา จนใช้ชีวิตจนถึงตอนนั้นซะ”
แมวตัวน้อยคาบขนมปังชิ้นน้อยและวิ่งตามลูซิเฟอร์มา
“ฉลาดเลือกตามคนนะท่านตัวน้อย(แมว) ย่อมได้-หากประสงค์จะตามข้า ก็จงตามมาจนกว่าจะถึงวันสิ้นโลกเสีย” ลูซิเฟอร์คว้าแมวขึ้นมาไว้บนไหล่ “เกาะไว้ให้แน่นล่ะ วันนี้สายลมอาจปั่นป่วนเป็นพิเศษ”
กล่าวจบลูซิเฟอร์จึงเดินต่อ แต่ไม่นานเขาก็หยุดเดินและหันไปมองหน้าลูกแมว
“ต้องตั้งชื่อด้วย..สินะท่าน”
‘เข้าทางล่ะ’ ลูซิเฟอร์คิดเช่นนี้ขึ้นมาในใจ เพราะการตั้งชื่อสำหรับลูซิเฟอร์นั้นคือสิ่งที่ชอบที่สุดในชีวิตเลย
“นามของท่านคือ ซาตาเอล ไม่สิ..อาซาเซลละกัน หึๆ อาซาเซลตัวน้อยเอ๋ย จงมาดูวันสิ้นโลกพร้อมกันข้าเสียเถิด”
เมี๊ยว-อาซาเซลขานรับด้วยเสียงร้องสุดไพเราะ
“ข้าจะถือว่านั่นเป็นคำตกลงละกัน”
ลูซิเฟอร์ออกเดินอีกคราวเพื่อมุ่งสู้จุดหมายอย่างวันสิ้นโลกของเขาพร้อมกับอาซาเซล
ปล.ขอโทษที่หายไปนานนะครับ พอดีหมดไฟไปอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนี้ผมเติมไฟมาเรียบร้อยแล้วครับ จะรีบกลับมาปั่นต่อนะครับผม