เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 65: เปิดม่านสู่บทต่อไป
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 65: เปิดม่านสู่บทต่อไป
< < 54 > >
ตอนนี้ผมมานั่งอยู่ในห้องที่ตกแต่งอย่างพอดิบพอดีอย่าง ‘ห้องคณะกรรมการนักเรียน’ กับ ‘ไอริส’ หนึ่งในตัวละครสำคัญในฮาเร็มของพระเอกนิยาย ‘ยูจิ’
โดยที่ตอนนี้เรากำลังนั่งจิบชากันเยี่ยงผู้ดี เห็นดังนั้นผมก็จิบชาตามมารยาทสักสองสามจิบก่อนจะเข้าเรื่อง
“แล้วที่ชวนมาเนี่ย มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“แค่จะคุยเล่นด้วยไม่ได้สินะค่ะ”
ทำเป็นพูดไปคนคนนี้-ไม่มีทางที่ไอริสจะเคลื่อนไหวโดยไม่มีเป้าหมายอะไร ในเนื้อเรื่องหลักยังมีแก๊ปโมเอะได้บ้างตรงที่ไอริสที่จะทำทุกอย่างตามหลักสูตร และผลประโยชน์ดันมาตกหลุมรักยูจิระดับน่าเป็นห่วง เพราะผลประโยชน์บ้าบออะไรไอริสโยนทิ้งไปหมดเลยล่ะ เมื่อได้เจอกับความรักน่ะนะ
“เข้าเรื่องดีกว่าครับ”
ไอริสถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอหรี่ตาออกไปนอกหน้าต่าง
“ตอนนี้พวกม็อบนักเรียนโผล่ออกมากันไม่หวั่น เรียกร้องหนิงไม่ให้ลาออกจากตำแหน่งประธานนักเรียน ..คิดเห็นอย่างไรคะ?”
“สงสารประชานักเรียนสุดๆเลยแหละ เพราะอย่างนั้นเป็นไปได้ก็อยากให้หนิงกลับไปรับตำแหน่งต่อ อย่างน้อยๆก็จนเกือบจบวาระก็ดี”
ถึงตอนนั้นตำแหน่งประธานนักเรียนมันไม่ได้สำคัญอะไรกับเนื้อเรื่องแล้ว-แต่ตอนนี้ยังไม่
ผมกับไอริสจ้องตากัน
“นั่นสินะคะ ทางฉันก็ได้รับความเสียหายพอตัวเลย ทั้งโดนต่อว่าเรื่องที่ไม่กล่อมหนิงให้ หรือเรื่องที่ดูแลฝูงม็อบได้ไม่ดีพอ ทั้งๆที่ม็อบเหล่านั้นเป็นม็อบชนชั้นสูงที่ทางฉันไม่อาจล่วงเกินได้ตามใจชอบ”
นั่นสินะ เด็กในโรงเรียนนี้แทบจะทั้งหมดเป็นขุนนางหรือพ่อค้ายักษ์ใหญ่ทั้งนั้น แม้ไอริสจะเป็นลูกของขุนนางชั้นสูงอย่าง ‘เค้านต์’ ก็ไม่อาจทำตามใจชอบได้ วิธีในการยับย้้งม็อบแทบไม่มีเลยนอกจากไปคุยกับทางบ้านเรียงคนเพื่อให้ช่วยปลาม แต่การทำเช่นนั้นมันกินเวลามาก ผมมั่นใจว่าไอริสคงกำลังทำอยู่แต่ต้องแบ่งเวลามาดูแลจัดการม็อบด้วย ตามที่คนใหญ่คนโตของโรงเรียนมันสั่ง
“ยิ่งกว่านั้นยังโดนสั่งมาไม่เว้นวันเลย โดนตำหนิเรื่องการทำหน้าที่ละลวมด้วย ท่านหนิงทำฉันลำบากสุดๆเลยล่ะ”
“แย่ชะมัด ไอ้คนสั่งเนี่ยไม่ลองมาดูแลเองบ้างนะ อีกอย่างแค่ม็อบเองปล่อยๆไปก็ได้นี่?”
โลกเก่าผมม็อบอะไรพวกนี้ก็มีกันให้พรั่บ เพราะการบริหารสุดจะทนของรัฐบาลชุดหนึ่ง ..คิดๆดูหลังจากผมตาย ปัญหาเรื่องรัฐบาลจะจบหรือยังนะ?
จะว่าไปปัญหาที่เจอตอนนี้คล้ายๆกันเลยแฮะ แค่โลกของผมมันร้องให้ไล่ออก แต่โลกนี้ร้องไห้ไม่ลาออกนี่สิ
“ให้ปล่อยม็อบหรือคะ?” ไอริสเอียงคอฉงน “ทางฉันไม่โดนต่อว่าแย่เลยหรือ?”
“พวกม็อบนักเรียนต้องการหนิงไม่ใช่รึไง เป้าหมายของรุ่นพี่คือทำยังไงก็ได้ไม่ให้เกิดม็อบ ถ้านั้นก็ร่วมมือกับม็อบหาทางกล่องหนิงให้กลับมารับตำแหน่งเป็นไง?”
“แหม่ ฉันนึกว่าคุณจะช่วยให้ท่านหนิงลาออกได้เสียอีก”
“ว่าตามตรง-ฉันไม่เห็นด้วยกับทางเลือกของหนิง”
“น่าเสียดายนะค่ะ ฉันเห็นด้วยค่ะ”
..เอ๊ะ?
หูฝาดไปหรือเปล่านะ?
“มะ เมื่อกี้ว่าไงนะครับ”
“ฉันเห็นด้วยที่จะให้หนิงลาออกค่ะ”
“มีคนที่จะดันให้ขึ้นเป็นประธานนักเรียนแทนแล้วเหรอ?”
ไอริสถอนหายใจอีกคราว เธอลูบแก้มตัวเองพร้อมขมวดคิ้วจ้องหน้าผม ท่าทางดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“บางครั้งฉันก็มีเรื่องที่อยากทำโดยไม่สนผลประโยชน์นะ ..แปลกหรือคะ?”
“ให้เชื่อมันก็ยากนะครับ คนแบบรุ่นพี่เนี่ย”
“พูดจาได้เสียมารยาทจริงๆ คุณเคียวยะยังมารยาทดีกว่าคุณเลยนะรู้ตัวมั้ย?”
เรื่องนั้นเถียงได้ไหมนะ? ไม่ดีกว่า เดี่ยจะนอกเรื่องไปไกล
“โทษทีละกันครับ แล้วเหตุผลคืออะไรล่ะ?”
เหตุผลที่ยอมทำโดยไม่หวังผลประโยชน์ ..เป็นคำถามที่ดูย้อนแย้งก็จริง แต่มันมีแน่ๆ
ไอริสหรี่ตาลง เธอโพล่งขึ้น
“คงรู้ดีสินะ ว่าหนิงมีอายุขัยที่สั้น”
…รู้ด้วยเหรอ?
“สายเลือดแห่งจักพรรดิ์-สายเลือดแห่งมหามังกรเพลิง คือพลังของท่านหนิงใช่มั้ยล่ะคะ?”
เรื่องที่หนิงมีอายุขัยสั้นเนื่องจากการสืบทอดพลังเก้าส่วนของมหามังกร ‘ฟัฟนิร์’ มา ไอริสรู้ด้วย เกินคาดเลยแฮะ
“แล้วไงต่อ” ผมเขม็งใส่หนิง “เรื่องที่หนิงมีพลังของฟัฟนิร์อยู่เป็นจริง แล้วมันจะทำไมต่อล่ะ”
“อายุขัยของท่านหนิงจะสั้นลงมาก เพราะร่างกายของมนุษย์ไม่ได้เอื้อให้มนุษย์สามารถแตะต้องพลังของมังกรได้ อีกทั้งนี่ยังเป็นมหามังกรอีก ..อายุได้แค่ 20 เธอคงจะสิ้นชีวิตแล้ว”
หนิงหรี่ตาลง ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเธอทำสีหน้าเช่นนั้น
เธอกำลังโกรธอยู่
“นับจากตอนนี้ อีกราว 3 ปี ท่านหนิงจะตาย”
นั่นคือขีดจำกัดในฐานะผู้ครอบครองพลังของฟัฟนิร์
“เหตุผลที่ฉันไม่คิดจะขวางการลาออกของท่านหนิงก็เป็นเพราะอีกไม่นานเธอต้องตายแล้ว อย่างน้อยๆก็ให้มีความสุขกับชีวิตหน่อยจะเป็นอะไรมาก ..เธอพึ่งพบสิ่งที่อยากทำเองนะ”
…
“คุณเองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ยังจะแดกดันให้ท่านหนิงไปรับตำแหน่งในสิ่งที่ไม่ชอบ ทั้งๆที่อีกไม่กี่ปีเธอจะต้องตาย” ไอริสมองผมอย่างกับขยะ “อย่างน้อยๆในเวลาอันน้อยนิดที่มีอยู่ ฉันอยากให้เธอมีความสุขกับมันเต็มที่ ..กลับกันคุณที่รู้อยู่กับใจยังจะเลือกทางให้เธอเป็นประธานนักเรียนต่อ ไม่คิดว่าโหดร้ายหน่อยหรือไงคะ? ไม่ใช่ว่าพวกคุณกับท่านหนิงสนิทกันหรือ?”
อะไรกัน ยัยนี่เป็นห่วงหนิงนี่เอง ..ผมแสยะยิ้มออกมา
“ยิ้มอะไร?”
ผมทำเมินคำถามเชิงหาเรื่องนั่น และโพล่งออกมา
“..สักวันจะมีคนมาช่วยหนิงแน่นอน ไม่ช้าก็เร็วเธอจะถูกปลดปล่อยจากสายเลือดมังกร ยัยนั่นสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องเสียดายเวลา”
เรื่องในนิยายต้นฉบับ ผู้ที่จะปลดปล่อยหนิงก็คือพระเอก ‘ยูจิ’
“เชื่อฉันสิ ถ้าวิกฤตขึ้นมาจริงๆเจ้าชายจะพุ่งปรี่มาช่วยหนิงเลยล่ะ”
“ถ้าเจ้าชายที่ว่าไม่มีอยู่จริงล่ะคะ?”
“คิดว่าชายที่อยู่ตรงหน้ารุ่นพี่เป็นใครกัน?” ผมพูด “ในทุกเรื่องราว ถ้าเกิดเจ้าชายแพ้ ผู้ชนะก็คือขุนนางผู้ชั่วร้ายเสมอ ไม่ใช่รึไง?”
ผมแสยะยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบัง ต่อให้รอยยิ้มนี่จะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม
“แหม่ ช่างน่าสนใจจริงๆ แต่ยังไงฉันก็ยังจะยืนยันคำเดิม-ทางฉันไม่คิดว่าลำพังคุณจะช่วยได้หรอก”
“ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นเอง ..ก็อยากพูดแบบนี้อยู่หรอกนะ แต่มั่นหน้าไปคงไม่ดี” ผมหัวเราะเบาหวิว “ในอนาคตถ้าทางนี้พลาด อย่าลืมมาช่วยกันล่ะ รุ่นพี่”
“ขึ้นอยู่กับกรณีค่ะ”
คงจะอย่างนั้น ฮะๆ
****
ตกเย็นผมนั่งอยู่ในห้องชมรมหนังสือพิมพ์อันเป็นสรวงสวรรค์ของผม พูดให้ถูกคือห้องชมรมของผมมากกว่า
ขณะนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องชมรมที่ผมสังกัดอยู่อย่างชมรมหนังสือพิมพ์ และก็นั่งอ่านซองจดหมายที่เขียนจั่วหัวไว้ว่า ‘จดหมายร้องเรียนชมรมหนังสือพิมพ์’ อยู่
“ช่วงนี้จดหมายเรียกร้องโผล่มาเยอะจังนะ” ผมเปิดซองจดหมายอ่าน “..เหวอ มีคนร้องเรียนทางผมมาแน่ะครับ ว่าเขียนแต่ข่าวปลอมๆอวยยูจิปีหนึ่งห้องทฤษฎี ..อะไรของมันฟร้ะ”
“ก็เพราะเธอเอาแต่เขียนข่าวอวยยูจินี่นา”
เธอที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่พึมพำขึ้นมา และถอนหายใจเฮือกใหญ่อัดหน้าผม เหมือนตั้งใจต่อว่ากัน
ผู้หญิงที่อยู่กับผมในห้องชมรมไว้ผมทวินเทลสีบลอนด์ตามแบบขุนนาง เพียงแค่ดูไม่ดูแลตัวเองจนผลดูยุ่งๆ สวมแว่นหนาทำให้มองไม่เห็นลูกตา เธอชื่อ ‘เคย์’ ถ้าให้บ่งบอกลักษณะโดยรวมในมุมของตัวละครอนิเม ก็คงแนวสาวรุ่นพี่ที่ปกปิดความงามไว้ภายใต้แว่นตากระมัง และตอนนี้เธอกำลังต่อว่าผมอยู่ในฐานะนักข่าวโรงเรียนด้วยกัน
อนึ่งหลายเดือนมานี้ผมได้ตัดสินใจเข้าชมรมที่จะทำให้ผมรู้ข่าวไกลกว่าชาวบ้านเขา อย่างชมรมหนังสือพิมพ์อันทรงเกียรติแห่งโรงเรียนเวทมนตร์เรดฮอต แม้ว่าไม่กี่เดือนก่อนที่ผมจะเข้ามาชมรมนี่เกือบจะถูกยุบไปแล้วก็ตาม
ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ทำข่าวไม่ดีให้พวกชนชั้นสูง’ หรือ ‘จะทำข่าวเสียๆหายๆให้โรงเรียน’ ไม่ได้ ทำให้ชมรมหนังสือพิมพ์ไม่มีคอนเท้นต์และขาดสมาชิก ยิ่งกว่านั้นคนที่เป็นสมาชิกชมรมยังโดนพวกเด็กเกเรแขวะเป็นพิเศษ ชมรมเลยร้างไปโดยปริยาย ยังดีที่เดือนก่อนผมได้เข้ามาปฎิรูปชมรมนี้และทำข่าวตามใจชอบอย่างที่ควรจะเป็น อาทิเช่นการเขียนข่าวอวยความเทพของยูจิสนองนีทตัวเอง
“ผมอยู่แผนกเขียนข่าวยูจินะครับ ไม่ได้เขียนข่าวเท็จด้วย ไม่เห็นว่าตัวเองทำอะไรผิดเลย”
“มันผิดก็ตรงมีแผนวกเขียนข่าวของยูจิโดยเฉพาะนั่นแหละ ..อุตส่าห์ได้ชมรมกลับคืนมาแล้วแท้ๆ ทำไมเหมือนชมรมโดนคนชื่อยูจิยึดเลยนะ”
อันนั้นผมผิดเองกระมัง อะไรที่มากไปก็ไม่ดี
“แต่ช่วยไมไ่ด้นี่ครับ พวกรุ่นพี่เขียนข่าวกันช้ามาก ผมที่เขียนข่าวของยูจิเสร็จเอาๆก็กลัวคนในโรงเรียนจะตามไม่ทันเลยต้องรีบลงครับ”
“คนชื่อยูจิกลายเป็นดาวโรงเรียนเพราะเธอเลยนะรู้มั้ย”
“เป็นเกียรติครับ”
“ที่ทำคงมีเหตุผลสินะ เธอน่าจะอย่ากลบข่าวเสียๆหายๆของตัวเอง”
..โรงเรียนเวทมนตร์เรดฮอตมีคนฉลาดเต็มไปหมด นั่นคือเรื่องที่ผมรู้หลังจากเรียนที่นี่ได้หลายเดือน ทั้งไอริสหรือเคียวยะต่างฉลาด-ฉลาดกว่าผม บางทีรุ่นพี่ตรงหน้าก็ด้วย
อย่างที่เธอว่า ผมอยากให้ข่าวลือแย่ๆของตัวเองหายหมดให้ได้เยอะๆ จึงได้สร้างดาวเด่นอย่างยูจิขึ้นมาแทน เอาให้มิดจนทุกคนลืมผมไปเลยก็ดี เพราะถ้าผมเด่นอะไรหลายๆอย่างมันจะยุ่งยากตามมา ว่าง่ายๆคือเคลื่อนไหวไม่สะดวกนั่นแหละ
รุ่นพี่เคย์พึมพำ โดยที่ในมืออ่านหนังสือพิมพ์โรงเรียนฉบับใหม่ไปด้วย
“ฉันไม่สนหรอกนะ ยังไงเธอก็ช่วยชมรมหนังสือพิมพ์ที่พวกรุ่นพี่รักษากันรุ่นสู่รุ่นไว้ได้ อยากจะทำอะไรก็ตามใจชอบเลย ถือซะว่าเธอครองสิทธิ์ออกข่าวอะไรก็ได้ต่อสัปดาห์เองเลย ..ยังไงคนเราก็น้อยจนเขียนข่าวไม่ทันอยู่เลย ช่วยพยายามให้ตายเผื่อส่วนหน้าที่เหลือด้วยนะ”
กรุณาอย่าพูดใจจริงต่อหน้ากันได้ไหมเนี่ย
ผมกับรุ่นพี่เคย์นั่งคุยกันไปมาสักพักก่อนที่เธอจะออกจากห้องไป เพราะนี่ก็เย็นแล้วคงกลับหอไปพักผ่อน
“ลำบากหน่อยนะครับ”
“ทางเธอด้วย”
ผมโบกมือบายเธอจนรุ่นพี่เดินออกจากห้องและปิดประตูแล้ว ผมก็เดินไปหยิบข่าวล่าสุดที่รุ่นพี่อ่านเมื่อครู่ขึ้นมาอ่านต่อ
เนื้อหาข่าวระบุไว้ว่า ‘คนในเผย ประธานนักเรียนหนิงอาจลาออกจากตำแหน่งในเทอมที่สองอย่างสมบูรณ์’
พออ่านเนื้อหาไปเรื่อยๆผมก็ปวดหมองกว่าเดิม
‘ลือกันสนั่นตัวการณ์การลาออกของประธานนักเรียน คือเรเซอร์ดราแคล์ นักเรียนที่มีข่าวฉาวขโมยกางเกงในรุ่นพี่ไอริสตอนต้นเทอม คนในเผยอีกว่าลูกน้องของเรเซอร์พากันก่อเรื่องไปทั่ว’
“…ขอทีเถอะ จำไม่เห็นได้เลยว่าไปยุให้หนิงลาออกตอนไหน แล้วเรื่องลูกน้องตูไปมีตอนไหนฟร้ะ ..ไม่สิ เรื่องหนิงอาจมีเอี่ยวอยู่หน่อย ตรงชวนมาทำงานกินถั่วงอกก็จริง แต่ไอ้เคียวยะกับกอรี่ก็ด้วยไม่ใช่เรอะ ทำไมมีแค่ตูที่เดิมฟร้ะ ..ไหนขอดูหน่อยใครเขียนข่าว ..เหวอ รุ่นพี่เคย์เขียนเองกับหมอเลย ยัยรุ่นพี่นั่นคิดจะหาเรื่องกันสินะ ถ้าไม่ติดว่าให้สัญญาไว้ว่าออกข่าวได้ตามใจเลย เสร็จตูแน่”
‘นักเรียนห้องอัศวินปีหนึ่ง ประกาศกร้าวถ้าได้เป็นประธานนักเรียนจะทำให้โรงเรียนนี้ดีกว่ายุคของหนิง’ ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่เนื้อหาข้างในพาดหัวข่าวมันไม่ใช่การหาเรื่องแต่อย่างไร
“เขียนพาดหัวข่าวเสี้ยมให้คนตีกันชัดๆ เลือกประโยคให้มีจรรยาบัญหน่อยสิ ..ใครเขียนนะ-อ๊ะ ยัยรุ่นพี่เคย์อีกแล้ว ทะ ทำไมคนคนนี้..เฮ้อ”
เนื้อหาข่าวมีข่าวลือเกี่ยวกับตัวผมอีกแล้ว และข่าวของหนิงที่เป็นประเด็นร้อนอยู่เต็มไปหมด มองไปเรื่อยๆก็ปวดสมองเลยปิดข่าววางลงทันที และหน้าข้าวล่างหนังสือพิมพ์มันมีข้อความขนาดใหญ่อยู่
‘นับถอยหลัง 1 อาทิตย์ให้หลังสู่งานเทศกาล วันครบรอบการกำเนิดอาณาจักรฟัฟนิร์ ได้เวลาโรงเรียนเวทมนตร์เรดฮอาตไปฉายแสงยานุภาพในงานเทศกาลแล้ว’
พออ่านถึงท่อนนี้ บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไป ผมขมวดคิ้วและนั่งเท้าคางตัวเองมองออกไปนอกหน้าต่าง
“..จะถึงแล้วสินะ”
‘งานเทศกาลวันครบรอบการกพเนิดอาณาจักรฟัฟนิร์’ หรือในชื่อย่อ ‘งานเทศกาลโลหิตมังกร’ ซึ่งมีที่มามาจากว่าวันนี้คือวันที่ฟัฟนิร์หรือพี่น้องมังกรทุกตนถูกแยกส่วนพลังเลยเกิดเป็นชื่อย่อนี้มา ส่วนชื่อแรกก็ตรงตามความหมายเลย ตัวชื่อย่ออาจดูหม่นๆหรือชั่วร้ายหน่อยบ้าง แต่ตัวงานค่อนข้างจะดี
งานเทศกาลโลหิตมังกรคืองานเทศกาลครบรอบวันที่อาณาจักรฟัฟนิร์ถือกำเนิด ทั้งพ่อค้าและแม่ค้าจะจัดโปรโมรชั่นและอะไรต่างๆนานาเจ๋งๆออกมา มีละครเวทีจัดให้ดูฟรีกลางแจ้ง หรือการมาเผยแพร่วัฒนธรรมจากทวีปอื่นก็ด้วย ทำให้มีชาวต่างแดนมากันให้พรั่บ ไม่ต้องบอกก็รู้ดีว่าตัวงานจะเต็มไปด้วยผู้คนชนิดเดินแทบไม่ได้
และในเนื้อหางาน โรงเรียนเวทมนตร์เรดฮอตที่ผมอยู่ก็จะจัดงานประจำโรงเรียนของตัวเองหลายอย่างด้วย ถ้าให้ยกที่เด่นๆมาคือ ‘ละครเวที’ ‘การประลอง’ ‘การค้าขายแต่ละห้อง’
ประมาณงานเทศกาลของญี่ปุ่นนั่นแหละ ยังไงตัวนิยายต้นฉบับก็มาจากคนญี่ปุ่น ตัวงานเทศกาลเลยเหมือนกับงานโรงเรียนของญี่ปุ่น ที่เผอิญเอาไปผสมโรงกับงานเทศกาลประจำจังหวัดด้วย
ตัวละครเวทีจะจัดทำโดยตัวท็อปของโรงเรียน จะจัดแสดงอยู่ภายในโรงเรียน แน่นอนจุดนี้ผมไม่น่ามีเอี่ยว
ตัวการประลอง จะจัดอยู่ภายในโรงเรียนเช่นกัน จุดนี้ผมอาจได้ร่วมหรือไม่ได้ร่วมตามสมควร ถ้าให้ผมในตอนนี้ตัดสินใจคงไม่ เพราะเก็บแรงเผื่อไว้จะดีกว่า
ตัวการค้าขายแต่ละห้องก็ตามชื่อ ทุกๆห้องจะจัดการขายของตามที่ตัวเองต้องการกัน ถ้าให้สปอยห้องของยูจิจะจัดเป็นงานขายอุปกร์เวทมนตร์ที่นักเรียนผลิตกัน ..ยังไงก็สายทฤษฎีนี่นะ
แน่นอนมันไม่ได้มีแค่สามอย่าง มันจะมีแยกย่อยไปอีกมากมาย อย่างพวกชมรมเด่นๆไรงี้อีกเพียบ
ค่อนข้างหน้าตื่นเต้นเลย แต่ช่างมันก่อน สิ่งสำคัญที่สุดของเรื่องราวบทนี้ไม่ใช่การเที่ยวเล่นเฮฮาสนุกสนานเหมือนหลายเดือนมานี้ เพราะในงานเทศกาลโลหิตมังกร มันจะเป็นการจู่โจมแรกของลาสบอส-ของจอมมารดิลุค ตามเนื้อเรื่องต้นฉบับเหล่าอาร์คเดม่อนจะมาบุกเมืองเริ่มต้นกันโดยมีเป้าหมายเป็นเบลลามีผู้เป็นร่างสถิตของจอมมาร แน่นอนเนื้อเรื่องต้นฉบับ ณ เวลานั้นกว่าจะเฉลยเป้าหมายก็ปาไปตอนจะจบเรื่องแล้ว ทั้งตัวเบลลามีหรือจอมมาร และเป้าหมายของพวกอาร์คเดม่อนในบทนี้ จะไม่เปิเเผยให้เห็นโดยเร็วแน่นอน แต่เสียใจด้วย ผมรู้มันหมดนั่นแหละ เพราะมาจากอนาคตอะนะ
ตัวผมที่มาจากอนาคตรู้ทั้งหมดอยู่แก่ใจ ผมเลยรู้ดีว่าถ้าหนิงเสียสิทธิ์การเป็นประธานนักเรียนหลายอย่างมันจะย่ำแย่
เนื้อเรื่องช่วงงานเทศกาลโลหิตมังกรพวกอาร์คเดม่อนนับสิบตนจะออกอาละวาด พร้อมกับนั้น ..ผมหรือ ‘เรเซอร์’ ก็จะออกโรงด้วยเช่นกัน พร้อมกับวิญญาณระดับเทพอย่าง ‘ยูนา’ น่ะนะ และอย่างที่เคยกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้ว เนื้อหาช่วงนี้ ‘เซบาสเตียน’ พ่อบ้านสุดเจ๋งของตะกูลดราแคล์ก็ออกอาละวาดด้วยเหมือนกัน
ทั้งอาร์คเดม่อนและเรเซอร์กับเซบาสเตียนได้สร้างความเสียหายให้กับงานเทศกาลโลหิตมังกร โดยที่เป้าหมายของอาร์คเดม่อนคือจอมมาร ส่วนเรเซอร์และเซบาสเตียนเป้าหมายคือยูจิ ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมมือกันเฉพาะกิจเพื่อทำเป้าหมายตัวเองให้ลุล่าง
ตัวบทนี้มีเนื้อหาสำคัญมากมาย นอกจากการต้องไล่เก็บพวกอาร์คเดม่อน กับเข้าปะทะเสี่ยงตายกับเรเซอร์ หนึ่งในนั้นคือการเปิดเผยตัวจริงของยูจิว่าเป็น ‘เทพที่กลับมาเกิดใหม่’ และบทนี้จะเปิดทางให้ยูจิใช้พลังของ ‘วิญญาณระดับเทพ’ ได้สมบูรณ์
ใช่แล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์งานประลอง เจ้าอลันวิญญาณระดับเทพของยูจิ จะเปิดเผยตัวตนให้ยูจิรู้ และรับใช้ยูจิแบบตรงๆเลย ส่วนปริศนาเทพที่กลับมาเกิดใหม่จะเฉลยก็จริง แต่ยูจิจะยังใช้พลังนั้นได้ไม่สมบูรณ์ ยิ่งกว่านั้นทั้งหมดจะเปิดเผยเพราะยูจิได้สู้กับเรเซอร์และเซบาสเตียนพร้อมกันกับหนิง ..แบบนี้เนื้อเรื่องเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน เพราะพวกตัวร้ายหลักประจำบทสองตัวดันกลายเป็นตัวดีเสียแล้ว
แต่หายห่วง ผมมีวิธีดีๆอยู่แล้ว
“ต้องใช้พวกอาร์คเดม่อนให้ดีหน่อยน่ะนะ”
ถึงบทนี้ผู้กำชัยจะเป็นฝั่งยูจิ แต่ผู้แพ้คืออาณาจักรฟัฟนิร์ เพราะพวกอาร์คเดม่อนนับสิบตัวออกอาละวาดจนเมืองเละเป็นหน้ากอง ว่ากันตามตรงอาร์คเดม่อนอ่อนกว่าเรเซอร์ในเวลานั้น และอ่อนกว่าเซบาสเตียนมากแบบไม่เห็นตัว ๆ เลยล่ะ
เข้าเรื่องเลยคือผมจะตีวงอาร์คเดม่อนไม่ให้มันทำให้เมืองเสียหายด้วยพลังของผม และให้ยูจิสู้ตัวต่อตัวกับอาร์คเดม่อน อีกเก้าตัวที่เหลือผมจะจัดการเอง ในกรณีที่เลวร้ายทำยังไงพลังยูจิก็ไม่ตื่นจากการต่อสู้นี้ผมจะเข้าไปช่วยยูจิ แต่ถ้ายูจิฟื้นพลังได้ทั้งหมดจะสมบูรณ์แบบ
เมืองฟัฟนิร์ไม่เสียหาย ผู้คนมากมายไม่ตาย ยูจิได้พลังมาแบบปลอดภัย ..จริงๆผมก็คิดแผนหลายอย่างไว้เหมือนกัน
“จริงๆก็อยากยกระดับเคียวยะหรือเรย์อยู่หรอกนะ ..แบ่งอาร์คเดม่อนให้เจ้าพวกนั้นคนละตัวดีมั้ยนะ?”
ระดับความสามารถของเคียวยะกับเรย์ต่อให้เจออาร์คเดม่อนก็คงจะไหว ถ้าเรย์เวลานี้อาจชนะเลยด้วยซ้ำ ถึงจะตึงมือหน่อยก็ตาม ส่วนเคียวยะคงแพ้แบบสูสี เพราะเป็นนักเวทย์ สู้ตัวต่อตัวไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เช่นนั้นแบ่งอาร์คเดม่อนให้พวกเรย์กับเคียวยะหนึ่งตัวละกัน ให้ยูจิหนึ่ง ส่วนหนิงยัยนั่นปล่อยไว้ดีกว่า ขืนให้สู้กับอาร์คเดม่อนเกิดคลั่งจนคุมพลังไม่ได้ขึ้นมา แม้แต่ผมอาจจะระงับความเสียหายวงกว้างไม่ไหว ภัยพิบัติที่หนักกว่าเนื้อเรื่องต้นฉบับได้เกิดขึ้นแน่ๆ
โซเฟียกับกอรี่หลุดกรอบการต่อสู้ พวกเขาสองคนผมไม่คิดจะดึงให้มาสู้ด้วย ส่วนไอริสผมไม่ได้ฉลาดพอจะไปบงการคนคนนี้หรอก ถ้ามีท่าทีแปลกๆขึ้นมาโดยยัยนั่นสืบจนเละแน่ ปล่อยไปเหมือนหนิงดีกว่า
..เห็นผมพูดแบบนี้แต่จริงๆอาร์คเดม่อนค่อนข้างจะเก่งเลยนะ ให้เทียบก็ประมาณพวกที่มีพลังกายเกือบเท่านักดาบขั้นสูง และใช้เวทมนตร์ขั้นสูงได้ จะว่าเก่งก็ได้เลยเทียบกับมาตรฐานในโลกนี้แล้ว แต่ถ้าให้ไอ้พวกนี้ไปจับคู่กับคนที่มีวิญญาณระดับเทพอย่างผมหรือยูจิในอนาคต มันก็เกินไปหน่อย ยังไม่รวมเรย์ที่ในอนาคตจะคิดค้นวิชาดาบขี้โกงได้ หรือเคียวยะที่มีดวงตามหาปราชญ์สุดขี้โกง และหนิงที่สืบทอดพลังฟัฟนิร์มาอีกนะ
ว่าโดยง่าย อาร์คเดม่อนอยู่ระดับค่อนข้างเก่งของโลก แต่พวกมีวิญญาณระดับเทพต่อให้ตัวผู้ใช้กระจอกยังไง อย่างน้อยๆก็จะอยู่ระดับที่เก่งของโลกแหละ
มั่นหน้าไปหน่อยก็ขอโทษด้วย แต่ผมมั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับเทพที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่แข็งแกร่งจากการเทียบพลังทั่วโลก แต่แข็งแกร่งในหมู่ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพด้วยกัน ต่อให้ยูจิปลุกพลังวิญญาณระดับเทพ และพลังของเทพได้ ผมก็ไม่คิดว่าจะแพ้ให้ยูจิ ตอนนี้หลายอย่างของยูจิยังด้อย ทั้งพลังกาย และเวทมนตร์ที่ใช้ได้ หรือทักษะการต่อสู้ เผลอๆยูจิอาจแพ้ให้เรย์ได้ด้วยซ้ำ ด้วยความต่างทางพลังกาย
แน่นอน ถ้าเป็นยูจิตอนจบเรื่องผมคงสู้ไม่ไหว ต่อให้สุดแกร่งของเรื่องมาสู้ก็อาจจะแพ้ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ต่อให้ยูจิใช้ได้ทั้งวิญญาณระดับเทพ และพลังของเทพผมก็ไม่มีทางแพ้
“..เอาเป็นว่างานเทศกาลโลหิตมังกร-ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดทุกอย่างก็วางใจได้”
..แต่ว่า เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้นนี่สิ
“..การ์ปหมอนั่นไปไหนกันนะ”
‘การ์ป’ คนที่หาเรื่องยูจิในงานเต้นรำสานสัมพันธ์ หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ยื่นใบลาออกโบกมือลาโรเรียนไป ..เหมือนกับเรเซอร์ในเนื้อเรื่องต้นฉบับ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้หลายเรื่องเลย ถ้าหากในกรณีที่เลวร้าย หากหลายๆเรื่องมันลงเอยเหมือนกับผมทุกอย่างจริงๆ-ไอ้เวรนั่นก็จะได้ ‘วิญญาณระดับเทพ’ มาครองเพื่อมาถล่มพวกยูจิและอาณาจักรฟัฟนิร์เหมือนที่ตัวผมในโลกนิยายทำไม่ใช่รึไง?
ด้วยความไม่ไว้ใจผมเลยวานให้คนในตระกูลไปติดตามชีวิตของการ์ปหลังออกจากโรงเรียนต่อด้วย หากมีอะไรไม่ชอบมาพากล ..ให้ฆ่าทิ้งเลย
“ถ้าเกิดหนิงยังเป็นประธานนักเรียนอยู่ จะมีส่วนร่วมในการดูแผนผังการจัดงานอย่างละเอียด นั่นจะทำให้หลายอย่างไม่วุ่นวายถ้ามีการตามล่าอาร์คเดม่อนหรือตัวแปรที่คาดเดาไม่ได้เพิ่มเข้ามา”
..เอาเถอะ เรื่องอาร์คเดม่อนไม่เท่าไหร่ เจ้าพวกนั้นในมุมของผมแล้วอ่อนแอ ปัญหาคือตัวแปรที่ผมไม่รู้ต่างหาก หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่อาจเป็นตัวแปรนั้นคือการ์ป จึงได้ส่งให้คนตามติดการ์ปและเกิดเรื่องไม่ดีให้ลงมือฆ่าเลย อาจโหดร้ายไปหน่อยแต่ช่วยไม่ได้ ..ผมไม่อยากให้มีเรื่องความใจอ่อนเข้ามาเกี่ยวจนมันย้อนกลับมาทำร้ายผมเอง
“ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ในมุมคนอ่านนิยาย ..ฉันคือตัวละครในหน้ากระดาษ เพราะอย่างนั้นความสูญเสียทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นได้ มันไม่ใช่แค่ของตัวละครในนิยาย แต่เป็นของฉันที่กลายเป็นตัวละครในนิยายด้วยเหมือนกัน ..ในมุมของคนอ่านอาจจะสนุก แต่ในมุมของตัวละครไม่สนุกเลยนะเฟ้ย” ผมยิ้มเจื่อนๆออกมา
..ก๊อกๆ ระหว่างที่ระบายความรู้สึกอยู่ ตรงหน้าต่างก็มีเสียงเคาะดังขึ้น พอหันไปดูก็พบเข้ากับนกเหยี่ยวที่คาบจดหมายมา
ผมเปิดหน้าต่างและรับจัดหมายนั่นไว้ ก่อนเปิดดู
จดหมายจั่วหัวไว้ว่า- ‘รายงานการเคลื่อนไหวของการ์ป’ มีกำกับยืนยันด้วยลายเซ็นต์ของเซบาสเตียนด้วย
ผมรีบอ่านโดยทันที ..
…
…
…
“..เฮ้อ” ผมแหงนหน้ามองเพดาน “ให้ตายสิ”
ผมเก็บจดหมายเข้าซองและใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะมองออกไปหน้าหน้าต่าง
“มันอะไรกันเล่า ..รายงานที่ว่าผู้มีหน้าที่ติดตามการ์ปได้เสียชีวิตกันหมดทุกคนน่ะ”
ตัวแปรพิเศษได้เพิ่มเข้ามาแล้ว
“เจ้าการ์ปเป็นตัวแปรจริงๆด้วย ..เจ็บใจนัก น่าจะรีบฆ่าให้จบๆไป”
แต่ให้ฆ่าตั้งแต่อีกฝ่ายลาออกมันก็ไม่ไหว-อย่างน้อยให้มันทำตัวจะขัดผมก่อนค่อยฆ่า แต่นี่มันอะไรกัน ..พอรู้ตัวอีกทีลูกน้องที่ส่งไปก็ตายกันหมด โดยที่การเคลื่อนไหวของการ์ปตัดหายไป ไม่สามารถตามตัวได้อีกน่ะ
“ว่าแล้วเชียว วิธีการอาจเลวร้ายไปหน่อย แต่ควรฆ่าการ์ปตั้งแต่ตะหงิดใจครั้งแรกแล้ว”
..เอาเถอะ
“ยูนา เหมือนว่าในงานเทศกาลโลหิตมังกร เธอจะได้มีส่วนร่วมสำคัญแล้วล่ะ
เธอผู้นั้น ‘วิญญาณระดับเทพ’ ผู้ที่สามารถสะบั้นมิติ และถูกกล่าวขานกันว่าเป็น ‘วีรสตรีที่แกร่งที่สุด’ ได้ขานรับคำของผม
‘รับทราบค่ะ ศัตรูต่อให้เป็นวิญญาณระดับเทพด้วยกัน หรือเหนือกว่านั้น ทางฉันไม่เกี่ยง’
“ทางฉันเลี่ยงได้ขอเลี่ยงล่ะ อย่างการ์ปน่ะต่อให้ได้วิญญาณระดับเทพมาก็ไม่คณามือหรอก ไม่จำเป็นต้องให้เธอออกโรงเลย แต่ฉันกลัวอย่างอื่นมากกว่า ..ไม่ใช่ว่าจะมีคนที่แกร่งระดับเซบาสเตียนโผล่มาด้วยรึ? ยังจะตัวแปรอื่นที่อาจมีตามๆกันมาอีก เพราะการ์ปเป็นตัวจุดสงวนเลยนะ ไม่มีทางที่หมอนั่นจะรับมือกับคนที่ฉันส่งให้ตามดูด้วยตัวคนเดียวได้หรอก ..ต้องมีคนช่วยอีกที”
จังหวะนั้นผมก็กัดริมฝีปากตัวเองอย่างเจ็บใจ
“ทำไมฉันถึงไม่ฉุดคิดกันนะ ยูนาเธอจำเรื่องที่ฉันไปป่ามหาภูติได้มั้ย?”
‘จำได้ดีค่ะ แล้ว?’
“เธอคิดว่าอย่างการ์ปถ้าไปหาเธอจะได้ครอบครองเธอมั้ยละ?”
‘..ไม่มีทาง โดนฉันไล่ไม่พอ คงโดนเซเนียตามฆ่าซ้ำแน่นอนค่ะ’
“ถ้านั้นตัวฉันในโลกนิยายที่นิสัยบัดซบพอกันหรือเหนือกว่าการ์ปอีกเนี่ย มีสิทธิ์ได้ครอบครองเธอเรอะ?-ไม่มีทางอยู่แล้ว จริงๆก็รู้อยู่แล้วล่ะ คิดไว้แล้วว่าพวกจอมมารอาจจะช่วย แต่ยูนาไม่อยู่แล้วเลยไม่ต้องห่วง ..แต่ว่านะ-วิญญาณระดับเทพไม่ได้มีแค่เธอสักหน่อย ..มันไม่ได้หากันได้ง่ายๆก็จริง แต่หลักฐานที่ว่าหากันไม่ได้น่ะไม่มีสักหน่อย”
‘จะบอกว่าทั้งฉันในนิยายต้นฉบับ ทั้งวิญญาณระดับเทพตนอื่นที่การ์ปอาจจะได้ไปครอง ล้วนเกิดจากฝีมือมือที่สามสินะคะ?’
“เออ ..ถ้าเป็นอย่างนั้น ในงานเทศกาลโลหิตมังกร-มือที่สามที่ว่าอาจมีเอี่ยวมากขึ้นก็เป็นได้ คนที่แกร่งทัดเทียมเซบาสเตียนหรือเหนือกว่า”
เพราะอย่างนั้นนั่นแหละ
“ในเหตุการณ์ครั้งนี้ ฉันอาจใช้งานเธอหนักหน่อยนะ”
‘..เชิญใช้งานฉันได้ตามใจชอบเลยค่ะ-นั่นคือความปารถนาดั่งเดิมอยู่แล้ว’
“อ่า เข้าใจแล้ว” ผมยิ้มให้ยูนา “พวกเราไม่ได้สู้พร้อมกันกันก็ตั้งนานแล้ว หวังว่าฝีมือจะไม่ตกนะ?”
‘ถามตัวเองเถอะค่ะมาสเตอร์’
“ครับ ครับ จะว่าไป..”
จดหมายผมยังอ่านไม่จบเลย-ว่าแล้วผมก็หยิบมันมาอ่านต่อ
“..แบบนี้นี่เอง”
เรื่องน่าปวดหัวมาอีกแล้ว
“เซบาสเตียนก็จะมางานด้วย รายนี้ว่าไป แต่-ทำไมพี่สาวตูถึงมาด้วยฟร้ะ”
ในอีกไม่กี่วันแองเจลิน่าจะเข้าร่วมงานเทศกาลโลหิตมังกรด้วย