< < 51 > >
“โลกใบนี้ดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว ..เป็นคำทำนายที่ไร้สาระจังเลยนะ หมอผี”
เด็กหนุ่มรูปงามเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางดูเหนื่อยใจ เขาสวมชุดสีขาว คาดสีทอง ประหนึ่งกับเจ้าชายที่ไหนสักแห่ง ..ไม่สิ เขานี่แหละ เจ้าชายตัวจริงเสียงจริง ไม่นั้นเขาคงไม่มีสิทธิ์มายืนอยู่ในที่แห่งนี้หรอก
ที่ที่ยืนอยู่นั้นเป็นที่ที่แสงสว่างส่องมาไม่ถึง เป็นเหมือนกับห้องทดลองกระจกแก้ว กับตัวอะไรสักอย่าง–ที่คล้ายกับมนุษย์
เจ้าชายหันซ้ายมองขวาไปมาตามหลอดแก้วขนาดสองเมตรนับร้อยหลอดรอบตัว พลันใดนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางมองไปเบื้องหน้าซึ่งชายคนหนึ่งกำลังเดินนำทางเขา
ชายผู้นั้นตัวสูงราว 2 เมตร ร่างหนานึก สวมเสื้อคลุมสีดำปกคลุมทั้งตัวจนมิด เผยให้เห็นแค่ใบหน้าโฉมงามราวกับหลุดมาจากภาพวาด
“หมอผี”
“เรียกผมว่า ‘เรน’ เถอะครับ ฝ่าบาท”
ชายเสื้อคลุมดำสนิทมีนามว่า ‘เรน’
“..ฝ่าบาทหรือ? เสด็จพ่อผมยังอยู่ดีนะ”
เจ้าชายเขม็งใส่อย่างหวาดระแวง
“ประทานโทษนะฝ่าบาท ไม่ว่าจะมองจากทางไหนตำแหน่งของท่านก็ไม่ต่างกับราชาแล้วละ ..ฮึฮึ” เรนแสยะยิ้ม “ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่มีสิทธิ์มาที่แห่งนี้กับผมหรอก จริงมั้ยฝ่าบาท ‘เลออน’”
นามของเจ้าชายคือ ‘เลออน’ องค์ชายแห่งอาณาจักร ‘เกรล’ อันเป็นหนึ่งในสี่มหาอำนาจ แต่หลายๆคนมักเรียกเขาว่า ‘ฝ่าบาท’ กัน
“เข้าใจแล้ว”
“ขอบใจมากคร้าบ”
เรนดูจะไม่ใส่ใจเรื่องมารยาทต่อหน้าเจ้าชายมากนัก ทางเลออนก็ไม่ได้ถือศักดิ์อะไรมาก สำหรับเขาเป็นเรื่องไร้สาระด้วยว้ำ
“เช่นนั้นเรน ขอถามหน่อยสิ”
“ว่ามาเลยครับผม”
“จะพาผมมาที่นี่ทำไม?”
ว่าแล้วเรนจึงหยุดเดิน เขาหันกลับมามองหน้าเลออน
“ท่านรังเกียจการทดลองมนุุษย์เทียมรึเปล่า?”
“รังเกียจสุดๆเลย” เลออนหรี่ตามอง “แต่ถึงจะบอกว่าเกียจ หากว่าทางผมไม่ได้ทำกันเอง ก็ไม่คิดจะขัดขวางหรือปฎิเสธข้อเสนอหรอก”
ว่าอีกอย่างถ้าไม่ได้มือเปื้อนโคลนด้วยตัวเอง ก็จะเฉยๆ ..เลออนเห็นผลประโยชน์ต่อตัวเองเป็นหลัก
“ฮะๆๆ คนแบบฝ่าบาทผมไม่รังเกียจหรอกนะ”
“หมายความว่ายังไง?”
เรนทำเมินคำถามเชิงหาเรื่อง แล้วเกาหัวงึกๆแทน
“สนใจเป็นพันธมิตรกันมั้ยครับ?”
…
“เป็นพันธมิตรกับแกก็เท่ากับเป็นศํตรูกับทวีปเนลยอนสินะ” เลออนหัวเราะขึ้นจมูก “ข้อดีที่ได้คืออะไร?”
ถ้าหากได้ประโยชน์เพียงพอก็คุ้มกับการหันดาบเข้าใส่ทวีปเนลยอน ..
“ยุคนี้คือยุคแห่งความโกลาหล ..ทั้งจอมมารเอย หรือเจ้าเอเธอร์เอย ล้วนแต่เป็นสุดยอดหายนะที่สุดแสนจะรับมือยากมั้กๆ”
“นั่นสินะ ..กับชายที่ชื่อเอเธอร์เคยเจออยู่ครั้งหนึ่ง ..หมอนั่นอันตราย”
“ใช่มั้ยละครับ?”
เลออนพยักหน้ารับ เรนจึงพูดต่อ
“นอกจากเอเธอร์ยังมีจอมมารอีก คิดว่าอาณาจักรท่านเพรียวๆสามารถรับมือจอมมารไหวมั้ยครับ”
“เอเธอร์ว่าไปอย่าง”
ถึงจะแกร่งแค่ไหนแต่เอเธอร์ก็มีแค่คนเดียว ไม่มีทางสู้กับอาณาจักรที่มีทั้งบุคลากร และทรัพยากรมากมายได้
“แต่พวกจอมมารที่ครั้งหนึ่งเคยเด็ดหัวเทพมาตั้ง 9 จาก 10 คนน่ะ–แม้แต่ผมก็ไม่ไหวหรอก” เลออนหยักไหล่ “ยิ่งกว่านั้นพวกนั้นยังฆ่า ‘เทียแมท’ ได้เชียวนะ เทพมังกรผู้มีพลังเทียบเท่ามังกรธาตุทั้ง 4 น่ะ ..ไอ้สัตว์ประหลาดที่แกร่งเก่ามังกรธาตุทั้งหมดเนี่ย–จอมมารเป็นคนฆ่าเชียวนะ”
แค่จอมมารเปล่าๆไม่มีทางฆ่าเทพได้ถึง 9 ตนหรอก มีตัวช่วยอีกมากมาย ทั้งทหารปีศาจนับล้าน หรือเหล่าปีศาจ 7 บาป หรืออาวุธสังหารเทพอีกมากมาย ทั้งหมดล้วนอยู่ในอาณัติ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ช่วยให้จอมมารเกือบจะพิชิตโลกใบนี้ได้
แน่นอนการกลับมาเกิดใหม่ของจอมมารก็หมายความว่าพวกลูกน้องทั้งหลายจะเกิดตามๆกันมาด้วย ..จอมมารเป็นภัยพิบัติระดับที่ต้องให้ทั่วทั้งโลกช่วยกันในการยับยั้ง
“สเกลใหญ่เกินไป อย่าว่าแต่อาณาจักรเกรลเลย ต่อให้ ฟัฟนิร์ เนลยอน หรือแซร์อิซ ถ้าเจอเดี่ยวๆยังไงก็แพ้”
“นั่นสินะครับ ..ด้วยเหตุผลข้างต้น ฝ่าบาทสนใจร่วมมือกันผมมั้ย?”
“..ถ้าร่วมมือกับนาย แล้วจะหาวิธีรับมือได้เหรอ?”
ถ้าหากจริงอย่างที่คิด—-
“ดูนี่ก่อนสิครับ”
เรนผายมือออกไป—เผยให้เห็นมนุษย์ในแก้วทดลอง ที่เรียงกันสามอัน
ทั้งหมดล้วนเป็นแค่เด็กวัยละอ่อนที่ควรได้วิ่งเล่นสนุกสนานด้วยกันแท้ๆ ..เลออนรู้สึกปวดใจขึ้นมา
“มีกระทั่งเด็กด้วยรึ”
“ทำไมจะมีไม่ได้ละ”
เลออนไม่ได้พูดตอบอะไร เขาเงียบไปทันทีที่ได้ยิน–เพราะความคิดของตัวเองแสนไร้เดียงสา
“ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ล้วนมีค่าเท่ากัน คือ 1—แค่เด็กเป็น 1 ที่อยู่บนโลกได้น้อยกว่า 1 ผู้ใหญ่เท่านั้นเองครับ”
“ทางผมค่อนข้างเห็นต่างกระมัง”
“ผมไม่มีปัญหาอะไรกับความคิดฝ่าบาทหรอกครับ”
เรนหยิบรีโมทขึ้นมาและกดปุ่มอย่างเรียบง่าย
พลันใดนั้นประตูเหล็กก็เปิดออกทั้งสามประตู เด็กน้อยสามคนเดินออกจากหลอดแก้วทดลองด้วยท่าทางเฉยชา อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่เรนเรียกใช้งานเด็กสามคนนี้
เด็กทั้งสามหันซ้ายหัวขวาก่อนหันมาทางเลออน—ทันใดนั้นจิตสังหารก็ได้พวยพุ่งออกมา
เลออนถึงกับเข่าทรุดเมื่อรับรู้ถึงแรงกดดันเมื่อกี้ ดวงตาเบิกกว้างโดยความหวาดกลัว—
“—ระ เรน นี่มันบ้าอะไร?”
เลออนหันไปหาเรนด้วยความกลัว เรนตบมือสองสามทีเพื่อปรับบรรยากาศ
“ใจเย็นก่อน เด็กๆ คนคนนี้เป็นแขกนะ ฮึฮึ” เรนหัวเราะชอบใจ “คิดเห็นอย่างไรบ้างละครับ ฝาบาท กับจิตสังหารของทั้งสามคนเมื่อสักครู่”
“เด็กพวกนี้เป็นใครกัน?”
“ท่านน่าจะคุ้นชินดีไม่ใช่หรือครับ?”
“อย่ามาเล่นลิ้นนะ! อธิบายมาซะเด็กพวกนี้เป็นใครกันแน่!?”
“รีบร้อนจริงครับ บอกผมก่อนไม่ได้หรือไง ว่าจิตสังหารตะกี้นี้มันเหมือนกับใครเอ่ย?”
..เลออนกลืนน้ำลายลง ได้แต่ขบฟันกรามอย่างเจ็บใจ
“เหมือนกับพวก..มังกรธาตุ”
เหมือนกับ ‘เกรล มหามังกรแห่งปฐพี’ ที่เลออนสนิทด้วย
ออร่าของเด็กสามคนนั่นมีลักษณะเฉพาะที่มีแค่มังกรธาตุเท่านั้นที่เปร่งออกมาได้
“เด็กทดลองสามคนนั้นเป็นใครกันแน่ ช่วยอธิบายมาที”
“พวกเขาเป็นเด็กทดลองครับ” เรนหัวเราะร่าขึ้นมา ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยสุข “เป็นเหล่ามังกรธาตุเทียม ที่มีพลังทัดเทียมของจริงครับผม!!”
มังกรธาตุเทียมที่แข็งแกร่งเท่าของจริง นั่นแหละคือสิ่งที่เรนสร้างขึ้น
“นี่แหละครับสุดยอดอาวุธลับ ว่าไง สนใจมั้ยครับ ถ้าหากระแวงก็ลองเรียกเกรลมาทดสอบได้นะครับ ยังไงยังไงก็เป็นอมตะอยู่แล้วนี่ ถึงตายก็ไม่เป็นไร”
“จะให้เกรลเจ็บตัวโดยไม่ชอบมันก็ใช่เรื่อง ..จิตสังหารเมื่อกี้มันเยี่ยมกว่าเกรลไปหลายเท่าตัว ไม่ใช่ทัดเทียมแค่ในระดับพลัง 1/10 สินะ”
บางทีอาจจะ ..
“พลังเท่ากับของจริงในสภาพสมบูรณ์เลยละครับ เด็กพวกนี้คือผลจากความพยายามตลอดพันปีของผม ..ผลงานชิ้นโบว์แดงละครับ”
มังกรธาตุเทียมเบื้องหน้ามีประสิทธิภาพเท่ากับมังกรธาตุตอนมีพลังครบถ้วน ยิ่งกว่านั้นยังมีถึง3ตน—มังกรที่ครั้นหนึ่งเคยถล่มโลกใบนี้ มีตั้ง3ตนที่เชื่อฟังเรนทุกประการ ..ยากที่จะเชื่อ–แต่มีแต่ต้องเชื่อเท่านั้น
“ไอ้เฒ่าวิปริตเอ้ย” เลออนสบถออกมา “เข้าใจแล้ว ช่วยเล่ารายละเอียดพลังของมังกรธาตุเทียม กับข้อตกลงสัญญามาซะ”
“รับทราบครับ ฝ่าบาท”
เรนยิ้มอย่างมีเลศนัย เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผน—อีกไม่นาน โลกคงได้รับรู้ถึงตัวตนของมังกรธาตุเทียมเป็นแน่
****
ปีศาจ 7 บาป คือตัวตนที่รับใช้จอมมารมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม มาจนถึงยุคปัจจุบัน รวมไปถึงทุกๆยุคที่จอมมารถือกำเนิด
เหล่าปีศาจแห่งบาปทั้ง 7 ประการ ล้วนมีความแข็งแกร่งระดับสัตว์ประหลาด บางคำภีร์เคยบันทึกไว้ว่าพวกปีศาจ 7 บาป สามารถนำพาความมืดมาสู่โลกได้ ต่อให้ปราศจากซึ่งจอมมาร และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้จอมมารน่ากลัวขึ้นไปอีก—เพราะหากรวมจอมมารไปด้วย ไม่ใช่ว่าโลกจะตกอยู่ในความมืดมิดสุดแสนจะน่ากลัวเลยหรือไง?
ในยุคโบราณซึ่งถูกปกครองด้วยระบบเทพ กองทัพจอมมารได้ทำการตามล่า และสังหารเทพจนเหลือเพียงตนเดียว ..กล่าวได่ว่าจอมมารคือผู้สังหารเทพ และเหตุผลที่โลกใบนี้มีคนได้รับนามของจอมมารเพียงตนเดียวตั้งแต่อดีตกาลเป็นเพราะตลอดมา ไม่เคยมีภัยพิบัติใดที่คู่ควรกับชื่อจอมมาร ซึ่งจอมมารดิลุคได้สร้างบรรทัดฐานไว้เลย
ณ บัดนี้ยุคที่จอมมารถือกำเนิดก็ได้มาเยือนอีกคราวแล้ว เหล่าปีศาจ 7 บาปค่อยๆฟื้นคืนชีพขึ้นมา เพื่อสร้างขบวนเสด็จรับจอมมาร
ปีศาจ 7 บาป มีทั้งหมด 7 คน ตามตำนาน ได้แก่—
1.ลูซิเฟอร์ บาปแห่งความเย่อหยิ่ง
2.แม่มม่อม บาปแห่งความโลภ
3.แอสโมเดียส บาปแห่งตัฒหาราคะ
4.เลเวียธาน บาปแห่งความริษยา
5.บีลเซบับ บาปแห่งความตะกละ
6.เบลเฟกอร์ บางแห่งความเกียจคร้าน
7.ซาตาน บาปแห่งโทสะ
7 ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ได้หวนคืนสู่โลกอย่างยิ่งใหญ่ และรวมหัวกันเพื่อวางแผนนำพาโลกจมสู่ทะเลมืดอีกคราวแล้ว—–
—–มันควรจะเป็นอย่างนั้นแท้ๆ
“…ทำไมไม่มีใครมาเลยละ”
ณ ที่ที่ไกลออกไป—สุดยอดปีศาจสูงสุดในตำนาน อย่างปีศาจ 7 บาปกำลังจัดงานประชุมอยู่ ..เพียงแต่
มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่เข้าร่วมงาน ปีศาจ 7 บาปตนอื่นไม่เห็นแม้แต่เงาในที่ประชุม
“…ขอทีเถอะ” เด็กสาวกุมขมับตัวเอง
สาวน้อยผู้นั่งอย่างเดียวดายตรงหัวโต๊ะมีนามว่า ‘ซาตาน’ ..เรียกแบบเป็นทางการก็ ‘ปีศาจแห่งโทสะ ซาตาน’ แต่ที่มักถูกเรียกจากเพื่อนๆปีศาจ 7 บาปคือ ‘ซานต้า’ เพราะดูน่ารักดีจึงถูกเรียกเช่นนั้น ..ตั้งแต่ยุคโบราณซาตานต้องถูกเรียกด้วยชื่อแสนจะน่าอับอายมาโดยตลอด
ซาตานคือเด็กสาวโลลิเลือนผมสีชมพูสั้นประบ่า สวมเกราะ และกระโปรงทรงเกราะดำทมิฬ ตรงหางหูติดต่างหูสัญลักษณ์วงแหวนเวทแห่งโทสะ ซึ่งบ่งบอกถึงตัวตนบาปแห่งโทสะของซาตาน
…เพราะซาตานผู้เปรียบได้ดั่งขุนพลกำลังนั่งเครียด ลูกน้องปีศาจชั้นต่ำจึงเดินมาเพื่อชี้แจง ..เรื่องที่ซาตานตกหล่นไป
“คะ คือว่า ท่านมหาบาปโทสะครับ”
“มีอะไร หา!?”
ลูกน้องปีศาจถึงกับตัวแข็งทื่อ เพราะจิตสังหารขั้นสูง
“คะ คือ ..คือ”
“มีอะไรรีบๆพูดมาเซ้!”
“..เขาประชุมกันไป ..ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว..น่ะครับ” ปีศาจชั้นผู้น้อยเช็ดเหงื่อตัวเอง “เกรงว่าท่านจะมาสายเอาเอง”
ซาตานนิ่งไป ..ก่อนที่แก้มจะค่อยๆแดง
“ไอ้พวกเวรนั่น ไม่เห็นบอกกันเลย!!!” ซาตานทุบโต๊ะประชุมสุดแรงจนปราสาทจอมมารสะเทือน “บังอาจมาทำให้ฉันคนนี้อับอาย นับไม่ถ้วน ไอ้สารเลวเอ้ย—-คนต้นคิดเป็นไอ้ แอสโมเดียส กับบิลเซบับ สองตัวนี้แหง ไอ้พวกปีศาจเจ้าเล่ห์นั่น แม่จะหักคอให้ดู!!!”
ร่างของซาตานถูกปกคลุมไปด้วยเกรียวสายลมสีเลือด ซึ่งเป็นโทสะของซาตาน——-ไกลออกไป
ตัวต้นเรื่องสองตัวกำลังพูดคุยเรื่องของซาตานกันสนุกปาก ..
“กลับไปจะโดนอัดมั้ยนะ? ไอ้ผมอ่อนสุดในหมู่เพื่อนๆด้วยสิ กลับกับซานต้าเก่งสุดในหมู่พวกเราเลยนะ”
“คิดซะว่าเป็นการทำเพื่อซานต้าเถอะ สะสมความโกรธไว้ตั้งแต่เนิ่นๆน่าจะดีนะบอกเลย คิกๆ น่าสนุกชะมัด”
หนุ่มตัวสูงโปร่งรูปงามดูใจดี ที่ตรงปลายหูมีต่างหูสัญลักษณ์แห่งราคา นามคือ ‘แอสโมเดียส(บาปแห่งราคะ)’ หวาดกลัวในอำนาจหมัดของซาตาน
ส่วนสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ดูขี้เล่น มีต่างหูสัญลักษณ์ตะกละ เป็นคู่สนทนา มีนามว่า ‘บีลเซบับ(บาปแห่งความตะกละ)’ หล่อนรู้สึกสนุกกับเรื่องราวในอนาคต ขนาดที่หุดยิ้มไม่อยู่
ทั้งสองกำลังตามหาจอมมาร–ราชาแห่งพวกเขา
—-ไกลออกไป
ชายผู้หนึ่งกำลังยืนต้านสายลมอย่างเดียวดาย …
“…ท่านจอมมาร จะเป็นยังไงบ้างนะ”
ชายผู้นี้คือ ‘ลูซิเฟอร์(บาปแห่งความเย่อหยิ่ง)’ สัญลักษณ์คือต่างหู
ลูซิเฟอร์มีผมสีดำสนิทยาวถึงบ่า สวมเสื้อโค้ทสีดำราวกับในซีรีย์เกาหลี(เปรียบเทียบเฉยๆ) กางเกงสีดำยาว เสื้อเชิ้ตข้างในสีขาว เป็นหนุ่มหล่อวัยกลางคนมาดเข้มขรึม
เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ..
“..โลกที่ได้มาจากการเสียสละของท่านมันงดงามถึงเพียงนี้เลยหรือ? ..กระผมช่างบาปหนาที่คิดเช่นนั้น”
ลูซิเฟอร์มองไปที่หมู่บ้านซึ่งมีเด็กหลายคนเล่นสนุกกัน และเกิดเจ็บใจขึ้นมา หลายอารมณ์ปะปนอยู่ในอก ก่อนที่ลูซิเฟอร์จะสลัดมันออกไปจนหมด
“ขอสาบานว่าลูซิเฟอร์ผู้นี้จะไม่ลังเลในการทำลายโลกใบนี้ ..โปรดอภัยให้กับอารมณ์ชั่ววูบของข้าด้วย”
กล่าวคำสาบานจบลูซิเฟอร์ได้ก้าวเท้าเดินต่อ–เพื่อตามหาจอมมารที่เคราพรัก
“..จะว่าไป เจ้าพวกนั้น(พวก7บาป)ตอนนี้เป็นยังไงบ้างนะ ..ไม่ได้เข้างานประชุมคนเดียวด้วยสิ จะโดนโกรธมั้ยนะ”
ลูซิเฟอร์ถอนหายใจออกมา—-เขาไม่รู้ว่ามีอีกคนที่โดนแกล้งจนไม่ได้เข้างานประชุมด้วย
พวกเขาทั้งหมดไม่ต่างจากเพื่อนสนิทกันและกัน ต่อให้นับถือจอมมารเป็นนายท่าน แต่กับจอมมารก็ยังคุยเล่นตบบ่าได้แล้วแต่นิสัยรายบุคคล—นี่แหละความสัมพันธ์ของมหาบาปด้วยกันเอง และจอมมาร
****
(มุมมองเรเซอร์)
ผมหันซ้ายหัวขวาไปมา ระหว่างโถงทางเดินของตึกเรียน
“ซะ โซเฟีย โซเฟียอยู่มั้ย?”
‘ไม่ทราบค่ะ’
“ช่วยเป็นตาที่สามของฉันที”
‘..ค่ะ’
ผมก้าวเท้าช้าๆทีละก้าวสองก้าว จนมาถึงหน้าห้องเรียนสายทฤษฎีอันเป็นห้องเรียนประจำของผม
จากนั้นจึงเปิดประตูเลื่อนช้าๆ ..พบว่ามีแค่โซเฟียที่นั่งหัวโด่อยู่—และพริบตาเดียวหล่อนก็เห็นผมแล้ว พูดให้ถูกคือนั่งจ้องประตูเลื่อนไม่วางตา
“เรเซอร์!” หล่อนตะโกนเรียกผมด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“วะ ว่าไง?”
“..เป็นอะไรรึเปล่า? ดูเกร็งๆนะ”
“ทางเธอต่างหาก จู่ๆก็คุยลื่นเลยไม่ใช่รึ?”
ได้ยินอย่างนั้นไปโซเฟียก็เกิดหน้าแดง
“มีอะไรเกิดขึ้นหน่อยน่ะ” โซเฟียเล่นปลายผมตัวเองด้วยท่าทางระรื่นย์ “..ถึงจะแค่นิดหน่อยก็เถอะ ..แต่ดีจริง”
—ไม่อยากได้ยินแล้ว
ผมขบฟันกรามแน่น
หล่อนพูดถึงไอ้อลันแมนคนนั้นแน่ ..อลันแมนที่เป็นตัวตนของผมอีกคนนี่แหละ เรื่องตลกอะไรกัน จู่ๆโซเฟียก็เกิดผีเข้ามาตกหลุมรักไอ้แก่อย่างอลันแมนเนี่ยนะ ..ผมไม่ต้องการให้เป็นอย่างนี้เสียหน่อย
…ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมกับเรื่องความรัก ไม่ได้หมายถึงอายุแค่นี้แล้วไม่พร้อมนะ (ตัวจริงตูจะ40แล้วนะเฮ้ย ต้องมีบ้างละ) เหตุผลที่ผมไม่อยามมีมันในเวลานี้ เป็นเพราะเหตุการณ์ในอนาคตมากมายที่จะเกิดขึ้น—ผมต้องเผชิญหน้ากับพวกท็อปโลกสุดแกร่งมากมายเลยนะ
ต้องเคลียร์ปมทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อน จึงจะมาใช้ชีวิตตามปกติหารักตามภะสาวัยรุ่นชาย ให้ใช้ชีวิตแบบคาราคาซังไม่ได้..ตั้งใจไว้อย่างนั้นน่ะนะ
ผมเกาหัวงึกๆ
ในกรณีที่โซเฟียต้องการคำตอบจริงๆ ไอ้อลันแมนอย่างผมก็มีแต่จะตอบปฎิเสธเท่านั้นแหละ ..ต้องอย่างนั้นแหละ
“มาแต่เช้ามีอะไรรึเปล่า”
“นิดหน่อย ..มีเรื่องจะคุยกับเรเซอร์น่ะ”
เรื่องอะไรกันนะ น่าสนใจเสียจริง หรือว่าจะรู้ตัวจริงของผมแล้วกัน(อลันแมน)
โซเฟียค่อยๆเดินมาใกล้ผม แล้วยิ้มให้
“เรื่องที่ขโมย กกน. ฉันหายโกรธแล้วละ”
“..แบบนี้นี่เอง”
ผมยื่นหมัดไปให้ เพื่อท้าไทไฟต์
“ไม่คืนคำนะ?”
“อืม จะปล่อยให้คาราคาซังมันได้ที่ไหนกัน ..ฉันรู้สึกได้เมื่อวันก่อนอะนะ”
“นั้นเหรอ”
“นักเลงดีๆเขาไม่เมินเฉยต่อความรู้สึกหรอก”
ผมยิ้มกลับอย่างอ่อนโยน
หมัดของพวกเราประกบกัน–เป็นอันตกลงแล้ว ว่าเรื่องเก่ามันจบไปโดยสบบูรณ์ จะไม่เอามาให้อึดอัดใจเล่นๆอีกต่อไป
“จะว่าไปพวกเราสามคนยังไม่ได้ไปกินคาเฟ่ห์ด้วยกันเลยนะ”
รวมกอรี่ด้วยอยู่แล้ว
“นั่นสิ เย็นนี้ไปกันเลยดีมั้ย?”
“อ่า”
ความสัมพันธ์กับโซเฟียดีขึ้นแล้วในโหมดเรเซอร์ ส่วนโหมดของอลันแมนไม่รู้จะจบลงยังไง ..
****
—ไกลออกไป มีมหามังกรเพลิงอยู่สองตน กำลังนั่งเล่นอยู่ริมธารของทวีปฟัฟนิร์
หญิงสาวค่อนไปทางชายหนุ่มผู้มีดวงตาเหมือนกับสัตว์นักล่าสูงสุดบนโลก—เธอกำลังนั่งซักผ้า พลางมองขึ้นไปบนฟ้าอย่างเหม่อลอย ..นามคือ ‘ชินดร้า’ แต่มักเรียกกันแบบสนิทว่า ‘ชิน’
“..เรย์จะเป็นยังไงบ้างนะ”
ชินพึมพำออกมาอย่างเหงาๆ
“เรย์นี่น้องชายที่เจ้าเล่าให้ฟังบ่อยๆรึ”
ฟัฟนิร์ผู้เป็นมหามังกรเพลิงดั้งเดิมเอ่ยถาม ขณะที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เผยให้เห็นผิวกายสีขาวราวกับอยู่ในผนึกแก้วตลอดเวลา ..เนื่องจากว่าร่างของมังกรธาตุนั้นจะสะอาดตลอดเวลา ทำให้ผลกระทบตามธรรมชาติของโลกไม่สามารถทำอะไรกับเกร็ดของหมามังกรได้
“ใช่ครับ ตอนนี้น่าจะโตพอๆกับท่านเรเซอร์แล้ว” ว่าแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เด็กคนนั้นโตมาหล่อเหลาไม่ผิดแน่ครับ กลัวเหลือเกิน ว่าจะติดผู้หญิงจนไม่เป็นอันทำอะไร คงไม่เสียคน หรือทำเรื่องผิดกฎหมายหรอกนะ ราวๆนี้ครับ”
“พวกมนุษย์ก็แบบนี้แหละ คิดซะว่าเป็นวัฐจักรธรรมชาติอย่างช่วงติดสัตว์ก็ได้ ..ให้เดาไอ้เด็กนั่นอาจเกือบฆ่าเพื่อนตัวเองไปแล้วกะได้”
“จะ จะให้คิดอย่างนั้นกับน้องชายตัวเองก็กระไรอยู่นะขอรับ”
ฟัฟนิร์หัวเราะร่า ส่วนชินได้แต่หรี่ตามองอย่างเศร้าใจ
“..คิดถึงจังเลย”
“สถานนีต่อไปคืออาณาจักรฟัฟนิร์นี่ ไม่เห็นต้องห่วงอะไรเลย ไอ้ต้าว”
“นั่นสินะครับ ..ทั้งท่านเรเซอร์ ทั้งเรย์คงอยู่ที่อาณาจักรฟัฟนิร์แน่”
ฟัฟนิร์พยักหน้ารับอย่างร่าเริง—-ทว่าเพียงพริบตาเดียวหน้าก็ซีดเป็นไข่ต้ม
“..นี่มัน”
ชินมองไปตามธารน้ำ ซึ่งมีร่างมนุษย์เพศชายกำลังไหลตามสายน้ำมา
“ทะ ท่านฟัฟนิร์ครับ มีคนจมน้ำ—-เอ๊ะ!? ท่านฟัฟนิร์!?”
ภาพที่ปรากฏคือฟัฟนิร์ที่เอาผ้าห่มมาคลุมโปงตัวเอง ด้วยเนื้อตัวที่สั่นระริก
“อะ ไอ้หมอนั่นมาที่นี่ได้ไง อะ อะ ไอ้สัตว์ประหลาดนั่นโผล่หัวมาที่นี่ได้ไง?”
“หะ? เอ๊ะ? หมายถึงอะไรครับเนี่ย ช่วยอธิบายก่อนไม่ได้เหรอ ..อะ เอาเป็นว่าผมไปช่วยเขาก่อนนะครับ” ชินชี้นิ้วไปทางชายที่ลอยตุ๊บป่องอยู่เหนือน้ำ “ผมไปช่วยนะครับ”
“ต้าวชิน อย่าเชียวนะ!!”
…ชินได้แต่เอียงคอฉงน ก่อนที่ไม่นานทุกอย่างจะได้คำตอบ
ชายผู้ลอยอยู่เหนือน้ำค่อยๆลุกขึ้นยืน ..ทั้งๆที่อยู่บนน้ำนั่นแหละ เขาอยู่เหนือน้ำของแท้
มนุษย์ชายเบื้องหน้ามีเส้นผมสีเทา เช่นเดียวกับดวงตาซึ่งไร้ความรู้สึก สวมสูทสีขาวทั้งตัว—และจุดนี้นั่นแหละที่น่าแปลก หากไม่ได้ตาฝาดไปมนุษย์ผู้นี้น่าจะตัวเปียกน้ำอยู่ไม่ผิดแน่ ทั้งอย่างนั้น ตัวชุดเอย หรือสภาพหน้าผมเอย ไม่ได้เปียกน้ำแม้แต่นิดเดียว สภาพดีเยี่ยมอย่างกับพึ่งแต่งตัวเสร็จ …พิลึก
“ตื่นแล้ว ..ต้องรีบหนี เป็นตอนนี้ได้ตายจริงๆแน่”
“ผมตามไม่ทันเลยครับ ช่วยอธิบายทีละขั้นตอนได้มั้ยครับเนี่ย?”
ฟัฟนิร์กลืนน้ำลาย ก่อนจะโพ่งขึ้นอย่างเรียบเฉย
“ไอ้หมอนั่นคือ เอเธอร์ สิ่งมีชีวิตที่แกร่งสุดบนโลกไง”
…
“…ขะ เขาไม่น่าโจมตีมั่วหรอกนะครับ”
“กับมังกรธาตุที่เป็นอมตะ หมอนั่นมันไม่เกรงใจหรอก”
…
“..คือตอนนี้เราๆไม่ได้เป็นอมตะนะ ..ขอรับ”
“เออสิ! ข้าถึงได้บอกไงว่าบรรลัยแล้ว!”
ชินพึ่งรับรู้ได้ถึงความซวย—เอเธอร์จ้องมาทางฟัฟนิร์ ..ไม่นานเขาก็ส่งยิ้มเบาหวิวให้
“ฟัฟนิร์ใช่มั้ยครับ!?”
สัตว์ประหลาดตะโกนทักหามังกรธาตุ เขาค่อยๆก้าวเท้าเหนือน้ำมาแบบสบายตัว
“บังเอิญจังเลยนะครับ พอดีผมกำลังงีบหลับเล่นๆอยู่(ตามธารน้ำ) เนื่องในโอกาสวันหยุดยาวเลยกะจะเที่ยวเล่นเสียหน่อย ..ก่อนหน้านี้พึ่งเจอวินกับมหาภูตไปด้วยครับ”
ชินสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินชื่อของ ‘วิน’ ผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพที่เธอเคยเผชิญด้วย ทางฟัฟนิร์ก็เช่นกันเพราะได้ยินชื่อของ ‘มหาภูต’ อันเป็นดาบในการใช้จัดการกับมังกรธาตุครั้นอดีต
เอเธอร์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่พอเข้ามาใกล้แล้วเขาก็หยุดลง …
“…ฟัฟนิร์มีสองคน? ..ไม่สิ ..อ๋อ แบบนี้นี่เองสินะครับ”
เอเธอร์ถูคางอย่างสนอกสนใจ
“ขะ เข้าใจอะไรง่ายดีนี่ เจ้ามนุษย์” ฟัฟนิร์หลบตา
“ลำบากแย่เลยนะครับทั้งสอง ..น่าสนใจ”
“น่าสนน่าใจอะไรกัน พวกข้าไม่มีอะไรให้น่าติดตามเสียหน่อย”
“นั้นหรือครับ”
เอเธอร์เกาหัวตัวเองงึกๆอย่างหน่ายใจ
“ผมสงสัยน่ะครับ…ว่า”
“วะ ว่า?”
“..ถ้าหัวใจของมังกรธาตุถูกแยกเป็นสองส่วน ..ความอมตะมันจะยังอยู่เท่าเดิมรึเปล่านะ? ประมาณนี้ครับ” เอเธอร์ยิ้มให้ “แน่นอนคงไม่เท่าเดิมสินะครับ”
“กะ ก็รู้ดีนี่หว่า!”
ฟัฟนิร์กระโดดถอยหลัง แต่ชินยังยืนแข็งทื่ออยู่ เนื่องจากเขาไม่ชินกับจิตสังหารของผู้ที่แกร่งกว่าชนิดทาบไม่ติด
เอเธอร์ก้าวเดินอย่างไม่หวั่นเกรงต่อมหามังกร ไม่นานก็หยุดอยู่ข้างๆชิน
“วางใจได้ ผมไม่คิดจะฆ่าใครหรอกครับ เมื่อกี้แค่หยอกล้อเท่านั้น
“นะ นั้นหรือครับ ..ว่าแต่ว่าทำไมท่านเอเธอร์ถึงยืนเหนือน้ำได้..รึขอรับ?”
โดยที่ไม่แม้แต่จะร่ายเวทย์เนี่ยนะ ..
“ร่างของผมต้านทานธรรมชาติได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ต่อให้ไฟจะไหม้ หรือฟ้าจะผ่า ตัวผมจะไม่ติดสถานนะใดๆทั้งนั้น ทำให้นอนเหนือน้ำได้สบายตัวครับ”
…สุดจะโกง
“มหามังกรเพลิง จำเป็นต้องเรียกอย่างนี้รึเปล่าครับ?”
“มะ ไม่ต้องหรอกครับ ..เรียกผมว่าชินเถอะ”
“ถ้านั้นชิน สนใจดื่มชากันรึเปล่าครับ?”
เอเธอร์กล่าวทั้งรอยยิ้มที่เป็นมิตร
< < < คุยกันท้ายบท > > >
ต้องบอกทุกคนก่อนนะครับ ว่าตอนนี้นิยายของผมจบ Arc รั้วโรงเรียนแล้ว ต่อไปจะเข้าสู่ Arc ที่เป็นเนื้อหาสำคัญโดยมีหลายๆตัวละครที่ปูมาในบทนี้และก่อนหน้าทีละนิดทีละน้อยครับผม ติดตามรอชม Arc ต่อไปได้เลยครับ ผมขอตั้งชื่อแบบเบียวๆว่า ‘สงครามกลางเมือง’ ครับผม ฮะๆ (ที่สำคัญขอบคุณที่ติดตามมาถึงตรงนี้นะครับ ทุกคนเลย บอกก่อนว่าผมอ่านทุกเม้นท์นะ แค่อาจไม่ได้ตอบเฉยๆ)
แล้วก็ตรงที่พวกชินเจอกับเอเธอร์มันจะไม่มีเนื้อหาต่อนะครับ ตัดจบแค่นั้นเลย (ถ้าผีเข้าผมอาจจะเอาไปใส่ในบทพิเศษซึ่งว่าจะลองทำขายดูก็ได้ครับ)
และผมอาจจะไม่ได้ลงนิยายแบบรายตอนต่อเร็วๆนี้ อาจจะลงอีกทีตอนต้นเดือนหน้าเลย เพราะต้องวางพลอตให้มันดีๆก่อน แล้วก็เรื่องของบทพิเศษที่ผมชี้แจงก่อนหน้านี้ด้วย ผมจะขายประมาณวันที่ 30 31 ของเดือนนี้
เรื่องบทพิเศษเกี่ยวกับชินดร้าและฟัฟนิร์ ผมคำนวณไว้แล้วว่าน่าจะได้ 150-200 หน้า โดยประมาณครับ จะทำขายในราคาไม่เกิน 60 บาท แล้วจะเลือกขายแบบทีละตอน กับแบบแพ็คด้วยครับ ประมาณว่าให้เลือกอ่านเอาว่าจะเอาแบบรายตอน หรือจะเอาแบบแพ็คที่ถูกกว่าครับผม(ส่วนนี้ในเว็ป dek d หรือ tunwalai นะคับผม) แล้วก็อาจจะทำลง MEB เพื่อสนองนีทตัวเองด้วย (เพราะอย่างนั้นมีปกแน่นอน)
ยังไงถ้าสนใจก็ซื้อได้ครับผม สามารถติหรือแนะนำได้ตามสบายเลยครับ แค่ไม่หยาบเป็นพอ (ฮา) ขอบคุณนะครับที่ตามมาถึงตั้งบทที่ 51 แบบเป็นทางการ ขอบคุณนักอ่านในเว็ปแมวดุ้นที่ให้ผลตอบรับกับผมดีเกินคาดด้วยนะครับ! สถานีต่อไปบทที่ 100 ครับผม
มีข้อสงสัยเกี่ยวกับตอนนี้ถามได้เลยนะครับ ขอบคุณครับผม
MANGA DISCUSSION