เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 6: ยามวิกาล กับ เรเซล
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 6: ยามวิกาล กับ เรเซล
< < 6 > >
ยามวิกาลได้มาเยือน ตัวผมตั้งหน้าตั้งตารอกับเวลานี้มากพอตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอากาศมันดีมากระดับที่ไม่มีวันสัมผัสได้ในโลกเก่า พระจันทร์เองก็สวยราวกับภาพวาด ——สำคัญกว่านั้น มันคือเวลาหนีออกนอกคฤหาสน์ของผม
อนึ่งผมมิได้ใจแตกแต่อย่างไร
ช่วงค่ำราว 4 ทุ่ม ผมได้ชะโงกหน้าออกจากห้องนอนของตัวเอง และย่องเบาผ่านระเบียงคฤหาสน์หรือห้องของหลายๆคนไป
ไม่นานผมก็เดินมาถึงห้องจุดนัดพบ ห้องนอนของ ‘อันนา’
พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมาก–อันนาเธอคือเด็กที่คอยดูต้นทางให้ผมเวลาคิดจะหนีออกคฤหาสน์ เพื่อเดินเล่นสำรวจแมพ ด้วยการร่วมงานกันในส่วนนี้ทำให้ผมกับเธอสนิทกันค่อนข้างมากในระยะสั้นๆ
ผมเคาะประตูเบาๆหกจังหวะ ก๊อกๆ ก๊อกๆ ก๊อกๆ
แล้วก็เหมือนกับทุกๆวัน ผมเริ่มพูดตามสคริปต์บทในหัว
“—อันนา อันนา ตื่นอยู่รึเปล่า” เงียบไปราวสามวิผมก็เร่งพูดต่อ “วันนี้สะดวกมั้ย?”
‘ค่ะ ตื่นอยู่ค่ะ …วันนี้อีกแล้วหรือคะ? ไม่ใช่ว่านี่คือเวลาอ่านหนังสือของนายท่านหรือ?’ เพียงแค่รออันนาตอบกลับมาเช่นนี้ทุกอย่างก็จะสมบูรณ์ พวกเราจะเริ่มปฏิบัติการโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรพร่ำเพรื่อ นี่แหละสายสัมพันธ์ของผมกับอันนา
ทั้งอย่างนั้น ผ่านไปตั้งหลายวิแล้วแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆทั้งนั้น
“อันนา นี่ อันนา …นี่”
..อ๊ะ ประตูไม่ได้ล็อกละ
ว่าแล้วก็เปิดเข้าไปและชะโงกหัวดู…พลาดละ พลาดมหันต์เลย
ภายในห้องมีลูกกวางพึ่งเกิดตัวหนึ่งกำลังตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า——-หมายถึง ‘เรเซล’
เรเซลเธอนอนอยู่บนเตียงของอันนาด้วยใบหน้าที่ชุ่มน้ำตา ทันทีที่เห็นผมเธอก็น้ำตาไหลเป็นสายน้ำ
“-ท ท่านเรเซอร์ คือว่า คือว่า—–ขอโทษคะ! ขอโทษคะ! ขอโทษคะ!” เธอก้มหัวให้รัวๆ
“-พ พอเถอะน่า …คือ ช่วยทำเป็นไม่ได้ยินได้มั้ย?”
“รับทราบค่ะ! ฉันจะไม่ล่วงเกินความสัมพันธ์ของท่านเรเซอร์กับอันนาแน่นอน ต้องขอโทษด้วยนะคะ ขอโทษที่เกิดมาด้วยค่ะ!!”
“อา แต่หล่อนไม่ผิดสักหน่อยที่ได้ลืมตาตื่น ..หมายถึงได้เกิดน่ะ”
เป็นเด็กดีจังนา ..ผมยิ้มเจื่อนเล็กน้อย ก่อนจะนึกอะไรได้
ถึงจะซุ่มซ่ามและซื่อๆไปหน่อย แต่งานง่ายๆ อย่างการตามหลังแล้วคอยดูต้นทางให้ตลอด เธอคงทำได้อยู่แล้ว
“เรเซล เป็นเธอแทนได้รึเปล่า?” ผมกับเรเวทมนตร์จ้องหน้ากัน เธอดูงงๆกับที่พูดไปเล็กน้อย “ช่วยอะไรฉันหน่อยได้มั้ย?”
เรเซลเงียบไปสักพักก่อนจะเช็ดน้ำตาตัวเอง และทำท่าตะเบ๊ะอย่างหนักแน่น
“ฉันพร้อมทำทุกอย่างเพื่อท่านเรเซอร์ค่ะ!”
“ถ้านั้น ‘ทำมัน’ แทนอันนาได้มั้ย?”
“…ทำ..มัน?”
——พลันใดนั้นหน้าของ เรเซล ก็ซีดเผือด และมี น้ำตาไหลจากตาข้างซ้ายของเธอ
“…รับทราบแล้วค่ะ ฉันขอเตรียมตัวก่อนสักครู่นะคะ ราว 5 นาที”
“โอ้! ขอบใจมากเรเซล ไม่ได้เธอฉันอึดอัดแย่เลย”
“ขออภัยด้วยนะคะ”
“เทียบกับเรื่องที่จะได้ทำต่อจากนี้ รอแค่ 5 นาทีมันจิ๊บๆ น่า”
ผมทำมือโอเครและยิ้มให้ แต่ดวงตาของเรเซลชั่งว่างเปล่าเหลือเกิน ..
“..ค่ะ”
ผมออกไปยืนรอหน้าห้องประมาณ 5 นาทีตามรายละเอียดที่ให้
“พร้อมแล้วค่ะ”
“อ่า—————————หืม!!!!!!????”
ประตูเปิดออกช้าๆ—–เผยให้เห็นร่างของเรเซลในชุดชั้นในสีขาว ดวงตาชุ่มด้วยน้ำตา ใบหน้าดูออดอ้อน ผิวกายที่สง่างามและหน้าอกที่ใหญ่จนแทบจะทะลักจากชั้นใน …ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่มาจากเด็กอายุ 12
‘เรเซลในชุดวาบหวิวปรากฏตัว’ เสียงแจ้งเตือนจากพระเจ้าในเกม RPG MAKER ดังขั้น
“-ร -ร เรเซล! ใส่ชุดบ้าอะไรของเธอเนี่ย!?”
เรเซลหลบตาผมและเผยยิ้มที่เบาหวิว
“รับทราบแล้วค่ะ” —กล่าวจบหล่อนก็กำลังจะปลดกระดุมเสื้อชั้นในของตัวเอง
“ไม่ต้องถอดด้วยเว้ย!! เอาเป็นว่ารีบๆใส่ชุดได้แล้ว”
“-ต แต่ว่าท่านเรเซอร์ ท่านจะทำเรื่องที่ผู้ใหญ่ทำกันไม่ใช่หรือคะ ..กับอันนาเองก็ทำไปแล้วด้วย หรือว่า” เรเซลในสภาพอ่อนแอน่าปกป้องได้ช้อนตามองผม “..หรือว่าท่านนิยมแบบใส่ชุดมากกว่า”
“ไม่ได้นิยมบ้าอะไรทั้งนั้นแหละ! ใครมันจะไปมีอารมณ์กับเด็ก 12 ฟร้ะ!”
“-ร หรือว่าฉันล้มเหลวในฐานะเมด!?”
“ตูแค่จะชวนเอ็งไปนอกคฤหาสน์เองวุ้ย!!”
“-น นิยมนอกสถานที่!?”
“โว้ยยย!!!!!” ผมทุบประตูดังลั่น “ฉันแค่จะโดดเรียนยามดึกโดยการชวนใครสักคนมาเป็นคนคอยดูต้นทางให้ก็เท่านั้น!!”
ราวกับได้ยินเสียงกระจกแตกขึ้นมา น้ำตาของเรเซลไหลราวกับสายน้ำ ใบหน้าแดงยิ่งกว่าเก่า เธอคงอยากจะร้องไห้หมกตัวอยู่ในห้องทั้งวันแล้วแหงๆ
“ก็เข้าใจอารมณ์อยู่หรอก แต่ช่วยเปลี่ยนชุดก่อนทีเถอะ!!”
ผมดันตัวเรเซลให้เข้าไปในห้อง และปิดประตูให้เยี่ยงสุภาพบุรุษ
“ฉันให้เวลาเปลี่ยนชุดกับทำใจ 10 .. ไม่สิ 20 นาทีไปเลย เรตได้หน่อยๆ แต่อย่าเกินชั่วโมงเชียว”
“….ฮึก อือ …ขอบพระคุณค่ะ”
..ใครผิดกันนะเรื่องนี้ ไม่ไอ้เวร ไม่จำเป็นต้องหาคนผิดหรืออะไรทั้งนั้น ในฐานะคนผมควรขอโทษเธอ …
ผมครุ่นคิดกับตัวเองไปสักพัก ไม่นานนัก แค่ 10 นาทีได้ เรเซลก็เดินออกจากห้องมาในชุดเมดดั้งเดิม เพิ่มเติมคือขอบตาแดงก่ำนั่นของเรเซล
“ขออภั–”
“ขอโทษด้วย!”
“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษ ….เอ๋?” เธอแหงนหน้ามองผม
“มันเป็นอุบัติเหตุทางการสื่อสารน่ะ ฉันผิดเองที่สื่อสารแปลกๆด้วย ..เอาเป็นว่าชั่งเรื่องนั้นแล้วเข้าเรื่องอื่นดีกว่า”
เรเซลเล่ห์มองผมด้วยสีหน้าที่สับสน ก่อนที่แก้มจะค่อยๆแดงระเรือ เธอทั้งหลบตาผมและเบือนหน้าหนี เธอตอบกลับเพียงสั้นๆว่า–
“–รับทราบค่ะ”
******
“แบบนั้นแหละ ดูต้นทางไว้”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
พวกผมกำลังเดินผ่านทางเดินหน้าคฤหาสน์ไปด้วยความหวาดระแวง
โดยปกติแล้วผมถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากคฤหาสน์เป็นอันขาด ในจุดนี้ผมสามารถเข้าใจได้เนื่องจากผมคือบุตรของขุนนางชั้นสูง—–เพียงแต่แบบนั้นมันออกน่าเบื่อไปหน่อยอะนะ
คงจะดูเป็นเด็กดื้อเอาแต่ใจไม่ใช่น้อย แต่ก็ช่างมันปะไร อย่างไรซะพื้นที่โดยรอบก็รับประกันความปลอดภัยในระดับหนึ่งอยู่แล้ว จากการสอบถามอันนานอกรอบ ทำให้ผมรู้เลยว่าพื้นที่แถวนี้ปลอดภัยกว่าโลกเก่าผมอีก
“-ค คือว่าท่านเรเซอร์ จะดีหรือคะที่ออกมาข้างนอกตั้งดึกตั้งดื่นขนาดนี้”
“อืม มันก็ไม่ค่อยดีละนะ ยังไงก็ผิดกฎ”
“…ถ้านั้น”
“ฉันตรวจสอบแถวนี้มาได้ละนะกับอันนา ไม่ต้องห่วงหรอกและถึงเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็มีสองเท้าเลยนะ”
“…ค่ะ”
ทำไมเสียงดูห่อเหี่ยวขนาดนั้นละ?
“เอาเถอะ”
ถึงภายนอกจะเป็นเรเซอร์ แต่ภายในผมคือยศ ทั้งขี่เล่นและรักอิสระ คนแบบผมให้อยู่กับที่น่ะไม่ชอบเลย ถ้าไม่ใช่เรื่องคอบาดขาดตายจริงๆผมก็ซ่าได้ คิดว่านะ
ที่สำคัญเหตุผลที่แวะข้างนอกบ่อยๆคืออยากลองฝึกใช้เวทมนต์ดูบ้าง แบบสถานการณ์จริงๆเลย
ไม่นานนักก็มาถึงซากโบราณสถานพังๆ เป็นสถานที่ประจำตอนมาเดินเล่นนอกคฤหาสน์
“ที่นี่หรือคะ?”
“ใช่แล้วละ ฉันมากับอันนาที่นี่ประจำ”
“…สนิทกับอันนามากเลยนะคะ”
เรเซลเกาแก้มตัวเองเบาหวิว
“อืม ก็เวลาคนสองคนได้ระบายทุกอย่างในใจใส่กันจนหมด ผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีก็แย่ไปเลย มีคนเคยบอกอย่างนี้บ่อยๆน่ะนะ”
เรเซลเอียงคอ งงนวยกับคำพูดของผม
“ว่าง่ายๆคือ ความสัมพันธ์ของฉันกับอันนาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ด้วยการเดิมพันครั้งสำคัญไงละ”
“…-ด ดีเลยนะคะแบบนั้น!”
“อ่า ค่อนข้างมากเลย …เธอเองก็ด้วยนี่เรเวทมนตร์ กับอันนาสนิทกันมากเลยนี่”
เรเซลได้ยินอย่างนั้นไปก็เผลออมยิ้มกับตัวเอง
“นั่นสินะคะ..คุณอันนาเป็นคนดีมากเลย ฉันไม่เคยรู้ถึงเรื่องนี้มาก่อน”
บรรยากาศเงียบไปทั้งอย่างนั้น ทาง เรเซล เองก็ยังพูดเรื่องอันนาได้ไม่เต็มปากนัก เพราะแต่ก่อนแตกหักกันชนิดจะฆ่ากันอยู่ร่ำไร
“…ท่าน เรเซอร์ แสงจากโคมไฟจะดับแล้วนะคะ”
แสงสว่างจากโคมไฟกำลังจะหายไปด้วยสายลมอ่อนๆ
มาแล้วแฮะสถานการณ์สำหรับทดลองจริง
ผมยิ้มอ่อนๆ วางโคมไฟลง และแบมือไปข้างหน้า
“ในนามของข้า ‘เรเซอร์’ ขอบัญญัติ——-เพลิงที่เปรียบได้ดั่งไฟของชีวิต จนตื่นขึ้น”
คำร่ายที่ดูโอเว่อร์ๆนั่นทำให้เกิด ‘บอลเพลิง’ ขนาดเล็กบนฝ่ามือผม
…สำหรับผู้ที่ค่อนข้างอ่อนเวทมนตร์ จำเป็นต้องใช้คำร่ายเป็นคีย์เวิร์ด ที่ตัวผมจำเป็นต้องร่ายเพราะวงจรเวทย์ยังไม่สมบูรณ์
ตามเทคนิคแล้วเด็กอายุไม่ถึง 14 วงจรเวทย์จะไม่สมบูรณ์ทำให้แทบใช้เวทย์ไม่ได้เลยหากมานาไม่มากพอ ซึ่งกรณีของผมก็ใช้ได้แต่ต้องมีคำร่ายที่ถูกต้องด้วยจึงจะได้ผล
“…บอลเพลิง!?”
เรเซลตกใจอย่างมาก ทั้งๆที่เป็นเพียงเวทย์แสนจะธรรมดา
“-ท ท่านเรเซอร์สามารถทำบอลเพลิงได้ตั้งแต่อายุเท่านี้เลยหรือคะ!?”
ผมยิ้มตอบเรเซล
“ก็อย่างที่เธอรู้ปกติต้องอายุ 14 ก่อนถึงจะใช้เวทมนตร์ได้ ..แต่ว่าก็ว่าเถอะ แค่บอลเพลิงเล็กๆก็กินมานาฉันไปครึ่งหนึ่งแล้วละ”
“ไม่หรอกค่ะ แค่นี้ก็สุดยอดมากแล้ว สำหรับอายุเท่านี้” เรเซลดูจะตื่นตาตื่นใจมากกับสิ่งที่ผมทำ
คงนั้นละนะ
ถึงผมจะ 12 ปี ใกล้จะ 14แล้ว แต่โครงสร้างมันไม่ได้ค่อยๆโต มันจะพัฒนาในชั่วข้ามคืน
“ท่านเรเซอร์สุดยอดมากๆเลยค่ะ! สุดยอดมากจริงๆคะ!”
“อย่ายอกันมากเลย ถ้าเอาแต่อวยกัน เกิดเหลิงจนไม่เป็นอันทำอะไรขึ้นมานี่แย่เลยนา”
เรเซลยังคงระรื่นย์และพล่ามไม่หยุด
“การที่ใช้เวทย์ระดับบอลเพลิงได้ทั้งๆที่วงจรเวทย์ยังไม่สมบูรณ์ นี่มันเข้าขั้นอัจฉริยะแล้วนะคะ! ขนาด ‘ชายที่แกร่งที่สุดในทวีปฟัฟนิร์’ ยังทำไม่ได้เลยค่ะ!”
รายนั้นเพราะพลังเวทย์น้อยจนน่าเป็นห่วงต่างหาก แต่เดิมคนๆนั้นสภาพร่างกายไม่เหมาะกับสายนักเวทย์ด้วยซ้ำ
“สุดยอดเลยนะแบบนั้น”
“ใช่ค่ะ! ท่านเรเซอร์ในอนาคตต้องกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมได้แน่นอน …ก็ท่านเรเซอร์น่ะ เปลี่ยนไปตั้งมากมายเลยนะคะ!”
พูดจบเรเซลก็เงียบลง และค่อยๆยิ้มภายใต้ความมืดที่มีเพียงแสงจากบอลเพลิงช่วยส่อง
..เป็นบุญของผมจริงๆที่ได้เห็นรอยยิ้มของเรเซล
“ท่านเรเซอร์เปลี่ยนไปมากจริงๆคะ แม้แต่คนในคฤหาสน์ก็คุยเรื่องนี้กันไม่หวั่นเลย”
“คฤหาสน์นี้มีแต่พวกชอบนินทารึไง?”
“…ทุกๆ คนชื่นชมในตัวท่านเรเซอร์มากเลยค่ะ แม้แต่อันนาก็ไม่เว้นคะ” เธอดูกลัวเล็กน้อย แต่ก็พยายามแก้ต่างให้ทุกๆคน
ผมแค่หยอกเล่นเองนะ อย่าจริงจังนักสิ
“ก็นะ เรเซอร์คนเก่าน่ะ ฉันถีบหัวส่งมันออกจากร่างแล้ว”
“แบบนั้นมัน..”
เรเซลเป็นคนที่แสดงออกทางสีหน้าได้ชัดเจนมาก——เธอกำลังงง และกลัว
“อย่าคิดมากเลย ผลลัพธ์คือฉันดูดีขึ้นเป็นกอง แค่นั้นก็เจ๋งแล้วละ”
“แม้แต่วิธีพูดก็เปลี่ยนเลยนะคะ”
“สังคมมันหล่อหลอมน่ะ บางทีคนเราก็เติบโตในชั่วข้ามคืนได้” ผมยิ้มให้ “อาทิเช่นการที่จู่ๆฉันก็อยากปกป้องเธอไรงี้”
อะไรประมาณนั้นแหละ
……เชี่ยวชะมัด
……ใบหน้าของเรเซลแดงแจ๋ราวกับระเบิดลง ร่างของเธอทื่อลง ก่อนจะสะงึกสะงักเหมือนหุ่นยนต์
“-ท -ท ที่พูดนี่มันหมายความว่ายังไงหรือคะ!? -ท- ท -ท ที่ว่า ..ที่ว่า!”
“ประมาณว่าตัวฉันเปลี่ยนไป เพราะมีความคิดที่อยากจะปกป้องเธอ และ..หลายๆคน ประมาณนั้น”
“อึก…งือ…พูดอะไรเข้าใจยากอีกแล้ว ….อ๊ะ -ข ขอโทษค่ะ”
“อย่าคิดมากเลยๆ”
ว่าแล้วผมก็บิดขี้เกียจแล้วลงไปนอนงายหน้าตรงซากหิน เรเซลดูประหม่ากว่าทุกที
“จะว่าไปแล้วเรเซล ที่บ้านเธอเป็นยังไงบ้างรึ?”
เพราะจู่ๆก็ยิ่งคำถามเรื่องครอบครัวไป เรเซลเลยตัวแข็งกว่าเดิม
ก็แค่อยากถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไปเองแท้ๆ
“…ขอโทษค่ะ ฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน ..พวกเราขาดการติดต่อกันมาหลายปีแล้วค่ะ”
…อา ลืมซะสนิทเลย ไอ้เวรเรเซอร์ต้นฉบับมันตัดการติดต่อของเรเซลกับครอบครัวทิ้งไปนี่นา
“เธออยากจะเจอครอบครัวบ้างมั้ย?”
เรเซลนิ่งลง และทำหน้าดูเศร้าชอบกล คงจะคิดถึงทางบ้านมาก
“ว่าไง สนมั้ย? เป็นไปได้ พรุ่งนี้ฉันจะพาไปเอง—-”
“ใจดีจังเลยนะค่ะ ..ท่านเรเซอร์ใจดีเกินไปแล้วคะ”
เธอยิ้มให้ไม่ผิดแน่ ทั้งอย่างนั้นมันกลับดูเศร้า
ผมได้แต่แปลกใจ ผมกำลังจะช่วยเธอนะ ทำไมถึงทำสีหน้าอย่างนั้นละ?
“ขอโทษด้วยนะคะ ท่านเรเซอร์”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องขอโทษเลยนี่?”
เรเซลส่ายหัวให้ผม
“ตั้งแต่วันไหนไม่รู้ ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไร้ประโยชน์ต่อท่านเรเซอร์มาโดยตลอด ต่างกับอันนา …ฉันดีใจนะคะ ที่ท่านเรเซอร์มีจิตใจงดงามกับคนชนชั้นต่ำอย่างฉันถึงเพียงนี้ ซ้ำยังคอยช่วยเหลือมาตลอด แม้จะเล็กน้อยแต่ฉันก็ไม่อยากจะลำบากท่านเรเซอร์ อยากจะเป็นประโยชน์ให้ท่านมากกว่านี้คะ”
แบบนี้นี่เอง …1 เดือนที่ผ่านมานี้ ผมไม่เคยคิดจะพึ่งเธอที่เป็นเมดเลย ต่างกับอันนา
“ฉันอยากเป็นที่พึ่งให้ท่านเรเซอร์มากกว่านี้คะ ..ว่ากันตามตรง ตลอดมาฉันไม่อยากเกี่ยวข้องกับท่านเลยสักนิด ไม่อยากจะยุ่งด้วย ไม่อยากจะอะไรด้วยทั้งนั้น อยากจะหายๆไปให้รู้แล้วรู้รอดเลย ..ทุกๆวันฉันคิดเช่นนั้นคะ จนกระทั่ง—”
เธอกล่าวออกมาอย่างจริงจังและซื่อตรง
“ท่านได้ช่วยฉันไว้ แล้วนับจากนั้นก็ช่วยนับไม่ถ้วน ไม่โกรธ ไม่ต่อว่าฉัน ไม่ทำร้ายฉันเหมือนกับทุกที …ฉันเป็นเด็กสาวที่ใจง่ายค่ะ เวลาเพียงแค่ 1 เดือน หลังจากที่ฉันเกลียดท่านมาตลอด มันไม่ควรจะแปรเปลี่ยนจากความเกลียดชังมาเป็นความชื่นชมและเคราพรักได้ …มันเร็วเกินไป”
..ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าพูดอะไรไป เธอก็หน้าแดงแจ๋แบบฉับพลัน——–
“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ!!”
“พอแล้วๆ …เอาสิ หลังจากนี้ฉันจะพึ่งพาเธอมากกว่านี้”
เรเซลได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มร่า
“-ค ค่ะ”
เรเซลดูเคอะเขินเล็กน้อย
“หลังจากนี้ไม่นานฉันก็มีธุระแถวป่ามหาภูตต่อ เธอกับอันนาตามไปช่วยฉันใช้ชีวิตประจำวันได้รึเปล่า?”
“ได้ค่ะ! ได้แน่นอนค่ะ!”
“แล้วก็ตอนไปบ้านของพี่สาวเธอช่วยจัดการคุยกันเมดคนอื่นทีนะ ว่าฉันไม่คิดจะออกจากบ้านจนกว่าจะถึงวันงาน ขี้เกียจ”
“รับทราบค่ะ!”
“โอ้ ดูพึ่งพาได้จริงๆ ที่สำคัญอีกเรื่อง”
“ค่ะ!”
“มีผู้หญิงที่ชื่อว่า ‘เบลลามี’ ฉันชอบเธอมาก สักวันฉันกับเธอคนนี้คงได้เจอกันอีก เรเซลเธอช่วยไปตีสนิทกับเธอแล้วเป็นแม่สื่อให้ได้รึเปล่า?”
…….
…….
หลังจากที่เงียบกริบไปหลายวิ เรเซลเรียกสติกลับคืนได้และตอบผมสั้นๆแบบไร้เรี่ยวแรง
“….รับทราบค่ะ”
“อืม ถ้านั้นก็กลับกันเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว เดี่ยวพรุ่งนี้เธอต้องช่วยจัดของอีกทีด้วย”
“รับทราบค่ะ”
ดูห่อเหี่ยวจริงๆ ด้วย….ฮะ หวังว่าเธอจะไม่โกรธนะที่แกล้งเล่นอย่างนี้——เอาเป็นว่า
“ฝากด้วยละเรเซล”