เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 59: ตัวร้าย และ ชมรม
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 59: ตัวร้าย และ ชมรม
< < 49 > >
ยามเย็นมาถึง ผมผู้ที่เมื่อเช้าปั่นการบ้านภายในเวลาอันน้อยนิดแทบตาย ตอนนี้ได้แต่เดินอย่างอ่อนล้าทั้งทางใจและทางกาย สายตาเหม่อลอยไปทางพระอาทิตย์สีแดงที่ใกล้จะตกดิน ..อีกฝั่งของโลกคงจะใกล้เช้าแล้วละมั้ง
“เฮ้อ ชีวิตนี่เรื่อยๆ ดีนะ~”
ชีวิตช่างเอื่อยเฉื่อย หลายคนอาจเต็มไปด้วยประกายฝัน แต่สำหรับผมแล้วนั้นแตกต่าง ชีวิตของผมเต็มไปด้วยความสบายๆ ไม่ได้มีความฝันระดับที่ทำไม่ได้จะไม่ใช่ลูกผู้ชายเหมือนใครบางคน หรือใช้ชีวิตเพื่อหาความหมายของชีวิตใดๆ ผมไม่ใช่คนประเภทนั้นเลย แค่ดูวุ่นๆ บางครั้งเพราะภาระที่เอาตัวไปรับอย่างการช่วยเหลือเหล่าตัวหลักในนิยายที่เคารพรัก
“ไอ้ฉันแต่ก่อนก็พยายามทั้งวันแบบเลือดตาแทบกระเด็นหมือนกัน ..แต่คราวนั้นฝันเป็นจริงไปแล้วนี่นา ตอนนี้ไม่ได้มีฝันอะไรจริงๆ จังๆ ด้วยนอกจากช่วยนางอวย”
ว่าแล้วผมก็ถอนหายใจอีกที
“การบ้านไม่ได้ระบุไว้ว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางสู่ฝันเสียหน่อย ..ไม่ทำก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
แต่ไม่ทำไม่ได้อะนะ ค่าเทอมไม่ใช่ถูกๆ การบ้านเป็นหนึ่งในออฟชั่นของค่าเทอมด้วย มันถูกระบุไว้ในฐานะความคาดหวัง ที่ถ้าไม่ทำมีแต่จะโดนมองแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว ไม่ก็ดวงตาที่เศร้าสร้อยแทน แววตาดังข้างต้นผมไม่ถูกด้วยสักนิด จึงจำเป็นต้องทำการบ้านอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยน้ำตา
..เฮ้อ~ การมีชีวิตอยู่นี่เหนื่อยจังนา เป็นลิงที่สารเคมีในสมองไม่ได้เยอะ แล้วใช้ชีวิตชิลๆ ยังจะดีกว่าเลย ชีวิตที่วันๆ นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องคิดอะไร—เหวอ ไม่ไหว คิดไปคิดมาอย่างหลอน ชีวิตอย่างข้างต้นนี่ยังไงก็ไม่เอาอ่า แต่บางทีเราก็อยากใช้ชีวิตแบบนั้นเหมือนกัน ให้ใช้ไปตลอดคงไม่ไหว ..อาการตีกันของความคิดละ ทำไมมนุษย์เราถึงมีความเห็นที่ต่างกันในหัวได้นะ
ไม่เข้าใจก็จริง แต่โคตรยุ่งยาก แค่อยู่เฉยๆ ไม่กี่นาทีในหัวมันก็ดึงความยุ่งยากมาให้คิดเล่นตลอดเลย
ชีวิตหนอชีวิต
“ไว้เรียนจบแล้วหนีไปเข้าป่าดีกว่า ลองใช้ชีวิตเยี่ยงวานรดูเผื่อจะค้นพบความหมายของชีวิตดีๆ บ้าง” ผมพึมพำออกมา “ถ้าติดลมแล้วอยู่ป่าตลอดเลยก็ดี”
“ไม่ได้นะ”
คนที่ผมรออยู่—‘เบลลามี’ เข้ามาทักผมจากข้างหลัง
“ถ้าเรเซอร์เข้าป่า ..เดี๋ยวจะไม่ได้เจอกันอีกนะ
”..นั่นสิเนอะ ฉันคงจะอยู่กับพี่น้องสรรพสัตว์แทน ในกรณีที่เลวร้ายอาจผสมพันธุ์จนเกิดเผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมา …อาจมีฝูงลิงที่ตัดมิติได้โผล่มาก็ได้”
แบบนั้นโลกไม่โกลาหลเลยหรือไง ฝูงลูกลิงที่ตัดมิติได้เนี่ย
‘บ้าค่ะ’ ยูนาพึมพำขึ้นอย่างเอือมๆ
เบลลามีทำหน้างงๆ
“ไม่รู้หรอก แต่จะไม่เข้าป่าใช่มั้ย? ”
“ถ้ามีคนไม่อยากให้ไปก็จะไม่ไปหรอก”
“เราไม่อยากให้ไป”
โดนคนที่เคารพรักพูดแบบนี้ใส่ ไอ้ผมรู้สึกฟินขึ้นหัวเลยละ
“เข้าใจแล้ว ไม่เข้าป่าแล้วละ”
“ทำดี” เบลลามียกนิ้วโป้งให้ “หูเบาดีนะ”
ทำไมวางท่าอย่างนั้นละ
“แล้วเรย์ละ? ”
“เห็นว่าติดธุระชมรม เพราะโดนขอให้ช่วยสอนวิชาดาบให้น่ะ”
นั่นสิเนอะ ในโรงเรียนนี้ไม่น่ามีใครเก่งด้านดาบกว่าเรย์แล้วละ ต่อให้เป็นคณนาครูก็ตาม
ช่วยไม่ได้ ไปกันแค่สองคนนี้แหละ
“ถ้านั้นไปเลยดีกว่า เวลาไปเคยรอใคร เสมือนสายลมแห่งฟัฟนิร์”
“ได้สิ แต่สงสัยอย่าง”
“อะไรรึ? ”
“เรเซอร์ชอบพูดอะไรให้มันยืดๆ ยาวๆ โดยไม่จำเป็นเยอะจังนะ ..มันเท่เหรอ? ”
..จะว่าเท่มันก็..เท่แหละ เท่สุดๆ เลย เวลาได้พูดอะไรแบบนั้นโดยไม่มีใครขัดเนี่ย
“เอ่อ คือว่า เพราะอะไรหลายๆ อย่างอะนะ สังคมหล่อหลอมมั้ง..เอาเป็นว่าไปกันเถอะ”
แต่ให้บอกตรงๆ มันรู้สึกพิลึกกึกกือ ง่ายๆ คือน่าอายชะมัด
“อือ ทำเมินก็ได้ไม่เป็นไร”
ผมเผลอคิดหลายครั้งเลย ว่า—เบลลามีอาจไม่ได้เผลอพูดคำชวนหาเรื่องก็ได้ บางทีอาจตั้งใจพูดมันตรงๆ มากกว่ามั้งเนี่ย
อืม คิดไปเอง แค่คิดไปเองนั่นแหละ
พวกเรามาถึงหน้าชมรมแล้ว—-มีป้ายไม้เก่าๆ โทรมๆ สลักไว้ว่า ‘ชมรมวิจัยโรคมานาย้อนกลับ’
โรคเดียวกับที่ภรรยาของลุงในงานจิตอาสาเป็น ..โรคที่ทำให้ความทรงจำของคนย้อนกลับไปจนเป็นเด็ก ส่วนมากจะพบในหมู่คนแก่ แต่มีวัยรุ่นบ้าง
ความลับสำคัญที่ทุกคนไม่รู้เกี่ยวกับโรคมานาย้อนกลับคือมานาบริสุทธิ์ หลายคนบนโลกไม่ทราบว่ามานาบริสุทธิ์คืออะไร จะมีแต่เพียงพวกที่อยู่มานับร้อยนับพันปี ไม่ก็พวกที่รู้ความลับของโลกได้ด้วยเงื่อนไขบางอย่างเท่านั้น อย่างผมก็กรณีสอง ที่รู้ได้เพราะมาเกิดใหม่ในร่างตัวร้าย
แล้วมานาบริสุทธิ์เกี่ยวอะไรกับโลกใบนี้? สามารถตอบได้ทันทีเลยว่าทุกอย่าง ทั่วทั้งโลกหรือร่างกายคนล้วนเกิดมาจากมานาบริสุทธิ์ ทั้งเวทมนตร์หรือตัดมิติของยูนาก็เป็นมานาบริสุทธิ์ที่ผ่านตัวกลางอย่างวงจรเวทย์ หรืออุปกรณ์เวทมนตร์ต่างๆ นานา กล่าวได้ว่าหากมีใครสามารถควบคุมมานาบริสุทธิ์ได้ คนผู้นั้นจะเป็นพระเจ้าของโลกโดยแท้ เพราะสามารถเขียนอะไรบนลงหน้าประวัติโลกก็ได้
สมมุติให้เขียนว่ายูนาจงหายไป ยูนาก็จะหายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน ราวๆ นี้ แน่นอนไม่มีใครไปถึงขั้นนั้นได้หรอก
และโรคมานาย้อนกลับ มันก็เกิดมาจากความผิดปกติของมานาบริสุทธิ์ในร่างกายคนเรา ทำให้ไม่สามารถรักษาได้ เพราะเขตแดนของมานาบริสุทธิ์ หลายๆ โรคก็ด้วย
“ดูเก่าๆ นะ”
“เป็นหนึ่งในชมรมที่ไม่ได้งบน่ะ ..เพราะคิดว่าไร้สาระ”
ไม่มีทางที่จะทำอะไรกับโลกมานาย้อนกลับได้ ..ประวัติศาสตร์นับร้อยปีบอกว่าอย่างนั้น
“สมัยก่อนเห็นว่าได้งบเยอะอยู่ แต่สุดท้ายก็ล้างไปแล้วน่ะ”
นั่นสินะ การให้งบกับงานวิจัยที่ผ่านเป็นร้อยปียังไม่ช่วยอะไรเลย อาจดูสิ้นเปลืองไปมาก
“ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นหรอกนะ จะเข้าดีเหรอ? ”
“อยากเห็นสภาพของเธอเมื่อหนึ่งปีก่อนน่ะนะ ก่อนที่เธอจะอยู่คนเดียวเดี่ยวๆ ในชมรม”
เบลลามีพยักหน้ารับแล้วเปิดประตูเข้าไป——–ในห้องเงียบราวกับป่าช้า เผลอๆ ยิ่งกว่าอีก ทั้งๆ ที่มีคนอยู่ตั้งสองคนแต่กลับเงียบจนน่าแปลก
คนหนึ่งเป็นสาวขุนนางทั่วๆ ไปที่นอนม้วนตัวอยู่กับผ้าห่ม กำลังหลับฝันดีอยู่
อีกคนเป็นครูสาวอายุราวๆ สามสิบ กำลังนอนหลับอยู่บนโต๊ะทำงาน ใช่ นอนอยู่บนโต๊ะทำงานพลาสติกชั้นดีเลย
…
“เวลาหลับของพวกเขาน่ะ”
เบลลามีชี้หน้าขุนนางสาวที่นอนอยู่
“คนนี้เป็นรุ่นพี่ปี3 ปกติจะนอนตลอดเพราะมีนัดตอนกลางคืนกับแฟนหนุ่ม ทำให้ไม่ได้นอนประจำ ..ปกติทำอะไรกันนะ” เบลลามีเอียงคอฉงน
“วัยรุ่นนี่สุดจริง”
“อีกคนเป็นครู ..ปกติก็โดดสอนแล้วเอาแต่นอนตลอด แต่—ตอนเย็นยังจะหลับอีก”
เบลลามีจ้องหน้าผมด้วยใบหน้าสุดจะทน
“คนเหลวแหลกสินะ”
ผมเดินตามหลังเบลลามีไปแบบเกรงใจ แล้วมาหยุดอยู่ที่กองหนังสือ
“ปกติอาจารย์ชอบบอกว่าเพราะโสดมาตลอดสามสิบปี ทำให้ไม่อยากใช้ชีวิตแล้ว เลยใช้ชีวิตแบบขอไปที รอให้โดนไล่ออกในสักวัน”
แบบนี้น่ะเอง เหตุผลที่อาจารย์ที่ปรึกษาของเบลลามีโดนไล่ออกตอนปี2 เพราะโดดงานไม่ทำงานทำการนี่เอง ไม่ไหวแฮะนั่น
ผมมองแบบเอือมๆ ..ถ้าพี่สาวผมเป็นคนไม่เอาไหน สภาพน่าจะไม่ต่างกันนัก ก็โสดมาตลอดเลยนี่นา ..แองเจลิน่า ป่านนี้จะเจอคนที่ใช่หรือยังนะ
“ชมรมนี้มีดีแค่งานวิจัยเก่าๆ ทั้งนั้นแหละ เราว่า”
พูดตรงจริง
“เธอเข้ามาเพราะพวกงานวิจัยอย่างเดียวสินะ”
“อือ ถ้าให้ไปวิจัยแข่งยังไงก็สู้ฝ่ายวิจัยด้านนี้จริงๆ จังๆ ไม่ได้หรอก สู้ศึกษางานวิจัยในอดีตเป็นภูมิ แล้วไปทำงานจริงตอนเราเรียนจบจะดีกว่า”
ดูมีอนาคตชะมัด
“พวกงานวิจัยเก่าๆ ช่วยได้เยอะเลย”
“เป็นประสบการณ์ของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในอดีตนี่นะ ..มีคนเคยกล่าวไว้ว่าให้ดูคนที่ประสบความสำเร็จ คู่ไปกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จเป็นประสบการณ์”
“อือ”
เบลลามีนั่งพับเพียบลงกับพื้น แล้วค่อยๆ หยิบงานวิจัยเก่าๆ ขึ้นมาดู
“ตั้งแต่ที่เข้าชมรมจนถึงตอนนี้เรายังอ่านแล้วทำความเข้าใจได้ไม่หมดเลย” เบลลามีถอนหายใจ “สมัยก่อน รุ่นพี่เขาวิจัยกันจริงจังมากๆ เลยนะ แค่เห็นก็รู้ถึงความพยายามแล้ว …แม้ว่ามันจะสูญเปล่า”
..พยายามเข้าละ สักวันผมจะบอกเธอเรื่องมานาบริสุทธิ์ด้วย มันต้องจำเป็นแน่ในอนาคต
“ได้เห็นอะไรดีๆ แล้วละ เดี่ยวฉันไปดูชมรมอื่นต่อดีกว่า”
“อือ เข้าใจแล้ว”
ผมหันหลังกลับ ทว่าดันถูกดึงแขนไว้ก่อน
“–เดี่ยวสิ เบลลามี ถ้าจะจับกันก็ต้องบอกก่อนสิ ฉันยังทำใจไม่ได้เล…ใครครับ? ”
ยะ อยู่ๆ มาจับแขนกันเนี่ยนะ?
เธอคนนั้นเป็นอาจารย์สาวที่นอนฟุ๊บอยู่เมื่อสักครู่ หัวฟูๆ และสวมแว่น เธอมองผมด้วยตาที่เป็นประกาย ดมกลิ่นฟุดฟิดอย่างรุนแรงจนรู้สึกสยอง
“ดะ ดิฉันครูเซ่ อายุ 30ปี ปัจจุบันยังโสดค่า!”
“..เรเซอร์ครับ เป็นเพื่อนของคุณเบลลามี สมาชิกในชมรม”
“..อะไรกัน อุตส่าห์คิดว่าได้เจอผู้ชายน่าสนใจแล้วเชียว”
จู่ๆ ก็หดหู่ไป ..
“สนใจฉันปะ? ”
“ไม่ครับ อีกอย่างศิษย์กับอาจารย์มันไม่ได้นะครับ”
เธอถอนหายใจ แล้วกลับไปนอนที่เดิม
“แม้แต่หนูเบลลามียังจับผู้ชายได้เลย ..แล้วทำไมฉันถึงไม่ได้กันนะ”
“มะ ไม่ทราบครับ เอาเป็นว่าสู้ๆ นะครับ พี่สาวผมอายุก็จะสามสิบแล้วยังหาไม่ได้เลยเหมือนกัน”
“เหรอ อือ อย่างน้อยๆ ก็ยังมีเพื่อน”
“แล้วชมรมนี้ไม่มีอะไรนอกจากผู้หญิงหรอกนะ น่าจะไม่ถูกใจวัยรุ่นแบบเธอหรอก นอกจากผู้หญิง
“นอกจากเบลลามีแล้วก็ไม่สนใจใครหรอกครับ”
…อาจารย์เงียบไปสักพัก ส่วนเบลลามีกำลังจดจ่อกับการอ่านวิจัยอยู่เลยไม่ใส่ใจอะไร แค่หูแดงเท่านั้น?
“มีแต่วิจัยเก่าๆ ทั้งนั้นแหละ สมัยก่อนเขาพยายามกันแทบตายเลยนะ ฉันด้วยคนหนึ่ง”
“โฮ อาจารย์เป็นศิษย์เก่าเหรอครับ? ”
เหมือนว่าเธอจะเป็นส่วนหนึ่งของกองเอกสารงานวิจัยมากมายที่เบลลามีอ่านอยู่
“สมัยยังเนื้อหอมน่ะนะ ตั้งสิบกว่าปีก่อนแล้ว”
แบบนี้นี่เอง
“เอาเป็นว่าอย่ายอมแพ้นะครับ เรื่องหาผู้ชาย”
“จ้า~”
“ขอตัว”
ผมเดินออกจากห้องชมรมได้โดยสวัดดิภาพ
“ต่อไปก็—อ๊ะ โซเฟีย”
โซเฟียกำลังยืนคุยกับรุ่นพี่ชมรมเชียร์รีดเดอร์ น่าจะโดนทาบทามนั่นแหละ
หล่อนส่ายหัวให้อีกฝ่ายรัวๆ ทำให้รุ่นพี่คนนั้นยอมตัดใจไป โซเฟียถอนหายใจแล้วเดินต่อจนเจอหน้าผม
“โย่”
“อะ โอ้”
ดูอึดอัดหน่อยๆ เพราะพวกเราไม่ได้คืนดีกันแบบเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ แต่ใช้วิธีทำเมินเรื่องก่อนหน้าแทนอะนะ~
“เธอยังไม่เข้าชมรมเหมือนกันเลยนะ ฉันเองก็เดินให้ว่อนหาชมรมอยู่เหมือนกัน”
“เหรอ”
“..สนใจไปดูชมรมกันเปล่า? ”
โซเฟียส่ายหัวให้
“ไม่ดีกว่า ฉันไม่ได้คิดจะเข้าชมรมอยู่แล้วด้วย ..เหตุผลทางบ้านน่ะ”
บอกตรงๆ ไม่ได้สินะ
“แบบนี้น่ะเอง”
…
“ยะ อยู่กันแค่สองคนนี้อึดอัดนี่เนอะ อะฮะๆ ”
พล่ามอะไรของตูฟร้ะ
“นะ นั่นสินะ” โซเฟียยิ้มให้ “ปะ ไปละงั้น ไปละพวก”
ฝืนโคตร อย่างปลอม!
“—โอ้” ผมเองก็ปลอมไม่แพ้กัน ..
โซเฟียเดินผ่านผมไป
“..อึดอัดจริงๆ ด้วยแฮะ”
“ดูจะคุยกันยากจริงๆ นั่นแหละค่ะ”
..ผมหันไปมองข้างๆ ซึ่งไอริสดันโผล่ตัวมาจากไหนไม่รู้
“ยังทะเลาะกันตั้งแต่คราวตามล่าโจรอยู่หรือคะ? ” ไอริสถามเรื่องที่รู้ๆ กันออกมาหน้าตาเฉย
“ประมาณนั้น แล้วมีธุระอะไรละ? ”
ผมถามอย่างนี้ เพราะรู้ดีว่าไอริสไม่มาทักใครโดยไม่มีธุระหรอก เธอยิ้มให้
“เรื่องที่โซเฟียไม่เข้าชมรมน่ะ”
“อย่างที่เห็นฉันช่วยหัวหน้าคณะกรรมการนักเรียนอย่างรุ่นพี่ไม่ไหวหรอก”
ตอนนี้คุยกันสองต่อสองเฉยๆ ยังไม่ได้เลย
“ไม่ได้มาขอความช่วยเหลือหรอกค่ะ”
“แล้วมีธุระอะไรรึ? ”
“เห็นว่าโซเฟียเธอเข้าชมรมไม่ได้ เพราะเหตุผลทางบ้านน่ะคะ ..จริงๆ แล้ว” ไอริสโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูผม “เห็นว่าเธอกำลังทำงานพิเศษอยู่”
..แบบนี้นี่เอง
“ยิ่งแล้วใหญ่ จะเอามาบอกฉันทำไมละ”
ไอริสถอนหายใจเฮือกใหญ่ ท่าทางดูหงุดหงิดกับผมไม่น้อย
“ทำไมคุณต้องโกหกหน้าตาเฉยด้วยละคะ”
“..”
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาเหล่านั้น ด้วยเหตุผลบางอย่างคุณไม่สามารถทิ้งได้หรือไง? ไม่สามารถปล่อยเลยตามเลยได้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม กับเพื่อนใกล้ตัวยูจิน่าจะเป็นเช่นนั้นนี่คะ? หรือฉันคิดผิดไป? ” ไอริสยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ถ้าฉันคิดผิดไปก็ช่วยบอกด้วยเถอะ ฉันจะเชื่อทุกคำที่คุณพูดเลยละ”
..ยัยนี่สังเกตพฤติกรรมของผมมาตลอดเลยน่ะเหรอ
“เพราะรู้ว่าฉันปล่อยไปไม่ได้เลยมาบอกเรอะ”
“ประมาณนั้นค่ะ”
ยังพูดใส่หน้ากันตรงๆ ด้วยว่าฉันรู้เป้าหมายของคุณไรงี้
“อยากได้อะไรละ? ”
“บอกไม่ได้ค่ะ” ไอริสแตะริมฝีปากตัวเอง “แต่ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก”
อ๋อเรอะ
“มีอะไรจะบอกกันอีก”
“เรื่องที่ทำงานของคุณโซเฟียค่ะ”
เธอบอกที่ทำงานของโซเฟียมาอย่างแม่นยำ และครอบคลุม เหมือนว่าไปสืบมาแล้วไม่มีผิด …
****
ผมเดินไปที่ทำงานของโซเฟียทันทีหลังจากได้ข้อมูล ..อย่างที่ไอริสว่าผมไม่สามารถปล่อยเจ้าพวกนั้น (ตัวละครในนิยาย) ไว้เฉยๆ ได้ อย่างน้อยที่สุดต้องเก็บข้อมูล จึงจะปล่อยเลยตามเลยไม่ได้แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยขี้ปะติ๋วก็ตามที
ต้องขอบคุณไอริสด้วยซ้ำที่มาบอกผม แต่…น่าหงุดหงิดเป็นบ้า ทำอย่างกับผมเป็นหุ่นเชิดเลยไม่มีผิด เหมือนว่าหล่อนจะรู้วิธีใช้งานผมทางอ้อมแล้วเลย
“ว่าก็ว่าเถอะ ถึงจะโดนใช้งาน แต่ยัยนั่นไม่ได้ให้ผมไปทำอะไรที่ไม่ดี ..เงื่อนไขการใช้งานผมอีกอย่างคือไม่ฝืนใจผมด้วยละมั้ง ถ้าให้เดา ถ้าแบบนั้นก็ไม่มีปัญหาเกิดโดนใช้งานแบบอ้อมๆ ในเมื่อเป้าหมายคือเป้าหมายเดียวกันอยู่แล้ว ..ไม่สิ แต่บางกรณีมันก็.. ผมโง่จะตายเรื่องพวกนั้นไม่เข้าใจหรอก”
เอาเป็นว่าหาวิธีรับมือไอริสไว้หน่อยก็ดี ในกรณีที่ความเห็นไม่ตรงกันจะแก้ทางไอริสยังไง ประมาณนั้น
‘เดี่ยวฉันช่วยคิดให้ละกันคะ ตอนนี้ทำธุระของมาสเตอร์ก่อนดีกว่า’
นั่นสินะ ขอบใจ
เดินไปสักพักผมก็มาหยุดอยู่ที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ในตลาดขนาดยักษ์ของอาณาจักรฟัฟนิร์ ..ตลาดแห่งนี้เหมือนกับตลาดกลางคืนที่ประเทศไทย ประมาณ ตลาดรoไฟ มันแค่จะแปลกตาเรื่องวัสดุที่ใช้ประกอบร้านและอาหารนิดหน่อย
และร้านค้าตรงหน้าของผมก็เป็นร้านอาหารตามสั่ง ซึ่งขนาดกลางๆ ไม่ได้เล็กหรือใหญ่มาก มีพนักงานคอยดูแลอยู่คนถึงสองคน และหนึ่งในนั้นก็คือ ‘โซเฟีย’
เธอในชุดพนักงานที่มีผ้ากันเปื้อนอยู่ ค่อนข้างจะน่ารักเลย
“เอาละ”
ผมผสานมือ ก่อนนำมือไปแตะหน้า—ไม่นานหน้าของผมได้เปลี่ยนเป็นหน้าของชายวันสามสิบปลายๆ เสื้อเองก็แปรเปลี่ยนเป็นชุดสูทสีดำด้วย
“..วิชาไสยศาสตร์ ‘แปลงโฉม’ ”
หนึ่งในวิชาไสยศาสตร์ที่ผมใช้ได้แบบงูๆ ปลาๆ คือ ‘แปลงโฉม’ ตามชื่อเลย เป็นวิชาที่ใช้สำหรับแปลงอะไรสักอย่างให้เป็นไปตามต้องการ และคราวนี้ผมก็แปลงหน้าตัวเองกับชุดให้เป็นตาลุงวัยทำงาน
แน่นอนมันไม่เปลี่ยนไปหรอก ผมคงอยู่ในสภาพนี้ได้ราวๆ สิบชั่วโมงเต็มที่
“จะให้ไปหาโซเฟียที่ดูปิดบังเรื่องงานพิเศษก็ยังไงอยู่ ..เข้าไปคุยโดยปลอมตัวจะดีกว่า”
กล่าวจบผมจึงเดินเข้าไปในร้าน