เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 58: ชีวิตที่ดีขึ้นของตัวร้าย
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 58: ชีวิตที่ดีขึ้นของตัวร้าย
< < 48 > >
ผ่านมา 1 อาทิตย์แล้ว หลังจากงานเต้นรำสานสัมพันธ์จบไป
สถานะ : ตัวร้ายแสนโหลยโท่ย กระสอบทรายผู้ตายตอบบทอัฟเตอร์สตอรี่คนเดียว
ชีวิตของผมหนึ่งอาทิตย์มานี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่าไม่น่าเชื่อ ในช่วงโฮมโรมตอนเช้า ที่นักเรียนในห้องจาก 60 คน หดหายเหลือแค่ 20 เศษๆ
“เรเซอร์ เย็นนี้ไปร้านเมดกันเปล่า?”
เด็กในห้องคนหนึ่งเอ่ยทักผมด้วยท่าทางสนิทสนม พร้อมกันนั้นก็มีเด็กห้องเดียวกันเพศหญิงวิ่งมาเกาะขอบโต๊ะข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ยังไงเคยเห็นนายดื่มเลนนา”
“ลองไปดูมั้ยๆ?”
…นี่แหละความเปลี่ยนแปลง ผมมีเพื่อนนอกจากพลพรรคเด็กมีปัญหาแล้วละ
“โทษที วันนี้ไม่ว่างน่ะ”
“มีนัดกับคุณเบลลามีเหรอ? หรือว่ากับเคียวยะ?”
“เบลลามีว่าไปอย่าง แต่ไหงมีเคียวยะมาเอี่ยวด้วยละ” ผมเขม็งใส่ “อย่าเชื่อความลือโคมลอยเชียวนะบอกไว้ก่อน!”
พวกแก็งผู้หญิงทำทียิ้มเจ่าเล่ห์แล้วเดินหายไป ส่วนผู้ชายถอนหายใจแล้วเดินกลับกลุ่มเพื่อนที่น่าจะจับกลุ่มไปร้านเมดหลังเลิกเรียน
เพราะไปนั่งก๊งเหล้าในบาร์ของฮาเก้นด้วยกันทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นมากจากแต่ก่อน กับคนในห้องตอนนี้เรียกว่าเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทได้เลย—จากก่อนหน้าที่โดนเรียกว่าโจร กกน. อะนะ ถึงทุกวันนี้จะยังโดนล้ออยู่ตามเคยก็เถอะ แต่มันเปลี่ยนไปเป็นมุกตลกแทนคำเรียกอาชญากรรมไปแล้วนี่สิ
เฮ้อ~ ชีวิตวัยรุ่นนี่ดูมีอะไรทำเยอะชะมัด
ผมลงไปฟุ๊บกับโต๊ะแล้วขณะที่กำลังจะงีบนั้นเอง–หมอนั่น ‘เคียวยะ’ ได้เข้ามา
‘เคียวยะ’ เป็นเด็กหนุ่มที่ร่างค่อนไปทางผอม มีเลือนผมสีไวน์องุ่น และดวงตาสีไวน์ที่ข้างในจางๆราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนอันน่าพิศวิงค์ สวมชุดนักเรียนตามกฎระเบียบทุกอย่าง ยิ่งกว่านั้นยังมีสัญลักษณ์ของคณะกรรมการคล้องอยู่แขนขวาข้างถนัด แม้ท่าทางจะดูดุร้ายไปหน่อยก็ตาม
ความรู้สึกที่ได้เห็นชายหนุ่มเบื้องหน้านั้นน่าแปลกประหลาด หน้าตาดีก็จริง แต่มันมีสิ่งที่เหนือไปกว่านั้น—ดวงตาของเคียวยะนั้นสวยที่สุดในโลก ไม่ว่าใครต่างคิดเช่นนั้นกัน
ดวงตาซึ่งได้รับมอบอำนาจสุดแกร่งของโลกอย่าง ‘ดวงตามหาปราชญ์’ คือเบื้องหลังความงามทั้งหมด
สถานนะ : ตัวร้ายสุดแกร่งแสนจะน่าสงสารในอนาคต
ทั่วทั้งห้องต่างจับจ้องไปทางเคียวยะ
เคียวยะนำมือวางบนโต๊ะสำหรับสอนหน้ากระดานของอาจารย์ แล้วโพ่งด้วยท่าทางหงุดหงิด
“พวกแกกว่าครึ่งทำไมไม่เข้าชมรมกัน?”
ตะโกนราวกับหาเรื่องจบเคียวยะก็ยกใบรายชื่อขึ้นมา
“โรงเรียนเรามีนโยบายบังคับให้เข้าชมรมทุกคนไม่ใช่หรือไง”
อนึ่งเพราะนิยายต้นฉบับมันเป็นไลท์โนเวลของญี่ปุ่น ทำให้ระบบชมรมจริงจังเอามากๆต่างกับระบบชมรมบ้านเราที่มีไว้ทำมะเขือไรไม่รู้
“เอ๋~ น่าเบื่ออ่า ไม่อยากเข้าชมรมหรอก!”
“เอาเวลาไปเที่ยวเล่นดีกว่า”
เคียวยะกุมขมับตัวเอง พลางบ่นพึมพำ
“ชื่อเสียงโรงเรียนเรามีแต่จะตกต่ำเรื่อยๆ เพราะเด็กที่โดดชมรมแล้วเที่ยวไปดื่มเหล้าทั้งๆที่อายุไม่ถึงเอย ไปเล่นปาจิงโกะเอย หรือเลวร้ายพบเด็กที่มุมตลาดมืดด้วย”
พวกเพื่อนในห้องต่างส่งเสียงแก้ตัว
“พวกเราไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่า!”
“เชื่อๆกันหน่อยเซ้!”
“รู้ชื่อรู้อะไรกันหมดแล้ว ยังจะมาเข้มงวดอีก”
“ชื่อพวกเอ็งสักคนตูยังจำไม่ได้เลยเฟ้ย!!” เคียวยะทุบโต๊ะดัง ปั้ง!
โกหกเห็นๆ เคียวยะไม่มีทางลืมหรอกเพราะดวงตามหาปราชญ์ช่วยจำได้ ต่อให้เจ้าตัวไม่ต้องการก็ตาม—ทำตัวซึนจริงๆเลยนะ
ว่าแล้วผมก็แหกปากช่วยเคียวยะบ้าง ในฐานะเพื่อนสนิทอะนะ!
“พวกเด็กเก ฟังคณะกรรมการนักเรียนหน่อยเซ้! โรงเรียนเรามีแต่จะเสื่อมเอาเสื่อมเอาเพราะพวกเอ็งนะเว้ย สำนึกหน่อย สำนึกหน่อยได้มั้ย? แสดงความจริงใจหน่อยดิ!”
“เอ็งก็ยังไม่เข้าชมรมเลย! แทบพักนี้มีข่าวแจ้งว่าชอบไปไหนมาไหนลึกๆลับๆอีก”
หวาย~ ตายแล้ว
ผมรีบหลบหน้าหนี แล้วทำเป็นชมวิวทิวทัศน์เล่นๆยามว่างโฮมรูม เคียวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วชี้แจงรายละเอียดอะไรมากมาย ..อ่อ ลืมไปไป เคียวยะปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ‘หัวหน้าห้อง’ ละ เพราะได้เป็นคณะกรรมการนักเรียนแล้วเลยมีแต่คนเชื่อมั่น และโหวตให้เคียวยะเป็นกัน ..นี่สินะสังคมแห่งการให้อภัย โจร กกน. ตัวจริงได้ดิบได้ดีเฉยเลย เฮอะๆ ว่าไปนั่น
ส่วนเรื่องที่เคียวยะชี้แจงเป็นหนึ่งในปัญหาที่โรงเรียนนี้แก้ยังไงก็ไม่หายสักที นั่นคือปัญหาเด็กโดดเรียน โดดชมรมไปเที่ยวเล่นกัน ถ้าเที่ยวเล่นธรรมดาก็ดีไปแต่พวกลูกขุนนางมันชอบเที่ยวที่แปลกๆ อย่างร้านเหล้ากลางแจ้งเอย หรือพวกโซนมือที่มีขายทาสเป็นว่าเล่นอะไรพวกนี้ พวกนั้นชอบไปทั้งๆที่ใส่ชุดนักเรียนนี่แหละเลยเดือดร้อนกัน โดดเรียนไม่พอยังพากันไปทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียอีก แต่ก็ว่าอะไรไม่ได้ เพราะโลกใบนี้เรื่องชนชั้นมันต่างกันมากเกินไปแบบสุดๆ
แม้เคียวยะจะเป็นคณะกรรมการนักเรียน แต่ทำได้แค่ตักเตือนเท่านั้น หากเรื่องไม่บานปลายถึงเลือดตกยางออกน่ะนะ ถ้าถึงขั้นทะเลาะวิวาทก็ห้ามได้แต่ต้องออมมือไว้อีก เพราะอีกฝ่ายคือชนชั้นสูง
ชีวิตคณะกรรมการนักเรียนช่างลำบาก ประมาณเดียวกับตำรวจไทยเลยมั้ง จะทำมากก็ไม่ได้ จะไม่ทำอะไรเลยก็หมดความน่าเชื่อถือ น่าเศร้าเสียนี่กระไร
“แล้วเอารายชื่อมาเปิดโต้งๆแบบนี้ ไม่โดนรุ่นพี่ไอริสแกบ่นหรือไง?”
“เพราะเห็นพวกแกไม่น่าใช่พวกจะเครียดอะไรเรื่องเปิดเผยชื่อไรงี้ เลยเอามาให้ดูแบบเป็นความลับน่ะ ถ้าเข้าใจแล้วก็ช่วยเงียบปากไว้ด้วยละ เดี่ยวยัยยักษ์มารนั่นได้ยินเข้า”
ยักษ์มารสิเนอะ พอมาถึงลูกน้องเลยทำให้รู้ธาตุแท้ของนายจ้างกว่าเดิมอีกละมั้ง
ช่างเถอะ เห็นว่าไว้ใจพวกผมก็ดีแล้วละ
“เฮ้ยพวก เคียวยะไว้ใจพวกเราวะเอ้ย!!” ผมชี้หน้าเคียวยะ พลันใดนั้นเสียงในห้องก็ดังสนั่นราวกับระเบิดลง
“ที่ผ่านมาแค่ทำซึนเองสินะ!”
“มีที่ว่างในหัวใจมั้ยค่า!!?”
“ผู้สังหารโจร กกน. เป็นซึนเดเระรึนี่!”
“น่ารักดีนี่หว่าเอ็ง!”
เคียวยะหน้าแดงก่ำด้วยความเกรี้ยวกราด หมอนั่นเขม็งใส่ผมราวกับจะฆ่ากันก็ไม่ปาน
“แก—–แก!!!”
เคียวยะเกรียนแตกจะพุ่งมาซัดหน้าผม โชคดีที่พระเจ้าคุ้มครอง ประตูห้องถูกเปิดขึ้นก่อน
คนที่เข้ามาคือ ‘โซเฟีย’ สาวนักเลงมาดลูกคุณหนู เธอมีเลือนผมบลอนด์ทองอ่อนยาวถึงแผ่นหลัง ทรงเหมือนกับไอดอลญี่ปุ่น หากเธอยืนคู่กับดอกทานตะวันคงงามยดย้อย สูงร้อยหกสิบเซนติเมตรเศษๆ ร่างบางดูน่าถนุถนอม แต่งตัวถูกกฏระเบียบโรงเรียนทุกอย่าง หากให้อธิบายโดยสั้นๆคือ—นกตัวน้อยท่ามกลางดอกทานตะวัน
สถานนะ : นางนกที่ต่อให้พระเอกเปิดฮาเร็มก็ยังไม่แคล้วจะนก
ตัวเธอที่แสนจะนุ่มนิ่มเดินเข้ามาในห้อง พอเห็นสภาพโดยรอบก็สรุปได้ทันทีจึงยิ้ยมุมปาก
“ร่วมวงด้วยดิ”
แน่นอนว่าเธอเป็นเด็กสาวที่กึ่งกลางระหว่างเรียบร้อยกับไม่เรียบร้อย ผมรู้จักหล่อนดีในส่วนๆนี้
นกน้อยผู้ฝันอยากเป็นจิ๊กโก๋ได้ร่วมการต่อสู้—เธอเดินเข้าไปหากลุ่มผู้หญิงที่ทำการบ้านอยู่
“เดี่ยวช่วยสอนเองเว้ย ขอร่วมวงด้วยสิฟร้ะ” หล่อนพยายามฝืนพูดแบบนักเลงๆ ทำให้ติดๆขัดๆไปมาก
ไม่ใช่ เธอไม่ได้ประสงค์จะต่อสู้ ไม่ได้คิดรบราฆ่าฟันกันเองเพราะลมปาก แต่ช่วยผู้คนที่กำลังลำบากก่อนเริ่มโฮมรูม ..นี่ไม่ใช่เรอะสิ่งที่คนดีๆ(อย่างหัวหน้าห้อง)ควรทำน่ะ
ผมหันไปมองเคียวยะที่เกือบจะซัดหน้าผมแล้ว หมอนั่นยืนหน้าซีดเป็นไข่ต้ม
“…อะแฮ่มๆ” เคียวยะกระแอ่มเบาๆ ก่อนจะค่อยๆเดินกลับที่เดิม และระหว่างทางได้แนะนำคำตอบที่ถูกต้องในหนังสือช่วยโซเฟียด้วย “..เอาละ ตูจะแปะป้ายไว้ รีบๆมาดูกันแล้วจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยด้วยละ ..อีกเรื่อง วันนี้กอรี่ลานะ เห็นว่ามีธุระกับคนรู้จักน่ะ”
กล่าวจบเคียวยะจึงเดินไปช่วยสอนการบ้านเพื่อนๆในห้องอย่างจริงจัง
“โซเฟียแกเองก็รีบหาชมรมได้แล้ว”
“..อือ”
เหมือนว่าโซเฟียจะยังตัดสินใจเลือกชมรมไม่ได้เช่นเดียวกันกับหลายคน
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางฟุ๊บลงไปกับโต๊ะ แล้วฟังพวกข้างๆคุยกันเรื่องการบ้านอย่างจริงจัง
“..พวกอ่อนด๋อยเอ้ย ใครเขาทำการบ้านตอนโฮมรูมกันฟร้ะ”
เขาทำกันตอนพัก 10 ก่อนถึงคาบต่อไปต่างหากเล่า ไร้สไตล์กันจริงๆไอ้มนุษย์ยุคเวทมนตร์นี่
“หะ ว่าไงนะ อาจารย์แตนแกลาป่วยเรอะ มาอีกทีพรุ่งนี้สินะ”
“ว่าจะปั่นให้เสร็จสักหน่อย ทีงี้ไม่ต้องทำก็ได้แล้วดิงั้น”
“ทำๆไปเหอะน่า รีบส่งจะได้รีบจบๆ”
เฮ้อ ไร้คลาสไร้อารยธรรมกันจริงๆ ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องส่งวันนี้ก็ส่งวันหลังแทนสิฟร้ะ พับผ่าสิ
ผมได้ทำการผลัดวันประกันพุ่งเป็นที่เรียบร้อย
***
พักสิบมาถึง พอถึงเวลาพักแล้วผมเลยหันไปคุยกับเคียวยะทันที
“เรื่องชมรมต้องจัดการในวันไหนน่ะ”
“เป็นไปได้ในอาทิตย์นี้ เดี่ยวตามกิจกรรมชมรมไม่ทันกันเอา”
แบบนี้นี่เอง
“แล้วนายละ ไม่มีรึ?”
“คณะกรรมการนักเรียนไงกิจกรรมชมรมตู”
อ๋อ แบบนี้น่ะเอง
“กอรี่ก็ไม่อยู่ จะไปถามใครดีนา ..ขอตัวไปหาเบลลามีก่อนละกัน”
“รีบๆกลับมาละกัน”
“อ่า”
ผมรีบเดินไปหาเบลลามี ทันทีที่โผล่หัวเข้าไปทั่วทั้งห้องสายทฤษฎีของยูจิก็พากันส่งเสียววี๊ดว้ายอะไรไม่รู้
“เบลลามีอยู่มั้ย?”
เจ้าตัวเดินมาหาอย่างสงบนิ่ง
‘เบลลามี’ เธอเป็นหญิงสาวที่ค่อนไปทางเด็กสาว รูปร่างหน้าตารวมๆค่อนไปทางเด็กมัธยมต้นในโลกเก่าผม เลือนผมเธอเป็นสีดำเคลือบม่วงยาวถึงสะโพก ดวงตาสีไวน์ผลไม้ที่แม้จะดูหม่นๆแต่ก็น่าค้นหา สวมชุดถูกกฏระเบียบโรงเรียนทุกประการ
สถานะ : ลาสบอส(จอมมาร)ที่ปักธงตายในตอนสุดท้าย
เธอเอียงคอทักผม
“มีอะไรเหรอ?” กล่าวมาด้วยใบหน้าที่เฉยชาตามเคย
“เรื่องชมรมน่ะ เบลลามีได้เข้าชมรมหรือยัง”
“อือ เข้าแล้วละ”
คงจะอย่างนั้น ในนิยายต้นฉบับบอกมาหมดแล้ว
“ช่วยพาไปแนะนำหน่อยสิ คือไอ้ฉันยังไม่มีชมรมเข้าอ่านะ”
“ชมรมของเรามันไม่ได้น่าสนุกอะไรหรอกนะ”
“อย่าคิดมากเลยน่า”
แค่อยู่กับเบลลามีก็รู้สึกสนุกจนไม่รู้จะสนุกยังไงแล้วละ
“ฝากทีนะ”
“อือ”
พลันใดนั้นเสียงทัก “โอ้ย’ ดังขึ้นตามๆมา
ไม่รู้ทำไมเสียงนั่นกลับน่ารำคาญหน่อยๆ ผมหันไปมองพบกับชายหนุ่มสองคน
คนแรกชื่อ ‘ยูจิ’ เป็นหนุ่มน่ารักผู้มาพร้อมกับเส้นผมสีดำปลายน้ำเงินเสมือนภาพวาด ดวงตาดูมีประกายฝัน สวมชุดถูกกฎระเบียบทุกอย่าง สูงพอๆกับเด็กสาว
สถานะ : พระเอกนิยายมากพลังแฝง
อีกคนชื่อ ‘เรย์’ เป็นไอ้วัยรุ่น ตัวสูงโปร่งและหนาแน่น หน้าตาดียากจะหาได้ รวบผมเป็นหางม้า ปลดกระดุมคอเสื้อจนเห็นแผ่นอกจางๆ เป็นพวกที่ดูซ่าและไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นัก
สถานะ : เพื่อนพระเอกกระสอบทราย
“เย็นนี้จะไปดูชมรมใช่เปล่า? มาดูชมรมของฉันหน่อยเป็นไง?”
“ฉันไม่อยากเข้าชมรมหนังสือหวิวๆเพื่อสร้าชื่อเสียให้ตัวเองหรอกนา”
“ไอ้ฉันก็ไมไ่ด้อยู่ชมรมหวิวๆอะไรนั่นสักหน่อย แค่เคยเกือบๆเข้าเอง”
ต่างกับในนิยายแฮะ
“ช่วงนี้หลายๆอย่างมันเริ่มชิลอะนะ หายเครียดกว่าเก่าเยอะเลย” เรย์กอดอกพยกหน้าพึมพำ “คิดว่าจะตั้งเป้าหมายให้ตัวเองหน่อยน่ะนะ”
“ที่คิดๆไว้มีอะไรบ้างละ”
“..นักดาบที่ไม่แพ้นักเวทย์”
ได้ยินเช่นนั้นผมจึงหัวเราะอัดหน้า
“นั่นสิเนอะ!!”
“นะ หนวกหูจริง ถ้ามีดวลอีกรอบฉันไม่แพ้แน่บอกเลย”
“เฮอะๆ นั่นสินะ พยายามเข้าละ”
เรย์กำหมัดแน่น ยูจิเห็นได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
“ผมอยากทัวส์ด้วยเหมือนกันหรอกนะครับ แต่ช่วงนี้ไม่ว่างเลยน่ะ”
ยูจิอยู่ชมรมวิจัยเวทมนตร์ของบลาซคนนั้นนี่นะ ชมรมอันดับหนึ่งของโรงเรียนเวทมนตร์ ‘เรดฮอต’ การที่จะมีแต่งานเต็มไปหมดมันไม่แปลกหรอก อีกอย่าง ชมรมแนวๆงานเยอะน่ะผมไม่ถูกด้วยเลย มันน่าเบื่อน่ะนะ
อีกอย่างยูจิอยู่ในสถานะลูกรักของบลาซด้วย คงโดนเรียกใช้งานบ่อยจนปวดหัวเลยละ
“โชคดีละกัน”
“ครับผม”
ผมโบกมือลา แล้วกลับห้องเรียน
ระหว่างทางผมพบกับการ์ป หมอนั่นเดินล้วงกระเป๋าตัวคนเดียวด้วยท่าทางซึมๆ ก้มหน้ามองพื้นตลอดเวลา
..ดูเหงาแฮะ
‘หลังจากเรื่องคราวของยูจิ พวกเพื่อนรอบตัวการ์ปก็ตีตัวออกห่างจนหมดเลยนี่คะ’
แบบนี้นี่เอง สังคมขุนนางก็เป็นซะอย่างนี้ ..ตัวผมในนิยายเองก็น่าจะมีสภาพไม่ต่างกัน ไม่รู้หรอกแต่คิดว่าเหมือนกันเลยละ เพราะหลังจากแพ้ยูจิสักพักตัวผมได้ยื่นใบลาออกหนีหายไป โผล่มาอีกทีก็คราวศึกกับพวกอาร์คเดม่อน
ใช่แล้ว ในอนาคตอีกไม่ไกลนักจะมีศึกกับอาร์คเดม่อน หรือปีศาจชั้นสูง ซึ่งเวลานั้นเรเซอร์ได้โผล่หน้ามาพร้อมกับยูนา เขาเข้าจู่โจมยูจิด้วยไฟแค้นจนทั้งเมืองโกลาหล ถึงสุดท้ายยูจิจะปกป้องทุกคนและชนะเรเซอร์ได้ก็ตาม แต่มันเป็นศึกใหญ่ที่ทำให้เพื่อนพระเอกหลายคนบาดเจ็บหนัก
หน้าที่ของผมไม่ใช่หยุดศึกนั้น แต่เป็นทำให้ชนะศึกได้ง่ายขึ้นละมั้ง—เอาเถอะ ถ้าอีกฝ่ายเป็นแค่ปีศาจชั้นสูงไม่ต้องถึงมือผมก็ชนะได้ อย่างเรย์งี้ เคียวยะงี้ ยังพอสู้สูสีเลย ไม่ต้องพูดไปถึงยูจิที่เวลานั้นพัฒนาความสามารถของอลันจนใช้ได้ในระดับหนึ่งละเลย ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วย
ศึกนั้นมันจะยากก็ตรงเรเซอร์ กับเซบาสเตียน สองคนนั้นป่วนหนักจนพาพวกยูจิเกือบตายกันหมด โดยเฉพาะบักเซบาสเตียนที่ทำหนิงซึ่งถือครองพลังมังกรธาตุเกือบตายได้ …เอาเถอะ เซบาสเตียนอยู่ฝั่งผม เรเซอร์คนนั้นก็จางหายไปแล้ว มีแต่ตัวผมในนามเรเซอร์เท่านั้น เรื่องความยากในบทอาร์คเดม่อนคงลดลงระดับวางใจได้เลย
“แต่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้อะนะ”
พอนึกไปถึงวันงานเต้นรำสานสัมพันธ์ที่การ์ปมันทำทุกอย่างเหมือนกับผมเลย กระทั่งตอนแพ้ยังเหมือนกัน ..มันชวนให้ผมขนหัวลุกหน่อยๆ สมมุติว่าศึกอาร์คเดม่อนมันกลับไปโหดเท่าเดิม—ไอ้ผมคงจะตึงมือเหมือนกันอะนะ
ผมโบกมือทัก
“เป็นไงบ้า”
“..”
หมอนั่นไม่สนใจ ใช้เพียงหางตามองแล้วเดินจากไป ..ดูจะไม่ชอบหน้าผมละมั้ง
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ทำยังไงกับการ์ปดีนะ”
ข้อมูลของการ์ปผมไม่มีเลย—
****
การ์ปเดินไปต่อตามระเบียง—จะหมดพักสิบแล้วแต่เขาก็ยังไม่กลับเข้าห้องเรียน เหตุผลเป็นเพราะเขาอับอาย
ทุกครั้งที่เข้าในห้องจะถูกโถมไปด้วยสายตาที่ดูถูกดูแคลน ทำอย่างกับว่าไม่ใช่เพื่อนร่วมห้อง พวกเพื่อนๆก็พากันเมิน บ้างก็ด่าทอเสียๆหายๆ …การ์ปรู้สึกกลัวสิ่งเหล่านั้น กลับกันเขาก็ละอายที่ตัวเองกลัวสายตาผู้คน ทั้งๆที่ตลอดมาไม่เคยกลัวสิ่งใดเลยแท้ๆ
ตลอดมาการ์ปภาคภูมิในฐานะขุนนางมาตลอด ยกตัวเองให้อยู่เหนือผู้อื่นได้อย่างไม่น่าอาย แต่ทุกวันนี้มันกลับเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือกับหลังมือ …การ์ปขบฟันกรามแน่น
“..เพราะมันคนเดียว”
การ์ปนึกถึงหน้าของคนที่ทำให้เขาเป็เช่นนี้อย่าง ‘ยูจิ’
ถ้าหากไม่มียูจิการ์ปคงไม่ลงเอยเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะมันที่เอาเรื่องเล็กๆน้อยๆมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ความผิดทั้งหมด—-เป็นของยูจิ
“แม่งเอ้ย ไอ้เวรนั่น ..จะขยี้ให้แหลกเลยคอยดู” การ์ปแสยะยิ้ม “เริ่มจากคนรอบตัวละมั้ง ฮึฮึ ..คอยดูเถอะ”
การ์ปโพ่งเช่นนั้นและเดินไปต่อ โดยหารู้เลยว่าใกล้ๆมีคนดักฟังอยู่
“แหม่”
เธอคนนั้นหรือ ‘ไอริส’ พึมพำขึ้นด้วยใบหน้าปลื้มปิติ
ไอริสมีเลือนผมสีบลอนด์ทองสว่าง ตาสีเขียวราวกับใบไม้ที่ชุ่มด้วยน้ำ ร่างสูงในมาตรฐานหญิงสาว สวยสง่ายากจะหาผู้ใดมาเทียบ สวมชุดถูกกฎระเบียบทุกประการรวมไปถึงตรงแขนที่มีสัญลักษณ์หัวหน้าคณะกรรมการติดอยู่
จากภายนอกเธอคือหญิงสาวแสนสวยผู้มากด้วยระเบียบ และความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการ แม้ว่าความจริงแล้วหล่อนจะเป็นนางเจ้าเล่ห์คนหนี่งดีๆนั่นเอง
ไอริสแตะริมฝีปากตัวเอง พลางคิดอะไรบางอย่างไปเพลินๆ
แน่นอนไม่ใช่เรื่องที่ดี
****
ผมเดินกลับมาห้องเรียนโดยสวัดดิภาพ มิได้มีเรื่องหรือมีปากเสียงกับใครแม้แต่คนเดียว
“ชีวิตที่ไม่วุ่นวายนี่แหละแจ่ม”
“เกรงว่าจะถึงทีวุ่นวายแล้วละ”
เคียวยะเข้ามาทักผมด้วยรอยยิ้มเหมือนกำลังฟิน ..พิลึกชะมัด มีอะไรให้ขำกันนะ
“อย่างที่เห็นชีวิตฉันในวันนี้ว่างสุดๆ อย่างตอนเย็นก็มีนัดไปดูชมรมกับคนอื่นละนะ”
“อ้อเรอะ ลืมบอกเลย อาจารย์ที่สั่งการบ้านแกกลับมาเพราะหายป่วยแล้ว งานต้องส่งภายในพักสิบนายรู้ดีสินะ?”
…หะ?
“มะ ไม่เห็นมีใครบอกเลย”
“อาจารย์แกพึ่งกลับมา ใครมันจะรู้เล่า” เคียวยะหยักไหล่ให้ทั้งรอยยิ้มแสนฟินจากใจจริง “ไปตามส่งคนเดียวทีหลังละกัน ได้คะแนนน้อยๆไปซะ ไอัพวกไม่ทำการบ้าน”
“ขอร้องละ อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียวเลยน้า! จะไม่ทำตัวขี้เกียจอีกแล้วละ ช่วยทีเถอะ!”
เคียวยะทำทีกอดอกเล่นตัว
“เอาไงดีนะ”
“จะซื้อหนังสือเล่มใหม่เป็น 10 เล่มเลย!”
“หักๆแล้วก็ได้เยอะอยู่นี่นะ”
“ชะ ใช่ เพราะนั้นช่วยทีนะ ขอร้องละ!”
ผมพนมมือขอความช่วยเหลือจากเคียวยะสุดตัว หมอนั่นเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่
“รีบๆทำซะ เดี่ยวนั่งรอ”
“..ขอลอก”
“ไม่ได้ ทำเองซะ เห็นเบลลามีบอกอยู่ว่าอ่อนทฤษฎี เพราะนั้นทำไว้เยอะๆซะ จะได้สั่งสมประสบการณ์เวลาสอบจะได้ผ่านได้ไม่ยาก”
นั่นสิเนอะ ผมเองตอนเข้าเรียนก็กะว่าจะตั้งใจเรียนแล้ว ถ้านั้นก็ควรตั้งใจตามที่ตั้งเป้าไว้—
“—เข้าใจแล้ว” ผมยิ้มให้ “แกเนี่ยทำตัวอย่างกับคุณแม่แน่ะ”
“หนวกหู รีบๆทำได้แล้ว มีเวลาให้แค่ 10 นาที”
“คร้าบบ~ คร้าบบ~”
ขณะที่จะลงมือทำนั้นเอง—-ปั้ง! ประตูห้องถูกเปิดโดยอาจารย์เจ้าของการบ้าน
“รีบๆมาส่งได้แล้ว”
“—ตายละ”
โชคดีที่อาจารย์แกเลื่อนให้ถึงตอนเที่ยง ..