เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 57: การเยี่ยมเยือนป่ามหาภูตของวิน (2)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 57: การเยี่ยมเยือนป่ามหาภูตของวิน (2)
< < Sec2 > >
เอเธอร์โผล่เข้ามาในวงสนทนาของพวกเราแล้ว——-อาจารย์!!!!
ฉันลุกขึ้นพร้อมที่จะสู้กับอีกฝ่าย เพราะชายตรงหน้าเป็นศัตรูโดยตรงของฉัน–เอเธอร์เป็นทหารของอาณาจักรฟัฟนิร์
“หยุดก่อน” เซเนียจับแขนฉันไว้ แต่สายตาของเธอจับจ้องไปที่เอเธอร์คนเดียว “..คิดจะสู้กับหมอนั่นช่วยคิดให้รอบคอบหน่อย”
…ถึงจะบอกแบบนั้นก็เถอะ ..แต่อีกฝ่ายคือศัตรูข้ามประเทศ ถ้าไม่เปิดก่อน ขืนโดนอีกฝ่ายเล่นงานก่อนอาจถึงตายเลยนะ
“ต่อให้มัดรวมเธอกับเซเนียไปก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะชนะไหว” อาจารย์กล่าวเสริม “ถ้าคุยได้ก็คุยก่อน”
“..เข้าใจแล้วค่ะ”
ฉันได้แต่ข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้ หาใช่ความโกรธ แต่เป็นความหวาดกลัวในอีกฝ่าย
เอเธอร์เกาหัวตัวเองงึกๆ เขาเอียงคอฉงน
“นี่นอกเวลางานนะ แยกแยะหน่อยสิ”
..หะ?
“ปะ ประทานโทษ คุณคือเอเธอร์ใช่มั้ย?”
“ใช่”
“ฉันเป็นคนจากเนลยอนนะ คุณน่าจะรู้ดี เป็นตัวปัญหาระดับหนึ่งด้วย ถ้ามีโอกาสในฐานะศัตรูจำเป็นต้องฆ่าเมื่อมีโอกาส”
“ใช่สิครับ เคยเห็นรูปอยู่บ้าง—ผู้ถือครองวิญญาณระดับเทพที่ดีสุดในประวัติศาสตร์สินะ?”
“ชะ ใช่แล้ว! แกร่งมากนะบอกไว้ก่อน ฉันน่ะ” ฉันชี้นิ้วโป้งเข้าใส่ตัวเอง
เอเธอร์ยังคงเอียงคอแบบงงๆ เขาแหงนหน้ามองเพดานก่อนสบถประโยคพูดแสนจะหยามกันออกมา
“..ก็แกร่งอยู่หรอกครับ ระดับคุณมันท็อปโลกเลย แต่ว่า..แค่เอาจริงสักครู่ก็ชนะแล้วละ ไม่ใช่ปัญหาอะไร” เอเธอร์ยิ้มให้ “อย่าไร้กังวลไปเลยครับ สบายๆครับผม”
—ฉันเนี่ยนะไม่ใช่ปัญหา? ยิ่งกว่านั้นยังยิ้มได้น่าหมันไส้สุดๆเลยอีตานี่!
ฉันได้แต่เก็บงำความหงุดหงิดในใจไว้
“ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากสู้หรอก เพราะถ้าสู้กับคุณคงได้สู้กับเซเนียในป่ามหาภูตไปด้วย หล่อนในป่ามหาภูตน่ะคือตัวปัญหา ..ถ้าสู้กันขึ้นมาต้องใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะเอาลง ยังไม่รวมพวกภูตรอบๆอีก อาจกินเวลาเกือบวันเลย”
ไม่มีบอกสักคำว่าอาจแพ้ เอเธอร์มั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางแพ้ใคร ณ ที่แห่งนี้ต่อให้รุมก็ตาม ..นี่สินะ ความอิสระของสัตว์ประหลาด ไม่จำเป็นหวั่นเกรงใคร อยากจะทำอะไรก็ได้ตามสบาย เพราะแกร่งถึงระดับนั้น
“ที่สำคัญผมแยกเวลางานกับเวลาพักออกนะ” เอเธอร์ยิ้มให้ “วันนี้ผมจะไม่ฆ่าใครหรอก วางใจได้”
…บรรยากาศไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย ทั้งอาจารย์และเซเนียพากันระแวงเอเธอร์ทั้งสิ้น ฉันก็ด้วย
เอเธอร์รับรู้ได้ไม่ยาก เพราะเขามี— ‘ดวงตามหาปราชญ์’ ในครอบครอง ..
“ดื่มชาหน่อยเป็นไงครับ?”
แก้ปัญหาอะไรของเขาเนี่ย?
“เดี่ยวจัดเตรียมให้”
ขณะที่เซเนียกำลังจะดีดนิ้ว เอเธอร์ก็ได้ปรามไว้ก่อน
“ผมชงเองครับ”
“…”
“เดิมทีผมก็ไม่ใช่แขกด้วยน่ะนะ”
ทุกคนพากันเงียบแล้วให้เอเธอร์ทำอย่างที่อยาก
กล่าวจบเอเธอร์ก็ใช้แขนแหวกอากาศ ก่อนจะหยิบซองอะไรสักอย่างกับแก้วน้ำชาออกมา
..คงเป็นเวทมนตร์กระเป๋าของพวกอัศวินแห่งฟัฟนิร์ละมั้ง
“ซองนั่นมัน” อาจารย์ดูจะสนใจ
“ได้มาจากผู้มาจากต่างโลกเมื่อ 20 ปีก่อนน่ะครับ ..ถึงเขาจะตายไปแล้วก็เถอะ ผมฆ่าเอง”
หลอนชะมัดคนคนนี้ พูดคำว่า ‘ฆ่า’ มาได้หน้าตาเฉยเนี่ยนะ
“อะไรดลใจให้ฆ่าละ?” อาจารย์ยังถามต่อด้วยความสนใจ
“ตอนแรกก็สนิทกันอยู่ครับ แต่ชายคนนั้นตอนข้ามโลกมาก็ได้เคียวที่สามารถขโมยความสามารถคนอื่นได้ ..แล้วเผอิญเขาคิดจะขโมยพลังของผมน่ะครับ จึงต้องฆ่าทิ้งอย่างเลี่ยงไม่ได้”
“วิธี?”
“หักเคียวนั่นทิ้ง ..ถ้ามาหาเรื่องผมหลังจากนั้นสัก 10 ปีอาจสนุกไม่น้อยเลย น่าเสียดายนะครับ”
อาจารย์กอดอกพลางพยักหน้า
“แบบนี้นี่เอง อันตรายจริงๆแหละ”
“ครับ” เอเธอร์ชงชาอย่างช่ำชอง และยื่นแก้วทั้งหมดให้ทุกคน “เชิญครับ”
ฉันรับอย่างเกร็งๆ แล้วลองชิมดู …อร่อยโคตรเลยอ่า~
“ดูจะพึงพอใจกันนะครับ”
“นับว่าไม่เลวเลย” อาจารย์หัวเราะเบาหวิว
“พอมีสูตรมั้ยอะ!?” ฉันถามด้วยความตื่นเต้น
“..ไม่รู้หรอกครับ ผมแค่จิกมาจากเมื่อ 20 ปีก่อน”
อะ ไอ้ผู้มาจากต่างโลกนั่นมันทำไว้กี่อันละนั่น
เอเธอร์หลับตาลง คิดหาวิธี ..
“เดี่ยวให้เอาไปวิจัยดีมั้ยครับ?”
“เอ๋? จะดีเหรอ พวกเราคนละประเทศกันนะ ไม่สิ เรียกว่าประเทศศัตรูยังได้เลย”
“อย่างที่บอก นี่นอกเวลางานครับ”
“..ทางฟัฟนิร์จะไม่ว่าเลยหรือไง”
“ไม่เห็นรู้เลยว่าผมต้องกลัวอะไร”
เอเธอร์จิบชาเข้าปากด้วยท่าทางระรื่นย์
“ผมจะทำอะไรก็เรื่องของผมด้วยครับ นี่มันนอกเวลางานนะ ถ้านอกเวลางานแล้วผมยังต้องมาเกรงใจนี่มันน่าเศร้านะครับ” เอเธอร์หรี่ตามอง “จะให้งานครอบนำชีวิตไม่ได้นะครับ ต้องให้งานเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเท่านั้นพอ ไม่เช่นนั้นชีวิตคงจะหาความสุขได้ยาก”
..น่าเลื่อมใสดีแฮะ ไอ้ฉันมันทาสบริษัทของแท้เลยหลงใหลในไลฟสไตล์เช่นนั้นชะมัด แต่เอเธอร์เขาไม่ประมาทกับชีวิตเกินไปเหรอ? คงไม่ตายเพราะโดนเล่นทีเผลอหรอกนะเขาน่ะ ดูเป็นคนที่น่าจะตายเพราะอะไรง่ายๆชอบกล
เซเนียยังคงเขม็งใส่เอเธอร์
“ทำไมวันนี้มีคนมาเยี่ยมแบบไม่บอกไม่กล่าวก่อนเยอะจังนะ” เซเนียพึมพำราวกับบ่น “แล้วมีธุระอะไรละ สัตว์ประหลาด”
เอเธอร์หยักไหล่ให้
“แค่มาเยี่ยมไม่ได้เหรอครับ?”
“สัตว์ประหลาดอย่างแกไม่มีทางหรอก บอกธุระได้แล้ว”
“..นั่นสินะ” เอเธอร์ปั้นยิ้มให้ “อยากถามเกี่ยวกับจอมมารน่ะ”
“ไหนบอกว่านอกเวลางานไง?” ฉันถาม
“จอมมารมันเรื่องส่วนตัวผมนะครับ เป็นงานอดิเรกละทั้งครับ”
เอเธอร์ยังคงพูดเรื่องแบบนั้นพลางจิบชาไป อย่างกับว่าเขาไร้ซึ่งความกังวลหรือกลัวใดๆ
งานหลักคือการสู้กับศัตรูต่างอาณาจักร งานอดิเรกคือการถามหาจอมมารเหรอ ..ยังอุตส่าห์รอดมาถึงทุกวันนี้ได้อีกนะ
“…”
เซเนียเล่ห์มองฉันกับอาจารย์
นั่นสินะ~ ถึงเอเธอร์จะยืนกรานว่านอกเวลางานก็จริง แต่การให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวมาฟังด้วยคงไม่งามนัก
“เข้าใจแล้ว” อาจารย์ลุกขึ้น “เดี่ยวจะไปแล้วละ”
“น่าเสียดาย~ อยากฟังเกี่ยวกับจอมมารจริง”
เสียดายหน่อยๆแฮะ
ถึงจะไม่เกี่ยวกับยูนาก็เถอะ แต่จอมมารเองก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่มีใครรู้การเคลื่อนไหวของจอมมารดิลุคเลย–ถ้าได้ข้อมูลมาจะช่วยได้มาก
“ถ้าอยากรู้ก็อยู่ฟังต่อสิครับ”
หมอนี่แปลกเกินไปละ
“ไม่คิดจะระวังตัวหน่อยเหรอ?”
“ระวังตัว? ทำไมละ?”
“โดนแทงข้างหลังเอย หรือเอาข้อมูลไปเผยแพร่เอย ไรงี้”
เอเธอร์ถอนหายใจอย่างหน่ายใจ พลางเกาหัวตัวเองงึกๆ
“คนเราระวังตัวเมื่อพบกับภัยนะครับ รู้มั้ย?” เอเธอร์จิบชาจนหมด แล้วอธิบายแบบไร้เหตุผล “ถ้ามันไม่อันตรายก็ไม่เข้าข่ายต้องระวังตัว ..การที่ทุกคนรู้เกี่ยวกับตัวผม มันไม่ทำให้ผมตายเสียหน่อย หรือต่อให้มันทำให้คนรอบข้างลำบากแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม? ..ว่ามั้ย?”
“ว่ามั้ยอะไรคะนั่น ฉันไม่เห็นด้วยหรอกนะ”
ยังไงก็เถอะ ถึงจะแกร่งจริงตามที่โม้ แต่ยังไงๆแล้ว เขาไม่ประมาทไปหน่อยหรือไง?
ฉันแอบงงกับตรรกะชายคนนี้ ..หรือว่าเขาจะแกร่งจนไม่ต้องระวังถึงความเป็นความตายเลยนะ ฉันไม่เข้าใจเลย
“อย่าไปทำความเข้าใจกับตรรกะสัตว์ประหลาดเลย คนกับสัตว์ประหลาดมันอยู่คนละโลกกันอยู่แล้ว” เซเนียบ่นอุบอิบ “เราเมื่อหลายปีก่อนก็งงกับมันเหมือนกันแหละ อย่าไปใส่ใจเลย”
เอเธอร์ถูคางตัวเองแบบงงงวย
“ผมโดนนินทาบ่อยจริงนะครับ ..ถ้านั้นขอเข้าเรื่องเลยนะครับ เซเนียพอรู้อะไรเกี่ยวกับจอมมารหรือเปล่าครับ?”
เซเนียถอนหายใจ และเล่าให้ฟังโต้งๆ
“จอมมารตอนนี้ยังไม่กำเนิดแบบเต็มๆ แต่คาดว่าอีกไม่นาน”
“ทำไมถึงคิดนั้นละ?”
“..เพราะองค์รักษ์ทั้ง 7 ของจอมมารได้โผล่มาแล้วไง”
..อค์รักษ์ทั้ง 7 ของจอมมารดิลุค อ้างอิงมาจากตำนาน 7 บาปในยุคโบราณ—พวกมีปีศาจที่แกร่งสุดในกองทัพจนได้ฉายาซีรีย์บาปไป ว่ากันว่าเหล่าปีศาจ 7 บาปเป็นอาวุธหลักในการใช้โค่นเทพของจอมมาร ..หมายความว่าพวกที่แกร่งพอจะสู้เทพได้บ้าง ค่อยๆตื่นขึ้นทีละคน จนสุดท้ายจะครบ 7 คนพร้อมกับจอมมาร—-การที่ตัวตนเหล่านี้ปรากฏเป็นสัญญาณบอกถึงการกำเนิดของจอมมารไม่ผิดแน่
ถึงตรงนี้ตาขอเอเธอร์เริ่มมีประกาย จากที่ปกติดูเย็นชา
“ปีศาจ 7 บาปแข็งแกร่งมั้ย?”
“ถ้าช่วงที่ฟื้นพลังจนครบ คงทัดเทียมกับเรา ยิ่งกว่านั้นยังมีคนนึงที่แกร่งกว่าเรา”
อะ เอาจริง!? ปีศาจเจ็ดบาปมีพลังทัดเทียมกับมหาภูตเนี่ยนะ!? มีกันตั้7คนเชียวนะ! บ้าไปแล้ว พวกผู้กล้ายังอุตส่าห์ชนะจอมมารได้อีกนะนี่
“..น่าสนุก” เอเธอร์ยิ้มมุมปากด้วยตาที่มีประกาย “ได้งานอดิเรกใหม่แล้วละ”
ยะ อย่าบอกนะว่า
“คิดจะสู้กับจอมมารแล้วพวกปีศาจ 7 บาปหรือ?” อาจารย์ถามตัดหน้าฉันไป
“น่าสนุกดีนี่ครับ” เอเธอร์ตอบกลับทันควัน
ถึงจะรู้ก็เถอะว่าเพี้ยนแล้ว แต่นี่มันไม่อาการหนักไปหน่อยเรอะ ..งานอดิเรกคือการหาเรื่องจอมมารเนี่ยนะ? ไม่ใช่แค่จอมมาร ยังมัดรวมพวกปีศาจ 7 บาปเป็นเป้าหมายงานอดิเรกด้วย ..ไอ้สัตว์ประหลาดนี่มันบ้าไปละแหง
“..แปลกคนจริง” อาจารย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“มีอะไรจะถามอีก?” เซเนียถามเอเธอร์ เหมือนอยากรีบๆจบเรื่องแล้วไล่ให้กลับๆไปได้แล้ว
“เรื่องเป้าหมายของพวกปีศาจ 7 บาปคืออะไรเหรอครับ”
เซเนียลูบแก้มตัวเอง และครุ่นคิด
“เป็นการคืนชีพจอมมารอยู่แล้ว คงจะหาร่างภาชนะของจอมมารเพื่อฝากตัวรับใช้รอวันจอมมารกำเนิด”
“แบบนี้นี่เอง แล้วปกติหาจอมมารกันยังไงหรือครับ?”
“คง..ปริมาณพลังเวทย์ในร่างกาย ระดับภาชนะจอมมารต้องมีมานาเยอะระดับเป็นไปไม่ได้”
อาจดูง่าย แต่คนเราไม่สามารถดูปริมาณมานาได้ การหาตัวจอมมารเลยกลายเป็นเรื่องยากไปโดยปริยาย ..แต่กรณีของเอเธอร์คงไม่ยากละมั้ง ก็หมอนี่มี .. ‘ดวงตามหาปราชญ์’ อยู่ในครอบครอง
ดวงตาที่สามารถหยั่งรู้ความจริงของโลกได้ นั่นคือหนึ่งในที่มาความแกร่งไร้เทียมทานของเอเธอร์
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเป้าหมายผมคือการหาจอมมารให้เจอ แล้วดักสู้กับพวกปีศาจ 7 บาปสินะ”
“นี่คิดจะสู้จริงๆสินะ” เซเนียถาม
“แค่งานอดิเรกเองครับ ผมไม่เอาไปกระทบกับเวลางานหรอก”
ช่วยหยุดเรียกการท้าไฝว้กองทัพจอมมารว่าเป็นงานอดิเรกทีเถอะ
เซเนียถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เออๆ ไม่ฟังละ จะไปไหนก็ไปเถอะ แกน่ะ ทำตัวน่ารำคาญตลอดเลย”
“นั่นสิครับ ผมเองก็หมดธุระแล้วด้วย”
แต่ถ่อมาซะไกลเลยนะ—ว่าแต่เขา ทางฉันเองก็เหมือนกันนี่หว่า~
“นานๆทีจะได้เจอเซเนีย หรือผู้ใช้วิญญาณระดับเทพพร้อมราชันย์ไสยศาสตร์ คงน่าเสียดายถ้าผมรีบกลับ”
ว่าแล้วเอเธอร์ก็นั่งเท้าคางมองทุกคน
“คุยเล่นฆ่าเวลาหน่อยเป็นไงครับ”
“ขอปฎิเสธย่ะ ไม่อยากเสียเวลาคุยกับผู้ชายแบบแกหรอก”
“อะไรกัน เซเนียใจร้ายจริงครับ”
เซเนียดูไม่เล่นด้วยเลย เธอไม่ชอบขี้หน้าเอเธอร์อย่างแรง …ก่อนหน้านี้เห็นบ่นอยู่ว่าตอนเจอกันครั้งแรกเกือบโดนเอเธอร์เผาป่าจนมอดแล้ว—แบบนั้นจะโกรธก็ไม่แปลกละมั้ง
หลังจากนั้นฉันกับอาจารย์ก็คุยกับเอเธอร์ไปหลายชั่วโมง โดยที่เซเนียไม่คิดจะร่วมบทสนทนาเลย
****
“คุยถูกคอมากเลยครับ แรกซ์แล้วก็วิน”
อนึ่งช่วงที่คุยกันพวกเราได้แนะนำตัวกันแบบเป็นพิธีแล้ว ทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้ชื่อและงานอดิเรกกัน
“ทางฉันก็เหมือนกัน~ ไว้มาคุยกันอีกเด้อ ขอแบบนอกเวลางานเหมือนวันนี้นา~ ฉันไม่อยากโดนควักไส้ทำโดนัท”
ความรู้สึกโบ๋ๆตรงท้องไม่ชอบเลย บ่องตง~
“ฮึฮึ ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนจากฟัฟนิร์คงมีโอกาสคุยกันมากกว่านี้ น่าเสียดายนะ”
อาจารย์เองก็ถูกคอกับเอเธอร์ไม่น้อย
“ถ้านั้นผมขอตัวก่อนนะ ช่วงนี้ผมมีหยุดยาวเลยว่าจะไปตามหาจอมมารสักหน่อย”
เอเธอร์โบกมือลา ก่อนจะเดินผ่านมิติของเซเนียไปแบบสบายตัว ..เป็นฉันทำแบบนี้ไม่ได้หรอก ต้องใช้วิชาไสยศาสตร์ในการทะลุไป แต่เอเธอร์ดันเดินผ่านชิลๆ—โกงไปปะ?
เซเนียมองส่งเอเธอร์แบบหงุดหงิด
“น่ารำคาญตั้งแต่ต้นจรดท้ายเลย”
ท่านมหาภูตดูจะอคติกับเอเธอร์เอามากๆ~
“อย่าบอกนะว่ามาตรการในป่ามหาภูตก็มาจากชายชื่อเอเธอร์” อาจารย์เอ่ยถาม
“ใช่แล้ว เพราะไอ้สัตว์ประหลาดนั่นทำให้พวกเราต้องตื่นตัวตลอดเวลา..วันดีคืนดีจู่ๆก็โผล่มาเผาป่าจนมอด เรียกเรามาสู้ พอแพ้ดันมาบ่นแบบเซ็งๆว่าอ่อนกว่าที่คิดไว้มาก เป็นถึงคู่หูของยูนาแท้ๆ ..อะ ไอ้เบื้อกนั้น!! สมัยนั้นเราเป็นดาบนะไม่ใช่นักสู้เสียหน่อย ตอนนี้ก็เป็นแค่ผู้ปกปักษ์ป่ามหาภูต ไม่ได้ไปรบกันใครเขาสักหน่อย!!!—ไม่ได้สู้เก่งสักหน่อยแค่มีพลังเยอะเท่านั้นเอง! แค่เก่งในฐานะอาวุธเอง! แต่มันก็เรื่องปกตินี่ เราเป็นภูตนะ!” เซเนียทุบโต๊ะดัง ปั้ง! “น่าหงุดหงิดจริงๆ คำขอโทษสักคำก็ไม่มีอีก ไอ้เวรตะไลนั่นอยากจะฆ่ามันทิ้งเหลือเกิน! แล้วยังจะหน้าด้านมาเยี่ยมทุกๆสิบปีอีก ..ไปเข้าพวกกับจอมมารดีมั้ยเนี่ย จะได้ช่วยรุมมันให้”
เซเนียแหงนหน้ามองเพดานด้วยท่าทางดูปลงกับชีวิต …
..สมัยก่อนเอเธอร์ทำอะไรกับเซเนียบ้างนะ ตอนนี้รู้แค่ว่าเผาป่า แต่ดูทรงแล้วน่าจะมีเหตุผลอีกเพียบเลย อยากรู้จังแต่อย่าถามเลยดีกว่า ขืนถามไปมีโดนเธอบ่นให้ฟังจนหูชาแน่
เอาเป็นว่ารีบหนีก่อนจะโดนจับมาระบายดีกว่า
“ถ้านั้นก็”
ฉันลุกขึ้นยืน พลางบิดขี้เกียจ
“ทางฉันก็ขอตัวไปละ ศิษย์พี่”
ขอถือโอกาสเรียกท่านมหาภูตว่า ‘ศิษย์พี่’ เลยละกัน ..เธอที่ถูกเรียกอย่างนั้นเกิดแก้มแดงหน่อยๆ
“ตามสบายเลย”
ดูพึงพอใจทีเดียว
“ดูแลตัวเองด้วยละเซเนีย” อาจารย์พูด
“รับทราบค่ะ”
เมื่ออำลากันเสร็จทางเราก็เดินทางออกจากป่ามหาภูติทันที
****
ออกจากป่ามหาภูตได้โดยสวัดดิภาพ ไม่โดนภูตดักอุ้ม หรือโดนเอเธอร์ดักตบแต่อย่างไรละ~
“วันนี้มาคุ้มดีเนอะ อาจารย์”
‘เหงื่อไหลพรากเลยใช่มั้ยละ?’
“ฮ่าๆๆๆ! ใช่เลย อยากกลับไปเล่าให้เนลยอนฟังแล้วละ”
เพราะอยู่นอกมิติภูตแล้ว อาจารย์จึงกลับมาอยู่ในโหมดวิญญาณตามติดแทน
“รีบกลับดีกว่า~ รีบกลับ~ —–แปปนะ สังหรณ์ใจไม่ดีเลย”
‘เฮ้อ เพราะเอาแต่คิดแบบนั้นไงศิษย์รัก ถึงมีเรื่องตามมาตลอด—มาแล้ว’
ฉันหันกลับไปทางเสียงร้องตะกี้ ที่ดังขึ้นมาว่า ‘ช่วยด้วยค่าาาาา’
เธอคนนั้นเป็นซิสเตอร์โลลิ—-ที่มีหน้าอกใหญ่แทบจะทะลุจากเสื้อ กำลังวิ่งหนีฝูงหมูป่า
“..สุดยอด” เลือดกำเดาไหลออกจากจมูกน้อยๆของฉัน “วันนี้เจอแต่เรื่องสุดยอดๆ!”
‘ศิษย์ข้า ..รีบช่วยเด็กคนนั้นก่อนเถอะ’
“นั่นสิเนอะ~”
ฉันวิ่งเข้าไปช่วยสาวน้อยคนนั้น ก่อนที่จะคุยกันติดลม …เธอชื่อว่า ‘ลีน่า’
****
(ปัจจุบัน)
ฉันกำลังเล่าเรื่องหลายๆอย่างให้เนลยอนฟังอย่างออกรส
“ลีน่าบอกว่าแต่ก่อนตัวเองซวยกว่านี้ร้อยเท่าได้น่ะนะ เห็นว่ามีพี่ชายคนนั้นถึงอะไรสักอย่างกับร่างกายทำให้หายซวย ..ดูกำกวมดีเนอะ~”
“เจ้าลิง ถ้าไม่มีอะไรสำคัญจะเล่าแล้วก็ไปได้แล้ว”
“ใช้งานคนแทบตายยังมาไล่กันอีกนะ”
ฉันถอนหายใจ ก่อนโบกมือลา
“ถ้านั้นขอตัว”
“ไปพักซะ”
อย่างน้อยก็ยังห่วงกันบ้างมั้งนะ
“อีกอย่าง”
“ว่า~”
“ดีแล้วที่เลี่ยงการปะทะกับเอเธอร์ได้ ..ถ้าเสียเจ้าไปแผนของข้าคงพังเละ”
แผนสินะ หมอนี่มักจะมีแผนในหัวตลอดเลย
“ขอให้แผนสำเร็จละกัน ไปพักละ บาย~”
“พวกลิงมันชอบอวยพรแบบขอไปทีเหลือเกิน”
ฉันทำเมินคำพูดของเนลยอนและออกจากคฤหาสน์
ฉันตรงดิ่งไปที่ที่หนึ่งซึ่งไม่ใช่บ้าน ..ที่แห่งนั้นคือโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของอาณาจักร
ฉันเดินเข้าไปในโรงพยาบาล คุยกับพยาบาลและถูกพามายันห้อง V.I.P
เมื่อเปิดประตูเลื่อนเข้าไป ก็พบเข้ากับสาวน้อยรูปงาม ..ที่หน้าตาเหมือนฉันหมด ยกเว้นผมที่สั้นถึงแค่ติ่งหู และใบหน้าที่ดูไร้ความรู้สึก
“สบายดีสินะ”
ไม่มีเสียงใดตอบรับ—แต่ช่างปะไร ฉันลงไปนั่งข้างๆตัวสาวน้อย ..ว่าอีกอย่างคือน้องสาวฝาแฝดของฉัน
วันๆนั้นฉันได้เล่าเกี่ยวกับลีน่าให้เธอฟัง แม้ว่าเธอจะไม่รู้สึกตัวอะไรเลยก็ตาม ..เพราะพวกเราสองพี่น้องเป็นโรคประหลาด(โรคเกี่ยวกับมานาบริสุทธิ์อย่างหนึ่ง) โรคที่จะแยกฝาแฝดเป็นสองส่วน
น้องสาวมีร่างกายที่ครบสมบูรณ์ ขาดเพียงสติ
ส่วนฉันไม่มีอะไรเลย ยกเว้นสติ เพราะอย่างนั้นจึงถูกจับตัวไปทำเป็นมนุษย์เทียมตั้งแต่เกิด เพื่อเข้ารับพลังของวิญญาณระดับเทพ ..สักวันน้องสาวจะกลับมามีชีวิตตามปกติแน่นอน แต่น่าเศร้าเวลานั้นมันจะเป็นหลังจากที่ฉันตาย
..โรคนี้ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งตายละนะ อีกคนถึงจะมีสภาพสมบูรณ์ได้
“..เด็กดี~ เด็กดี~”
ฉันลูบหัวเด็กคนนี้อย่างเอ็นดู