เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 5: ผ่านมา 1 เดือนแล้ว
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 5: ผ่านมา 1 เดือนแล้ว
< < 5 > >
ผ่านมาได้ราว 1 เดือนเต็มแล้ว
ผมแหงนหน้ามองการผลัดเปลี่ยนของฤดูกาล จากฤดูร้อนในตอนนี้ได้กลายเป็นฤดูหนาวแล้ว ในอาณาจักรเวทมนตร์นิร์ต่างกับอาณาจักรอื่นตรงที่สภาพแวดล้อมดีเอามากๆ ..
คงต้องอธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อย ในโลกใบนี้มีประเทศมหาอำนาจทั้งหมดสี่ประเทศ และแบ่งแยกเป็นทวีปอีกทีในชื่อเดียวกันได้แก่ ‘แซร์อิซ(แดนมังกรวายุ)’ — ‘เกรล(แดนมังกรหินผา)’ —-ฟัฟนิร์(แดนมังกรเพลิง)—-เนลยอน(แดนมังกรวารี)
ทั้งสี่ชื่อนี้คือชื่อทวีปและอาณาจักรมหาอำนาจ อ้างอิงมาจากตำนานมังกรธาตุทั้งสี่ที่เปรียบได้ดั่งสมดุลของโลก
อย่างที่ผมอาศัยอยู่ก็คือ ‘ฟัฟนิร์’ หรือว่าอาณาจักร ‘ฟัฟนิร์’ แดนมังกรเพลิงที่อากาศเน้นไปทางด้านอุดมสมบูรณ์ มีร้อนมีใบไม้ผลิมีฝนอย่างครบถ้วน แน่นอนหิมะก็มีด้วย แต่ไม่ได้แรงเท่ากับทวีปอื่น ให้เปรียบก็แค่หิมะกระจอกไร้พิษสง จุดนี้นับว่าเป็นแต้ม
ผมอมยิ้มเล็กน้อยกับหิมะที่ใกล้มาถึงในเร็ววันนี้ สำหรับชาวไทยอย่างผมค่อนข้างจะสนใจกับฤดูหนาวที่นี่ใช่เล่น
ผมจิบถ้วยชาเข้าปากเยี่ยมผู้ดี
“เรเซลขอชาเพิ่มหน่อยสิ” ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ไม่นานนักหญิงสาววัยละอ่อนท่าทางดูขี้อายก็ตอบกลับ
“-ค ค่ะ”
‘เรเซล’ ตอบกลับอย่างเร่งรีบ เธอเดินอย่างเร่งรีบไปชงชาให้ด้วยความขันแข็ง ถึงจะดูป้ำๆเป๋อๆหน่อยๆ
เรื่องความตื่นตัวของเรเซล ผมก็ส่งให้อันนาไปสอนวางตัวแล้ว ไม่นานคงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผมจิบชาที่ได้รับจากเรเซลอย่างสุขอารมณ์ …ถึงอันนาจะเป็นจอมโดดงาน แต่เธอฉลาดและเข้าใจอะไรได้ง่าย และวางตัวดี เป็นสุดยอดเมดสมบูรณ์แบบที่ข้อเสียมีเพียงขี้อู้เท่านั้น
แต่ก็เอาเถอะ—-คงได้เวลาแล้วละมั้ง
“เรเซล เธอไปตามเซบาสเตียนให้ที”
“ค่ะ”
ผมลุกขึ้นตรงดิ่งไปห้องแต่งตัว ในมือกำดาบและสวมเสื้อแนบเนื้อ——-ในช่วงหลายวันมานี้ผมมีกิจวัตรประจำวัน อย่างการฝึกฝนร่างกายและเวทมนตร์ของตัวเอง
หลักสูตรการฝึกฝนของผมคือ–ช่วงเช้าผมจะออกกำลังกายตามปกติ ช่วงเที่ยงฝึกดาบกับเซบาสเตียน และช่วงเย็นก็ฝึกฝนเวทมนตร์เท่าที่ไหว
หรือบางครั้งผมก็จะแอบไปเดินเล่นนอกคฤหาสน์ เพื่อลองพลังความสามารถใหม่ๆ โดยมีอันนาเป็นต้นหนเรือคอยดูคนให้ กล่าวได้ว่าปัจจุบันนี้เธอคือผู้สมรู้ร่วมคิดทำผิดกฎหมายคนสำคัญของผมแล้ว
แต่ผมไม่นับว่านั่นคือการทำเลวหรอกนะ ชีวิตเราก็ต้องมีอะไรประมาณนี้บ้าง อย่างการโดดเรียนไรงี้ ผมก็ทำประจำจนกระทั่งโดนจับเข้าห้องปกครอง นับจากนั้นก็ไม่เคยโดดอีกเลย
ผมใช้เวลาไม่นานก็เตรียมดาบ และสวมชุดสีขาวแนบเนื้อเสร็จเรียบร้อย เมื่อได้เวลาก็เดินไปหาเซบาสเตียนด้วยความเข้ม
พวกเราจะฝึกกันหน้าคฤหาสน์ประจำ
“รอนานมั้ย”
“กระผมก็พึ่งมาถึงเองขอรับ”
อย่าพูดเหมือนคู่หนุ่มสาวที่มาออกเดทกันได้มั้ย–
“ถ้านั้นเรเซล เรียกอันนาให้ทีนะ”
เรเซลหลบตาหนีผมตามเคย
“คือว่า …วันนี้อันนามิธุระสำคัญต้องทำคะ เกี่ยวกับนายท่าน ..ขอโทษนะคะ”
“ถ้านั้นฝากเธอแทนละกัน”
“รับทราบค่ะ”
เรเซลพยักหน้ารับด้วยท่าทางร่าเริงต่างกับปกติ และวิ่งไปเตรียมผ้าขนหนู พร้อมน้ำดื่มมาให้
เมื่อมองส่งเรเซลไปเตรียมการแล้ว ผมกับเซบาสเตียนก็หันหน้าเข้าหากันต่อ
“อย่าออมมือให้เชียวละ เซบาสเตียน”
ผมกำดาบไม้แน่น และชี้เข้าหาเซบาสเตียนราวกับท้าทาย
“ตั้งท่าได้งดงามมากครับท่านเรเซอร์ เช่นนั้นก็—-”
เซบาสเตียนพุ่งใส่ด้วยความเร็วที่มองตามแทบไม่ทัน น่าเหลือเชื่อกว่าเก่าที่มันไม่ใช่การเอาจริงของเซบาสเตียนด้วยซ้ำ
เซบาสเตียนแกร่งสุดๆ ตลอดหลายวันมานี้มันคอยย้ำเตือนผมตลอดถึงเรื่องนี้ ..ยิ่งกว่านั้นพอได้เห็นความต่างชั้นระหว่างผมกับเขา มันก็ยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่ เพราะในอนาคตผมจะต้องเจอกับพวกที่เหนือกว่านี้ไปอีกหลายขั้นนับไม่ถ้วน —–มีเวลาแค่ไม่กี่ปีกว่าจะถึงเวลานั้น
ผมปัดป้องการจู่โจมของเซบาสเตียนจากข้างตัวได้ พร้อมกันนั้นก็สวนดาบใส่ข้างตัวกลับ แต่เพียงพริบตาเดียวเซบาสเตียนก็พลิกตัวหลบมันราวกับเต้นรำ ท่วงท่าของเขาทั้งงดงามและเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ
—ตึ้ง! รู้ตัวอีกทีดาบไม้ก็ฟาดเข้าที่กลางหลังของผมจนร่างปลิวกระเด็นไปไกลนับสิบเมตร
กำลังกายของมนุษย์บนโลกนี้มันไม่ธรรมดาเลย แค่การฟาดดาบละเล่นของเซบาสเตียนก็มากพอจะทำลายตึกทั้งตึกได้แล้วมั้ง
“…ฮึย” ผมลุกขึ้นยินอีกครั้งและวิ่งเข้าใส่คู่ฝึกสุดแกร่งตรงหน้า “ย๊ากกกก!!”
ผมเปล่งเสียงเพิ่มแรงให้ตัวเองและโหมกระหน่ำดาบใส่เซบาสเตียนเพื่อหวังไม่ให้เขามีช่องว่างในการสวนกลับ แต่คิดตื้นไป ระดับฝีมือเซบาสเตียนมันคนละชั้นเกินไป——-ทันทีที่เซบาสเตียนเห็นผมเลือกกระหน่ำดาบใช้ เขาก็ใช้เทคนิคดาบหยุดการเคลื่อนไหวของผมในพริบตาเดียวและอัดดาบเข้าใส่
“———ฮึยยย!”
โชคยังดีที่ผมสามารถหลบได้ทัน เซบาสเตียนเห็นดังนั้นเลยยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ยอดเยี่ยมครับ กระผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านายน้อยจะมีสัญชาตญาณดีถึงเพียงนี้ ถ้าหากต้องการกระผมพร้อมจะชี้นำท่านให้เป็นนักดาบเต็มตัวยังได้เลยนะขอรับ รับรองต้องไม่ด้อยกว่าผมแน่นอน”
ไม่คิดจะเหลิงเพราะคำชมหรอก ที่ได้ดีขนาดนี้เพราะทักษะในโลกเก่าด้วย
“จัดมาหมดเลยนั่นแหละ!”
ผมพุ่งตัวเข้าประชิดและกระหน่ำดาบใส่อีกครั้ง เซบาสเตียนปัดการโจมตีของผมทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ
“ข้อเสียหลักๆก็คือเรื่องการออกดาบของนายน้อย มันทั้งเดาทางง่ายและไร้ซึ่งประสิทธิภาพ” เซบาสเตียนหลบมันได้โดยไม่แม้แต่จะชายตามอง เขาเดามันออกทั้งหมดดั่งที่พูด พร้อมกันนั้นก็ใช้หัวเข่ากระแทกเข้าที่จับดาบจนมันปลิว “ทักษะดาบยังไม่เพียงพอขอรับ”
“เข้าใจแล้ว!” ผมกระโดดคว้าดาบกลางอากาศ “ฉันเองก็พยายามฝึกดาบอยู่ แต่รู้สึกเหมือนไม่ค่อยเข้ามือเท่าไหร่เลย”
“นายน้อยเปี่ยมด้วยผลสวรรค์ครับ ไม่นานต้องบรรลุได้แน่”
“ยกยอกันเกินไปแล้ว” ผมตั้งท่าดาบอีกครั้ง “จะโชว์อะไรให้ดูสักหน่อย ยืนรับซะดีๆละ”
ผมยืดขาออกข้าง และฟาดดาบเขวี้ยงด้านข้างเข้าใส่เซบาสเตียนโดยการทุ่มแรงทั้งร่างกายใส่ และใช้ขาที่ออกข้างไปในการท่วงร่างกายไว้ไม่ให้ล้ม ในโลกที่พลังกายคนเราหลุดโลกไปแล้วเทคนิคโง่ๆเช่นนี้อาจจะมีประโยชน์ก็ได้
มันได้ผลแน่นอน ถึงกระนั้นก็อย่างที่รู้ๆกัน—–เซบาสเตียนห่างชั้นเกินไป เขารับมันแบบง่ายๆด้วยความเร็วอย่างกับปีศาจ
แต่เทคนิคนี้เหมือนจะสร้างความพอใจให้เซบาสเตียนได้ในระดับหนึ่งเลย
“ถ้าใช้กับคนระดับเดียวกัน ก็นับว่าอันตรายพอดูครับ” เขาพูดมาตรงๆว่าพวกเราห่างชั้นไป
——-ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรตอบกลับ ภาพหน้าจอผมก็ดับวูบไปทั้งอย่างนั้น
****
…หลับสบายเลยเรา
ผมลืมตาตื่นอีกครั้งในห้องพยาบาลประจำคฤหาสน์
“ตื่นแล้วหรือคะ นายน้อย”
เสียงอันนุ่มนวลและมากเสน่ห์ดังขึ้นข้างหู ——เธอคือ ‘อันนา’ นางตัวร้ายที่พึ่งมีประเด็นกันไปเมื่อเดือนก่อน ขณะนี้เธอกำลังส่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นกันเอง โดยที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างๆผม
“เธอเนี่ยเปลี่ยนไปเยอะจริงนะ ดูจริงใจขึ้นเยอะเลย”
“ดิฉันเหมือนเดิมตลอดนั่นแหละค่ะ”
“อ่อเรอะ” ผมทำเมินกับประโยคเมื่อสักครู่แล้วถามต่อ “แล้วเรเซลละ?”
‘ใครเขาสอนให้พูดถึงสาวอื่นตอนคุยกับผู้หญิงกัน’ อันนาถุยน้ำลายในใจ
ไม่นานนับจากที่ผมเรียก ผ้าขนหนูท่านค่ะก็วิ่งมาหาอย่างกับหนีมหันตภัยอะไรสักอย่าง
“-ท ท่านเรเซอร์เป็นยังไงบ้างหรือคะ สบายดีรึเปล่าคะ!?”
ดูร่าเริงดีแฮะ น่ารักชะมัด
เหมือนกับลูกไก่ที่ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ชอบงงๆเอ๋อๆตลอด แต่ก็ชั่งมันประไร
“ไม่ขนาดนั้นหรอก” ผมยิ้มให้—-
“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ!!”
“แล้วจะขอโทษทำไมละ! ถามจริง!?”
เรเซลเห็นผมโวยวายก็วิ่งไปหลบหลังอันนา นางตัวร้าย(อันนา)เห็นดังนั้นก็คลี่ยิ้มเบาหวิวแล้วอธิบายข้อสงสัยทั้งหมดให้
“เรเซลกลัวในรอยยิ้มของท่านค่ะ”
สั้นและง่าย และตรง รอยยิ้มของผมมันชั่งบาปหนา อา..
เอาเถอะ!
“จะว่าไปอันนา เรเซลเป็นเวรดูแลฉันวันนี้นี่ เธอไม่มีงานไหง?”
พอพูดกึ่งหยอกล้ออันนาก็หน้าแดงแจ๋ขึ้นทันที
“….มาเอาหน้าน่ะคะ มาเอาหน้า” อันนาเบือนหน้าหนีผม “ฉันแค่กะจะทำแต้มเพื่อให้ตำแหน่งงานตัวเองพัฒนาเท่านั้นเองค่ะ”
“เรื่องพวกนั้นมันพูดตรงๆได้ที่ไหน?”
ผมส่งยิ้มแบบมีเลศนัย ซึ่งเป็นรูปแบบรอยยิ้มที่เหมาะกับตัวผมไม่ไช่น้อยเลย
“อรา อรา มาทำไมกันนา? เป็นห่วงฉันถึงขั้นโดดงานเลยเหรอ?”
เป็นอย่างนั้นได้ก็ดี ขืนรู้ว่าอันนาสละเวลามาดูแลผม เพราะตั้งใจโดดงาน ผมคงใจสลายแหงๆ
“-ม มาเอาหน้าค่ะ”
“จริงเหรอเรเซล?”
จังหวะนี้ต้องหาพวกเพื่อบีบอีกฝ่ายให้คลายความลับ
“ไม่แน่นอนค่ะ! คุณอันนารีบมาเฝ้าท่าน เรเซอร์ ทันทีที่ได้ยินว่าสลบเลย เธอเป็นห่วงมาก คะ ! ถึงขั้นเถียงกับท่านเซบาสเตียน เรื่องการฝึกที่เข้มงวดเกินไปกับท่านเซบาสเตียนเลยนะคะ เพราะฉะนั้นไม่มีทางหรอกค่ะ ไม่ได้มาเอาหน้า แน่นอนค่ะ !” เรเซลทุบอกตัวเองอย่างหนักแน่น “ขอเอาหัว..ไม่สิ ขอเอาแขนเป็นเดิมพันคะ!!”
ถ้าจะเดิมพันก็อย่าป๊อดสิแม่คุณ!
ถึงอย่างไรเรเซลก็รีบตอนกลับทันควัน คงไม่อยากให้ผมเข้าใจผิดอันนา
“-ย ยัยนี่! ขอแค่ครั้งนี้เถอะน่า เอาหน้าแทนดิฉันทีเถอะ!! (เฮงซวยเอ๊ย!! น่าอาย น่าอาย น่าอายย) ”
เมื่ออันนาดุใส่ เรผ้าขนหนูก็ก้มหัวโค้งประหนึ่งโปรด้านการขอโทษ
“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ!!”
“แล้วจะขอโทษทำซากอะไรเล่า! ไอ้ลูกไก่นี่”
“ขอโทษค่า!!”
“อ้า!!” อันนากุมขมับตัวเอง
สาวน้อยทะเลาะกันได้น่ารักชะมัด…ยัยพวกนี้เคมีเข้ากันกว่าที่ผมคิดไว้มาก ในนิยายถ้าเกิดไม่มีจุดแตกหักทั้งสองน่าจะสนิทกัน จนเป็นหนึ่งในคู่เพื่อนซี้แสนน่าเอ็นดูแน่นอน
ผมเผลอยิ้มไปโดยไม่รู้ตัว
ใครจะคิดละว่าสามหน่อที่ไม่ถูกกันอย่าง เรเซอร์ อันนา เรเซล จะมาคุยตบมุกป๊อกแป๊กไปมาได้เนี่ย แค่คิดก็น่าขำปกอมยิ้มแล้ว
“อันนาใจดีจริง เรเซลด้วย เดี่ยวให้ลูกอมคนละเม็ดละกัน”
“-ข ขอบพระคุณค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ” เรเซลก้มหน้าให้
“…ขอบพระคุณค่ะ” อันนาตอบเช่นนั้น— (ไม่อยากได้ลูกอมวุ้ย)
แกล้งอันนามันสนุกชอบกลแฮะ ถ้าไม่ติดว่าอันนาอาจสติแตกจนด่าผมไม่ยั้ง ส่วนเรเซลเมื่อไหร่จะเลิกนิสัยชอบพูดขอโทษทิ้งท้ายกันนะ
“บ่ายสองแล้วมั้ง” ผมมองไปที่นาฬิกาติดกำแพง “ได้เวลาฝึกต่อแล้ว”
“ดิฉันจะไปตามท่านเซบาสเตียนให้นะคะ”
“ไม่จำเป็นหรอก ฉันว่าจะฝึกกับกระสอบทรายสักหน่อย”
ผมจะได้ปูพื้นฐานให้ตัวเองก่อนซ้อมกับเซบาสเตียนวันต่อไป ..ผมยิ้มให้ทั้งสอง นั่นทำให้ทั้งสองพากันตัวแข็งทื่อ
เออ โทษที
ทำไมคนชอบยิ้มเรื่อยเปื่อยเช่นผมต้องมีรอยยิ้มประหนึ่งปีศาจร้ายด้วยนะ น่าหนักใจจริง ไม่ใช่ว่าตลอดหนึ่งเดือนมานี้ผมไม่ได้ฝึกยิ้มด้วย แต่ไม่ว่าจะฝึกแค่ไหนผมก็ยิ้มได้แต่แบบนี้ …เห้อ
“พวกเธอกลับไปทำงานกันก่อนเถอะ อย่าให้เสียงานเลย”
“-ค ค่ะ”
“รับทราบแล้วค่ะ (ให้อยู่อีกหน่อยก็ได้แท้ๆ ขี้เกียจทำงานวุ้ย) ”
***
“เฮ้อ เหนื่อยชะมัด”
ผมคาดผ้าเช็ดตัวไว้ตรงเอว ในมือก็ถือสบู่ +ไม่ต้องบอกก็รู้ ผมกำลังจะไปอาบน้ำ และที่อาบน้ำของที่นี่ก็อย่างกับโรงอาบน้ำชั้นยอด
ไอ้เรเซอร์บ้านมันรวยดีจริงๆ
เดินมาถึงผมก็หย่อนร่างตัวเองลงไป โดยไม่แม้แต่จะราดน้ำเย็นก่อนลงเลย———-ฟินโว้ย!
ผมหัวเราะคิกคักอย่างกับติดยา
“สมกับเป็นไลทโนเวลต้นฉบับของญี่ปุ่นจริงเน้อ โรงอาบน้ำกับไลทโนเวลแนวๆนี้ ขาดกันไม่ได้จริงๆนั่นแหะ ขาดก็แค่ผู้หญิงแล้วก็เรื่องตลกของพระรอง…แต่แค่นี้ก็ดีแล้วละนา เล่นเอาความล้าตลอดทั้งวันหายไปเลย มีเงินนี่มันดีจริงๆนะ”
ผมไถร่างตัวเองลงในอ่างน้ำยักษ์จนถึงปาก
เสียง ‘บุ๊งๆ’ ดังสะท้อนไปมา ด้วยความใหญ่เว่อร์ของโรงอาบน้ำทำให้เกิดเสียงอันน่าฟังได้
“วัฒนธรรมญี่ปุ่นจงเจริญ”
ประเทศไทยมีแบบนี้บ้างน่าจะดีนะ ..เอาเถอะ ส่วนตัวก็ไม่ได้เกลียดการว่ายน้ำในคลองของบ้านเกิดเมืองนอนหรอก ค่อนข้างชอบด้วยซ้ำ ยิ่งตอนเด็กนี่รักเลย—-แต่อย่าทำตามเชียว อันตรายนะเออ
…สักพักนึงผมก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย การที่เราอยู่คนเดียวในที่ที่สงบชอบกล มันจะทำให้ความคิดในสมองเราแล่นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ดูเหมือนว่ามันจะจริงไม่น้อยเลย
“อันนากับเรเซลสนิทกันมากขึ้นเยอะเลย ถึงบางครั้งจะเขินๆกับบ้างแต่ก็ดีกว่าเก่าจนไม่น่าเชื่อ …ตัวฉันด้วย ไอในขอบเขตสามารถคุยหยอกล้อกับเรเซลขำๆได้เนี่ย น่าเหลือเชื่อชะมัด ..ขนาดแฟนฟิคยังไม่มีใครกล้าเขียนเรื่องของสองคนนี้เลย เรียกได้ว่าเรือไร้ตัวตน” ผมคว้าแสงไฟสลัวๆในโรงอาบน้ำ “…เอาเถอะ”
ถ้าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน ผมจะนำเรื่องพวกนี้ไปเขียนเป็นแฟนฟิคตอนยาวแน่นอน
คนบางส่วนอาจจะไม่พอใจก็ได้ ที่เรเซอร์ไปแย่งฮาเร็มของยูจิบางส่วนมา…ไม่สิ เราไปตัดสินอีท่าไหนกันหว่า ว่าเรเซลมาชอบเราแล้ว เฮ้อ ต่อมความคิดของผมนี่มันจริงๆเลย
แต่ไม่ใช่ว่ามันช่วยไม่ได้หรือไง นิยายแนวเกิดใหม่มาเป็นตัวร้ายมักจะรวบฮาเร็มพระเอกมาเป็นคนรักตัวเองซะเรียบเลยนี่นา เลวร้ายหน่อยพระเอกอาจจะเกิดรสนิยมใหม่และหลงชอบตัวร้ายเลยก็มี คนเขียนบ้าๆหน่อยก็อาจจะส่งยาแปลงเพศให้พระเอก จน…ได้กัน …ตลกละ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อปัดเป่าความคิดชั่วร้าย
ตอนนี้ก็ผ่านมาได้ราว 1 เดือนแล้ว ถ้าให้นับเป็นวันเดือนปัจจุบันก็—– ตัวผมอายุ 12 ปี 11 เดือนแล้ว และอีก 6 เดือนให้หลังมันจะเข้าใกล้ไทม์ไลน์ที่สำคัญของเนื้อเรื่องแล้ว
งานฉลองวันเกิดเจ้าหญิง ‘หนิง’ งานใหญ่ที่จะเชิญคนใหญ่คนโตในทวีปฟัฟนิร์ทุกประเทศมาร่วมฉลอง และเชิญชวนคนมากด้วยอำนาจทั่วโลกมาร่วมงานด้วย
วันเกิดของหนึ่งในเจ้าหญิงที่สืบทอดสายเลือดที่ยิ่งใหญ่สุดในเรื่อง เธอคือหนิงผู้มีสายเลือดของมังกรฟัฟนิร์ เพราะฉะนั้นคนระดับนี้งานย่อมใหญ่มโหฬารตามไปด้วย เนื้อที่ขนาดเท่าเมืองเล็กๆทั้งเมือง มีพวกบุคคลในตำนานนิทานเดินกันให้ควั่ก ข้างริมทะเลเองก็มีเรือสำหรับแขกพิเศษนั่งชมวิว และรับประทานอาหารหรู
ส่วนตัวผมอยู่ในประเทศมหาอำนาจของทวีป และอยู่ตระกูลขุนนางยักษใหญ่ แน่นอนว่าผมต้องได้ไปด้วยแน่นอน ตามเทคนิคอะนะ ใช่แล้ว ผมไม่มีทางได้ไปหรอก—-ก็ในเนื้อเรื่องต้นฉบับผมคือเด็กเปรต ตระกูลไม่มีทางเอาเด็กแบบผมไปเบ่งอำนาจให้อับอายคนเขาหรอก จริงมั้ย? เพราะนั้นถึงนี่จะเป็นงานสำคัญของเนื้อเรื่องผมก็ไม่ได้ไปด้วยแหงๆ น่าเสียดายเล็กน้อย
แล้วถ้าถามว่ามันสำคัญยังไง ผมก็จะตอบเลยว่าในงานนั้น ‘ยูจิ’ พระเอกของเรื่องเขาเองก็อยู่ในงานในฐานะแขกผู้ทรงเกียรติ ‘ยูจิ’ เขามาในฐานะลูกหลานวีรบุรุษ
ในงานวันเกิดของหนิง มันจะเป็นการพบกันของเขาสองคน เปรียบได้ดั่งจุดเริ่มต้นของเรื่องราวแสนโรแมนติก ที่เด็ก 12 ปีได้เจอกันเพียงชั่วข้ามคืนและถูกคอกัน—แต่น่าเศร้าที่หลังจากนั้นยูจิผู้เป็นพระเอกจะดวงบัดซบ ในอีกไม่กี่วันให้หลังครอบครัวจะถูกลอบฆ่าจนเหลือแค่ยูจิ และยูจิเองก็ความทรงจำเสื่อม จำได้เพียงชื่อของตัวเอง
หลังจากนั้นยูจิก็ถูกชาวบ้านรับตัวไปเลี้ยง ตอนอายุได้ 16 ปี ก็สอบชิงทุนได้โควต้าโรงเรียนเวทมนต์ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นหลัก ไทม์ไลน์แรกเริ่มของไลทโนเวล ….อึก นึกแล้วก็สงสารยูจิจับใจชะมัด แต่ผมจะทำอะไรได้ละ ไอพวกที่ทำกับยูจิน่ะมันสัตว์ประหลาดทั้งนั้น ต่อให้ยกทั้งตระกูลผมไปช่วยก็ไม่ไหว ที่สำคัญเด็กอย่างผมมันมีอำนาจขนาดนั้นที่ไหนกัน
….แม้ในท้ายที่สุดยูจิจะสามารถชนะอดีตของตัวเองได้ แต่วันคืนที่เลวร้ายนี่คือของจริง
ผมถอนหายใจให้กับโชคชะตาของยูจิ
—อาจจะใจร้ายไปหน่อย แต่เรื่องของยูจิต้องชั่วไปก่อน
ตัวผมเองก็มีปัญหาที่ในอนาคตจะเปลี่ยนชีวิตเรเซอร์ไปตลอดกาลเช่นกัน
….ใน 1 เดือนให้หลัง พี่สาวของผม ‘แองเจลิน่า’ เธอจะเสียชีวิตจากการลอบสังหาร และสร้างแผลทางใจให้เรเซอร์กลายเป็นเดนมนุษย์ของแท้
งานวันเกิดของเรเซอร์ที่คฤหาสน์ใหญ่ของพี่สาว เรเซอร์คือคนที่ได้พบศพของเธอคนแรกและสติแตกไป แต่ครั้งนี้มันต่างกับชะตากรรมของยูจิ ผมสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้เพราะมันไม่เกินมือนี้จะเอื้อมได้
พี่สาวแสนดีของเรเซอร์ ‘แองเจลิน่า’ ผมคนนี้ ‘เรเซอร์’ จะปกป้องเธอให้รอดพ้นจากชะตากรรมอันเลวร้ายเอง
ผมกำหมัดแน่น—-แต่ก่อนหน้านั้น
“…วิญญาณระดับเทพ ‘ยูนา’ ถึงคราวที่ฉันจะไปหาแล้วละมั้ง”
ผมพึมพำชื่อของวิญญาณระดับเทพที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเรเซอร์
การที่เด็กอย่างผมจะช่วยพี่สาวได้จำเป็นต้องยืมพลังของคนอื่น ที่สำคัญเลยพลังของ ‘ยูนา’ ต้องจำเป็นมากแน่ๆ …ก็ไม่รู้หรอกว่าหล่อนจะยอมรับผมมั้ย แต่ถ้าไม่ลองดูก็ไม่รู้
เนื้อเรื่องมันเปลี่ยนไป ตัวผมเองก็เปลี่ยนไป ยูนาอาจจะไม่สนใจผมแล้วก็ได้ ต่อให้ร่างกายของผมจะเหมาะกับการทำพันธกับเธอก็ตาม
อนึ่งการที่จะทำสัญญากับวิญญาณระดับเธอได้นั้น ขั้นต่ำต้องมีร่างกายและพลังเวทย์อยู่มากพอควร ระดับหนึ่งในหลายสิบล้านเลยละ แถมยังทำได้แค่คนละหนึ่งดวงวิญญาณด้วย ไม่นับยูจิที่เป็นบัค(หมอนี่ทำได้เรื่อยๆเพราะเป็นร่างเกิดใหม่ของเทพ และบลาๆๆๆ)
ต่อมาขั้นตอนที่ยากยิ่งกว่า คือการทำให้วิญญาณระดับเทพยอมรับพันธสัญญาด้วย เพราะการทำพันธสัญญามันหมายถึงการยอมตกเป็นทาสเลยทีเดียว
วิญญาณระดับเทพคือพลังสำเร็จรูป เรารับมันมาทั้งดุ้นโดยไม่ต้องฝึกอะไรเลย เพราะแค่หาวิธีทำพันธให้ได้ก็ยากต่ายห่าแล้วละมั้ง
ถ้าได้ยูนามา ต่อให้เป็นเด็กที่วงจรเวทย์ไม่สมบูรณ์มันก็ใช้ประโยชน์ไ้ด้แน่นอน
ในป่าที่ไกลออกไป ป่าที่กล่าวกันว่ามีเหล่า ‘ภูต’ อาศัยอยู่นับไม่ถ้วน ที่แห่งนั้นเป็นหลุมศพของวีรสตรีในตำนาน ผู้ที่ครั้งหนึ่งพิชิตหุบเขาที่ใหญ่ที่สุด และกำราบมังกรในตำนาน นามของเธอคือ ‘ยูนา’
ตำนานของเธอในยุคสมัยหลายพันปีก่อนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ทั้งด้านบู๊และบุ๋นของเธอ ว่ากันว่าในยุคนั้นไม่มีใครแกร่งเกินเธอ และไม่มีใครรอบรู้เกินเธอ ยิ่งกว่านั้นการออกดาบของเธอยังแฝงไปด้วยพลังมานาที่มีความสามารถในการผ่ามิติ
ตำนานว่ายูนาเคยปราบคนนับแสนคนที่มาตีเมืองของเธอ บ้างก็ว่าทวีปทั้งสี่แยกออกจากกันได้เพราะการลงดาบของเธอ หรือกระทั่งยูนาในช่วงแก่ก็ว่ากันว่าเป็นถึงอาจารย์ของผู้กล้า ผู้ปราบจอมมาร
จนถึงปัจจุบันเธอก็ยังคงเป็นตัวตนที่มากด้วยชื่อเสียงและอิทธิพล ขนาดในหมู่วิญญาณระดับเทพด้วยกันเธอก็อยู่ตั้ง Top3 ตามการจัดอันดับของผู้แต่ง
และแน่นอน ถ้านับตั้งแต่จุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ย่อมมีคนแกร่งกว่าเธอ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธออยู่ระดับท็อปโลก ยูนาคือตัวตนที่ก้าวเข้าไปในขอบเขตของเทพจนได้ขนานนามว่า ‘วีรสตรีที่แกร่งสุดในประวัติศาสตร์’
คนที่เก่งกว่าเธอ ต่อให้นับด้วยมือข้างเดียวก็ไม่ถึงหรอก
“..รอก่อนเถอะ ยูนา”
ผมกำหมัดแน่น ก่อนจะปล่อยร่างตัวเองให้ลอยบุ๋งเอะใจกลางอ่างน้ำยักษ์
ทว่าในขณะที่ผมกำลังสบายอารมณ์อยู่—–เซบาสเตียนในร่างเปลือยดันโผล่มาโดยไม่แม้แต่จะมีผ้าขนหนู
“ขออภัยครับ กระผมเล็งเห็นว่าพฤติกรรมเช่นนั้นมันไม่ค่อยงาม จึงมาตักเตือน” เซบาสเตียนมองด้วยแววตาที่หลักแหลม “ในฐานะบุตรชายของนายท่าน นายน้อยไม่ควรนอนแช่น้ำเช่นนั้นนะขอรับ”
ระหว่างที่เซบาสเตียนบ่นสายตาผมก็จับจ้องไปที่ที่เดียว…ปืนใหญ่ชัดๆ ไม่สิๆ
ภาพเบื้องหน้าของผมมันน่าอัศจรรย์มาก ราวกับการหลอมรวมของเลือดเอเชียที่แข็งแรง และเลือดตะวันตกที่ยืดยาว เอาเป็นว่าน่าเหลือเชื่อเกิดมาพึ่งเคยเห็น ไอของแบบนี้เนี่ยน่าอัศจรรย์ชะมัด โลกเรามันมีคนที่มีของอย่างนี้อยู่ด้วยเหรอ? ไม่สิ ที่นี่คือต่างโลกนี่นา ไม่แปลกหรอก …ยังไงก็เถอะ น่าเหลือเชื่อ
ไม่รู้ทำไมแต่แก้มผมแดงหน่อยๆแล้วแหะ—-หวา น่าเหลือเชื่อเลย
สายตาอันสกปรกนี้ยังคงจับจ้องไปจุดๆเดิม
“-ซ เซบาสผ้าขนหนูเองรึ มาอาบน้ำเร็วเกินไปหน่อยมั้ย”
ปกติเขาอาบน้ำมืดๆนู่น
“กระผมเกรงว่าท่านเรเซอร์จะแช่น้ำจนลืมเวลาไปเสียแล้วนะขอรับ ตอนนี้เป็นเวลาได้เดินจนถึง 1 ทุ่มแล้วนะครับ”
“หวา ใหญ่ชะมัด …อ่า ผมแช่มาหลายชั่วโมงแล้วสิเนอะ” ผมพยายามหลบตาเซบาสเตียน
เซบาสเตียนยังไม่สะทกสะท้านใดๆทั้งสิ้น
“ผมว่าท่านขึ้นมาก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”
“เข้าใจแล้ว แล้วก็นายหยุดชี้หน้าฉันได้มั้ย?”
เซบาสเตียนก้มมองต่ำเช่นเดียวกับระดับสายตาผม ก่อนจะเอะใจอะไรได้ ใช่แล้ว ‘ไอนั่น’ มันชี้หน้าผมอยู่ หยาบคายชะมัด
“…..ขออภัยขอรับ”
ว่าแล้วเซบาสเตียนก็เอาผ้าขนหนูในมือมาคาดเอวไว้เรียบร้อย แต่ไอของเหนือธรรมชาติก็ยังทะลุออกมาอยู่——–ต่างโลกมันน่าเหลือเชื่อจริงๆ
พอลุกขึ้นตามที่เซบาสเตียนแนะนำ ผมก็จ้องไปที่ ‘ไอนั่น’ ของตัวเอง
บอกได้เลยว่า ‘สมกับเป็นเด็ก 12 ขวบ’ เทียบกับเซบาสเตียนแล้วมันคือฟ้ากับเหว ไม่สิ มันคือฟ้ากับพื้นดินเลยต่างหาก ตัวผมกับเซบาสเตียนต่างชั้นกันจริงๆ
ความมั่นใจของลูกผู้ชายสุขภาพดีหดหายไปทันทีทันใด
“เดี่ยวกระผมถูหลังให้นะขอรับ”
“ฝากทีนะ”
“หรือจะให้เรียกคุณเรเซลกับอันนามาถูให้ก็ได้นะขอรับ”
พูดอะไรของเค้าเนี่ย?
“คือพวกเธอยังอายุแค่ 12 เองนะ ให้ทำเรื่องแบบนั้น ไม่สิ ต่อให้อายุเยอะก็เถอะ” ผมถูคางตัวเอง “เดี่ยวสิ ..หรือว่ามันเป็นเรื่องปกติ?”
“ขออภัยขอรับ ผมคงประเมินพลาดไปหน่อย”
หมายถึงตัวผมสินะ? เจ้าบ้านี่ปากเสียไม่เบา
ถึงแม้เซบาสเตียนจะพูดสุภาพแต่มันดูทิ่มแทงชอบกล
“เรื่องนั้นเอาไว้อายุเยอะกว่านี้สักสองสามปีดีกว่า เข้าใจมั้ย?”
“สุดท้ายก็เอาสินะครับ”
“….เงียบน่า มันก็อยู่ที่ความสมัครใจ….ขอโทษ เออ ฉันขอโทษ ไม่เอาแล้ว! ยังไงฉันก็ทำแบบนั้นไม่ลงหรอกเว้ย”
จู่ๆก็รู้สึกผิดขึ้นมาได้เรา เป็นตัวร้ายก็ช่วยหนักแน่นหน่อยเซ้!
“เป็นลูกผู้ชายดีมากขอรับนายน้อย” เซบาสเตียนยิ้มให้
“อย่าพูดเรื่องสวนความจริงด้วยรอยยิ้มได้มั้ย!?”
ผมถึงกับกุมขมับตัวเอง
“เอาเถอะ อย่าแหย่ฉันให้มากละกัน …เซบาสเตียน ฉันมีเรื่องจะวานเล็กน้อยน่ะ ช่วยประสานเรื่องกับท่านพ่อท่านแม่ให้ทีได้รึเปล่า?”
“ขอรับ ไม่ทราบว่าเรื่องอะไรหรือครับ”
“เร็ววันนี้ผมอยากไปเมือง ‘ชันไม’ ที่อยู่ใกล้ ‘ป่ามหาภูต’ น่ะ เป็นไปได้ช่วยบอกพวกท่านหน่อยได้หรือเปล่า?”
“…มีธุระอะไรหรือครับ?”
“มีโบสถ์ที่ผมอยากไปเยี่ยม แล้วก็อยากเที่ยวเล็กน้อยด้วย”
ลืมบอกไปเลย เป้าหมายของผมไม่ได้มีแค่การไปทำพันธสัญญากับยูนาเท่านั้น …แต่ที่แห่งนั้นมีโบสถ์เล็กๆ ที่คอยดูแลเด็กไร้บ้านอยู่ และนั่นก็คือที่อยู่ของภรรยาเรเซอร์ในเนื้อเรื่องต้นฉบับ …. ‘ลีน่า’ คนรักของผม อย่างน้อยๆ ก็ในเนื้อเรื่องต้นฉบับ เธอพักอาศัยอยู่ที่นั่น
อยากจะเจอเธอคนนั้นสักครั้ง …
การไปเที่ยวคราวนี้ของผม มีหลายเรื่องที่ต้องการจะทำเลย ทั้งเรื่องของยูนา หรือเรื่องของภรรยาในอนาคต(ฉบับนิยาย) ..อยากจะทำมันทั้งหมด
“เข้าใจแล้วขอรับ กระผมจะประสานเรื่องให้”
“ขอบใจมากนะ”
….อา…อืม..อ๊ะ
…อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ โอ๊ย
“-บ แบบนั้นแหละเซบาสเตียน แม้แต่ถูหลังนายยังเก่งเลยนะ”
“กระผมฝึกฝนตนหนึ่งปีเต็มๆ ทางด้านนี้ เพื่อที่จะถูหลังให้นายท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขอรับ”
ชีวิตพ่อบ้านนี่ลำบากจังนา ….อ๊ะ อ๊ะ โอ๊ย ฟินเว้ย!! —————–เซบาสเตียนคือพ่อบ้านที่สมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งชื่อและความสามารถ ขอย้ำอีกครั้ง เซบาสเตียนคือพ่อบ้านที่สมบูรณ์แบบที่สุด