เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 48: การเที่ยวห้างสุดหรรษา (2)
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 48: การเที่ยวห้างสุดหรรษา (2)
< < Sec 2 > >
“ช่วยเงียบปากทีได้มั้ย?”
เรย์โพ่งขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ใบหน้า ท่าทางเช่นนั้นไม่เคยปรากฏบนใบหน้าแสนจะสดใสนั่นมาตลอด ..ราวกับคนละคน
“..เผลอไปจี้จุดเข้าสินะ ขอโทษด้วย”
(มีปัญหากันจริงๆด้วย ว่าแต่เรื่องอะไรกันละ)
“ยังไงก็ช่วยบอกที แกกับเรเซอร์มีเรื่องบาดหมางอะไรกัน?”
“….”
“..เฮ้ย ตอบเซ้!”
“..เงีบบที” เรย์กลับมาส่งยิ้มสดใสให้
“..ขอปฎิเสธเฟ้ย ถ้าไม่อยากบอกนั้นตูจะขอดูเอง อย่างไม่เกรงใจละนะ
“ขอโทษด้วย เคียวยะ” หันหน้าเข้าหาและโข้งตัวมาข้างหน้า “– [จังหวะแตะสายลม]”
—–คีย์คำพูดนั่นซ้ำกับในอดีต
(เทคนิคนักดาบที่เรเซอร์ใช้ในวันนั้นนี่นา) เคียวยะขบฟันกรามแน่น และรีบดึงร่างตัวเองให้ถอยหลัง พร้อมยื่นมือขึ้นเตรียมจะร่ายเวทย์ (ห่างกันตั้ง 5 เมตร ไม่น่าถึงได้ในพริบตาหรอก ไม่มีทาง) เพราะเคียวยะใช้ดวงตามหาปราชญ์คำนวณเปรียบเทียบกับเรเซอร์เรื่องระยะทาง กับความเร็วตอนเปิดใช้เทคนิคนักดาบแล้วเรียบร้อย ทำให้สรุปได้อย่างแม่นยำแน่นอน ทว่า——เคียวยะคิดผิดไป
เรย์พุ่งมาประชิดตัวเคียวยะด้วย [จังหวะแตะสายลม] ที่ทรงคุณภาพมากกว่าเรเซอร์ระดับทาบไม่ติด
(บะ บ้าน่า ขนาดเรเซอร์มันยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลยนะ)
แต่ยังไม่จบ—-เคียวยะใช้ดวงตามหาปราชญ์คำนวณทิศทางการจู่โจมของเรย์ ในสภาพไร้ดาบเช่นนั้นระยะย่อมใกล้และไร้ความหลากหลายไปด้วย สามารถหลบได้ไม่ยาก
(ซ้าย ขวา ตรง ซ้าย) คำนวณเสร็จเรียบร้อย ทุกความเป็นไปได้อยู่ในหัวแล้ว ทว่า—-เคียวยะไม่สามารถคำนวณสิ่งที่มองไม่เห็นได้
“ [ดาบประกายแสง] ”
มันคือ ‘เทคนิคขั้นสูงของนักดาบ’ การสร้างอณูมานาที่เป็นแสงขึ้นมาในมือชั่ววูบหนึ่งสามารถฟันได้หนึ่งจังหวะก่อนที่แสงนั่นจะดับไป ปกติมักจะใช้รวมกันดาบเพื่อเพิ่มคุณภาพ แต่ก็สามารถใช้ในจังหวะทีเผลอที่ไม่มีดาบในมือได้เช่นกัน
เป็นหนึ่งในเทคนิคสุดแกร่งที่ได้รับการขนานนามว่า ‘เทคนิคฆ่านักเวทย์’ ..และสิ่งที่น่าแปลกใจสุดคือเรย์เป็นนักเรียนที่ใช้เทคนิคดาบขั้นสูงได้
(——เกลียดจริงๆวุ้ย!! พวกนักดาบนี่มันน่ารังเกียจจริงๆ!!—-แม่งเอ้ย!!)
ดาบแสงพุ่งเข้ามาในระยะเผาขน ต่อให้เป็นผู้ครองดวงตามหาปราชญ์ก็ไม่อาจป้องกันได้ ..เพราะขีดจำกัดทางร่างกายของนักเวทย์
(ถ้าเป็นพวกจอมเวทของแท้ แค่เจอพวกนักดาบเก่งๆก็ไปไม่เป็นแล้ว ..เหมือนที่เจ้านั่นพูดไว้เลย ตัวฉันในฐานะจอมเวทไม่สามารถต่อกรกับเรย์ได้) เคียวยะได้แต่เจ็บใจ เขาแพ้แล้วไม่สามารถแก้ทางอะไรได้แล้ว การฝึกมันยังไม่พอ ร่างกายของเคียวยะในตอนนี้ไม่สามารถต่อกรได้—–แต่ถ้าคิดอย่างนั้นก็เท่ากับแพ้!
“โอ้ว!!!!”
เคียวยะกู่ร้องขึ้นพร้อมกับง้านหมัดซัดกลับไป—-สุดท้ายถูกหลบได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นก็ช่วยสร้างจังหวะให้เคียวยะริเริ่มรวมมานาเพื่อเตรียมปล่อยเวทย์สวนกลับ–
“ [จังหวะแตะสายลม] ”
แต่ทุกอย่างก็พลันดับไปด้วยการใช้เทคนิคซ้ำอีกครั้งของเรย์ พริบตาเดียวร่างของเคียวยะก็ลอยฟ้าด้วยแรงแขนของเรย์—เขาถูกเรย์ประชิดอย่างรวดเร็วพร้อมกับดึงคอเสื้อขึ้นฟ้า ด้วยแขนเพียงข้างเดียว
…พิชิตทุกสิ่งได้ด้วยความเร็ว และข่มขวัญศัตรูด้วยแรงกายอันน่าหวาดผวา สุดท้ายโค่นศัตรูด้วยวิชาดาบที่ปริดชีพได้ในจังหวะเดียว นี่แหละคุณสมบัติของนักดาบชั้นสูง
ตัวเรย์มีคุณสมบัติในฐานะนักดาบชั้นสูงครบท้วน
“..ไอ้กร๊วกเอ้ย—ปล่อยมือได้แล้ว!”
“….”
“ไอ้เวร! ได้ยินที่พูดมั้ย!?” เคียวยะโขกหัวเรย์หนึ่งทีแต่นั่นกลับสร้างแผลให้เขาเอง “แม่งเอ้ย!! อย่าให้ตูรอดไปได้นะ พ่อจะร่ายเวทย์ขั้นสูงซัดให้ไม่เหลือซากเลยคอยดู”
“…ขืนโดนเวทย์ระดับนั้นไปก็ตายพอดีสิ” เรย์ถอนหายใจ “ขอโทษนะ ..จู่ๆหน้ามันก็มืดไป รู้ตัวอีกที..เผลอพุ่งไปทำร้ายแล้ว ..ขอโทษด้วย”
เมื่อได้สติแล้วเรย์จึงวางเคียวยะลงอย่างนุ่มนวล นั่นสร้างความหงุดหงิดให้เคียวยะพอตัว
“แล้วเอาไง จะต่ออีกรอบแบบแฟร์ๆมั้ย? เมื่อกี้แกเปิดก่อนเลยไม่นับ เข้าใจมั้ย?”
“..ไม่ต้องมีครั้งต่อไปแล้วละ”
“แล้วแกใช้เทคนิคแตะสายลมได้ดีกว่าเรเซอร์อีก ได้ไงกัน”
โดยปกติทุกเทคนิคควรมีประสิทธิภาพเท่ากัน
“ฉันเป็น ’นักดาบขั้นสูงนะ’ ..ถ้าแค่จับจังหวะย่นระยะให้จังหวะแตะสายลมน่ะ เร็วขึ้นสักเท่าตัวนึง มันไม่เกินมือหรอก ถ้าเป็น ‘นักดาบขั้นบรรลุ’ สุดยอดกว่านี้อีก ..บางทีอาจจะเร็วกว่านี้สิบเท่าได้”
“งั้นเองเรอะ ช่างเถอะ แล้วสรุปยังไงกันแน่”
เรย์ปั้นยิ้มทั้งๆที่ยังซึมอยู่
“หมายถึงเรื่องเรเซอร์สินะ?”
“เออสิ จะเป็นอะไรได้ละ”
“นั่นสินะ …บอกไม่ได้หรอก ถ้าเกิดบอก บางทีตอนนี้ฉันกับนายอาจเริ่มสู้กันอีกครั้งก็ได้” เรย์ผงกหัวลง “ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ..ฉันอาจจะเผลอฆ่านายไปก็ได้นะ”
เคียวยะทำเสียง ‘ชิ’ ไม่พอใจ เขาไม่พอใจที่เรย์ด่วนสรุปเอาเองว่าตัวเองสามารถฆ่าตนเองได้ แต่ไม่สามารถปฎิเสธได้ทีเดียว ถ้าเป็นในระยะ 5 เมตร เคียวยะคงแพ้–ตายในไม่กี่จังหวะดาบ ถึงเว้นระยะให้ไกลแบบอีกฝากเลย อาจจะทำอะไรได้บ้าง แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าชนะ การบอกว่าจะชนะเรย์ได้โดยไม่คิดอะไรให้ดีนับว่าประมาท เพราะอีกฝ่ายเป็นนักดาบขั้นสูง ตัวตนที่อีกขั้นเดียวจะไปถึง ‘นักดาบขั้นบรรลุ’
แต่นั่นก็ทำให้ยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าคนที่แกร่งกว่าเคียวยะในโรงเรียนอย่างนี้ มีเรย์อีกหนึ่งคน .. (แล้วทำไมตูต้องมาโดนไอ้พวกนี้กระทืบตลอดเลยฟร้ะ ตั้งแต่คราวไอ้เรเซอร์ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว มาตอนเรย์ยังจะโดนอีก ..ครั้งหน้าคงไม่มีหรอกมั้ง เวรเอ้ย) เคียวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ …เหอะ จะไม่ถามมากกว่านี้ก็ได้”
“ขอบใจนะ”
“แต่ฟังไว้ซะว่า ..เรเซอร์ไม่แพ้หรอก”
“….รู้อยู่แล้วนี่เอง …แต่นายไม่มีท่าทางขัดขืนทีเดียวนี่ ซี้กันไม่ใช่?”
“เพราะรู้อยู่แล้วไงว่าหมอนั่นไม่แพ้หรอก จะไม่เอาความตั้งใจของแกไปแพร่ให้ใครรู้ด้วย”
“มั่นใจในเรเซอร์ดีจังเลยนะ ..ทุกคนดูจะเชื่อใจหมอนั่นพอดูเลย”
(…จะไม่ให้เชื่อมั่นได้ไงเล่า)
เรย์แหงนหน้ามองฟ้า พลันยิ้มอย่างเศร้าใจ ตัวเรย์ในตอนนี้ไม่เหมือนตัวเองยามปกติเลยสักนิด กล่าวได้ว่าอย่างกับคนละคน ทั้งบรรยากาศและน้ำเสียงการพูด
“..ให้ตายสิ ทำไมต้องเปลี่ยนไปด้วยนะ ทำไมไม่เป็นเหมือนแต่ก่อนนะ ถ้าเป็นแค่ไอ้เดนมนุษย์ทั่วๆไปเหมือนกับแต่ก่อน ..ฉันคงไม่ต้องมานั่งลำบากใจจนทำให้เรื่องมันลามไปถึงขนาดนี้”
…
“..เพราะอย่างนั้นแหละ ฉันจึงต้องรีบจบเรื่องในเร็ววัน ก่อนที่ไฟมันจะดับลง”
เรย์กุมอกตัวเอง พางนึกถึงคนๆหนึ่งในอดีต
คนๆนั้นผู้เป็นพี่สาวแสนดี ทั้งแข็งแกร่งและมากด้วยความเพียร เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง …ยอดอัศวินในฝันของเรย์ ‘ชินดร้า’ ทว่าไอดอลในฝันได้ถูกทำลายจนสลายหายไปแล้ว ..อย่างน้อยๆก็ในความคิดของเรย์ที่ว่า ‘เรเซอร์คือผู้กระทำ’
เรย์แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า พลางนึกถึงเรื่องในอนาคต
*****
(มุมมองเรเซอร์)
เมื่อเดินเล่นได้ครบที่เวลากำหนด พวกเราจึงมารวมกลุ่มกันจุดที่นัดไว้ ..แน่นอนว่ากลุ่มยูจิมากลุ่มแรก กลุ่มผมเป็นกลุ่มที่สอง และกลุ่มสุดท้ายก็พวกเรย์
พอเจอหน้ากันก็ทักทันทีเลย
“หนิงหล่อนคงไม่ได้แต๊ะอั๋งยูจิหรอกนะ”
ยูจิกับโซเฟียผมไม่กล้าแซวอะไรทรงๆนี้หรอก
“ไม่มีทางย่ะ! ..ของแบบนั้นต้อง..ต้อง” หนิงผงกหัวลง แก้มแดงแจ๋ “…ต้องแต่งงานก่อน”
หมายความว่าต้องแต่งงานก่อนสินะถึงจะลวนลามเจ้าตัวได้ พับผ่าสิยัยนี่
“ต้องอะไร? พูดให้ชัดๆทีสิ”
“ต้อง..แต่ง..แต่ง”
“แต่งงาน?”
“มะ ไม่ใช่! แล้วทำไมฉันต้องตอบแกด้วยย่ะ!” ว่าแล้วหนิงก็พุ่งมากระซากคอเสื้อผมเหมือนทุกครั้ง—-ใช่ ‘เหมือนทุกครั้ง’ ยัยนี่ชอบจริงๆการกระซากคอเสื้อชาวบ้านเนี่ย
แรงเยอะตายแหละ อือ ..แรงเยอะกว่าผมอีกเอาจริง สมกับเป็นสายเลือดฟัฟนิร์ ตัวผมลอยเลย
“ถะ ถ้าไม่ได้ทำก็ดีแล้วละ ฉันไม่อยากเห็นคนจีบกันในการเที่ยวครั้งแรกกับหวานใจเบลลามี—”
“ที่ต้องถามมันแกต่างหากย่ะ! ได้ทำอะไรกับเขาตอนไปสองคนมั้ย? ยังหน้าหนาเรียกเขาว่า ‘หวานใจ’ ได้อีกนะ หมั่นหน้าจริง หล่อตายแหละแก!”
หายากแฮะหนิงพูดถึงคนอื่นเนี่ย
“แค่ไปร้านหนังสือแล้วคุยเรื่องอนาคตกันเอง” ผมหัวเราะ ‘หึ’ “อย่างหล่อนคงไม่เคยคุยเรื่องอนาคตกับเพศตรงข้ามสินะ?”
“…เอาจริง”
หล่อนหันไปมองเบลลามี เจ้าตัวก็ไม่ปฎิเสธทีเดียวทำให้หนิงหน้าเหวอไปตามระเบียบ ..กับเบลลามีที่การสื่อสารเข้าขั้นวิกฤตแล้วย่อมเข้าใจไปในทางปกติ ทั้งๆที่คำพูดกำกวมแน่ ทั้งหมดจึงเป็นไปตามแผนได้ง่ายสบายยิ่งกว่าปลอกกล้วย
หนิงถึงกับมือไม้อ่อนวางผมลง
“…สุดยอด” หนิงมองผมจากที่ต่ำกว่าในที่สุด “มือโปรละ”
“ในเมื่อเข้าใจแล้วก็…เรียกฉันว่า ‘อาจารย์’ สิ”
“ใครมันจะไปทำได้ย่ะ เรื่องเสียศักดิ์ศรีพรรค์นั้นน่ะ!”
ผมเขยิบตัวไปกระซิบข้างหูยัยเลือดมังกรคลั่ง
“…ไม่อยากให้ฉันช่วยหรือไง ..เรื่องยูจิน่ะ” ผมแสยะยิ้ม “ไม่อยากได้คุยเรื่อง ‘อนาคต’ กับยูจิหรือไง? ถ้าแค่เทคนิคน่ะ..สอนได้อยู่นา—เ-ท-ค-นิ-ค ช่วยให้ได้ ค-ร-อ-ง ใจ–น่ะ”
พลันใดนั้นตาหนิงก็มืดสนิท ราวกับหุ่นยนต์
“รับทราบค่ะ ‘ท่านอาจารย์’ ”
ดีมาก ดีมาก เก่งมาก–ผมลูบหัวหนิงอย่างได้ใจ ยัยนี่เป็นลูกไก่ในกำมือผมแล้ว วะฮ่าๆๆ!
เบลลามียิ้มดีใจด้วยกับผม ต่างกับคนอื่นที่ทำหน้าเอือมๆใส่
“คุยกันว่าในอนาคตอยากทำงานอะไรน่ะ”
เฉลยเขาซะนั้น—-
“—–ไอ้บ้านี่ บังอาจหลอกกันได้”
ท่าทางเปลี่ยนแบบฉับพลัน เข้ามากระซากคอเสื้อผมอีหรอบเดิม
“เปลี่ยนสีเร็วจริง ยัยจิ้งจกนี่!”
“หนวกหูน่า! อย่างแกน่ะต้องโดนกระซากคอจนกว่าจะขาดอากาศหายใจตายนั่นแหละ”
“ใจเย็นก่อน แรงช้างแบบหล่อนทำถึงตายได้จริงๆนะ พับผ่า”
ผมพยายามยอมแล้ว แต่หนิงก็ไม่วางมือ วันนี้คงกะเอาตายจริงๆแล้วละ บ้าเอ๊ย
“ดะ เดี่ยวก่อนสิครับคุณหนิง” ยูจิเข้ามาจับแขนที่ดึงผมขึ้นฟ้าไว้—-พลันใดหล่อนก็ปล่อยมือ พร้อมกับหน้าแดงเหมือนระเบิดลง
“อะ อะ อะ เอ๋!!! เอ๋!!!?” หนิงส่งตาลอกแลกไปมา ทั้งๆที่ปากยังยิ้มอยู่ ..เห็นเคี้ยวมังกรด้วยนั่น “คะ คะ คือ ..จับมือกันแบบนี้ได้ไง”
ท่าทางสาวน้อยนั่นมันอะไร ทำตัวสองมาตรฐานชะมัด
ยูจิพึ่งรู้สึกตัวว่าหนิงไม่พอใจ—เข้าใจผิดแฮะ คุณหล่อนดีใจจนจะคลั่งตายอยู่แล้วนั่น
“ขะ ขอโทษครับที่ล่วงเกิน”
“ไม่หรอก …อือ”
เห็นกำลังไปได้สวยแล้วผมก็ดีใจ แนะนำหล่อนหน่อยดีกว่า
“จังหวะนี้ต้องบอกว่า ‘ในอนาคต จะจำมากกว่านี้ก็ได้นะ’” ผมกระซิบข้างหูเบาๆ
หนิงพยักหน้ารับและทำตามทันทีโดยไม่ไตร่ตรอง
“ในอนาคต ..จะทำมากกว่านี้ก็ได้นะ”
“….เอ๊ะ?” ยูจิหรี่ตาลง “เอ่อ ที่พูดเนี่ยมัน..แปลกนะครับ”
ยูจิอึ้งไป ไม่ใช่เขิน แต่งง
..อะไรกัน เทคนิคผมไม่ได้ผลเรอะ ไม่ใช่ว่ายูจิการป้องกันอ่อนด้อยน่ะรึ ..ไม่สิ พอคิดๆดูไอ้พระเอกที่โดนสาวๆรุกใส่ ลวนลามไม่เว้นวันจนกว่าจะตบะแตกก็ตอนแต่งงานนู่นเนี่ย—ไม่ใช่ว่ากาดแข็งสุดๆเลยหรือไง?
แค่ไอ้คำพูดกำกวมนั่น ทำให้ยูจิสั่นไหวไม่ได้หรอก ..บ้าจริง ไอ้ผมก็ดันแนะนำหนิงอย่างกับมืออาชีพ ตัวเองยังเป็นเวอร์จิ้นคุงอยู่แท้ๆ
หนิงหน้าซีดเป็นไข่ต้ม หันมามองผมด้วยแววตาที่สิ้นหวัง จะถูกฆ่าแล้ว ผมจะถูกหล่อนฆ่าตายก็วันนี้นี่แหละ
‘ยูนารีบรวมพลังไว้เร็ว! การจะป้องกันการโจมตีของหนิงต้องตัดไปถึงขั้นวิญญาณ ถ้าไม่รับทำไม่ทันแน่ ระยะตั้งใกล้แบบนี้—-ไม่ทันแน่!!’
‘รับทราบค่ะ จะเร่งสุดขีด ถ้าทำอย่างนั้นมานาอาจหายไปราว 1/4’
‘เหลือแค่ 3 ส่วนก็พอสู้แล้ว เอาเลย!’
ไม่ใช่สถานการณ์เล่นๆแล้ว การถูกพลังเก้าส่วนฟัฟนิร์เล็งน่ะถึงตายเชียวนะเออ! บ้าเอ๊ย อุตส่าห์มาใช้ชีวิตชิลๆในรั้วโรงเรียนทั้งที ทำไมต้องมาสู้กับพวกสัตว์ประหลาดด้วยเนี่ย! แม่งเอ๊ย!
ยังดีที่โชคเข้าข้าง ยูจิพลันหัวเราะร่าราวสาวน้อย
“อะ ฮะๆๆ เข้าใจแล้วครับ ..ไว้อนาคตนะครับ คุณหนิง” ยูจิยิ้มน่ารักสุดๆ ..
ยูจิต่อมุกล้อเล่นตามหนิง ..ทำให้หนิงตัวแข็งทื่อทันที
“..ค่ะ ท่านยูจิ”
“อย่าเรียกแบบห่างเหินสิหล่อน”
เคียวยะเห็นก็เข้ามาแนะนำด้วย
“ระ รู้แล้วน่า” หนิงตอบทั้งๆที่หลบตา
เคียวยะกอดอกพลางถอนหายใจ …เดี่ยวนะ
“เคียวยะคอนายดูแดงแปลกๆนะ..”
ผมชี้ไปทางคอเคียวยะที่แรงเหมือนโดนใครสักคน..ดึง
ผมหันไปจ้องเรย์โดยทันที เจ้านั่นถึงกับสะดุ้งเฮือกแล้วยิ้มเจื่อนๆ
“ดะ เดี่ยวปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้นะ”
โซเฟียรีบวิ่งไปดูอาการเคียวยะ
“..เรย์ นี่แก” ผมจ้องเขม็งเรย์ด้วยแววตาที่โกรธ
“…คือ” เรย์หลบตาผม ดูจะยอมรับ—
“เข้าใจผิดแล้ว” เคียวยะโพ่งขึ้น “อย่าเข้าใจผิดสิ ระดับเจ้าหมอนั่น ไม่มีทางแตะตัวฉันได้ด้วยซ้ำ ..เป็นแค่ไอ้กระจอกกระสอบทราบตูเท่านั้นแหละ”
พูดโม้ไปเรื่อยแหละเจ้านี่ ระดับเรย์ฆ่าเอ็งยังได้เลย …แต่เคียวยะว่าอย่างนั้นก็ต้องเชื่อละนะ
“อ่า โทษทีนะ”
“อะฮ่าๆๆ ไม่หรอกๆ ไอ้ฉันไม่ถือสาหรอก”
เรย์กล่าวด้วยรอยยิ้มตามเดิม
ในจังหวะนั้นเองยูจิก็โพ่งขึ้น
“จะ จะว่าไปที่ต่อไปเนี่ย” เขาพูดทั้งๆที่ตัวสั่นอยู่ แววตาเป็นประกายน่ารักวิบวัยเชียว
“..อ่า ถ้าจำไม่ผิดก็ร้านอุปกรณ์เวทมนต์—”
“รีบไปกันเถอะครับ!”
ยูจิตื่นเต้นราวกับเด็กน้อย ..นั่นสินะ
ความฝันของยูจิคือการเป็นนักอุปกรณ์เวทมนต์นี่นะ
****
ที่สุดท้ายที่จะไปก็คือร้านอุปกรณ์เวทมนต์
“สะ สะ สุดยอด! ขุนทรัพย์ชัดๆครับ! ทำไมเรย์ไม่บอกให้เร็วกว่านี้ละครับ!” ยูจิโพ่งขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปข้างในทันที หนิงเห็นจึงวิ่งตามไปต่อยๆประหนึ่งลูกเป็ด
…แรงดีกันจังนะ
ผมยืนเท้าสะเอวมองโดยรอบ
ร้านดูเก่าและโทรมก็จริงแต่มีของเยอะมาก เป็นล็อคๆเลย ให้เปรียบเทียบก็เหมือนหลังบ้านของพวกห้าง โลoตัส หรือoิ๊กซี กระมัง ที่จะมืดๆแล้วมีชั้นเหล็กหลายทางหลายชั้นน่ะ
เบลลามี โซเฟีย เคียวยะ เองก็แยกกันไปหาซื้อของหมด กรณีเบลลามีกับโซเฟียคือเป็นเด็กทุนเหมือนกันเลยไปหาคทา ส่วนโซเฟียบ้านตกอับถ้าเป็นไปได้ต้องหาของถูกเข้าบ้านไว้ก่อน ..สุดท้ายจึงเหลือแค่ผมกับเรย์
“ว่าก็ว่าเหอะ ของถูกกว่าตลาดเยอะเลยนะ”
“นั่นสิเนอะ เจ้าของร้านเป็นพวกขายเอาสนุกน่ะ” เรย์คุยกับผม “เห็นว่าไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร เลยเปิดร้านขายของในมุมลับน่ะ พิลึกเนอะ! เป็นฉันมีเงินขนาดนี้จะเที่ยวไม่เว้นวันเลย” เรย์หัวเราะพึมพำเมื่อนึกถึงชีวิตในฝัน
“เจ้าของร้านแต่งงานยัง”
“ลูกสามละจำไม่ผิด”
แบบนี้น่ะเอง
“นั่นแหละเหตุผล” ผมหยักไหล่ “เที่ยวทีมีตาย”
“เหวอ ..ไม่มีแฟนดีกว่าแฮะงั้น”
ไอ้เอ็งที่ในอนาคตจะไปติดสาวคนหนึ่งจนโงหัวไม่ขึ้นน่ะอย่าพูดเลย
“แล้วนายจะไม่เข้าร้านรึ?”
“อ่า ไม่ละ มาบ่อยจนเบื่อแล้ว”
นั่นสิเนอะ
ว่าแล้วผมก็เข้าไปในร้าน
ตรงไปไม่นานก็เจอยูจิที่ดูเห็นทุกสิ่งเป็นกล่องสมบัติ และหนิงที่เห็นยูจิเป็นกล่องสมบัติ …มองอย่างอื่นบ้างก็ได้หล่อน
“มาแล้วๆ”
“ไม่ต้องมาก็ได้ย่ะ”
อะไรเล่า
“แค่มีเรื่องจะขอให้ยูจิช่วยเองเฟ้ย โทษทีละกันที่ขัดจังหวะ”
“เชอะ” หนิงกอดอกหนีไปทางอื่น ยูจิพลันหัวเราะเบาหวิว
“มีอะไรให้ช่วยหรือครับ?”
ผมเกาหัวตัวเองงึกๆ
“คือฉันยังไม่มีอุปกรณ์เวทย์เลยน่ะ อยากให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างนายเลือกหน่อ—”
ไม่ทันจะพูดจบยูจิก็พุ่งมาหาผมในระยะเผาขน ด้วยแววตาระยิบระยับอย่างกับเห็นดาว
“มะ มีปัญหาเรื่องงบประมาณมั้ยครับ!? จะใช้สู้หรือใช้ทำงานครับ!? ชอบแนวไหนครับ!? ชอบรูปทรงยังไงครับ!? เน้นคงทนหรือใช้งานแค่3ปีจบครับ!? แล้วก็ๆ มีของบริษัทไหนที่ชอบเป็นพิเศษมั้ยครับ! แต่ถ้าให้ผมแนะนำต้องของบริษัท Z plus เลยครับ เพราะพึ่งเปิดช่วงนี้เลยเน้นเอาของคุ้มค่ามาขายหาฐานลูกค้า ของทั้งหมดก็ได้มืออาชีพอย่างคุณเบนแนะนำด้วย จัดว่าเป็นบริษัทแววไกลเลยครับ แต่ถ้าชอบแนวๆพวกดาบเวทย์ต้องของบริษัทอื่นนะครับ Z plus เขาไม่ถนัดแนวนี้น่ะ แต่ถ้าคุณเรเซอร์กังวลเรื่องความน่าเชื่อถือผมก็แนะนำเป็นของบริษัท PPL ครับ ถึงจะมีปัญหาเรื่องของถูกแต่คุณภาพต่ำก็เถอะ แต่ถ้าของแพงๆมันจะทั้งดีแล้วถูกกว่าราคา ..อ๊ะ ขอโทษด้วยนะครับ”
เหมือนจะเอะใจแล้วว่าพูดยาวไป ต้องเริ่มจากถามผมทีละคำสิ
“ลืมแนะนำไปเลยว่าอย่าซื้อของบริษัท ——- นะครับ! ของที่นั่นทำจากวัสดุพรุๆพังๆตลอดเลย เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ ..ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่เอาของแบบนั้นมาขายไม่สงสารลูกค้าหน่อยหรือไงนะครับ คิดว่ายังไงบ้างเหรอครับ?”
ช่วยเอะใจหน่อยเหอะ!
“ไม่เข้าใจวุ้ย! แล้วช่วยถามทีละอย่างเหอะ”
“อะ ฮ่าๆๆ ขอโทษด้วยนะครับ พูดถึงเรื่องพวกนี้ทีไรผมมักจะลืมตัวตลอดเลย” ยูจิเริ่มนำทางผม “เดี่ยวจะพาไปดูเรื่อยๆนะครับ”
“เอาตามนั้นละกัน”
—-อ๊ะ สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอีกแล้ว
หนิงกัดเล็บจากข้างหลังผม พลางส่งสายตาของสัตว์นักล่าสูงสุดในโลกข่มขวัญ
“ที่ตรงนั้นมันที่ของฉัน ที่ตรงนั้นมันที่ของฉัน ที่ตรงนั้นมันที่ของฉัน ที่ตรงนั้นมันที่ของฉัน ที่ตรงนั้นมันที่ของฉัน ที่ตรงนั้นมันที่ของฉัน ที่ตรงนั้นมันที่ของฉัน ที่ตรงนั้นมันที่ของฉัน ที่ตรงนั้นมันที่ของฉัน ที่ตรงนั้นมันที่ของฉัน ที่ตรงนั้นมันที่ของฉัน”
เหวอ ถ้าไม่ทำอะไรละก็โดนฆ่าแหง
“จะว่าไปหนิงเองก็ยังไม่มีอุปกรณ์เวทย์นี่ มาดูด้วยกันมั้ย?”
“นะ นั่นสินะ! ยูจิช่วยทีนะ!”
ยูจิเห็นว่ามีคนสนใจก็พลันยิ้มร่าดีใจหาที่เปรียบ
“เข้าใจแล้วครับ! คนรุ่นใหม่เริ่มสนใจในอุปกรณ์เวทย์มากขึ้น ต่างกับคนสมัยก่อนลิบลับเลย เพราะคนอย่างพวกคุณนั่นแหละที่จะทำให้ปัญหาอุปกรณ์เวทย์ไม่ดีพอกับช่วงสงครามจนทำให้คนตายเนื่องจากปัญหาขัดข้องทางอุปกรณ์ หรือปัจจัยเรื่องชาวบ้านได้แต่อุปกรณ์ห่วยๆไปใช้จะหมดไป!” ยูจิแหงนหน้าขึ้นฟ้า แล้วแหกปากไม่หยุด “ผมเห็นอนาคตของวงการณ์นี้ดีกว่าเดิมแล้วครับ! สักวันจะเกิดการแข่งขันมากกว่าเดิม จนอาชีพผู้วิจัยจะเป็นที่แพร่หลาย—-สุดยอดอนาคตจะเกิดขึ้นในไม่อีกกี่ปีแล้วละครับ!! ในอนาคตอาจมีรถไฟเวทมนต์ความเร็วสูงที่ข้ามทวีปได้ก็ได้พอเกิดการแข่งเอามากๆ! พะ พูดถึงการแข่งมากๆเนี่ยนึกถึงเกรลเลย ที่แห่งนั้นอุปกรณ์เวทมนต์นิยมสุดๆเลยครับ เห็นว่ามีปราการลอยฟ้าเพียบเลย อยากลองไปศึกษางานที่นั่นจัง อ๊ะๆ เนลยอนก็น่าสนใจ เทคโนโลยีเวทย์ทางน้ำมีเยอะด้วย อืออออ ในสามทวีปเลือกได้ไม่อยากไปแซร์อิซสุดแล้วละครับ”
…จะว่าไงดีละ ยูจิตอนนี้พูดมากชะมัด พูดเรื่องนู่นที่เรื่องนี้ที ตามไปทำเฟ้ย! คนนอกวงการที่เอาแต่เตะต่อยอย่างผมไม่เข้าใจเฟ้ย!
“อือๆ! เข้าใจเลย”
อย่างหล่อนไม่ต้องไปแอ๊บเหมือนเข้าใจที่เขาพูดเลยวุ้ย! ไอ้คนนอกวงการ!! ยืนเอ๋อเป็นเพื่อนผมซะเถอะอย่างหล่อนน่ะ!
“นั่นสิเนอะครับ! อย่างบริษัท —- เนี่ยไม่ไหวเลย ดูถูกลูกค้าไปแล้ว คุณหนิงคิดว่าไงบ้างละครับ!?”
“…เอ่อ” หนิงถึงกับเหงื่อตก “นั่นสินะ”
“จะว่าไปคุณหนิงชอบอะไรในบริษัท Z plus บ้างเหรอครับ?”
“….ทุกอย่างเลย”
ยังจะแถอีก!
“นั้นเหรอครับ ผมค่อนข้างไม่พอใจกับพวกอุปกรณ์เชิงวิจัยน่ะครับ เพราะเขาออกแบบโดนไม่ดูความต้องการของลูกค้าเลย …แต่มันก็แล้วแต่คนนั่นละครับ ผมกับคุณหนิงคงเป็นคนคนละประเภทกันละครับ อะ ฮะๆๆ!”
“ฮึก…อือ”
หนิงจะร้องไห้แล้ว โดนพูดอัดหน้าว่าคนละประเภทกันเนี่ย! ถึงจะไม่ตั้งใจก็เหอะแต่ใจร้ายชะมัดไอ้บ้า!
“แต่บริษัทนี้ก็ดีนะครับ ของที่ออกใหม่มีแนวโน้มจะดีขึ้นตลอดเลย ..อย่างของที่ใช้ดูพวกองค์ประกอบในเวทมนต์แต่ละประเภทน่ะครับ ตอนนี้ก็มีฟังชั่นค์ย่อกับขยายแล้ว”
“ของชิ้นนั้น ชิ้นโปรดฉันเลย ..โดยเฉพาะไอ้…ไอ้นั่นน่ะ ไอ้ที่ใช้หมุนได้”
“ที่สวิงสินะครับ …ไม่มีนะครับ” ยูจิถูคางแหงนหน้าขึ้นฟ้า เหมือนกำลังนึกอยู่ “ก็โดนเรียกร้องอยู่หรอก แต่ยังไม่เพิ่มที่สวิงนะครับ ..หรือผมตกข่าวนี่ คุณหนิงอธิบายให้ระเอียดหน่อยได้มั้ยครับ?”
——นั่นไงเล่า! อย่าเสนอความเห็นมั่วๆสิยัยบ๊องเอ๊ย!
หนิงหน้าซีดเผือก ส่งสายตามาทางผมเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ—-เสียใจด้วยวะ ตูก็ไม่รู้ห่าอะไรเหมือนคุณเธอแหละ!
แต่จะปล่อยไว้ก็ไม่ใช่เรื่อง เดี่ยวก็โดนงอนเอา ถ้าหนิงเกิดงอนหนักจนถึงขั้นลงมือต่อย ผมไม่ตายก็พิการเถอะครับ แล้วถึงผมจะสู้กลับก็ไม่มั่นใจร้อยทั้งร้อยด้วยว่าจะไหวมั้ย จริงอยู่ที่โอกาสชนะค่อนข้างเยอะ แต่ไอ้ผมพลาดท่าหน่อยเดียวถึงตายเลยนะ …ฉะนั้นตัวช่วย ต้อรีบงหาตัวช่วย
ยูนาเธอพอรู้บ้างมั้ย!?
‘โอะโฮะๆ ยายยังไม่รู้เลยจ๊ะ ว่าเดี่ยวนี้มีอุปกรณ์เวทย์ด้วย ปกติใช้เซเนียเป็นสื่อเวทย์น่ะจ๊ะ’ ยูนาเก็กเสียงเหมือนคนแก่ ไม่สิ หล่อนเป็นคนแก่ขนานแท้เลยตะหาก
นั่นสิเนอะ! คุณยาย2000ปีจะไปรู้ได้ไงละ วันๆอยู่แต่ในป่าด้วย พับผ่า คนรุ่นเดียวกันยังไม่รู้เลย โทษทีละกันยูนา—ไม่รู้ทำไม พอคิดอย่างนั้นยูนาก็ไม่พูดตอบผมกลับเลย …ไว้ขอโทษทีหลังละกัน
ผมหันซ้ายหัวขวา เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง …คิดออกแล้ว!
“เห้ย ยูจิ จะว่าไปบริษัท zomAME ออกของใหม่ยังอะ?”
“…มีด้วยเหรอครับ?”
วิธีง่ายๆก็เปลี่ยนตัวเองเป็นเหยื่อไงละ ฮะๆ
สุดท้ายผมก็แถแทนหนิงจนยูจิลืมเรื่องของหนิงสนิท ก่อนผมจะตบท้ายว่าตัวเองอวดภูมิผิดๆ ..แล้วทำไมไอ้ผมต้องโดนยัยคลั่งรักนั่นหัวเราะด้วยฟร้ะ คนอุตส่าห์ช่วย ขอบคุณสักคำก็ไม่มี
“ขอบคุณ”
หนิงขอบคุณผมทันควันกับที่คิดเลย …อะ
“โอ้”
ไม่ถูกเลยแฮะ กับตัวหนิงที่ขอบคุณง่ายๆแบบนี้—-ปกติ ในนิยายหล่อนไม่เคยขอบคุณใครเลยนอกจากยูจิ ..แต่ก็นะ ดีแล้วละ แบบนี้นั่นแหละที่ผมอยากจะเห็น
ผมยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับทั้งสองที่เลือกของกันสนุกสนาน
“…สนุกใหญ่เลยนะ” ผมยิ้มพลางพึมพำกับตัวเองเช่นนั้น …
หลังจากนั้นยูจิก็เดินดูของกับยูจิและหนิงอย่างสนุกสนาน ต้องคอยช่วยหนิงที่อวดภูมิปลอมๆตลอด
สักพักนึงยูจิก็หยิบของบางอย่างให้ดู ..มันเป็นถุงมือสีดำราวตัดฟ้าดูไฮเทค
“..นี่มัน”
“เห็นคุณเรเซอร์บอกว่าถนัดต่อยเตะ แล้วใช้ดาบได้ถึงตั้งขั้นกลาง ผมเลยแนะนำถุงมือปรับสภาพครับ”
ถุงมือปรับสภาพ?
“มันสามารถปรับสภาพได้น่ะครับ ในระยะ 1 เมตร-2เมตรได้ครับ จะเปลี่ยนเป็นรูปทรงใดก็ได้ตามที่คิด เป็นคทา ดาบ หอก เชือก หรือสนับมือ หรือถุงมือเปล่าๆเสริมกายภาพยังได้เลยครับ เหมือนจะมีแบตอยู่ด้วย” ยูจิลองสวมใส่ แล้วใช้ให้ผมดู ..ถุงมือพลันเปลี่ยนร่างเป็นดาบ “ตัวอาวุธเองก็ค่อนข้างเบา พังยากด้วยเพราะใช้วัสดุแพงๆเข้าว่า ซื้อไปใช้ได้คุ้มเลยละครับ”
ยูจิเปลี่ยนมันกลับเป็นทรงถุงมือดั่งเดิม แล้วยื่นให้ผม
“ลองดูได้นะครับ”
ว่าแล้วผมก็หยิบแล้วใช้ดูบ้าง—–สนับมือ ผมต่อยลมจนลมอัดหน้ายูจิหลายที จากนั้นเปลี่ยนเป็นดาบลองฟาดๆดู จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหลายๆอย่าง …
ผมค่อยๆคลี่ยิ้มออก
“ของแม่งโคตรดีเลย!”
นี่แหละอุปกรณ์ในฝันของผม ONE FOR ALL!! อุปกรณ์ที่เป็นทั้งหมดเพื่อหนึ่งเดียวได้นี่โคตรสะดวกเลย ในการต่อสู้จริงไม่มีเวลามาเปลี่ยนอุปกรณ์ด้วย ประหยัดพื้นที่สุดๆด้วยเพราะเป็นถุงมือ สามารถตบตาคู่ต่อสู้ได้ด้วย ..สำหรับผมที่ใช้เป็นทั้งหมด และดาบ หรือกระทั่งคทาเวทย์ นี่มันอาวุธในฝันชัดๆ
มันสามารถทำให้ผมแสดงประสิทธิภาพได้เต็มที่
“ชะ ชิ้นนี้แหละยูจิ ชิ้นนี้นี่แหละอาวุธในฝันของฉัน!”
“ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจครับ ..แต่ข้อเสียมีบ้าง คือมันเป็นแบบชาร์จแบตเอาครับ ใช้พลังเวทย์พอตัวเลย แถมแบตเต็มยังใช้งานได้ราวๆ 20 นาทีเท่านั้นเอง..ยังเรื่องราคาที่ผมหูฉีกอีก”
“สู้จริงแค่ 4-5 นาทีก็จบแล้ว มานาฉันเองก็เหลือๆด้วย แล้วอย่างที่รู้ด้วย บ้านฉันรวยจะตาย!”
“..นะ นั่นสินะครับ ยินดีด้วยนะครับที่ได้อาวุธในฝันแล้ว”
“โอ้! ขอบใจนายมาก ช่วงนี้กังวลอยู่เลยว่าจะพัฒนาตัวเองยังไงดี ก่อนอื่นก็เริ่มจากฝึกคู่หู(อาวุธ)นี่ให้คล่องดีกว่า”
‘คู่หูของมาสเตอร์คือฉันคะ’
…พูดอะไรน่ะคู่หูหมายเลข 2
‘อย่าหวังว่าจะได้ใช้พลังของฉันอีกเลยค่ะ’
ซะ ซวยละพูดเล่นเองนะ!—-
“ยังไงก็เถอะ เห็นแบบนี้ผมดีใจมากๆครับ” ยูจิยิ้มร่า “ ..เห็นคนถูกใจอุปกรณ์ที่ผมแนะนำแบบนี้ มันยิ่งทำให้มีแรงใจพัฒนาตัวเองขึ้นมากเลยครับ”
“นายเองก็ซื้อพวกอาวุธมาใช้บ้างสิ ในอนาคตได้ใช้อีกเยอะเลยนะ”
ยูจิได้ยินจึงหัวเราะพึมพำ
“ไม่ซื้อหรอกครับ ความฝันผมคือนักวิจัยเพื่อพัฒนาอุปกรณ์เวทย์นะครับ” ยูจิเกาแก้มเบาหวิว “ไม่เห็นต้องไปสู้กับใครเลยครับ ฮะๆๆ ไอ้ผมก็ไม่อยากสู้กับใครอยู่แล้วด้วย การต่อสู้มันน่ากลัวจะตาย”
ยูจิไม่ได้ปารถนาในการต่อสู้ ..
..นั่นสินะ ในเรื่องก็บอกอยู่หรอกว่ายูจิฝันอยากเป็นนักวิจัยอุปกรณ์เวทย์ แต่..สุดท้ายเขาได้กลายเป็นวีรบุรุษเพื่อกอบกู้โลกแทน จนถึงตอนจบก็ต้องทำงานสู้เพื่อโลกต่อ—-ฝันไม่เป็นจริง
เพราะพรสวรรค์ที่เหมาะกับสายต่อสู้มากกว่า …แต่สุดท้ายยูจิยังต้องสู้อยู่ดี มันไม่มีทางเลือก …แบบนั้นมัน …ผมกำลังผลักดันให้ยูจิทิ้งความฝันตัวเองอยู่ไม่ใช่หรือไง?
…นี่เราทำอะไรอยู่? กำลังให้เด็กที่มีฝันคนหนึ่งไปเจอกับอะไร? จอมมาร? ศัตรู? ชะตา? …
ในห้วงเวลานั้นผมบังเอิญไปเห็นหน้าหนิงเข้า ..กำเดาไหลอยู่
“ยูจิตอนยิ้ม..สุดยอด” หล่อนชูนิ้วโป้งให้ผม
“…เออ”
ผมตอบกลับอย่างหน่ายใจ เรื่องเมื่อกี้พลันหายไปจากหัว—
เมื่อสู้ของกันเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็ไปหาอะไรกิน ก่อนจะแยกย้ายกัน
“กลับบ้านดีๆละพวกเอ็ง! เดี่ยวฉันมีธุระที่อื่นอีกหน่อย โดยเฉพาะเรย์ ระวังปากไว้นะ”
“รู้แล้วน่า!” เรย์ตอบด้วยรอยยิ้ม
“เจอกันงานเต้นรำสานสัมพันธ์นะครับ” ยูจิโบกมือลา
เปิดเรียนอีกทีงานเต้นรำสานสัมพันธ์ก็จะเริ่มเลย เขาจัดกันวันจันทร์อะนะ
“เจอกันนะ เรเซอร์” เบลลามีว่าเช่นนั้น
“แกนั่นแหละที่ต้องระวังปาก” หนิงเตือนผม
“…เจอกัน” โซเฟียพึมพำเบาหวิว
สุดท้ายเคียวยะเอาแต่กอดอกเก็กเข้ม ไม่โพ่งอะไรเลย
“จะกลับเลยมั้ยเคียวยะ?”
“…ไม่ละ ว่าจะนั่งเล่นอีกหน่อย”
“เหรอ นั่นเจอกันละ”
“อ่า เดินดีๆระวังปากด้วย”
เคียวยะยังเตือนเช่นเลย …หรือว่าไอ้ผมต้องระวังปากจริงๆนะ?
“ว่าก็ว่าเถอะ นายก็ด้วยแหละ”
เคียวยะนิ่งไปเชี่ยววิก่อนหัวเราะเบาหวิว
“คงจะอย่างนั้นสินะ” เคียวยะจ้องหน้าผม “ฮะๆ ฉันต้องระวังปากตัวเองจริงๆด้วยละนะ เดี่ยวมีปัญหากับใครเข้า”
เดี่ยวมีปัญหากับใครเข้าสินะ ไม่ใช่จะใครหน้าไหนก็มาเลย…หายากแฮะ โดยเฉพาะเคียวยะตอนหัวเราะเนี่ย พอเห็นแบบนี้ทำให้ยืนยันได้เลยว่าเจ้านี่หน้าตาดีสุดๆ เหมาะกับยิ้มแบบคนดีสุดๆ
“ถ้านายเป็นคนดีคงตกสาวได้เยอะเลย รู้ตัวมั้ย”
“หนวกหูเฟ้ย อย่างเอ็งไม่ต้องมาพูดเลย” เคียวยะเก็กกอดอกดั่งเดิม นั่งอยู่ตรงน้ำพุ
ผมโบกมือให้แล้วไปธุระของตัวเองต่อ ..บาร์ที่ ‘ฮาเก้น(คนที่ดวลกับเรเซอร์ตอนสอบเข้า)’ ทำงานอยู่น่ะนะ ว่าจะไปกินไก่ทอดที่นั่นเล่นหน่อย วันหยุดทั้งที
*******
เคียวยะนั่งอยู่หน้าน้ำพลุ นั่งหลับตาอย่างนิ่งสงบ ก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่าคนที่รออยู่มาถึงแล้ว … ‘ไอริส’ นั่นเอง หัวหน้าคณะกรรมการนักเรียน ที่พักนี้คุยกับเคียวยะบ่อยๆ
หล่อนโผล่มาด้วยชุดไปรเวทตามแฟชั่น กระโปรงเกี่ยวไห่ยาว แล้วก็เสื้อสีโทนไข่นุ่มฟู ผมเองก็จัดทรงมาอย่างดีดูสวย ..ชุดเหมือนจะเน้นหน้าอกด้วย คงรู้จุดเด่นตัวเองดีเลยตั้งใจแต่งตัวเช่นนี้มา
ไอริสในตอนนี้ดูสวยยากจะหาใครเทียบ
“ดูมีความสุขดีนะคะ”
“ดีแล้วนี่”
เคียวยะกอดอกมองหน้าไอริสอย่างเย่อหยิ่ง ทั้งๆที่อีกฝ่ายเป็นว่าที่ขุนนางชั้นสูง แล้วถึงไอริสจะสวยขนาดนั้นเขาก็ไม่คิดอ่อนข้อเลย ไม่ใช่แค่กับไอริส ..บางทีกับผู้หญิงทุกคน คงยากจะหาใครที่ทำให้เคียวยะใจเต้นได้ แม้แต่มหาภูต ‘เซเนีย’ ก็อาจไม่ไหว
“แล้วที่เรียกมาเนี่ย มีธุระอะไร?”
“จะเอาพวกชุดกับตราของคณะกรรมการนักเรียนมาให้น่ะคะ ในวันงานต้องใส่ด้วย”
“ให้ที่หอก็ได้ไม่ใช่รึไง”
ไอริมจับศรีษะตัวเองด้วยท่าทางแอ๊บเหมือนเพลีย
“เป็นคนขี้สงสัยไม่พอยังขี้จี้จุดอีก รู้สึกว่าวันนี้ก็โดนเพื่อนกระซากคอเสื้อจนเป็นรอยเลยนี่คะ”
เคียวยะหัวเราะเบาหวิว
“หัวหน้าคณะกรรมการนักเรียนที่เป็นสตอกเกอร์เนี่ยหายากแฮะ” เคียวยะแสยะยิ้ม “ทำตัวน่าหยะแหยงชะมัด แกนี่”
“ขอบคุณค่ะ” ไอริสยังคงยิ้มให้ “สนใจจะเที่ยวเล่นกับฉันสักหน่อยมั้ยละคะ”
อยากทำความคุ้นชินกับเคียวยะ นั่นคือเหตุผล
“ขอปฎิเสธละกัน ถ้าหมดธุระแล้วฉันก็ขอกลับหอเหมือนกัน”
ไอริสยื่นของทั้งหมดให้ ก่อนโพ่งขึ้น
“อย่างน้อยๆขอเดินกลับด้วยได้หรือเปล่าคะ?”
(ตื้อชะมัดยัยนี่ ผู้หญิงประเภทนี้ไม่ชอบเลยแฮะ) เคียวยะถอนหายใจ
“ยังไงก็ได้ แต่บอกไว้ก่อน ฉันไม่คิดจะสนิทชิดเชื้อกับแกหรอกนะ อย่าหวังอะไรเชิงมิตรภาพเลย ยากวะบอกเลย”
“แค่ยอมเดินกลับด้วยก็เพียงพอแล้วค่ะ”
(ไม่ต้องใช้ดวงตามหาปราชญ์ก็เดาได้ ยัยนี่คิดจะยื่นขอเสนอเอาแต่ใจก่อนจะตบท้ายขอข้อเสนอง่อยๆง่ายๆสินะ จริงๆแค่นั้นก็เข้าทางหล่อนแล้ว …ว่าแล้วเชียว ไม่ชอบเอาซะเลย ผู้หญิงประเภทนี้เนี่ย)
“ตามนั้น”
ในขณะที่เคียวยะลุกขึ้นจะเดินกลับพร้อมหนิงนั้นเอง ..ดันมีคนคุ้นหน้าเข้ามาทัก
“นั่น เคียวยะเหรอจ๊ะ?”
เสียงของผู้ใหญ่ดังขึ้น เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นสาวสวยดูมีอายุ น่าจะสัก 40 ปีได้แต่ยังสวยอย่างกับเด็กวัยรุ่นอยู่
เธอมีผมสีน้ำตาลสั้นถึงบ่า แววตาดูใจดี ถ้าให้บรรยายก็เป็นสาวแม่บ้านผู้ใจดี หนุ่มหลายคนคงชอบกัน ข้างๆนั้นเองก็มีเด็กสาวหน้าตาคล้ายกัน ทำให้อนุมานได้ว่าเป็นแม่-ลูกกัน
“เจ้าถ่อยนั่นน่ะเหรอ?”
เด็กสาวมีเส้นผมเฉกเช่นเดียวกับสาวแม่บ้าน เพียงแต่เธอไว้ทรงโพนี่เทล สวมชุดตามแฟชั่น กระโปรงสีแดงยาวถึงหัวเข่า กับเสื้อนุ่มฟูลายน่ารัก ถุงเท้าเองก็เป็นลายคุณหมีน่ารัก เป็นเด็กสาวที่รู้ได้ทันทีว่าบ้านมีฐานะระดับหนึ่ง
เธอเมื่อเห็นเคียวยะก็มองเชิงๆเหยียด …
“หวัดดี…ไม่เจอกันนานนะ ..คุณแม่ แล้วก็..ริริ” เคียวยะผงกหัวเบาๆ
ทั้งสองคือแม่เลี้ยง และลูกคนละแม่กับเคียวยะ ..คนที่เคียวยะเกลียดเกือบสุดในโลก การมาเจอกับทั้งสองสร้างความลำบากใจให้ไม่น้อย ..ซึ่งหาได้ยากที่สภาพของเคียวยะดูเปราะบางได้ขนาดนี้
กลับกันสองแม่ลูกได้แต่ตะลึง เพราะเคียวยะไม่เคยเรียกชื่อใคร หรือเรียกตัวเองว่า ‘แม่’ เลย คนแม่ถึงกับกุมปากตัวเองด้วยสองมือ
ไอริสมองเคียวยะสลับระหว่างสองแม่ลูก ก่อนเผยยิ้มมีเลศนัย
“ยินดีที่ได้รู้จักคะทั้งสอง หนูชื่อ ‘ไอริส’ นะ”
“เดี่ยวเถอะแก”
ไอริสไม่ฟังเคียวยะ พลางเดินไปหาทั้งสองก่อนโค้งศรีษะให้
“..เอ่อ หนูคือ” แม่เลี้ยงครุ่นคิด ก่อนจะสะดุ้งโหยง “ฟะ แฟนสาวเหรอ!?”
ไอริสเล่ห์มองเคียวยะ—(ยัยผู้หญิงนั่น!) เคียวยะขบฟันกรามตัวเองอย่างเจ็บใจ อยู่ต่อหน้าสองแม่ลูกทำให้เคียวยะไม่กล้าพูดอะไรออกมาเลย
น้องสาวของเคียวยะ ‘ริริ’ สะดุ้งตามแม่
“นี่แก เดี่ยวนี้เลวถึงขนาดล่อลวงผู้หญิงเลยเหรอ!” ริริหันขวับมาทางเคียวยะ “แกนี่มันเลวจริงๆ!”
ริริด่วนตัดสินใจว่าเคียวยะล่อลวงผู้หญิง ..หากประเมินจากนิสัยส่วนตัวที่เจอกันมาตลอดหลายปี การจะคิดเช่นนั้นก็ไม่ผิดทีเดียว
“มะ ไม่ใช่ เข้าใจผิดแล้ว ยัยนี่ก็แค่หัวหน้าคณะกรรมการนักเรียนในโรงเรียน” เคียวยะเขม็งใส่ไอริส “รีบอธิบายเดี่ยวนี้เลย”
“กลับละค่ะ ดูเหมือนมีธุระกับครอบครัว.. ฉันไม่อยากอยู่เป็นกาฝากหรอก” ไอริสยิ้มเหยาะเคียวยะ “สนิทกับครอบครัวเข้าไว้นะคะ เคียวยะ”
(—กวนประสาทจริงๆ!) ถึงตอนนี้จะเดือดสุดๆแต่ไม่สามารถทำอะไรไอริสได้
สุดท้ายจึงได้แต่รอไอริสไปพ้นหู …
“…คือ” แม่เลี้ยงเคียวยะพึมพำเบาๆ “สะดวกคุยมั้ยจ๊ะ”
“…อะ..เออ เดี่ยวต้องอธิบายให้ฟังด้วยละนะ”
“แบบนี้นี่เอง แค่รุ่นพี่ที่โรงเรียนเหรอ ..แต่ดูสนิทกันดีนะจ๊ะ”
“ไม่มีอะไรในกอไผ่เท่านั้น มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจล้วนๆ” เคียวยะแก้มแดงนิดๆ “ระ รู้ไว้ซะละ..แม่”
ฝั่งคนที่ถูกเรียกแม่ถึงกับหน้าแดงอย่างปลาบปลื้ม
“ในที่สุดเคียวยะก็เรียนแม่ว่า ‘แม่’ แล้ว นึกว่าชีวิตนี้จะไม่ได้ยินแล้วซะอีก ..ตลอดมาห่างเหินกันตั้งมากนี่นะ”
“..ขอโทษด้วย”
ถึงจะคุยกับครอบครัวแต่เคียวยะยังเลิกนิสัยกอดอกไม่ได้
“แต่เป็นถึงคณะกรรมการนักเรียนได้เนี่ย สุดยอดเลยนะจ๊ะ”
(..ไม่ได้อยากเป็นหรอกคณะกรรมการนักเรียนอะไรนั่นน่ะ)
“–หึ คงกะใช้เส้นสายรังแกชาวบ้านละมั้ง” ริริกอดอกเชิดหน้า “คนอย่างหมอนี่แค่อยากรังแกคนอื่นเท่านั้นแหละ”
กับแม่ว่าไปอย่าง แต่กับน้องสาวที่เกลียดเคียวยะเข้าไส้ยากจะคุยด้วย
“เดี่ยวเถอะริริ ขอโทษพี่เคียวยะเดี่ยวนี้เลย”
“ทำไมต้องขอโทษพี่พรรค์นี้ด้วยละ”
(พี่เหรอ ..) เคียวยะถอนหายใจ
“ยังไม่อธิบายริริอีกเหรอ”
“..เรื่องนั้นยังน่ะจ๊ะ ก็เคียวยะเป็นพี่ชายจริงๆนี่? ไม่พอใจก็ขอโทษด้วยนะ”
(พี่ชายจริงๆ …ทั้งๆที่ฉันคนละสายเลือดทั้งดุ้นเนี่ยนะ? น่าตลกจริง เป็นผู้หญิงที่ทั้งโลกสวยและน่าขันเหมือนเคยเลย ..แม่คนนี้..คนแบบนี้นี่แหละ ที่ไม่ชอบเอาซะเลย..ไม่ชอบเลยสักนิด …ลูกชู้ของแท้แบบฉัน ทำไมต้องมาใส่ใจลูกชู้แบบฉันด้วย) เคียวยะผงกหัวลง ไม่อยากให้สองคนนี้เห็นสีหน้าตัวเองในตอนนี้
ความจริงแล้วที่เคียวยะถูกพ่อรังเกียจ เป็นเพราะเขาคือลูกชู้ …เขาเองก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วถึงเหตุผลสำคัญที่โดนพ่อเกลียดน่ะ …แต่แม่เลี้ยงคนนี้ก็ยังคงนับเขาเป็นลูก และนับเขาเป็นพี่ชายของลูกตัวเองด้วย
(ไอ้เดนมนุษย์คนนี้เนี่ยนะ …พิลึกเกินไปแล้ว)
“จะยังไงก็แล้วแต่เลย ..แม่”
ริริหัวซ้ายขวาไปมาระหว่างแม่กับเคียวยะ
“พูดเรื่องอะไรไม่เข้าใจอีกแล้ว”
‘เดี่ยวโตไปก็รู้เอง”
“ไม่ต้องมาสอนเลย คนอย่างแกน่ะ!”
เคียวยะกอดอกหลับตาฟังเสียงริริบ่นอย่างจำใจ
แม่มองทั้งสองอย่างอบอุ่น
“จะว่าไปที่โรงเรียนเป็นไงบ้างจ๊ะลูก มีเพื่อนบ้างมั้ย?”
“..จะว่ามีก็ได้” เคียวยะบ่นพึมพำ “คนหนึ่งเป็นพวกบ้าบิ่นที่ชอบช่วยชาวบ้านไม่ดูตัวเอง ปากดีด้วยมีสิทธิ์อายุไม่ถึงก่อนวัยอันควร ..อีกคนเป็นคนเงียบๆชอบพูดอะไรชวนเข้าใจผิดน่ะ เป็นไอ้พิลึกคู่กับไอ้คนก่อนหน้า”
เคียวยะนั่งไขว้ขาเงยหน้านึกหน้าทีละคน
“ต่อมาไอ้บ้ากล้ามจอมเกเรขี้หัวร้อน วันๆบ่นแต่ว่าจะเป็นคนดี คนดี จนแอบหงุดหงิด แล้วอยากด่าให้หูชาว่า ..ไอ้บ้าคนดีที่ไหนเขาใช้กำปั้นแก้ปัญหา ..อีกคนก็พวกคลั่งรัก สนแต่ตัวผู้ ตะกละด้วย ..พึ่งรู้จักเร็วๆนี้ก็จริงแต่สนิทกันไวมาก ..จริงๆก็ไม่ได้สนิทอะไรหรอก ไม่ได้สนิทมันทุกคนนั่นแหละ”
“มีแต่เพื่อนพิลึกๆแฮะ ริริพึมพำเบาหวิว
“แหม่ๆ ..เคียวยะเนี่ยปากไม่ตรงกับใจสินะ” แม่พูดอย่างดีใจ แหงละ ลูกตัวเองมีเพื่อนที่แนะนำอย่างสนุกปากได้เนี่ย จะไม่ให้ดีใจได้ไง
“…ปากไม่ตรงกับใจเหรอ?”
เคียวยะพึมพำขึ้น ก่อนหันไปมองแม่ตัวเอง (..ตลอดมา…กับคนๆนี้ฉัน ..ให้ตายสิ) ..เคียวยะหัวเราะออกมา
ริริที่เห็นเคียวยะหัวเราะถึงกับแก้มแดงก่ำ เพราะเคียวยะในตอนนี้ดูเปล่งประกายยิ่งกว่าสิ่งใด–
“นะ นี่นายหัวเราะได้ด้วยเหรอ?”
“แปลกใจใช่มั้ยละ? ฉันก็แปลกใจเหมือนกันแหละ บ้าเอ๊ย!” เคียวยะหัวเราะไม่หยุดพลางตบหัวเข่าตัวเองไปด้วย กลั้นขำไว้ไม่อยู่ ตัวเขาที่ไม่เคยสังเกตุถึงเรื่องเล็กเรื่องน้อยในชีวิตเลย ได้แต่หัวเราะไม่หยุด
(กับคนๆนี้ ทำไมฉันถึงไม่รู้เลยนะว่า…)
“ขอบคุณนะ” เคียวยะยิ้มออกมา—
(ว่าสักวันฉันอยากจะขอบคุณคนๆนี้ตลอด ..ขอบคุณที่เห็นฉันเป็นลูก..ขอบคุณที่ทำให้ฉันได้เข้าโรงเรียนแห่งนี้แล้วพบกับไอ้พวกบ้าพวกนั้น)
“..ระ เรื่องอะไรเหรอจ๊ะ”
“ตอนที่บอกว่าสอบชิงทุนจนได้สิทธิ์ ไม่ใช่แม่หรือไงที่ไปคุยกับไอ้แก่(่พ่อ)นั่นจนฉันได้รับอนุญาติน่ะ” เคียวยะเช็ดน้ำตาที่เล็ดจากการหัวเราะ “เลยขอบคุณไงเล่า ยัยแม่จอมเปิ่น”
“แม่จอมเปิ๋นเหรอจ๊ะ ฮะๆ ..เคียวยะคิดแบบนั้นกับแม่นี่เอง”
แม่ที่รักของเคียวยะถึงกับคอตกไป ริริก็ไม่ปฎิเสธที่ด้วยว่าแม่ตัวเองเป็นจอมเปิ่น
“ยังไงก็เถอะ อย่าที่บอกไป—-ขอบคุณนะ แม่”
เคียวยะยิ้มไม่หุบ สองแม่ลูกที่เห็นก็พลอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นก็คุยเรื่องเป็นอยู่ กับหลายๆเรื่องกับสองแม่ลูกเป็นชั่วโมง จนเคียวยะขอตัวกลับ
“ถ้านั้นขอตัวกลับก่อนละ”
ตอนนี้เคียวยะหุบยิ้มไปแล้ว สองคนอยากเห็นเคียวยะยิ้มอีกก็จริงแต่ยากจะหาได้ โดยเฉพาะริริ เธออยากเห็นเคียวยะยิ้มเป็นพิเศษ
เคียวยะโบกมือลาทั้งสอง แต่ก่อนจะเดินนั้น ริริได้โพ่งขึ้น—
“จะกลับมาบ้านมั้ย?”
“…”
“หมายถึง ..ถ้าว่างๆจะกลับมามั้ยน่ะ” ริริผงกหัวลง ไม่กล้าสบตาตรงๆ “พ่อเองก็ผิด ฉันกับแม่ต่อว่าเขาไปเรียบร้อยแล้ว แต่พี่ก็ผิดนะ”
…เคียวยะเดินไปหาริริ ก่อนจะวางมือบนหัวริริอย่างอ่อนโยน
“ไว้ฉันพร้อมกว่านี้ได้รึเปล่า?” เคียวยะยิ้มให้อีกคราว “ขอสัญญาเลย ถ้า..ฉันลบอคติตัวเองได้เมื่อไหร่ จะกลับไปกินข้าวกับเธอเหมือนแต่ก่อน”
“…อือ” ริริหน้าแดง รับคำเคียวยะอย่างว่าง่ายต่างกับตอนแรก
(ตั้งแต่เด็กยัยนี่ติดฉันมากนี่นะ ถึงฉันจะทำเมินตลอดแต่ก็ไม่เลิกเข้ามาทัก ..ตอนเริ่มโตเนี่ยละถึงเริ่มเหวี่ยงใส่ แต่ฉันผิดเองแหละ ไอ้แก่นั่นถึงจะทำอย่างกับฉันเป็นขยะ แต่กับลูกตัวเองรักยิ่งชีพเลย) เคียวยะลูบหัวริริ (…ตอนนั้นฉันน่าจะลูบหัวริริให้มากกว่านี้)
“ถ้านั้นก็ ริริ”
“..อือ?”
“..พอยัง”
เคียวยะพูดขณะที่ลูบหัวให้ริริอย่างเป็นจังหวะ จากการใช้ดวงตามหาปราชญ์วิเคราะห์จุดที่ริริชอบให้ลูบอย่างเชี่ยวชาญ …..ริริที่รู้สึกตัวว่าปล่อยให้เคียวยะทำอะไรไปหน้าพลันแดงก่ำ ก่อนปัดมือเคียวยะออก
ริริตอนนี้เขินจนตัวแทบจะระเบิดแล้ว แดงแจ๋เลย
“อะ อะ ไอ้พี่บ้า! อย่ามาฉวยโอกาสนะ!”
เคียวยะเห็นท่าทางเช่นนั้นก็พลันหัวเราะอีกคราว
“ทำหน้าซะฟินแท้ๆนะหล่อน …”
เคียวยะเริ่มเดิมต่อพลางโบกมือให้ทั้งสอง
“..เจอกันละ แม่ แล้วก็ ริริ”
ทั้งสองจ้องหลังเคียวยะ จนกระทั่งไปไกลลับสายตา …
“..พี่เปลี่ยนไปนะ แม่”
“อือ ..สงสัยจัง ว่าอะไรทำให้เด็กคนนั้นเปลี่ยน”
“กลับกันเถอะแม่”
“จ๊ะ??”
“หนูอยากกลับไปเล่าให้พ่อฟังแล้ว”
“..อ่อ จ๊ะ”
สองแม่ลูกเดินกลับบ้านกันอย่างอบอุ่น
ปล.ขอแต่งตั้งเคียวยะเป็นพระเอกแทนเรเซอร์ ไสหัวไปซะไอ้เรเซอร์ลูกเมียน้อย! (ล้อเล่นเด้อคับ)