เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 42: การมาเยือนของมหามังกรวายุ
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 42: การมาเยือนของมหามังกรวายุ
< < 34 > >
‘มังกรธาตุ’ ตัวตนผู้กำเนิดมาจากเจตจำนงศ์และวิญญาณของเทพแห่งมังกร ‘เทียแมท’ โดยที่พวกเขามังกรธาตุได้เกิดหลังจากจุดสิ้นสุดของยุคสมัยโบราณ หรือที่นิยมเรียกกันว่าจุดกำเนิดแห่งโลก ยุคที่เหล่าทวยเทพยังเป็นเจ้าโลกอยู่
หลักฐานก็คือมังกรธาตุได้กำเนิดและอาละวาด ในยุคที่เริ่มอารยธรรมอย่างยุคที่ยูนาได้กำเนิดขึ้นมา ในฐานะวีรสตรี
ตำนานของมังกรธาตุรวมๆแล้วค่อนข้างหลากหลาย และแตกต่างกันไม่ซ้ำแต่ละพื้นที่ แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ มังกรธาตุเกิดจากเศษเสี้ยววิญญาณของเทพมังกรที่หลังจากตายจากไป เหล่ามังกรธาตุก็ได้กำเนิดขึ้นในฐานะลูกๆของเทพมังกร และในฐานะของสมดุลโลกใหม่
สมดุลแห่ง ‘ธาตุ’ ตัวตนของมังกรธาตุเป็นสิ่งคล้ำจุงธรรมชาติทั่วโลกเอาไว้ เพราะฉะนั้นพวกเขาจะไม่มีทางตายโดยเด็ดขาด ต่อให้พลังเหลือเพียง 1/10 แต่แก่นแท้ของมังกรธาตุก็หาใช่พลังแต่เป็นตัวตน
และด้วยความที่เป็นถึงหนึ่งในสมดุลของโลก พวกเขามังกรธาตุก็ย่อมแข็งแกร่งตามไปด้วย—
—กล่าวได้ว่ามังกรธาตุคือตัวตนที่แข็งแกร่งทัดเทียมกับเทพเลยละ ผู้ที่โค่นมังกรธาตุได้ในโลกใบนี้มีเพียงหยิบมือเท่านั้น
เซียนท่านหนึ่งยังเคยกล่าวไว้ว่า ‘ถ้าหากมังกรธาตุได้พลังกลับมาในยุคสมัยปัจจุบัน พวกเขาเหล่านั้นจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่น่าเหลือเชื่อ เพราะในยุคแรกเริ่มมังกรธาตุก็แค่เด็กน้อยที่พึ่งลืมตาตื่นเท่านั้น … บางทีมังกรธาตุอาจจะทัดเทียมกับจอมมารก็ได้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วต่อให้เป็นวีรสตรียูนาก็อาจไม่ใช่คู่มือของมังกรธาตุ’
หรือปากของยูนาเองก็เคยว่าไว้ว่าถ้าให้สู้แบบตรงๆ ไม่อ้อมค้อมอะไร เธอก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะได้ เพราะตัดมิติของเธอเองก็สามารถถูกมังกรธาตุเผาหรือเป่าทิ้งได้เช่นกัน …
นั่นแหละคือหลักฐานความแกร่งของมังกรธาตุ แค่เรื่องราวในอดีตที่มังกรธาตุสามารถเป็นคู่มือให้ยูนาได้ ก็มากพอที่จะอวดเบ่งถึงพลังแล้วละ มายันยุคสมัยปัจจุบันมังกรธาตุก็กลายเป็นตัวตนอาวุโสเต็มตัว มีทั้งพลังและประสบการณ์
ถ้าให้มังกรธาตุร่างสมบูรณ์มารีแมตอีกครั้ง ยูนาอาจจะแพ้ก็ได้
————-กระนั้นแล้ว สุดยอดถึงเพียงนี้แท้ๆแต่ทำไมมังกรธาตุตัวจริงเสียงจริงถึงได้น่าอนาถขนาดนี้กัน …
หลังจากที่หวนนึกถึงตำนานจบไปผมก็ได้เผชิญกับความจริงอันน่าเศร้า ใช่แล้ว มังกรธาตุตัวจริงที่อยู่ตรงหน้าผมคือ ‘มหามังกรวายุ แซร์อิซ’
ตัวตนในตำนานที่ในปัจจุบันอาจจะเทียบเท่ากับจอมมารไงละ ชั่งน่าเศร้าที่เขาไม่แม้แต่จะใส่กางเกงในด้วยซ้ำ เขาดันเผยให้เห็นของลับแบบไม่อายสายตาผมเลย …คิดจะอวดเบ่งกันเรอะ ไอ้มังกรนี่
ผมเกิดฉุนเล็กน้อยแล้ว แต่ก็ใจเย็นลงได้เพราะพี่เลี้ยงของแซร์อิซ
“ขอโทษนะคะท่านเรเซอร์ …ขอโทษที่สร้างความเดือดร้อนให้นะคะ”
เธอคนนั้นชื่อ ‘อลิซ’ เป็นเด็กสาวอายุพอกันกับผมที่รูปงามเอาเรื่อง เธอมีเลือนผมสีน้ำตาลยาว และดวงตาสีฟ้าอ่อนๆ ร่างเล็กหากเทียบกับแซร์อิซ สวมเสื้อแบบนักผจญภัย ประมาณว่านักปีนเขาได้
ดูเตรียมพร้อมกับทุกสถานการณ์ดีแหะคนๆนี้ แล้วก็..ดูน่าสงสารเลย
หากให้บรรยายถึงตัวอลิซแบบสั้นๆง่ายๆก็คือ ‘ผู้หญิงที่น้ำตาซึมตลอดเวลา’
“ขอโทษที่ไอ้วิตถารนี่สร้างความเดือดร้อนให้ด้วยนะคะ”
ใจกล้าทีเดียวที่ว่ามังกรธาตุแบบตรงๆเนี่ย ไม่กลัวโดนเป่าทิ้งเลยรึไงนะ?
“ฮ่าๆๆๆๆๆ แรงอีกสิจ๊ะ!”
“…อย่างที่เห็นคะ ขอโทษแทนไอ้วิตถารนี่ด้วยนะคะ” อลิซกล่าวทั้งน้ำตา
“…อ่า”
ผมเห็นใจอลิซสุดๆเลยละบ่องตง
‘ไม่คิดเลยคะ ว่าแซร์อิซจะผิดเพี้ยนได้ขนาดนี้ง
เพราะหล่อนปลูกฝังอะไรแปลกๆให้นั่นแหละ …ชั่งเถอะ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางจ้องหน้าแซร์อิซ
“ถึงทางโรงเรียนจะให้ฉันมารับแขกโดยที่ไม่ต้องเข้าเรียนวันนี้ก็ได้ แต่ว่ากันตามตรง …”
ตูไม่ได้อยากเกี่ยวข้องกับมังกรนี่สักหน่อย
ไม่รู้จะอธิบายอะไรเหมือนกัน แต่แซร์อิซมันดูฉลาด ใช่ ฉลาด ต่างกับฟัฟนิร์ที่ค่อนข้างบื้อ แซร์อิซเหมือนจะรู้อะไรหลายๆอย่างดี เป็นตัวที่เลี่ยงได้ก็อยากเลี่ยง ไอ้ตัวตนที่คล้ายกับ ‘เอเธอร์’ น่ะ หากไม่ใช่มิตรก็ไม่อยากจะเป็นศัตรูด้วย
ผมกลืนน้ำลายตัวเอง ก่อนจะเริ่มสนทนากับตัวตนที่อันตราย
“เป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะขาดเรียนอะนะ เพราะฉะนั้นอยากจะเคลียร์ธุระให้จบในไม่ถึงชั่วโมงน่ะ ไม่มีปัญหานะ แซร์อิซแล้วก็อลิซ”
ผมพยายามจะวางมาดให้ตัวเอง เผื่อในกรณีที่ความเห็นไม่ลงลอยกัน จะได้คุมสถานการณ์ได้บ้าง
แซร์อิซกับอลิซพยักหน้ารับ
“จะพูดตรงๆเลยละนะมนุษย์ เจ้าชื่อเรเวอร์สินะ?”
“ใช่แล้ว”
เป้าหมายคือผมสินะ ไม่รู้หรอกว่ามีธุระอะไรกับผมแต่คงจะสำคัญน่าดู
“ฟัฟนิร์ฝากสวัดดีน่ะ”
“…อ่า..หะ?”
แค่นี้เนี่ยนะ?
แซร์อิซพยักหน้าให้
“..อ่อ ลืมเรื่องสำคัญไปเลย”
‘ตบสักป้าบดีมั้ยคะ?’
เห็นด้วย
ผมกับยูนาส่งจิตสังหารใส่แซร์อิซอย่างไม่ปิดบัง แต่เหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่รู้สึกตัวเลย ต่างกับอลิซที่สั่นเป็นเจ้าเข้า
“เจ้ามนุษย์ครอบครอง คุณยูนาอยู่สินะ”
เห็นบอกว่าฟัฟนิร์ฝากสวัดดี ก่อนหน้านั้นคงจะเจอกันแล้วคุยกันหน่อยแหละ
..จะว่าไปแม้แต่แซร์อิซยังเติม ‘คุณ’ ตอนเรียกยูนาเลยแหะ หล่อนเนี่ยน่ากลัวชะมัด
‘ชมกันอย่างนี้ก็เขินสิค่ะ’
ไม่ได้ชมวุ้ย
ผมหันไปคุยกับแซร์อิซต่อ
“อ่า ก็ใช่อยู่หรอก”
“นั้นรึ ถ้านั้นในฐานะมังกรธาตุข้าจะเตือนอะไรสักอย่างละกัน ..ในฐานะสหายที่สักวันคงต้องร่วมรบกัน”
แซร์อิซเผยรอยยิ้มที่ดูน่ากลัวออกมา สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความจริงจังขัดกับรอยยิ้ม
นั่นทำให้ผมเผลอกลืนน้ำลายไปโดยไม่รู้ตัว
“จุดสิ้นสุดของยุคสมัยใกล้มาถึงแล้ว เกมกระดานของใครสักคนกำลังดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย เจ้าเองก็จงเลือกซะว่าจะเป็นตัวหมากให้ใคร”
…แบบนี้นี่เอง
จุดสิ้นสุดของยุคสมัย——-การกำเนิดของจอมมารดิลุค และการกู้โลกจากความโกลาหลของยูจิ มันใกล้มาถึงแล้วนี่เอง
พอจะเดาได้อยู่หรอก แต่
“เกมกระดานที่ว่านี่คือ?”
ถึงหลายเรื่องจะพอเดาได้บ้าง แต่ไอ้เกมกระดานของใครสักคนไม่ยักจะรู้เลย ในนิยายไม่เห็นโผล่มา
“ไม่รู้หรอก เพราะข้าเองก็เป็นได้เพียงตัวหมากที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่”
“มังกรธาตุน่ะเหรอตัวหมาก”
..เป็นเกมที่อวดดีเหลือเกิน
พลันใดนั้นแซร์อิซก็หัวเราะร่าออกมา เขากอดอกและโพ่งขึ้นอย่างอาจหาญ
“แต่ก็เป็นเกมที่น่าสนใจดีละนะ เพราะเกมจอมอวดดีนี่ทำให้ข้ามีอะไรทำบ้าง——อย่างการลากหัวไอ้ผู้เล่นเกมนี้จุ๋มพื้นไงละ วะฮ่าๆๆๆๆๆ”
ขนาดหมากในเกมยังอวดดีเลยแหะ แต่ก็สมฐานะมังกรธาตุแล้วละ ถ้าหากไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนี้และแกร่งถึงขนาดที่มั่นใจตัวเองได้
ถ้าทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น ในอดีตมันคงไม่ใช่ลาสบอสที่นำไปสู่ยุคสมัยต่อไปได้หรอก
“ถ้านั้นฉังเองก็จะพยายามเหมือนกัน เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นตัวหมาก ..ดีมั้ย ยูนา?”
‘แน่นอนค่ะ ไม่มีชะตากรรมใดที่ลิขิตมาสเตอร์ได้ และขืนมีฉันก็จะสะบั้นมันให้ขาดเอง’
อย่างที่ยูนาว่า พวกผมเองก็ไม่ยอมหรอกหากว่าเรื่องที่แซร์อิซพูดเป็นความจริง
“สมกับที่ฟัฟนิร์ให้การยอมรับ คุณยูนาเองก็มีตาเหมือนกันแหะ ฮะๆๆ!”
‘จริงๆฉันก็ไม่อยากให้หมอนี่ชมหรอก แต่จะรับเล็กรับหน่อยก็ได้’
แหม่ๆ นานๆทีโดนชมก็ดีเนอะ
‘จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ’
ผมยิ้มให้แซร์อิซและเริ่มมองเขาใหม่เล็กน้อย
ดูดีๆหมอนี่ก็ฉลาดและคุยรู้เรื่องอยู่ ถึงจะเป็นไอบ้าขี้โชว์ก็เถอะ
“แซร์อิซ แล้วนายอยากจะลองคุยกับยูนาดูมั้ย?”
“-ห ให้คุยได้ด้วยหรือคะ!?”
อลิซดันเป็นฝ่ายโพ่งขึ้นด้วยความตื่นเต้นแทน แววตาของเธอระยิบระยับประหนึ่งดาวเลย
แฟนคลับรึนี่?
“อ่า ถ้าอยากคุยก็ให้คุยได้หรอก แต่คงมีแค่แซร์อิซที่คุยด้วยรู้เรื่องนั่นแหละ”
ด้วยเหตุผลหลายๆประการ ง่ายๆคืออลิซน่าจะไม่มีความสามารถในการสื่อสารกับวิญญาณระดับเทพได้
“ว่าไงละ?” ผมจึงถามแซร์อิซไป
แซร์อิซกอดอกก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา
“ไม่ละ ถึงข้าจะคิดถึงรสชาติความรุนแรงและถ่อยคำอันโหดร้ายของคุณยูนา แต่ไม่มีอารมณ์คุยน่ะ ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรด้วยนอกจากความทรงจำที่เราสองคนมีให้กัน ..ใช่ วันที่ข้าถูกคุณยูนาดึงไส้ออกจากร่างจนหม—”
“ไม่ต้องเล่าแล้วละ สยอง”
แซร์อิซเห็นการตบมุกของผมก็หัวเราะลั่นออกมา ส่วนอลิซก็เริ่มตัวสั่นหงึกๆขึ้นมา คงจะกลัวมากเลยละ โอเอ๋นา
พวกเราคุยกันสักพัก ก่อนที่พวกแซร์อิซจะโบกมือบาย
“เช่นนั้นข้าก็คงต้องไปสถานนีต่อไปแล้วละ”
พูดจบแซร์อิซก็หันหลังกลับพร้อมอลิซ และเดินไป ..ก่อนจะเดินกลับมา
อะไรของมันวะนั่น
“ลืมไป เรื่องสำคัญอีกเรื่อง ฟัฟนิร์ฝากให้มาบอก… สหายของเจ้านามว่า …อะไรหว่า ลืม”
“เห้ยๆ ไม่ตลกนะนั่น ถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ช่วยพูดให้รู้เรื่องหน่อยสิ”
แซร์อิซทำมือแอบอิคคิวซัง แต่ไม่ว่าจะทำนานแค่ไหนก็นึกไม่ออกเลย …
“เอาเป็นว่าสหายรักของเจ้ายังอยู่ดีกับฟัฟนิร์ ไม่สำคัญอะไรหรอก”
ไหงบอกว่าสำคัญไงละไอ้หมอนี่ …น่าหงุดหงิดชะมัด แล้วสหายรักผมมันใครกัน? เบลลามีเรอะ อันนั้นมันรักสหาย หรือว่าอันนา หรือว่าเรเซล พูดให้รู้เรื่องหน่อยได้มั้ย?
ยูนาเองก็แอบบ่นให้ผมฟังในใจเช่นกัน
“ไม่สำคัญอะไรหรอก ไม่ช้าก็เร็วคงได้เจอกันอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน ขืนอยู่นานข้าคงโดนสะกดรอยตามทัน”
แซร์อิซยกดาบที่ถูกห่อไว้ผ้าอย่างดี …นี่มัน
“ดาบมหามังกรวายุ พลังอีก 9 ส่วนของข้าเอง ข้ากำลังพเนจรหาวิธีให้มันกลับคืนสู่ร่างช้าอยู่ เพื่อที่จะได้เล่นท่าใหม่ ‘อาภรณ์เทพมังกร’ ที่พวกของเทียมมันชอบใช้กัน ฮึๆ ฮ่าๆๆๆ!!! แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว”
อาภรณ์เทพมังกรเอย พวกของเทียมเอย ผมไม่รู้จักหรอก แต่ที่รู้ๆคือ—
“…ยูนา เพื่อความปลอดภัยของเรา มากระทืบไอหมอนี่แล้วส่งดาบคืนให้อาณาจักรแซร์อิซดีกว่า”
ปัญหาระดับโลกเลยนี่นะ ขืนรู้ว่าผมรู้เห็นเป็นใจคงโดนผู้กล้าไม่ก็พวกท็อปโลกตามเก็บแหง เผลอๆไอ้สุดแกร่งสุดในโลกอย่างเอเธอร์อาจโผล่มากระทืบผมก็ได้
ปล่อยไว้ไม่ดีแน่ เพราะฉะนั้นขอโทษด้วยนะฟัฟนิร์ สำหรับสิ่งที่ผมจะทำกับพี่ชายของเธอ
‘เห็นด้วยค่ะมาสเตอร์’
….
ผมกับยูนาผสานสายตากันจ้องใส่แซร์อิซ—–
“ฮะๆๆๆ! สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงของตัวอะไรสักอย่าง—–เดี่ยวสิ การตั้งท่าแบบนั้นมันชั่งคุ้นเคยนัก การออกท่าของคุณยูนานี่นา สุดยอด สุดยอดเลย! ข้าไม่ได้ชมมาตั้งนานแล้——อ๊ากกกกกกกก!!!!!!!!!”
แซร์อิซตัวปลิวไปไกลนักสิบเมตร—-
“——-ทั้งสองคนเดี่ยวก่อน!!!” อลิซโพ่งออกมาด้วยใบหน้าที่ซีกเผือก
สุดท้ายก็ได้อลิซช่วยเกลี่ยกล่อมทำให้เลี่ยงการมีเรื่องกับแซร์อิซได้
*************
ผมจึงกลับมานั่งเรียนตามเดิม—-โดยที่ถูกทุกคนจับจ้องมา ไม่นานก็เกิดระเบิดเสียงซุบซิบขึ้น คนรอบข้างต่างคุยกันสนุกปากเรื่องของผมกัน ..ไอ้มังกรวิตถารนั่น
ไม่ต้องเดาก็รู้ คงจะนินทากันเรื่องที่ผมคือคนรู้จักของไอ้ชอบโชว์บิ๊กไซค์นั่นแหง ..อา ปวดหัวชะมัด
น่าปวดหัวยิ่งกว่านั้นคือไอ้สองตัวข้างๆผม
“งานอดิเรกคงเป็นการโชว์ไอจ้อนเหมือนกันละมั้ง” ไอ้หนุ่มท็อกซิก(หัวรุนแรง)นินทาผมในระยะเผาขน
“นั่นสิ เราสงสัยจริงๆว่าไอจ้อนจะใหญ่เหมือนกับสหายชอบโชว์รึไม่” สาวน้อยผมสีดำสุดที่รักกล่าวออกมาอย่างไม่อายสื่อ
เคียวยะกับเบลลามีพวกเค้าทำเป็นกระซิบกันทั้งๆที่รู้แก่ใจว่าผมได้ยินอยู่แล้ว
คงเป็นการยอกล้ออย่างนึงนั่นแหละ
ถ้าหากสถานการณ์นี้มีกอรี่อยู่ด้วยเขาคงช่วยปรามทั้งสองให้ แต่ตอนนี้ผมต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
“นี่ เพลาๆหน่อยเถอะ เบลลามีก็ด้วย จะเริ่มเรียนอยู่แล้วเข้าห้องเรียนได้ละ” ผมกอดอกโพ่งออกมา ก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้ม “ที่สำคัญ ถ้าอยากเห็นจะโชว์ให้ก็ได้นะ ฉันค่อนข้างภูมิใจเลย ไอนั่นน่ะ”
ผมทำเป็นขยิบตาให้โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรโง่ๆลงไป ..
….ทั้งห้องเงียบไปในทันที โดยที่มีคำพูดในหัวพร้อมเพรียงกันว่า ‘โรคจิตละ’
ประตูห้องเองก็ถูกเปิดโดยโซเฟียอีก
“..เงียบกันจริง” โซเฟียเดินเข้าห้องมา ในขณะที่ขึ้นบรรไดก็เห็นหน้าผมเข้า ..
โซเฟียเดินขึ้นมาอยู่หน้าผมแบบเงียบๆ
“เรเซอร์ ฉันต้องขอโทษด้วยนะ เรื่องที่กล่าวหาในคราวก่อน ถึงแกจะเป็นโรคจิตที่แย่ขนาดไหนแต่ฉันไม่ควรจะขุดคุ้ยเรื่องที่ผ่านมาแล้ว กับไม่เกี่ยวข้องมาว่าแกเลย” โซเฟียก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด ภาพเธอที่ทำเช่นนั้นราวกับหมาน้อยที่รู้สึกแย่และเหงา “ฉันต่อว่าทั้งๆที่ไม่ดูตัวเองเลย ในฐานะคนมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลยสักนิด”
เธอกล่าวออกมาทั้งๆที่ตัวเองมีเป้าหมายคือการเป็นนักเลง ..ชั่งเป็นเด็กสาวที่น่าเอ็นดูจริงๆ
ผมเผลอยิ้มกรุมกร่อมไปโดยไม่รู้ตัว
“แต่ฉันไม่หายโกรธเรื่องคราวก่อนหรอกนะ นายผิดแน่นอน และฉันจะไม่เชื่อข่าวลือโคมลอยด้วย ที่มีคนชอบโชว์เป็นเพื่อนชอบโชว์กับนายน่ะ ฉันจะไม่เชื่อให้เอาบุญ” โซเฟียชี้นิ้วใส่
-อ เอาบุญเรอะ เห็นผมเป็นอะไรกัน
“ทุกคนก็ด้วย!” โซเฟียตะโกนขึ้น “อย่าไปเชื่อข่าวลือโคมลอยนะ! คนที่กล่าวหาเรเซอร์ว่าเป็นโรคจิตทั้งๆที่อคติกับความผิดของเขาในอดีตน่ะ—–นิสัยอย่างแย่!”
เลือกคำด่าให้แรงๆหน่อยดิ
“จะกล่าวหาคนว่าเป็นโรคจิตโดยไม่มีหลักฐาน ไม่ได้หรอกนะ แม่สอนมา เข้าใจนะ” โซเฟียทำท่าอย่างกับอาจารย์ผู้สั่งสอนนักเรียนหน้าโง่ของเธอ ..
…..หลักฐานสินะ
ผมแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า โดยที่หารู้เลยว่าคิดเรื่องเดียวกันกับหลายๆคนในห้องอยู่
‘ถ้าอัดเสียงได้ละก็ หลักฐานมีให้นะ’ น่ะ
*********
วันนี้เองก็พยายามอย่างหนัก และผ่านพ้นไปได้ยั่งสวยงาม
ผมผู้คิดว่าชีวิตตัวเองกำลังไปได้สวยได้เดินกลับเข้าหอนักเรียนชาย แค่อึดใจเดียวก็เดินมาถึงหน้าห้องพักของผม…
“ฮะ…ฮะ…ฮะ”
เสียงที่เบาหวิวดังขึ้นมาจากภายใน ผมเอียงคอสงนโดยไม่รู้ตัว และเปิดประตูห้องของตัวเองเข้าไป———-
“อืมๆ ใช่เล่นเลยแหะ”
“เดี่ยวสิ! อย่าเปิดของคนอื่นเขาเล่นนะแซร์อิซ”
ชายหญิงคู่หนึ่งที่เข้าขากันดีกำลังชุดกระซากอะไรบางอย่างจากในมือกันอยู่ เป็นชายหญิงที่ผมคุ้นหน้าดีเพราะพึ่งเจอกันเร็วๆนี้เอง ..แต่ว่าก็ว่าเถอะ
“เพื่อความชัวส์ลองอ่านอีกครั้งดีกว่า”
ผมเดินออกมาจ้องที่หมายเลขห้องของตัวเอง
..ก็เลขเดิมนี่นา เข้าใจละ
ผมหันกลับไปมองที่ภายในห้องดั่งเดิม——และกุมขมับตัวเอง
ณ ตอนนี้กำลังมีมหามังกรวายุกับเด็กผู้ติดตามของเขากำลังค้นห้องผมอยู่ละครับ น่าปวดหัวจริงๆ ทำยังไงกับไอพวกนี้ดีนะ