เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 402
อนึ่ง เนื่องจากนี่เป็นบทพิเศษตามใจฉัน ซึ่งจะมีมาใหม่ หรือไม่มีมาใหม่ก็ตามใจผม (ฮา) ไทม์ไลน์ในบทถัดไป หรือบทก่อนหน้า อาจจะไม่ตรงกัน เพราะอย่างนั้น หากสงสัยอะไรก็สามารถถามได้เลยนะครับ แต่ที่แน่ๆทุกๆตอนเป็นเหตุการณ์หลังจบเนื้อเรื่องหลักแล้ว จะห้าปี สิบปี หรือร้อยปี อะไรก็ว่าไปครับ
ส่วนจะลงกี่ตอน ถึงไหน ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่แรงเขียนของผมเลยครับผม เพราะเขียนสนองนีทในช่วงว่างล้วนๆ (ฮา)
< < อัฟเตอสตอรี่ 1 > >
“วันนี้งานยุ่งชะมัดเลยนะ เจ้าเรเซอร์สั่งงานซะไม่เกรงใจกันเลย”
“น่าจะถึงเวลายื่นใบลาออกแล้วละนะ”
“ใครเขาจะรับนักดาบไม่สมประกอบแบบแก ..เออ ว่าแต่หลังจากนี้มีธุระที่ไหนต่อปะ?”
“ไม่อะ”
“สมกับเป็นผู้ชายโสดสนิท ไม่ว่างจริงๆด้วย งั้นไปดื่มกันปะ?”
“แกเอ็งก็เหมือนกันแหละวะ ..นั่นสินะ”
‘เรย์ คามาเลีย’ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนหันหน้ามายิ้มตอบกลับ ‘กอรี่’
“ไปสิไป!”
บนโลกนี้คงไม่มีใครทราบว่าเทพดาบคนปัจจุบันนั้นเป็นเพียงแค่พนักงานกินเงินเดือน–
****
เทพดาบตัวตนผู้แสนยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ เป็นคำกล่าวถึงนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก เชี่ยวชาญในวิชาดาบที่สุด และแน่นอนว่ามันคือจุดสูงสุดของนักดาบ เทพดาบจะถูกวนเปลี่ยนไปในทุกๆยุคสมัย นั่นคือสิ่งที่ทุกคนทราบกันดี ทว่าหารู้ไม่ว่าเทพดาบยังคงเป็นคนเดิมในทุกๆยุคสมัย จนกระทั่งมาถึงเรื่องราว ณ ปัจจุบันนี้
เทพดาบตัวจริงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก เมื่อห้าปีก่อนในสงครามครั้งใหญ่ และผู้ที่ช่วงชิงจุดสูงสุดของนักดาบมาได้ก็คือ เรย์ คามาเลีย พนักงานกินเงินเดือนในองค์กรของ เรเซอร์ ดราแคล์ เศรษฐีขุนนางผู้ทรงอิทธิพลของโลกใบนี้
วันนี้สำหรับเรย์ก็เหมือนเช่นเคย ตัวเขาที่โสดสนิทไหลมาร้านเหล้ากับกอรี่เพื่อนสนิท จากนั้นก็ก๊งกันเสียยกใหญ่ และเมาเละเทะเดินกลับบ้านกันไม่ถูก แต่เหมือนว่าวันนี้จะซวยกว่าทุกทีตรงที่เจ้าตัวดันหลงทางกับกอรี่เสียได้
“บัดซบเอ้ยชีวิต! อึก ฮือๆ.. ตัวฉันเมื่อห้าปีก่อนเปล่งประกายกว่านี้แท้ๆเชียวนะ มีสาวที่ชอบ มีเพื่อนฝูงมากมาย ชีวิตไม่ต้องคิดอะไรมากแค่ใช้ไปวันๆ”
เรย์นอนขดตัวโวยวายอยู่ข้างถนน ไม่ว่าใครก็ต่างพร้อมใจกันเดินหลบชายผู้ที่ส่งออร่าไม่เอาไหนออกมาพร้อมกับกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่ง
“ที่สุดยอดที่สุดเมื่อห้าปีก่อนฉัน ..ชนะเทพดาบ ใช่ ชนะแกนน่อน จากนั้นก็ ..”
ร่างกายได้รับผลกระทบ จนแทบจะกลับไปใช้ดาบเหมือนเดิมไม่ได้ แขนขาอ่อนแรงมาก ถึงจะใช้เวลาบำบัดต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้ เรย์ก็มีขีดจำกัดในการใช้วิชาดาบระดับขั้นกลางขึ้นไปได้แค่สองสามรอบ ไม่ต้องพูดถึงขั้นบรรลุ ถ้าฝืนใช้แม้แต่ครั้งเดียว ร่างกายจะพังยับกว่าเดิม แถมความสามารถรวมๆก็ย้อนกลับไปไกลโคตร ระดับที่นักดาบขั้นบรรลุอย่างตัวของเรย์เอง ณ ตอนนี้แทบจะไม่สามารถเอาชนะนักดาบขั้นสูงได้แล้ว ทั้งเกราะมังกรเหล็กบรามุนต์ก็เปิดใช้งายไม่ได้
ด้วยสภาพร่างกายทำให้วิชาดาบขึ้นสนิท จนมีแต่วิวัฒนาการณ์ย้อนกลับ
นี่คือข้อแลกเปลี่ยนของหนึ่งนาทีที่สามารถโค่นแกนน่อนได้นั่นเอง
ทั้งอย่างนั้นคำว่าเสียดายก็ไม่เคยผุดขึ้นในหัวของเรย์เลย เรย์ใช้ปลายนิ้วแตะดาบมังกรเหล็กบรามุนต์ ก่อนจะหลั่งน้ำตาออกมา
“..ถึงจะไม่เสียใจกับเรื่องนี้ แต่ด้านอื่นๆก็บัดซบเหมือนเดิม ..คึก ฮือ ..ทำไมชีวิตฉันถึงได้ไร้ผู้หญิงขนาดนี้นะ โดนสาวที่ชอบปฏิเสธเสียงแข็งไม่พอ ยังโดนผู้หญิงที่รู้จักซะส่วนใหญ่ไม่ชอบอีก ..บ้าเอ้ย” เรย์เช็ดน้ำตาของตัวเอง “มีบ้างรึเปล่านะ ..ผู้หญิงที่—”
เสียงของเรย์ตัดขาดกระทันหัน เพราะมีหญิงสาวคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาระหว่างการตัดพ้อของขี้แพ้
“บังเอิญจริงนะ..เป็นอะไรไป?”
“สาวน่ารักเป็นห่วงฉันคนนี้เป็นด้วยเหรอ?” เรย์เบิกตามองอย่างน่าหยะแหยง
หญิงสาวผมสีน้ำตาลเป็นบ็อบน่ารัก เธอสวมชุดราวกับพนักงานร้านขนมปัง ..เออ ก็ใช่ น่าจะมาจากร้านขนมปังแถวๆนี้นั่นแหละ แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใด ถึงทั้งทรงผม และสีหน้าท่าทางจะเปลี่ยนไป แต่ใบหน้าของเธอช่างคล้ายกับ ‘แกนน่อน’ แถมน้ำเสียงที่ใช้เรียกเรย์ยังคล้ายกับเธอคนัน้นอีก
“..แกนน่อน?”
“……..”
หญิงสาวมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย
“มะ ..ไม่ใช่ค่ะ”
สงสัยจะฟังผิด เสียงไม่เหมือนกับแกนน่อนเลย ถึงเสียงดูดัดหน่อยๆก็เถอะ พอมองดูดีๆผู้หญิงคนนี้ก็ต่างกับแกนน่อนทุกอย่าง ผิดกับแกนน่อนที่มักจะปล่อยบรรยากาศเยือกเย็น และให้ฟิลจอมยุทธิ์ออกม เธอดูน่ารักสดใส เหมือนสาวชาวบ้านที่น่ารักทั่วๆไป
พอมองดูดีๆแล้วเนี่ย
“สเป็คเลย”
“..หา?”
หลังจากนั้นเรย์ก็ได้ตามจีบหญิงสาวร้านขนมปังผู้นี้
เหมือนว่าเธอจะชื่อว่า ‘เกวน’ ละ!
****
…โดน เรย์ คามาเลีย ตามจีบ
“นี่ๆ เกวนจว๊างงง มีคนในใจยังอะ?”
วิธีจีบน่าหยะแหยงมาก
“ไม่มีนะคะ ฮะๆ”
“แต่ว่าฉันมีแล้วน้า อยากรู้อะเปล่า อยากรู้อะสิๆ ถ้าอยากรู้จะบอกให้ก็ได้นะ”
“…ค่า”
“อยากรู้จริงเหรอ? ถ้ารู้แล้วจะลำบากเอานะ” เรย์ทำเก็กเสียงจริงจัง
“….”
ถ้าตอนนี้มีดาบอยู่ในมือ แกนน่อนคงจะสะบั้นคอของเรย์ทิ้ง .. ‘แกนน่อน’ หรืออดีตเทพดาบได้ทิ้งนามของตัวเองไปพร้อมกับวิชาดาบ เธอเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ในเมืองชันไมน์ ในฐานะพนักงานพาร์ทไทม์ร้านขนมปัง และตอนนี้ด้วยความบังเอิญ เธอได้พบกับเรย์ผู้โค่นเธอในรอบห้าปี มันควรจะเป็นเรื่องน่ายินดี หากว่าเรย์ไม่ได้ตามจีบเธอ เพราะจำไม่ได้ว่าเธอเป็นใครละก็ ..ถึงจะบอกชื่อปลอมกับปลอมๆนิสัยไปก็เถอะ แต่จำไม่ได้จริงดิ
อย่างไรก็แล้วแต่ เรื่องที่สำคัญที่สุดคือนับตั้งแต่วันนั้น เรย์ชอบโผล่มาป่วนเธอทุกการกระทำ ซึ่งน่ารำคาญเอามากๆ
“คือว่านะคะคุณเรย์ นี่ก็จวนจะถึงเวลาปิดร้านแล้วด้วย”
“สนใจไปดินเนอร์ต่อรึเปล่าครับ?” เรย์ยื่นมือมาหมายจะจับมือของเธอ
แกนน่อน หรือ เกวน ทำท่าจะฟันเรย์ด้วยมือเปล่า ต่อให้ไม่มีดาบ มันก็มากพอจะแยกร่างของเรย์ออกจากกันได้ แต่เธอก็ได้หยุดมือไว้ได้ทัน ..สัญชาตญาณสมัยก่อนผุดขึ้นมาเสมอๆ นั่นเป็นเรื่องน่าลำบากใจสำหรับเธอที่ตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเอง
“..ตั้งท่าเหมือนกับนักดาบเลยนะครับนั่น ไม่จำเป็นต้องโอเว่อร์ขนาดนั้นก็ได้”
“ช่วงนี้ดูละครเวทีเกี่ยวกับนักดาบบ่อยๆน่ะค่ะ”
“ดูเรื่องของใครเหรอครับ?”
“เกี่ยวกับดาบมังกรเหล็กบรามุนต์น่ะค่ะ”
ได้ยินชื่อนั้น เรย์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มตอบกลับ
“ผมเองก็ชอบชื่อเรื่องนั้นเหมือนกันครับ ..คือว่านะ ผมน่ะนะ”
จู่ๆเรย์ก็พล่ามเรื่องชีวิตของตัวเองออกมา โดยใช้นามแฝงให้กับทุกตัวละครในเรื่อง และลดความโอเว่อร์ลง แต่เกวนก็รู้ได้ว่าทั้งหมดมันคือเรื่องของพวกเขาสามคน เรย์ เกรย์ และแกนน่อน แม้จะอยากหนีจากเรย์ แต่เพราะเป็นเรื่องนี้เธอจึงยอมฟังจนจบ ..เมื่อเรื่องเล่าจบลงเรย์ก็
“เด็กสาวคนนั้นไม่รู้จะเป็นยังไงต่อเหมือนกัน เอาจริงๆผมก็พยายามให้เพื่อนช่วยติดต่ออยู่นะ เพราะอยาก อะไรหว่า ..อยากเห็นการเติบโต? ไม่เชิงแฮะ”
เรื่องเล่าของเรย์มีคำโม้ยกระดับตัวเองผิดกับความเป็นจริงจนชวนน่าหงุดหงิดก็จริง แต่ว่า ..
“ให้พูดก็แค่อยากเจอกันอีกครั้งกระมังครับ”
….
……..
…………
“เกวนจัง?”
เกวนร้องไห้ออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“เธอคนนั้นเองก็คง ..อยากจะพบกับคุณเหมือนกันนะ ฉันคิดอย่างนั้น”
นั่นเป็นครั้งแรกที่บางสิ่งของสองคนนี้ได้เชื่อมถึงกัน—อีกครั้งในรอบห้าปี แต่ไม่ใช่ในฐานะผู้ท้าชิงกับผู้ยืนอยู่บนบังลังค์ หากแต่เป็นในฐานะคนธรรมดาสองคน
เกวนได้ตกหลุมรัก เรย์ คามาเลีย อย่างง่ายดาย หัวใจที่ถูกแช่แข็งไม่มีอีกต่อไปแล้ว
ในภายหลัง เรย์ จะรู้ว่าเกวนแท้จริงแล้วคือ แกนน่อน แต่นั่นไม่อาจสั่นคลองความสัมพันธ์ ณ เวลานั้นได้แล้ว ทั้งสองคนได้ตกหลุมรักกัน ด้วยความช่วยเหลือของโซเฟีย ทำให้เกวนสามารถมีบุตรได้ และในที่สุด ครอบครัวธรรมดาครอบครัวหนึ่งก็ได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้ พร้อมกันกับชื่อของ ‘เทพดาบ’ ที่จะเลืองหายไปจากโลกในอีกหลายร้อยปีให้หลัง ..
****
ไม่กี่ปีให้หลัง ในวัยที่เข้าใกล้ช่วงกลางคน เรย์ คามาเลีย นั่งอยู่ในร้านเหล้าหรูไปพร้อมๆกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ราวสองคน
“เรื่องรักๆใคร่ๆของฉันมันก็ประมาณนี้ละนะ” เรย์โพล่งด้วยใบหน้าดูอวดดี
จุดเริ่มต้นที่พบกับเกวน กับจุดเริ่มต้นของความรักที่แสนจะ ? ..หนึ่งในสองคนที่นั่งฟัง เคียวยะ ในชุดเก่าๆโทรมๆไม่เข้ากับร้านเหล้าหรูทำหน้าเอือมระอา
“แกนี่มันบื้อชะมัด” เคียวยะบ่นเอือมๆ
“ก็แหม่ ใครมันจะจำได้นะ บรรยากาศรอบตัวมันแบบ ..คนละคนชัดๆ ถ้าเป็นแกนน่อนปกติ เธอชอบส่งสายตาเย็นชาใส่ทุกๆอย่าง แต่ในโหมดเกวนนี่สาวพนักงานพาร์ทไทม์แสนสดใสชัดๆ ใครมันจะไปจำได้กัน เหอะ เหอะ แต่ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี ทำให้ฉันได้แต่งงานกับวัตถุโบราณคนนั้น” เรย์หัวเราะพึมพำ “พูดตรงๆช่วงแรกๆก็เกร็งอยู่นะ พอรู้ความจริง แต่แกนน่อน ..เกวน ก็ยังปฏิบัติเหมือนเดิม อย่างกับว่าเธอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆแล้วอย่างไรอย่างนั้น บอกตามตรงเลยนะ เป็นชีวิตรักที่ดีเกินไปสำหรับฉันด้วยซ้ำ”
“วิเศษมากเลยครับ ..ถึงทุกๆครั้งที่รวมตัวกัน คุณเรย์มักจะพูดอวดคุณเกวนตลอดก็เถอะ”
อีกคนจากหนึ่งในสองคน ยูจิในชุดสูท ในลุคผมที่สั้นลงอย่างมาก พึมพำขึ้นขณะเคี้ยวแอปเปิ้ลในปากไปด้วย ราวกระกระรอกน้อย ต่อให้ผ่านไปแล้วหลายปี จนอายุพวกเขาเข้าใกล้ช่วงวัยกลางคน หน้าตาของยูจิก็แทบไม่เปลี่ยนไปจากสมัยวัยรุ่นเลย ยกเว้นบนนิ้วนางข้างซ้ายที่มีแหวนแต่งงาน
“..ก็แหม่ ภรรยาของฉันสุดจะสมบูรณ์แบบจะไม่ให้อวดได้ยังไงกัน”
ทั้งสองคนกลายเป็นคู่รักที่ดูหวานเสียจนน่าหมันไส้ ลักษณะนิสัยดั้งเดิมของแกนน่อน? หรือจะบอกว่านิสัยที่แท้จริงก็ได้มันไม่อาจเก็บไว้ได้ สุดท้ายก็ระเบิดและเป็นอย่างที่เห็น ณ ปัจจุบันนี้ทั้งสองก็มีลูกกันแล้วถึงสามคนในเวลาอันสั้น จากการช่วยเหลือของ โซล่า เลนน่อน กับเบลลามี ที่ช่วยหาทางรักษามดลูกให้แกนน่อน ทำให้สองคนนี้สามารถมีลูกได้ตามปกติ ..
“คุณเรย์กับคุณแกนน่อนปกติมักจะอยู่ด้วยกันตลอดสินะครับ”
“อ่า ก็นะ หล่อนเป็นแม่บ้านเต็มตัวน่ะ เพราะมีลูกน้อยอยู่ตั้งสามคน ..ให้พูด แค่เธอคนเดียวก็คงจะเอาอยู่ละนะ พลังกายมหาศาลขนาดนั้น แต่ฉันก็อยากมีเวลาว่างมาดูแลลูกๆเหมือนกันด้วยสิ เอาแบบไม่ให้ห่างกันเลย”
“จะลาออกจากงานอัศวินสินะครับ”
“ก็วางแผนไว้ประมาณนั้นแหละ เป็นอัศวินได้เงินเยอะก็จริง แต่ไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไหร่นี่สิ ตอนนี้ก็มีเงินเก็บมากโขแล้ว ออกมาเปิดร้านคาเฟ่ห์เล็กๆ พลางช่วยหล่อนดูแลลูกก็น่าสนใจดี” เรย์ยิ้ม “แต่ช่วยไม่ได้อาจจะโดนเจ้าบ้านั่น(เรเซอร์)บ่นนิดหน่อยก็จริง แต่ในฐานะแฟมิลี่แมนก็ต้องทนแหละนะ”
ยูจิยิ้ม เคียวยะหัวเราะพึมพำ
“วางแผนชีวิตได้ดีไม่สมกับเป็นแกเลยนะ”
“ที่เขาเรียกว่ามีลูกแล้วผู้ชายจะเริ่มโตไง ..อ๋อ จะว่าไป พูดถึงมีลูกเนี่ย ลูกแกจำชื่อพ่อตัวเองได้รึยังนะ?” เรย์พูดพลางหรี่ตามองเคียวยะ
“..ล่าสุดโดนเข้าใจว่าเป็นคุณลุงจรจัดที่ไหนไม่รู้”
“อุ้บ! เอาจริงดิ”
เคียวยะ ภายหลังได้รับตำแหน่ง ‘จอมเวทย์ราชสำนัก’ ‘ชั้นพิเศษ’ ซึ่งสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในฐานะนักสำรวจ หรือจะทำอะไรก็ยังได้ ทำให้เขาออกเดินทางทั่วทั้งโลกตามจุดประสงค์ของตนเอง พลางช่วยเหลืองานของตระกูลภรรยาของตนเองไปพลาง แน่นอนว่าเพราะเหตุนั้นจึงแทบไม่ได้กลับบ้าน
สองถึงสามปีครั้ง ทำให้ลูกที่ ณ ตอนนี้อายุราวสามขวบจำหน้าและชื่อพ่อตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ..อ๋อ อนึ่ง ภรรยาของเคียวยะก็คือ ไอริซ ลูกคุณหนูตระกูลมาควิซแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์คนนั้นนั่นเอง ไม่รู้ไปรักกันอีท่าไหน แต่เหมือนจะเกี่ยวกับช่วงเวลาสามสี่ปีแรกที่จบการศึกษา ที่เคียวยะจะต้องอยู่ช่วยเหลือเธอเต็มเวลา ทำให้ความสัมพันธ์พัฒนาจนให้กำเนิดลูกน้อยมาหนึ่งชีวิต ก่อนที่เคียวยะจะออกเดินทาง
“คุณเรย์ ไม่ดีเลยนะครับ น่าสงสารคุณเคียวยะแย่”
“กะ ก็มัน เป็นถึงตัวตนสุดแกร่งแท้ๆ แต่พอโดนลูกถามว่า ใครอ่ะ แล้วหน้าซีดเนี่ย มันน่าตลกดีนี่นา”
“นี่แก! ไปเห็นมาจากไหนกัน!?”
สถานะของเคียวยะต่ออาณาจักรฟัฟนิร์นั้น ..ใกล้เคียงกับ ‘เอเธอร์’ เมื่ออดีตที่สุด เพราะเขาเป็นผู้ถือครองการพัฒนาที่ไร้จุดสิ้นสุด HOPE เป็นผู้ทำพันธสัญญากับโคริน ภูตที่พัฒนากลายเป็นภูตสวรรค์ได้รวดเร็วที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์(เกิดขึ้นในช่วงออกเดินทาง) ทั้งเป็นถึงตัวตนที่อาจจะกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งที่สุด ณ ปัจจุบันนี้ แน่นอนว่านั่นอาจหมายถึงเหนือกว่า เรเซอร์ ดราแคล์ หรือ เท็งงุ เบ็นจิโร่ ไปแล้วก็ว่าได้
อย่างไรก็แล้วแต่ พอโดนเรย์แซวเคียวยะก็เสียเชิงหมด ..ยูจิแหงนหน้ามองเพดานร้านเหล้า พลางจิบนมสดไปด้วย
“..มีลูก ..ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะครับ”
“แต่งงานมาตั้งหลายปีแล้วแท้ๆเนี่ยนะ?”
“ครับ ก็ผมกับคุณหนิงอยู่ห่างกันจะตายไปครับ แถมเรื่องงานของแต่ละคนก็ยุ่งๆด้วยสิ”
ยูจิเป็นวิศวกรณ์อุปกรณ์เวทมนตร์ของอิกดราซิล แถมยังเป็นระดับหัวหน้าผู้พัฒนา ทำให้แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย กลับกัน หนิงก็เปิดร้านอาหารอยู่ที่จุดศูนย์กลางโลก(?) ทั้งยังมีงานอดิเรกคือออกเดินทางศึกษาเกี่ยวกับอาหารใหม่ๆตลอด ทำให้นานๆทีจะมาเจอกัน
“พักนี้คุณหนิงก็ดูทำตัวห่างเหินจากทุกทีนิดหน่อย”
……….
…..
“..จดหมายบอกรักทุกๆสัปดาห์ ลดเหลือแค่สองสัปดาห์ครั้งน่ะครับ อ๊ะ แต่จดหมายสารทุกข์สุขดิบปกติก็ส่งตามเดิมนะครับ”
“เฮ้อ”
“ไร้สาระ”
“เอ๊ะ? เอ๋? ตามหนังสือที่นักวิจัยด้านนี้เฉพาะบอกเอาไว้ เห็นเขาบอกว่าความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆนี้เป็นจุดสังเกตุสำคัญที่สุดเชียวนะครับ”
“ยูจิ ปีหน้าเราก็สามสิบละนะ ..จดหมายรักเนี่ย ลดลงบ้างไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
ยูจิครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะถอนหายใจเฮือกโตออกมา ดูท่าจะเป็นกังวลจริงๆด้วย
“หนิงไม่มีปัญญานอกใจแกหรอก สภาพหลงหักปักหัวปำอย่างกับเสพยาแบบนั้น หึ! วางใจได้ ถ้ามันจะมีสัญญาณแจ้งเตือนอะไรก็คงไม่ใช่เรื่องหมดใจหรืออะไรหรอก แต่น่าจะเป็นเพราะต้องการอะไรเล็กๆน้อยๆจากตัวแกเองเท่านั้นแหละ”
“..ต้องการจากผมนั้นสินะครับ”
“ขอเสียมารยาทหน่อยละกัน”
“อ๊ะ เชิญครับ”
ดวงตาของเคียวยะส่องแสงสีม่วงเป็นประกายเพียงแวบเดียว ก่อนที่แสงสีม่วงจะดับไปพร้อมกับใบหน้าที่แสนจะมืดมนของเคียวยะ
“นี่แก …ไม่เคยเขียนจดหมายโต้ตอบกับหนิงเลยไม่ใช่รึไง?”
“..อ๋อ ตั้งใจหาเรื่องไว้คุยตอนเจอกันน่ะครับ”
“ทั้งๆที่สองสามปีมานี้ เจอกันแค่ปีละห้าครั้งอย่างมากน่ะเหรอ?”
ยูจิกระพริบตาปริบๆ ไม่นานก็หน้าซีดเผือก
“ผะ ผมผิดเองนี่หว่า”
“ไอหย๊า ไม่คิดว่ายูจิจะโง่ขนาดนี้นะเนี่ย”
“ทางนี้ก็ผิดคาดไปไกลเหมือนกัน ใครจะคิดละว่าตัวตนที่ถูกสร้างมาให้สมบูรณ์แบบที่สุดจะไร้สมองได้ขนาดนี้ ..ไม่ใช่ว่าถ้าเป็นตอนนี้ ฉันจะเอาชนะแกได้ง่ายๆแล้วซะหรอกนะ ยูจิ”
เรื่องรักๆใคร่ๆ กับเรื่องประชันพลังกันมันเกี่ยวตรงไหนก็ไม่ทราบ แต่ยูจิดันรู้สึกไปทางเดียวกับเคียวยะจริงๆ ..นอกจากงานวิจัยของตัวเองที่ก้าวหน้าอย่างยอดเยี่ยม อย่างอื่นก็ถอยหลังลงคลองหมด
ยูจิในตอนนี้เป็นสามีที่ไม่ได้เรื่องมากถึงมากที่สุด
“น่าเหลือเชื่อจริงๆนะ ว่าจะมีคนที่ทนได้ขนาดนี้” เคียวยะโพล่งขึ้นแบบไม่เกรงใจ
“เคียวยะ นายมีหน้าไปว่ายูจิด้วยเรอะ”
“….”
ยูจิเกาศรีษะของตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นยืน และวางตังค์ค่าอาหารของตัวเองไว้ข้างๆจานอย่างเร่งรีบ
“วะ ว่าแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
…….
….
หลังจากยูจิออกจากร้านแล้วพักหนึ่ง เรย์ก็หันไปคุยกับเคียวยะต่อ
“แล้วทางนายล่ะ? ไม่คิดจะทำอะไรหน่อยรึ”
“อะไร? ครอบครัวฉันปกติสุขดีเถอะ”
“ได้ข่าวว่าพ่อของท่านไอริสชอบลากเธอไปดูตัวกับชายหลายๆคนนะช่วงนี้ คนเขาลือกันว่าสามีของท่านไอริสอย่างเคียวยะแค่ฟันแล้วทิ้ง แล้วดันบังเอิญท้องแหละ ก็นะ คนสำคัญระดับเดียวกับ ‘เอเธอร์’ คนนั้น จะมองผู้หญิงชนชั้นสูงคนหนึ่งเป็นแค่ทางผ่านก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร”
เพราะเคียวยะไม่ได้ใช้สถานะของตัวเองทิ้งไว้กับไอริส ทำให้หลายคนคาดกันว่าไอริสโดนฟันแล้วทิ้ง หรือไม่ก็ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันไม่ใช่พันธของสามีภรรยาอะไร ..
“ข่าวลือไร้สาระ ยัยนั่นไม่เห็นส่งจดหมายมาบอกสักคำ”
พูดจบเคียวยะก็ลุกขึ้นพร้อมวางเงินเอาไว้
“แล้วจะไปไหนต่อเนี่ย?”
“มีธุระต้องไปเคลียร์”
เรย์หยักไหล่ตอบ เคียวยะรีบเดินเร็วออกจากร้านเหล้าไป ..เรย์ชำเลืองมองนาฬิกาที่เดินไปต่อ ไม่นาน ก็มีคนคุ้นหน้าอีกคนเดินเข้ามา
“โย่ว ไม่เจอกันนาน ท่านเจ้าเมือง”
“เมื่อวานพึ่งคุยงานกันไปเองไม่ใช่รึไง? ว่าแต่อีกสองคนหายไปไหนละนั่น?”
เรเซอร์ ดราแคล์ ในวัยสามสิบปี สวมสูทสีแดงเลือดหมูราคาแพง ยิ่งไปกว่านั้นภาพลักษณ์ยังดูน่าเกรงขามขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายขุม โดยเฉพาะส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นถึงสิบเซนติเมตร ผิดกับคนอื่นๆที่ไม่ได้สูงขึ้นจากสมัยวัยรุ่นเลย
คงต้องบอกว่ารูปลักษณ์สมกับเป็น ‘เจ้าเมือง’ ของเมืองชันไม และเป็นถึงระดับ ‘หนึ่งในผู้บริหารของอิกดราซิล’ และ ผู้นำองค์กรณ์เพื่อรื้อฟื้นเผ่าพันธ์ุที่เกือบจะสูญพันธ์ุไปมากมาย ได้แก่ ครึ่งสัตว์ ครึ่งบนครึ่งน้ำ รวมไปถึง เอลฟ์ ที่ควรจะหายสาบสูญไปหมดด้วยน้ำมือของเรน
“สองคนนั้นมีปัญหาครอบครัวนิดหน่อยน่ะ”
“อ่า ว่าจะมาคุยเรื่องพวกนั้นพอดีเลยแท้ๆนะ”
“โอ๊ะ โทษทีละกันที่ชิงลงมือก่อน”
“ไม่หรอก จะคิดว่ามาเสียเที่ยวละกัน ..แล้วมีธุระอีกใช่รึเปล่า? ไหนลองว่ามาสิ นี่นอกเวลางาน ถ้าสารภาพความผิดของตัวเองจะลดโทษให้ครึ่งหนึ่งก็ย่อมได้”
“ชิ วางมาดเก่งจริงๆนะไอนี่”
เรเซอร์ยิ้มมุมปาก พลางหรี่ตามองอย่างใจจดใจจ่อ เรย์ไม่รีรอพูดเรื่องที่ต้องบอกทันที
“ว่าจะยื่นใบลาออกน่ะ”
“รับทราบ เพื่อเป็นการอำลา เดี่ยวเลี้ยงน้ำผลไม้ให้แก้วหนึ่ง สั่งมาเลย”
“ไม่ตกใจเลยแฮะ ระดับหัวหน้าอัศวินอย่างฉันลาออกแท้ๆ”
“แค่หาคนใหม่มาทำแทนก็พอแล้วนี่? อีกอย่างก็พอเข้าใจเหตุผลของนายอยู่ ไม่ใช่แค่เรื่องครอบครัว แต่แขน ..เริ่มยกดาบไม่ไหวแล้วไม่ใช่รึไง”
เรย์ยิ้มเจื่อนๆ ทำหน้าเหมือนจะบอกว่ารู้ได้ยังไง
“สังเกตุอาการมาตลอดนั่นแหละนะ ก็เล่นฝืนธรรมชาติคนธรรมดาเอาชนะเทพดาบคนนั้นมาได้ ค่าตอบแทนมันใช่ว่าจะน้อยๆเสียหน่อย ฝืนแกว่งดาบมาถึงอายุปูนนี้ได้ก็เก่งแล้ว ไม่สิ แต่แรกเดิมที ค่าใช้จ่ายในการเอาชนะเทพดาบได้ มันน้อยเกินไปด้วยซ้ำ”
จริงๆการที่คนธรรมดาอย่างเรย์จะโค่นเทพดาบได้ ควรต้องมอบกระทั่งชีวิตด้วยซ้ำ เผลอๆชีวิตของคนธรรมดามันยังน้อยไป ..
“ให้ตายสิ เสียเซลหมดเลยแฮะ”
“อีกอย่างก็พอเดาๆได้ว่านายจะรีไทร์ตั้งแต่นายมอบ ‘ดาบมังกรเหล็ก’ ‘บรามุนต์’ ให้ลูกชายของฉันแล้วละ ก็ว่าทำไมชอบมาป้วนเปี้ยนสอนวิชาดาบให้ลูกชายชาวบ้าน ที่แท้ก็หาผู้สืบทอดดาบนี่เองสินะ นึกอะไรให้เด็กคนนั้นกันล่ะ?”
“ ..เห็นเป็นเด็กขี้แงน่ะ เลยให้ไป”
“แค่นั้น?”
“อ่า ดาบเล่มนั้น กับวิชาดาบของฉัน คู่ควรกับเด็กขี้แง มากกว่าเด็กที่แข็งแกร่ง เพราะคิดอย่างนั้นเลยให้ไปทุกอย่าง—เพราะมันคือเขล็ดวิชาดาบที่เกิดขึ้นเพื่อโค่นความแข็งแกร่งนี่นะ”
“ก็จริงที่เด็กคนนั้นเทียบกับลูกคนอื่นๆแล้ว ค่อนข้างอ่อนแอเลย ..เป็นลูกของเรเซลนี่นะ”
แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ต่อให้ลูกของตัวเองจะอ่อนแอหรือต่ำกว่ามาตรฐาน เรเซอร์คิดเช่นนั้นจากใจจริง
“จริงส่วนหนึ่ง แต่ลูกของนายมันเกินมาตรฐานกันทุกคนมากกว่ามั้ง? ฉันละสงสารเด็กคนนั้นที่อ่อนแอไม่พอยังต้องล้อมรอบไปด้วยพวกเหนือธรรมชาติ มีบ้านไหนบ้างเอาปีศาจมหาบาปกับมหามังกรมาเลี้ยงลูก? คุณแม่แต่ละคนนี่ก็ตัวจี๊ดทั้งนั้นอีก บ้านปีศาจชัดๆ”
เสียมารยาท ..
เรย์หัวเราะ
“พูดตามตรงนะ ไอฉันก็อยากลุยในสายดาบต่ออยู่หรอก มีคนที่อยากดวลด้วยอยู่ อย่างคุณพาโวไรงี้ แต่ร่างกายมันไม่ตอบสนองแล้วน่ะ การพัฒนามันหยุดลงแล้ว ไม่สามารถกลับไปสัมผัสช่วงพีคในวันนั้นได้ เพราะกล้ามเนื้อมันไปไม่ถึง รอยยักบนสมองเองก็ไม่มากพอ สายตาเอย กระดูกเอย อะไรต่างๆมากมายเอยอีก ทุกอย่างมันทรุดลงเรื่อยๆนับตั้งแต่วันนั้น การสัมผัสแสงดาวเพียงชั่ววินาทีเดียวมันมากพอที่จะแผดเผาดาบของฉันต่อจากนี้ทั้งหมดได้เชียวละ ..เหวี่ยงดาบไม่กี่ครั้งก็เหนื่อยจนแทบจะเป็นลม วิชาดาบขั้นกลางจะใช้ครั้งเดียวยังต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะมันอาจทำให้ร่างกายแย่เอาได้ สุดท้ายก็ต้องรีไทร์ตามสภาพ”
เรย์พูดราวกับตัดพ้อด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“..ยังไงก็ขอบคุณ” เรเซอร์พูดขึ้น
“อือ”
“เมืองชันไมต่อจากนี้ รวมถึงครอบครัวของนาย จะอยู่ในการดูแลจากฉัน เพราะอย่างนั้นแหละวางใจได้”
“อือ”
เรเซอร์ ดราแคล์ ส่งยิ้มให้ เรย์ คามาเลีย ในครั้งนี้ไม่ใช่ในฐานะเพื่อน แต่เป็นในฐานะเจ้าเมือง กับอดีตอัศวิน และนักดาบผู้ร่วงหล่นลงจากวงการณ์ดาบ
“เรย์ คามาเลีย อัศวินผู้กล้าหาญแห่งเมืองชันไม และนักดาบผู้ยิ่งใหญ่–ตลอดมาทำได้ดีมาก”
เรย์หัวเราะเบาหวิว ไม่นานก็หันหน้าหนีไปทางอื่น
“..แบบว่าฝุ่นเข้าตานิดหน่อย โทษทีนะ”
ในวัย 29 ปี เรย์ คามาเลีย ได้จบเส้นทางนักดาบของตัวเองลงอย่างรวดเร็ว เกินกว่าวัยอันควร ถึงกระนั้นก็ไม่มีสิ่งใดให้เสียใจอีกแล้ว เพราะเขาคือนักดาบธรรมดาผู้ก้าวข้ามเทพดาบ และแตะแก่นแท้ของวิชาดาบ แม้ว่าเส้นทางจะถูกปิดตายลงก่อนเวลาอันควร แต่ประกายแสงเพียงชั่วข้ามคืนนั้นมันคุ้มค่ายิ่งกว่าอะไร
นอกเหนือจากนั้นก็ ใช่ เรย์ คามาเลีย ไม่ได้มีเพียงวิชาดาบ เขายังมีครอบครัวแสนสำคัญ—เพราะอย่างนั้น จึงไม่เสียใจ