เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 4: เคลียร์ปัญหา
- Home
- เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
- ตอนที่ 4: เคลียร์ปัญหา
< < 4 > >
ป่านอกตัวคฤหาสน์ยามค่ำราว 3 ทุ่ม
“มีอะไรเหรอถึงเรียกมาเจอกันตั้งแต่ดึกๆ อันนา”
แม้บ้านหญิงแก่มากอายุ คงจะราว 42 ปี เอ่ยถามเด็กสาววัย 12 ปีอย่างอันนา
อันนายิ้มรับให้กับหญิงแก่
“เหมือนว่าท่านเรเซอร์จะทราบเรื่องที่เรเซลถูกรังแกแล้วค่ะ”
หญิงแก่คิ้วกระตุกเล็กน้อยด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“…เรื่องนั้นท่านเรเซอร์รู้เห็นเป็นใจอยู่แล้วนี่”
“จริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ท่านเรเซอร์ก็ยังเห็นด้วยอยู่หรอก แต่จู่ๆก็เลิกเอากลางคันแล้วหันมาแยกเขี้ยวใส่ดิฉันแทน”
แม่บ้านหญิงแก่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เพราะเธอเป็นถึงหัวหน้าแม่บ้าน ถ้าเกิดเรเซอร์จับได้ว่าเธอเป็นคนทำได้จบเห่แน่ ส่วนอันนาดูไม่ได้ตื่นกลัวอะไร เพราะเธอเก็บงำอารมณ์ไว้ได้เก่ง
ทั้งสองรู้ได้ทันทีว่าถ้าเรเซอร์หาหลักฐานได้ เรื่องต้องจบไม่สวยแน่ เพราะฉะนั้น …
“จริงๆ แล้วดิฉันวางแผนไว้คะ—-นั่นเป็นเหตุผลที่จำเป็นต้องคุยกับคุณตัวต่อตัวเท่านั้น”
“ว่ามาเลย”
อันนาเริ่มเล่าแผนให้ฟัง——มีคนที่พร้อมใจสองถึงสามคนที่รวมหัวกันรังแกเรเซล อันนาคิดจะโยนคนพวกนั้นไปเป็นเหยื่อให้เรเซอร์ระบายอารมณ์ความอยากเป็นคนดี และใช้จังหวะนั้นหาเรื่องให้ตัวเองออกจากงานดูแลเรเซอร์ ข้ออ้างอะไรต่างๆ ที่เป็นผลพลอยได้จากเหตุการณ์นี้มากพอจะทำให้อันนาเด้งออกได้
ส่วนก้าวเท้าเซลก็ปล่อยมันไปซะ ยังไงคนเลวๆก็ไม่สามารถทิ้งสันดานได้ง่ายๆ ไม่นานเรเซลก็จะถูกเรเซอร์เล่นงานเหมือนเดิม ที่สำคัญตระกูลของเรเซลตอนนี้ก็ตกต่ำจนไม่น่ากลับมายิ่งใหญ่ดั้งเดิมได้แล้วด้วย ไม่ใช่แค่พวกอันนาที่คอยกดไว้แต่ยังมีอีกมากมายก่ายกอง
พวกอันนาคิดเช่นนั้นเลยหารู้เลยว่า—
——ได้ยินหมดเลยวุ้ย!
ตัวผมเรเซอร์กำลังยืนอยู่หลังต้นไม้ที่ค่อนข้างไกลจากอันนา ไม่มีทางได้ยินเสียงหรอกถ้าหากว่าไม่มีเวทมนต์เข้ามาเอี่ยว
ผมยกแขนขึ้นพร้อมกันนั้นก็มีนกพิราบกระดาษสีใสลอยขึ้นไปเหนือหัว
นี่ก็คือ ‘เวทย์สะกดรอย’ —เป็นสาขาเวทย์ที่มากด้วยประโยชน์ และใช้มานาค่อนข้างน้อย ถึงอย่างนั้นก็จัดว่าเป็นเวทย์ชั้นสูงทั้งๆที่มันใช้มานาน้อยมาก เหตุผลก็คือเวทย์สะกดรอยมันค่อนข้างละเอียดละอ่อน ถ้าใช้เวทย์ขั้นสูงอย่าง ‘แสง’ กับ ‘ความมืด’ ได้ไม่ดีพอก็จะได้แค่ของห่วยๆที่ทำประโยชน์อะไรไม่ได้เลย กล่าวได้ว่ามันคือเวทย์ที่กำหนดได้แน่ชัดว่า ดีหรือไม่ดี ด้วยตัวบุคคลเอง
และแน่นอนว่าเวทย์สะกดรอยมันไม่ใช่เวทย์ของผม ตัวผมในตอนนี้อย่าว่าแต่เวทย์สะกดรอยอ่อนๆเลย แค่บอลเพลิงง่ายๆก็ตรึงมือแล้วเนื่องจากปัญหาด้านวงจรเวทย์ และความรู้ความสามารถไม่เพียงพอ เวทย์สะกดรอยเมื่อสักครู่มันเป็นของเซบาสเตียนที่ให้ผมยืมใช้
ตอนนี้เซบาสเตียนก็กำลังยืนอยู่ข้างๆตัวผมด้วยท่าทางเข้มขรึม
“…กระผมคิดว่านายน้อยรู้เห็นเป็นใจเสียอีกครับ”
เซบาสเตียนโคตรจะฉลาด เพราะฉะนั้นไม่มีทางหรอกที่เขาจะไม่รู้เกี่ยวกับปัญหาของเรเซลและคนที่ก่อเหตุ ในหมู่คนที่ก่อเหตุทะลึ่งมีผมด้วยทำให้เขาไม่คิดยื่นมือเข้ามาช่วยแต่อย่างไร เนื่องจากว่าเขาอยู่ในฐานะคนรับใช้ …แม้ตัวเขาจะเป็นเพื่อนสนิทของพ่อผมก็ตาม อายุก็พอๆกันแต่เบ้าหน้าไปคนละทางกันเลย (เซบาสเตียนดูแก่มาก)
ผมก้าวเท้าคางตัวเองด้วยความพิศวงในตัวเอง
“คงขะอย่างที่พวกนั้นว่า จู่ๆฉันก็อยากเป็นคนดีขึ้นมาน่ะ”
“นั้นหรือครับ …นายน้อยคิดดีแล้วรึครับ ที่จะช่วยเรเซล?” ต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับคำตอบของผมแล้ว ..แน่นอนว่า–
“ผมตั้งใจจะทำมันนานนับปี”
“นับปี?”
ไม่ได้โกหกแต่อย่างไร—-ตั้งแต่โลกใบเก่าแล้ว ตั้งแต่ในหน้ากระดาษนิยายผมก็ต้องการจะช่วยเธอตั้งแต่ตอนนั้น ชะตากรรมของเธอมันน่าเศร้าเกินไปสำหรับเด็ก12
ลองคิดดูเล่นๆสิว่าถ้าโลกนี้ไม่มีพระเอกอย่างยูจิ ถ้าไม่มีใครเห็นใจเธอ ถ้าไม่มีใครสักคนคิดได้และลุกขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลง ชั่วชีวิตนี้ของมนุษย์ที่ชื่อ ‘เรเซล’ มันไม่เหมือนตกนรกทั้งเป็นเลยหรือไงกัน?
การกำเนิดใหม่ของผมมาเป็นเรเซอร์มันค่อนข้างซับซ้อน ผมได้ความทรงจำความรู้สึกนึกคิดก่อนหน้านี้ของเขามาหมดเปลือก แต่ผมกลับไม่ได้นิสัยอะไรของเขาติดตัวมาเลยผมไม่เข้าใจเรื่องไสยศาสตร์การสวมวิญญาณหรอก เพียงแต่—เรเซอร์ หรือก็คือตัวผมในตอนนี้ต้องการจะช่วยเรเซล
ผมหันหน้าเข้าหาเซบาสเตียน และโพ่งขึ้นด้วยความหนักแน่น ต่างกับเรเซอร์โดยปกติ
“ผมอยากจะเปลี่ยนตัวเอง ผมอยากจะเป็นตัวเองที่ดีกว่าเดิม ต้องการจะเป็นเรเซอร์ที่เปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างให้ได้”
…เซบาสเตียนยิ้มเล็กน้อย—แก่ก็ตั้งปูนนี้แล้ว แต่รอยยิ้มของเขาทำให้ผมใจสั่นโดยไม่รู้ตัวเลยละ สมกับเป็นเซบาสเตียนที่มีเหล่าแม่ยกเยอะไม่แพ้ใครหน้าไหน
“นายท่านต้องดีใจแน่แท้ครับ ที่นายน้อยเติบโตได้ถึงเพียงนี้”
“ไม่หรอก มันพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น แค่นี้ไม่ทำให้ผมดูเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือหรอก”
“ท่านเปลี่ยนไปแล้วขอรับนายน้อย แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยละครับ”
‘เรเซอร์เป็นแบบนี้ดีแล้วสินะ?’ ผมตั้งคำถามกับตัวเอง แม้จะไม่มีใครตอบแต่คำตอบก็ผุดออกมาในอกนี้แล้ว
“เซบาสเตียน ช่วยฉันที”
“รับบัญชาขอรับ”
เซบาสเตียนคำนับด้วยท่วงท่าที่งดงามยากจะหาดูได้
กลับมาที่ฝั่งของอันนา หลังอันนาเสนอแผนการณ์ไปแล้วเรียบร้อย
“คิดเห็นอย่างไรบ้างคะ?”
“สังเวยสามคนนั้นน่ะหรือ …ก็ไม่เลวอยู่หรอกคะ แต่”
แต่?
“สังเวยคุณไม่ดีกว่าเหรอคะอันนา?”
ดวงตาของอันนาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
“…เอ๊ะ”
“คิดว่าฉันไม่รู้เลยหรือคะถึงเนื้อแท้ของคุณ ไม่สิ มันควรรู้อยู่แล้วนั่นแหละ แต่ฉันรู้ลึกไปกว่านั้นอีกนะคะ รู้ถึงขั้นที่เธอมักชอบนินทาฉัน และพูดเอาใจคนอื่น พอมาเป็นฉันก็ชอบมาเอาใจโดยเอาคนอื่นมานินทาอีก …บอกตามตรง ให้ฉันเก็บนางแมวร้ายอย่างเธอไว้ มีแต่เสียกับเสียคะ”
อันนาเริ่มหน้าเสีย—และกลัว
“-พ พูดอะไรของคุณน่ะคะ ดิฉันก็บอกอยู่ไงว่าท่านเรเซอร์ว่ามา ..เขาต้องเชื่อฉันมากกว่าอยู่แล้ว”
“คิดว่าถ้าฉันรวมตัวกันไปหลายคน รวมเรเซลไปแล้ว ท่านจะเชื่อใครมากกว่าละ?”
“ย…ยัยป้านี่!”
หญิงแก่ฉีกยิ้มด้วยความน่าสยอง และตวัดมืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็มีโซ่ที่ทำมาจากเวทย์ลมพุ่งอัดเข้ากลางหลังของอันนา จนตัวไปขคงกับลำต้นไม้
“..ไอสวะนี่” อันนาที่ถูกแรงกระแทกนั่นก็ถึงกับเลือดกบปาก
“พูดจาหยาบคายเช่นนี้บ่งบอกตระกูลเลยนะคะ อันนา”
“หนวกหูน่า ไอคนทรยศ ไปลงนรกซะไอแก่เอ๊ย!”
“เป็นเด็กที่ก้าวร้าวเหลือเกิน แถมยังตอแหลได้โล่อีก เด็กแบบเธอนี่แหละที่ฉันเกลียดที่สุด กลับกันเด็กแบบเรเซลฉันไม่ได้เกลียดหรอกนะคะ เพราะควบคุมได้ค่อนข้างง่าย ว่าอีกอย่างคือเด็กโง่ที่หลอกง่ายนั่นแหละดี เด็กฉลาดเจ้าเล่ห์แบบคุณน่ะมันน่ารังเกียจ”
“…แกจะบอกว่าฉันด้อยกว่าเรเซลหรอ?”
อันนาเดือดดาลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคำพูดที่ว่าตัวเธอด้อยกว่าเรเซล หญิงแก่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแสนจะฟิน
“ใช่ค่ะ ทั้งตระกูลของคุณมันก็เป็นได้แค่ของปลอม แค่ตัวอิจฉาในเรื่องราวแสนน่าสมเพชเท่านั้น”
“…ฉันจะฆ่าแก่ ฉันจะไม่ปล่อยแกไว้แน่!”
“เด็กที่แม้แต่วงจรย์เวทย์ยังไม่สมบูรณ์อย่างคุณ จะเอาอะไรมาฆ่าฉันหรือคะ?”
“—แก!!”
ใบหน้าของอันนาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแค้น และตัวผมก็ได้เดินเข้าไปแทรกโดยไม่รู้บรรยากาศทั้งอย่างนั้น
ผมก้าวเท้าด้วยความสงบ เพราะมีแบ็คอย่างเซบาสเตียน
“อย่าทะเลาะกันเลยน่า”
ทันทีที่ผมเข้าไปแทรก ทั้งหญิงแก่แม่บ้าน และอันนาต่างตกใจกันแทบจะกระอักเลือด
“-ท ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้!?” อันนาโพ่งขึ้นด้วยความตกตะลึง ผมเองก็ตอบไปตรงๆ
“จริงๆแล้ว ..ฉันแอบดักตามอันนาตั้งแต่แรกแล้วละนะ โชคดีที่เป็นไปตามที่คาดไว้ด้วย” ผมขยิบตาให้ทั้งสองด้วยใบหน้ากวนส้นตีน “ไม่ขอโทษหรอกนะที่แอบสะกดรอยตามสาวน้อย ที่สำคัญฉันต้องขอรีดข้อมูลทั้งหมดที่มีด้วย เข้าใจนะทั้งสอ—”
ไม่ทันพูดจบ โซ่ลมก็ถูกปลดออกจากอันนาและตวัดข้างใส่ผมแทน ความเร็วนั้นมากประหนึ่งกระสุนปืน นี่แหละความสุดยอดของเวทมนต์ในต่างโลก—-แค่โซ่นี่ก็มากพอจะบดขยี้ร่างของผมให้แหลกได้แล้ว
ทว่าทั้งๆที่ผมควรจะถูกโซ่นั่นอัดเข้าใส่แขนจนขาด เวลานั้นดันไม่มาถึงสักที เพราะโซ่ลมได้ขาดไปในทันทีที่ปล่อยมันจากอันนา
หญิงแก่และอันนารับรู้ได้ถึงความผิดปกตินั่น และ—-เอะใจได้
“—ซ เซบาสเตียน นี่แก!!!” หญิงแก่โพ่งขึ้นพร้อมกับหันซ้ายหันขวาอย่างวาดระแวง—
เงาสีดำพุ่งผ่านต้นไม้นับสิบรอบตัวไป โดยที่ทุกคนในที่แห่งนี้ไม่สามารถเห็นถึงร่างของเขาได้ เพียงเชี่ยววิเดียวที่มองเห็นเงาดำซึ่งเป็นภาพซ้านทับจากการเคลื่อนไหวแรก ร่างจริงของเซยาสเตียนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงแก่แล้ว
—สุดยอดเลยแหะ เซบาสเตียน ไวอย่างกับปีศาจ
“คิดจะทำอะไรนายน้อยขอรับ? หัวหน้าแม่บ้าน”
ชื่อของเซบาสเตียน ต่อให้เป็นคนนอกตระกูลดราแคล์ก็น้อยคนนักจะไม่รู้จัก—-เขาตัวอันตรายที่แกร่งอันดับต้นๆของอาณาจักน ‘ฟัฟนิร์’ ที่ผมอยู่
“-ป เปล่านะคะ ฉัน…ฉันไม่ได้”
“นายท่านคงจะผิดหวังกับคุณไม่ใช่น้อยเลยครับ ..คงต้องขอให้รับโทษด้วย โดยเฉพาะฐานที่คิดจะฆ่านายน้อย” เซบาสเตียนมองอย่างเหยียดหยาม
คิดจะฆ่าผม? ฆ่า? ถ้าเซบาสเตียนไม่มาช่วยไว้ ผมคงตายแหงๆ ส่วนหนึ่งเพราะยังเป็นเด็กอยู่ทำให้ในตอนนี้กระจอกเอามากๆ แค่เทียบกับเด็กทั่วไปแล้วเก่งก็เท่านั้น ช่วงที่เด็กจะสามารถเหนือกว่าชาวบ้านได้จริงๆ ก็เป็นตอนอายุ 14 ปีขึ้นไปเท่านั้นแหละ ช่วงที่วงจรเวทย์สมบูรณ์
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางพึมพำว่า “เอาเถอะ” แล้วเดินไปหาอันนาและยื่นมือให้เธอ
“อันนาเธอลุกขึ้นไหวหรือเปล่า?”
ผมหันไปถามอันนา ที่ล้มลงกับพื้นและฟกช้ำเต็มตัว และยื่นมือไปให้เธอ
“…”
เธอแก้มแดงเล็กน้อย
“…ไหวค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นผมก็เก็บมือขึ้นมากอดอกโดยไม่เหลียวแลอันนา
“ถ้านสบายดีก็ช่วยเดินตามเซบาสเตียนแบบเงียบๆไปซะนะ—ถึงจะยังเด็กแต่ก็ต้องรับโทษตามคนอื่น”
อันนาหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด ฮะๆ แกล้งตัวร้ายนี่มันสนุกดีจริงเชียว
“เซบาสเตียนฝากทีนะ เดี่ยวผมตามไปทีหลัง”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
“อืม ผมขอตัวไปตามคนที่เหลือก่อน”
หมายถึงคนที่รังแกเรเซล
*****
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ผมกับเซบาสเตียนก็มานั่งสอบถามแต่ละคนกัน เบื้องลึกเบื้องหลังจนรู้ไปถึงรากเหง้า
ผลสรุปก็คือเอาพวกที่มีส่วนมากออกจากคฤหาสน์ให้หมด พวกที่มีส่วนแต่ไม่ได้อะไรมากก็เก็บเอาไว้เผื่อในอนาคตจะมีความจำเป็นอะไร
และตอนนี้การสัมภาษณ์งานไล่คนออกก็ดำเนินมาถึงคนสุดท้าย ที่เป็นไฮไลท์แล้ว
อันนาเธอเข้ามาในห้องด้วยชุดเมดที่เปื้อนดิน ร่างมีรอยฝกช้ำเต็มไปหมด ก่อนหน้านี้เธอถูกหัวหน้าแม่บ้านทำทารุณไม่ใช่น้อยเลย
และตอนนี้สภาพจิตใจเธอคงบอดซ้ำเช่นกัน สังเกตได้จากดวงตาที่เริ่มมีน้ำตาปริ่มๆ และขอบตาที่แดงนิดๆ
…บรรยากาศดำเนินไปด้วยความอึมครึม ไม่มีใครกล้าพูดอะไรขึ้นก่อนเว้นเซบาสเตียนไว้คนหนึ่ง
“คุณคงเข้าใจถึงความผิดตัวเองดีสินะ? อันนา”
เซบาสเตียนอัดคำถามใส่อันนาแบบไม่มีรีรอ ไร้ซึ่งความเมตตาต่อเด็ก แต่ก็สมแล้วละ
“…ค่ะ ดิฉันรู้ดีถึงความผิด และรู้สึกผิดจากใจจริง” อันนากุมอกตัวเองด้วยท่าทางเสแสร้งอันสมจริง
“ที่อยากได้ยินคือใจจริงต่างหาก” ผมโพ่งขัดอันนาที่พูดรับผิด “ขอสัญญาว่าต่อให้พูดอะไรฉันก็จะไม่เอาเรื่อง”
อันนารู้ดีว่าผมเข้าใจนิสัยจริงๆของเธอดี
ผมไม่ใช่คนฉลาดอะไรหรอก แค่ผมคือนักอ่านที่ชื่นชอบในผลงานไลทโนเวลจนรู้แทบทุกซอกทุกมุมเลยละ
“ดิฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นนะคะ! โปรดเชื่อกันด้วยคะ!”
“กรุณาหยุดขึ้นเสียงใส่นายน้อยครับ อันนา”
เซบาสเตียนใช้หางตามองอันนา นั่นสร้างความตื่นตระหนกให้อันนามากเลย เธอรู้สึกกลัวกับแรงกดดันอันมหาศาลของเซบาสเตียน
“อันนาฟังให้ดีนะ เธอมันตอแหล——ฉันรู้ดี ถึงปกติไม่คิดจะทักเรื่องนี้ แต่แค่ครั้งนี้ช่วยเล่าให้ฟังได้รึเปล่าถึงความตอแหลของเธอ และใจจริงที่ทำให้เธอทำเรื่องพวกนี้น่ะ” ผมขยิบตาให้ “การตอแหลไม่ใช่เรื่องที่แย่หรอกนะ ถ้ามีเหตุผลมากพอ”
ว่ากันตามตรงไม่ว่าทางไหนผมก็ไม่ชอบใจแหละ แต่ในยุคนี้จะโกหกโป้ปดบ้างก็ไม่แปลก
“….คำแรกก็ตอแหล คำที่สองมาก็ตอแหล ดิฉันมันน่ารังเกียจถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ?”
อันนาเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เซบาสเตียนเขม็งใส่ยูนาจนเธอหงอยในทันที ผมรีบปรามเซบาสเตียนไว้ก่อน
“ขอแค่ครั้งนี้นะเซบาสเตียน” ผมมองไปที่ตาของเธออย่างจริงจัง
“เข้าใจแล้วขอรับ”
เซบาสเตียนตัดสินใจเดินออกจากห้องไป …ดีแล้วละ ไม่นั้นอันนามีหวังตัวสั่นเป็นเจ้าจนไม่เป็นอันได้คุนแหว
ผมหันไปมองยูนา
“ตอนนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็จะมีแค่ฉันเท่านั้นที่รับรู้ พูดออกมาเลย-”
“ดิฉันเกลียดคุณคะ” อันนายกขาขึ้นมาพาดกับโต๊ะ และแสยะยิ้มให้ “รวมถึงยัยเรเซลนั่นด้วย โคตรจะน่ารังเกียจเลยคะ”
…โทษที…
“คุณ …แกน่ะ มันก็แค่ไอเด็กเปรตเหลือขอที่บังเอิญเกิดมาในครอบครัวมีฐานะ และโชคดีโชคดีย์ เปี่ยมไปด้วยสภาพแวดล้อมแสนดีเท่านั้นแหละ ทั้งๆที่ไม่ได้พยายามอะไรสักอย่าง มัวแต่ใช้ชีวิตอวดดีไปวันๆ สำหรับดิฉันแกมันก็แค่ไอเด็กชั้นต่ำที่เทียบกับดิฉันไม่ได้!”
-ด ด่าแรงจังน้า
ผมจิบชาเข้าปากด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ส่วนยัยเรเซลนั่นก็เกลียดที่สุดเลย ทั้งๆที่เข้าใจสถานะของตัวเองดีแต่กลับไม่ยอมทำอะไรชั่วๆ เพื่อแก้ไขมันเลยสักนิด มัวแต่ทำดี ทำดี แล้วก็ทำดี” อันนาทุบโต๊ะดัง ปั้ง “ถามจริงเถอะ ทำไปแล้วมันจะได้ห่าอะไรละคะ? ไอคนแบบนั้นน่ะน่าโดนคนแบบคุณทำร้ายทารุณร่างกายถึงที่สุดเลย เป็นไปได้ช่วยไปถึงขั้นข่มขืนจนมีเด็กด้วยค่ะ”
——ไอขมขื่นน่ะทำมาแล้ว (ในเนื้อเรื่องต้นฉบับ) แต่ถึงขั้นมีเด็กยังไม่ถึงหรอก …ไม่สิ อย่าให้มีเลยดีกว่า ทั้งสองอย่างเลย
“เอ่อ.. คือว่านา อย่าพูดถึงเรื่องขมขื่นกับทำร้ายร่างกายดีกว่า แบบนั้นมันไม่ค่อยงาม”
“แกบอกให้ฉันพูดใจจริงเองนี่!”
“-ท โทษที เชิญต่อเลย”
อันนาถุยน้ำลายลงพื้นอย่างไม่สนไม่แคร์อะไรและพล่ามต่อ
“แล้วก็นะ ไอหัวหน้าเมดและลูกน้องทั้งหลายแม่งเลวสุดขั้วเลยละคะ แกด่าแต่ฉันว่าตอแหล ตอแหล ตอแหล ทีให้พวกนั้นไม่ว่าบ้างละคะ? ก็เห็นอยู่ไม่ใช่รึไงว่าไอหัวหน้าเมดมันทำอะไรกับดิฉันน่ะ——-ไอพวกนั้นมันน่าจะโดนจับไปให้เลือกว่าจะแขวนคือหรือขว้างท้องให้หมดเลย!!”
….แบบนี้นี่เอง
ผมอมยิ้มเล็กน้อย
“น่าโมโห น่าโมโหชะมัด! ถามจริงเถอะค่ะ ทำไมดิฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย—–ทำไมต้องมาเกิดในตระกูลเลวๆ แบบนี้ด้วย! ดิฉันน่ะนะไม่เคยพอใจเลยสักนิดกับชาติกำเนิดของตัวเอง มันน่าโมโหและน่าคับแค้นใจจริงๆคะ ที่วันๆ ต้องเอาแต่ประจบประแจงชนชั้นสูงอย่างแกเนี่ย!” อันนากุมขมับตัวเอง “ถามจริงคะ ทำไมฉันต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ด้วย..”
….
“ตั้งแต่เด็กก็โดนกรอกหูมาตลอดว่าไอตระกูลเรเซลมันชั่วมันเลว มันแย่งชิงทุกอย่างไปจากพวกเรา—-เพราะฉะนั้นต้องขยี้ให้แหลกและขึ้นเป็นใหญ่แทน เออ! ใช่แล้ว นี่แหละเหตุผลที่ดิฉันทำเรเซล แล้วก็ดิฉันรู้อยู่แล้วด้วยอะไรผิดอะไรถูก เพราะนั้นดิฉันจะไม่แถให้ตัวเองโง่ๆ แบบโดนกรอกหูแต่เด็กหรอก!!”
..เธอกัดปากตัวเองแน่นจนเริ่มมีเลือดซิบออกมา
“ดิฉันรู้ดี รู้ทุกอย่างนั่นแหละ รู้ดีกว่าไอ้โง่แบบแกด้วย…แล้วไอฉันมันก็ตอแหลสุดๆ ฉันรู้ดี——-และต่างกับแกที่ทำให้ชั่วแบบเปิดเผยโดยไม่รักษาภาพลักษณ์ตัวเอง แต่แล้วมันจะทำไมละ!? ก็ถ้าไม่ตอแหลมันก็มีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่ไม่ใช่หรือไง? …ทุกๆวัน ทุกๆวัน ต้องตีสองหน้าตลอด หลอกลวงผู้คนเพื่อให้ตัวเองอยู่หรอก ดูเลวดีสินะคะ? ฉันรู้หมดนั่นแหละ รู้หมดเลย!!
“——ดิฉันมันโคตรแม่ตอแหลเลยค่ะ!! แต่มันก็ไม่มีทางเลือกนี่น่า! …ฆ่าฉันสิ ฆ่าฉันเลย”
อันนายิ้มให้ผม
“อย่างแกน่ะแค่กระดิกนิ้วก็สามารถฆ่าเด็กชั้นต่ำแบบดิฉันได้อยู่แล้วนี่ ไอลูกคุณหนู”
….
—น้ำตาของอันนาไหลลงบนโต๊ะไม้ที่อยู่คั่นกลาง
“ดิฉันรู้ตัวดีแหละน่า!!”
…ว่าแล้วเชียว
เธอไม่ได้เลวขนาดนั้นหรอกนะ อันนา
ผมเอื้อมมือไปจับที่หัวของอันนา ด้วยแขนเล็กๆ ของเด็กวัยเดียวกัน
“..อยู่ๆมาจับทำไม”
“ร้องไห้แบบใจเย็นๆนะ เดี่ยวหายใจไม่ออก”
“..ก—-แก!!”
ผมลูบหัวอันนาเบาๆ อย่างเอ็นดู
“น่าๆ อย่าคิดมากเลยอันนา”
“…ไม่ให้คิดมากอะไร แกคงคิดจะไล่ออกสินะ หรือไม่ก็ฆ่าดิฉันที่ก่นด่าไปขนาดนั้น”
“เธอยังเด็กอยู่ ในโลกของฉันมีกฎหมายคุ้มครองเด็กด้วยนา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ถึงตายหรอก”
“-พ พล่ามอะไรของแกน่ะ แล้วก็เลิกจับหัวได้แล้ว!” อันนาปักมือที่ลูบอยู่บนหัวออก แล้วเขม็งใส่ผม “ไปตายซะ”
ผมหยักไหล่ให้กับความรั้นนั่น
“ฉันจะไม่ไล่เธอออก หรือสั่งให้ใครไปฆ่าเธอหรอกอันนา”
“..ทำไปเพื่ออะไร”
เธอไม่ได้เชื่อผม แค่ถามเท่านั้น หน้าที่ของผมคือตอบอย่างตรงไปตรงมา
“การฆ่าเธอก็เช่นกัน”
ผมถอนหายใจโล่งออกมา
เธอ อันนาก็เหมือนกับเรเซอร์——ในตอนนี้ยังเป็นแค่เด็ก ที่ต้องการผู้นำทางดีๆ เท่านั้น เธอยังไม่ใช่ผ้าที่ดำสนิทและก็ไม่คิดจะให้เธอเป็นผ้าที่ขาวด้วย เพราะผ้าที่ขาวมันดูวางเปล่าชอบกล——ที่ต้องการน่ะคือผ้าหลากสีสันต่างหาก เปรียบได้ดั่งชีวิตของคนเราที่เปี่ยมไปด้วยสีสันต์มากมาย
“ฉันขอถามแค่เรื่องเดียวอันนา เธอคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือเปล่า หลังจากนี้ที่ไม่มีเรื่องของตระกูลมาเกี่ยวข้อง”
เพราะฉะนั้นผมจะเริ่มจากเทสีแดงใส่เธอละกัน—ว่าแล้วผมก็คลี่ยิ้มให้และโพ่งไปเช่นนี้
“…”
อันนาเงียบไป เธอก้มหน้าลงและครุ่นคิดกับตัวเอง
แบบนี้ดีแล้วละ
“ไปขอโทษเรเซลด้วยนะหลังคุยจบ”
“….”
อันนาทำหน้ายุ่งยากชอบกล ให้เดาเธอคงคิดถึงภาพที่ไปขอโทษเรเซลที่รังแกมาตลอด น่าจะอับอายและสับสนไม่ใช่น้อย
แต่ว่านั่นก็คือสิ่งที่ต้องฝ่าฟันไปให้ได้อะนะ ชีวิตคนเรามันต้องแบบนี้แหละมั้งนะ ว่าแล้วก็หยอดมุกตลกยอดนิยมที่ประเทศเก่าผมดีกว่า
“เธอไม่ใช่นักมวยสักหน่อย อาชีพเดียวกันไม่เห็นต้องตีกันเลย”
เธอกระแอมไอกับตัวเองเพื่อปรับอารมณ์ โดยที่มีสีแดงผุกขึ้นบนแก้มเธอ
“…ทำตัวเป็นผู้ใหญ่จังเลยนะคะ ท่านเรเซอร์”
“ฮะๆ อย่าไปนินทาฉันให้ใครฟังละกันนะ”
พอพูดถึงเรื่องนินทาคิ้วเธอก็กระตุกเล็กน้อย—-จริงๆ เลยเด็กคนนี้
“ไปได้แล้วละ”
“…จะดีหรือคะ?”
“ดีแล้วละ ไปได้ละๆ”
ผมกวักมือไล่เธอและยิ้มให้แต่อันนากลับตัวสั่นเมื่อเห็นรอยยิ้ม …ฮะๆ
“อย่าลืมไปขอคืนดีกันด้วยล่ะเข้าใจมั้ย?”
“…ทราบแล้วค่ะ หลังจากนี้จะปรับปรุงตัว—”
“เห้ยๆ ต้องพูดประมาณว่า ‘ก็ได้!! อย่าบังคับกันดิ’ สิ!”
อันนาหันหน้ามากระทืบเท้าหนึ่งที
“—-รู้แล้วน่า! หนวกหูชะมัด!!”
“-ต ต้องแบบนี้แหละ โทษทีนะ โทษทีๆ”
เหวอ เด็กสมัยนี้น่ากลัวฉิบ …
ผมถอนหายใจโล่งอก หลังจากที่อันนาเดินออกไปแล้ว
ผมปล่อยเนื้อปล่อยตัวนั่งพิงกับเก้าอี้ราคาแพง พลางแหงนหน้ามองไปยันอนาคตซึ่งต่างจากเวอร์ชั่นไลทโนเวล ..มันได้เริ่มขึ้นจริงๆ จังๆ แล้วสินะ