เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 398
< < 249 > >
อาจจะเร็วไปหน่อยนะ แต่ว่าสงครามได้จบลงแล้ว วันสิ้นโลกไม่ได้มาถึงในวันๆนี้ แล้วก็รวมถึงสงครามโบราณที่กินเวลานับล้านปีเองก็จบไปแล้วเช่นเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันสงบนิ่งลงก็ตอนที่เวลาบนโลกได้ดำเนินผ่านไปราว สองปีครึ่ง
พวกเราหวนคืนสู่วิถีชีวิตใหม่ และก็กลับคืนสู่วิถีชีวิตเดิม เรื่องที่เคยสู้เอาเป็นเอาตายแทบจะสัปดาห์ต่อสัปดาห์เหมือนเมื่อตอนนั้นมันไม่มีอีกต่อไปแล้ว
ใช่แล้วละ ปลายทางของความสุขเปิดออกมาแล้ว และพวกเราก็เดินอยู่บนเส้นทางนี้มาได้สองปีครึ่ง
ผม ‘เรเซอร์ ดราแคล์’ ไม่ใช่ตัวร้ายนิยายต้นฉบับ หรือพระเอกของใครทั้งนั้น หากแต่เป็นวัยรุ่นนักเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ ‘เรดฮออต’ ซึ่งกลับมาเปิดใหม่มาได้สองปี ปัจจุบันอายุ 19 ปี ตัวผมอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต เนคไทค์น้ำเงิน ส่วนเสื้อคลุมข้างนอกผมแขวนไว้กับไหล่ ด้วยท่าทางเช่นนั้นผมนั่งอยู่ในร้านกาแฟราคาแพง พลางเท้าคางมองออกไปข้างนอก
“..คนๆนั้น”
“รุ่นพี่เรเซอร์ที่ชนะ ‘งานประลองเฟาลี่’ นี่นา”
งานประลองเฟาลี่ คืองานประลองเวทมนตร์ใหญ่ที่จัดโดยทางสภาจอมเวทย์จากทั่วทั้งโลก และกลุ่มคนจากอิกดราซิล โดยที่งานจะเป็นการเอาจอมเวทย์จากวิทยาลัยเวทมนตร์ทั่วทั้งโลกที่ประสงค์จะเข้าร่วมมาผ่านด่านต่างๆนานา และในตอนสุดท้ายก็จะเป็นการต่อสู้แบบแบทเทิลรอยัลขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีผู้ชนะได้แค่คนกลุ่มเดียวเท่านั้น
“ได้ข่าวว่าทางราชวงศ์เขาทาบทามให้เป็น ‘จอมเวทย์ราชสำนักแล้วนะ’ อุ้ย พอมองใกล้ๆแล้วออร่าจัดมาก ..”
ไม่ว่าจะผลงานที่ขึ้นเป็นจอมเวทย์ขั้นบรรลุ หรือผลงานคว้าชัยในงานประลองเฟาลี่มาได้ ก็ทำให้ตัวผมถูกทาบทามให้เป็นจอมเวทย์ราชสำนัก ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกัน เอเธอร์ เมื่ออดีต
“วันวาเลนไทน์ฉันจะบอกรักกับเขาละ”
สาวๆกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ เอาสิ เอาเลย ถ้าทำแล้วมีความสุขก็เชิญกันเลยจ๊ะ แต่คนที่บอกรักพี่คนนี้คงรับได้แค่ความสุขนะ หึๆๆๆ
“เป็นคนหล่อลำบากจริงแฮะ”
“แกเนี่ยช่วงนี้เริ่มกลับมาเนื้อหอมก็เลิงเล่อเชียวนะ”
“อย่านอกใจเบลลามีนะ”
เกือบสามปีผ่านได้
‘กอรี่’ เป็นกอริล่ากล้ามโตสวมชุดผิดระเบียบเหมือนเคย แต่นิสัยดูจะดีขึ้นจริงๆตามที่เจ้าตัวต้องการ ส่วน ‘โซเฟีย’ ก็ยังเป็นนักเลงสาวที่แต่งตัวถูกระเบียบเหมือนกับทุกที วันก่อนเห็นว่าอยากเปลี่ยนตัวเองเลยไปทำรอยสักรูปปลาการ์ตูนที่ข้างๆเท้ามาด้วย ฮะๆ น่ารักจริงเชียวนะว่ามะ?
สุดท้ายก็ตามมาด้วย ‘เคียวยะ’ ในเสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมราวสามเม็ด เนคไทค์ก็ไม่ใช่ ไอคนแบบนี้เนี่ยนะเป็นถึงหนึ่งในสมาชิกรรมการนักเรียนอันทรงเกียรติ?
แต่ว่าก็นะ
“ระ รุ่นพี่เคียวยะ”
“ไม่ว่ามุมไหนก็หล่อ อ๊ากกก”
“วันวาเลนไทน์ฉันจะสารภาพรักกับเขา”
อ๊ะ เดี่ยวๆ เมื่อกี้พึงบอกว่าจะสารภาพรักกับผมเองไม่ใช่เรอะ? ไอนั่นใช่มั้ยที่เขาเรียกว่าเพิ่มอัตราสำเร็จโดยการสารภาพรักคนเขามั่วอะ เหวอ เด็กสาวสมัยนี้น่ากลัว
แม่นแล้วละ เคียวยะตั้งแต่ขึ้นปีสองมาก็เปลี่ยนไปมหาศาล ร่างกายที่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่มีกล้ามเนื้อสุดลีนอยู่ข้างใน ผิวสีขาวที่ดูสง่างาม หากแต่งหญิงก็บอกได้เลยว่างามแหงๆ หรือกระทั่งทรงพลังที่ตอนนี้เปลี่ยนมามัดจุกเผยให้เห็นดวงตาที่สวยโคตรๆนั่นอีก ด้วยคุณสมบัติมากมายนี้ ตอนนี้หมอนี่ก็ได้กลายเป็นหนุ่มหล่ออันดับหนึ่งของโรงเรียนไปเสียแล้ว
“โทษทีที่แย่งเหยื่อ”
“เหยื่ออะไรกัน ไอฉันมีคนรักเป็นตัวเป็นตนแล้วนาจะบอกให้ แล้วที่บอกว่าแย่งนี่หมายความว่าจงใจโปรยสเน่ห์นี่เอง แหม่ๆ สมกับเป็นคุณ ‘อันดับสอง’ ใน ‘งานประลองเวทมนตร์’ เลยนา”
“หา!? หนวกหูน่า รอบหน้าไม่แพ้แน่”
“มีรอบหน้าซะที่ไหนกันละ เฮ้อ นายเนี่ยนะ แค่อยู่เงียบๆแล้วจับมือกับฉันไปจนจบก็พอละแท้ๆ แต่ดันอยากเป็นที่หนึ่งคนเดียวแล้วหันมาซัดฉันเฉยเลย ผลลัพธ์มันเลยลงเอยที่อันดับสองไงเล่า”
อนึ่ง ผมกับเคียวยะจับกลุ่มกันแค่สองคน ตะลุยด่านมากมาย และจบที่แบทเทิลรอยัลซึ่งพวกเราชนะได้แบบง่ายๆ แต่เคียวยะดันเกรียนแตกอยากเป็นอันดับหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว ทำให้พวกผมต้องสู้กัน และก็เป็นผมที่กำชัยมาได้
ระดับมันต่างกันครับน้องชาย ..แต่ให้พูด ผมเกือบแพ้แฮะ เพราะงานประลองเวทมนต์นี้มันจะแบนอุปกรณ์วิเศษ และให้ใช้แค่ของที่เตรียมมาให้ ของจำพวก [HOPE] รึ [เรลันดาฟ] เลยใช้ไม่ได้ ข้อได้เปรียบของผมเลยเหลือคแค่วิหคอมตะ กับสายเลือดของอสูร ซึ่งไม่มากพอในการเข้าร่าง [เรลันดาฟ]-[เทพอสูร] ได้ ทำให้นั่นแหละนะ เกือบโดนเคียวยะโค่นลงละ
เป็นการต่อสู้ที่ดี ผมพูดได้เต็มปากเลย
“แก—!”
“พอเลยๆ ทำไมพวกแกชอบทะเลาะกันตลอดเลยเนี่ยหา?”
ก่อนที่เคียวยะกับผมจะระเบิดร้านกาแฟทิ้งกัน โซเฟียก็เข้ามาขวางกั้นเอาไว้
“รีบๆนั่งที่ได้แล้ว เคียวยะ จากนี้พวกเราจะมีประชุมลับแสนสำคัญกัน”
ผมดูดน้ำบลูฮาวายพลางคิดในใจว่าแผลลัพธ์ของหล่อนทุกคนก็รู้กันหมดละ แต่ก็ช่างมันประไรไป
“รู้แล้วไม่ต้องเร่ง”
“ไม่เร่งก็เอาแต่ทะเลาะกันไม่เลิกสิไม่ว่า”
“เข้าใจนะ เคียวยะที่ชอบผู้หญิงคนเดียวกับเรเซอร์ แต่เขาไม่เอาน่ะมันเป็นยังไง มันจะแค้นๆแล้วอยากหาเรื่องตลอกเลย เข้าใจดี”
“หุบปากไปซะ!”
เคียวยะนั่งลงด้วยท่าทางฉุกเฉียวเหมือนทุกๆที เห็นอย่างนั้นผมก็ยื่นซองจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ เป็นจดหมายจากราชสำนัก
“..นี่มัน?”
“จดหมายทาบทามให้เป็นจอมเวทย์ราชสำนักน่ะ พอฉันปฏิเสธไปทางนั้นก็วานให้ฉันเอามาให้แก่ต่อเลย เหอะๆ มารยาทงามชะมัด”
“รับมาแล้วก็ฝากปฏิเสธกลับไปให้ด้วยละกัน”
ได้ยินอย่างนั้นโซเฟียก็ตกกระใจซะยกใหญ่
“ปฏิเสธง่ายๆแบนนั้นจะดีเหรอ!? เป็นถึงจอมเวทย์ราชสำนักเลยนะ!”
“แล้วไงก็คนไม่ได้อยากเป็น”
“แต่ว่า ..นั่นตำแหน่งที่มีไม่ถึงสิบคนในอาณาจักรด้วยซ้ำนะ”
เป็นตำแหน่งจอมเวทย์ที่จะได้สิทธิ์พิเศษมากมายมหาศาล และเป็นเครื่องยืนยันในการเป็นหนึ่งในนักเวทย์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดบนโลกใบนี้ อย่างเอเธอร์ก็เคยดำรงตำแหน่งนี้ในฐานะดาราเด่นอันดับหนึ่งเลยละ
“ฉันจะทำงานกับ ‘ไอริส’ ไม่อยากได้ตำแหน่งที่ไม่จำเป็นมาหรอก”
‘ไอริส’ คุณหัวหน้ากรรมการนักเรียนซึ่งเมื่อปีก่อนจบการศึกษาไปแล้ว เห็นว่าตอนนี้กำลังเตรียมการณ์ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป–นั่นสินะ ถ้าจะช่วยไอริสที่อยากเปลี่ยนระบบการปกครองหลายๆอย่างแล้วจะให้เป็นจอมเวทย์ราชสำนักนี่ก็คงไม่ไหว
แล้วก็เช่นเดียวกัน ‘หนิง’ ที่อยู่ปีสามปีก่อนก็จบไปแล้วเหมือนกัน ส่วนเรื่องที่ทำอะไรอยู่ผมก็ไม่ทราบ แต่เขียนจดหมายมาเล่าให้พวกเราฟังเป็นระยะอยู่ๆ ดูท่าจะไปเรียนรู้วิธีทำอาหารจากทั่วทั้งโลกแหละ
ด้วยเหตุนี้เองตอนนี้พวกผมเลยขึ้นมาอยู่ปีสามแทนได้ครึ่งปีแล้ว อีกครึ่งปีพวกผมก็ต้องเรียนจบ และแยกย้ายไปทำหลากหลายอย่างกัน
นึกแล้วก็เศร้าหน่อยๆแฮะ บรรยากาศจบการศึกษาเนี่ย ..
“เบลลามีกับยูจิ จะจบการศึกษาก่อนพวกเรา” กอรี่โพล่งขึ้น “นึกแล้วก็เหงาๆนะ”
“ช่วยไม่ได้นี่นา ทั้งสองคนตั้งใจจะไปเรียนต่อที่ ‘อิกดราซิล’ เวลาเปิดมันเร็วกว่าที่นี่เลยต้องเร่งจบไปก่อนน่ะนะ ไอน่าเสียดายก็น่าเสียดายอยู่หรอก แต่ที่แห่งนั้นคือทางต่อสู่ความฝันมันก็ช่วยไม่ได้แหละนะ”
ราวเดือนก่อน เบลลามีกับยูจิยืนยันแล้วว่าพวกตนอยากจะเรียนต่อที่อิกดราซิล ก็เลยไปสอบ แล้วก็สอบติดเป็นอันดับหนึ่งและสองเช่นเดียวกับตอนสอบเข้าที่เรดฮอต ทั้งสองคนกลายเป็นนักเรียนทุนอันทรงเกียรติ ผลพึ่งจะประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนเองมั้ง
ยูจิจะเข้าวิศวะอุปกรณ์เวทมนตร์ ส่วนเบลลามีเข้าเกี่ยวกับการวิจัยมานา
อ่า ใช่ โรคเกี่ยวกับมานายังไม่หายไปหรอกนะ มันยังคงอยู่ แต่ว่าสามารถแตะต้องเพื่อรักษามันได้แล้วจากที่แต่ก่อนทำไม่ได้ ทำให้เกิดสาขาเกี่ยวกับการวิจัยโรคทางมานาเฉพาะด้านขึ้น และเบลลามีก็จะเข้าไอนั่นน่ะแหละ ตามเป้าหมายเดิมของเจ้าหล่อน
อย่างไรก็แล้วแต่ จากกฏของโลกที่ถูกทำลายไป ทำให้โลกใบนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทีเดียว ..อย่างวิหคอมตะเองก็ไม่ได้ไร้เทียมทานเท่าเมื่ออดีต ผมสัมผัสได้ถึงขีดจำกัดอย่างชัดเจน แล้วก็อีกหลายๆอย่าง คนที่ได้รับผลกระทบก็ไม่ได้มีแค่ผมด้วย
แต่ว่า ..โลกที่เป็นอย่างตอนนี้นั้นดีแล้วละ
“เข้าเรื่องๆ!” โซเฟียโวยวายขึ้นมา “บรรยากาศเศร้าๆไม่เหมาะกับคุยงานหรอกนะ เจ้าพวกบ้า”
“รู้แล้วน่า รีบๆพูดซะสิ”
“ถ้านั้นก็—เกี่ยวกับเรื่อง ‘งานเทศกาลโลหิตมังกร’ วันมะรืนนี้เพื่อส่งท้ายให้สองคนนั้นเดินทางไปอิกดราซิลโดยสวัสดิภาพ”
****
พวกเราคุยงานกันนานหลายชั่วโมงทีเดียว รู้ตัวอีกทีก็สองทุ่มได้ละ ผมเลยเดินล้วงกระเป๋ากลับหอ ทั้งๆที่มีคฤหาสน์ประจำตระกูลอยู่แล้วแต่ดันวอนนาบีอยากใช้ชีวิตเป็นเด็กหออยู่ ตัวผมนี่มันช่างสิ้นเปลืองเสียจริงๆ–ระหว่างที่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย
“อ๊ะ ก็ว่าใคร”
“คุณเรเซอร์ บังเอิญจังเลยนะครับ”
ผมเดินมาเจอกับ ยูจิ และเรย์ สองคนนี้ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากในทางร่างกาย ยกเว้นยูจิที่ตอนนี้ผมยาวมาแตะบ่า ส่วนเรย์ก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
ด้วยการแพทย์ระดับสูงทำให้เรย์รอดพ้นจากสภาวะเลวร้ายช่วงสงครามมาได้ แต่กว่าจะบำบัดให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ก็ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็มทีเดียว แล้วก็เห็นว่ามีอาการเรื้อรังมากมายเลยด้วยหากฝืนใช้ดาบจนเกินตัว แน่นอนว่าขีดจำกัดของเรย์โดนลดลงมหาศาล สภาพตอนนี้อ่อนแอกว่าช่วงสงครามมากทีเดียว ..ของอย่างดาบมังกรเหล็กบรามุนต์ก็ไม่สามารถใช้ได้แบบเต็มร้อยละด้วย
ผลจากการก้าวข้ามเทพดาบแค่ไม่กี่นาที ทำให้เรย์กลายเป็นนักดาบที่ร่างกายมีแต่ปัญหา ถึงจะใช้วิชาดาบขั้นบรรลุได้ แต่เทียบกับนักดาบขั้นบรรลุด้วยกัน ร่างกายของเรย์ตอนนี้ด้อยกว่ามาก ช่างน่าสงสาร
“ว่าแต่ดึกๆดื่นๆมาทำอะไรกันละนั่น”
“คุณเรย์ขอให้มาเป็นคู่ซ้อมดาบน่ะครับ”
เห๋ ผมสังเกตุดูดีๆก็พบว่าร่างกายเรย์มีรอยฝกซ้ำมากมาย แตกต่างกับยูจิทำให้พอจับต้นชนปลายได้
“ลำบากหน่อยนะ”
“สนุกสุดๆไปเลยต่างหาก พูดถึงวิชาดาบมันก็ดีแบบนี้แหละน่า”
เรย์ยิ้มแย้มตอบกลับ ทำให้ผมแอบรู้สึกผิดทีเผลอคิดเองเออเอง ..เรย์มีความสุขดี ต่อให้ต้องสูญเสียหลายสิ่งไป แต่ว่า–ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งนั้น เรย์ไม่ได้เป็นที่รักของดาบ แต่เรย์น่ะรักดาบ เรื่องราวมันเป็นแบบนี้มาเสมอ
พูดคุยกันจบแล้ว ทั้งสองก็เดินผ่านพ้นผมไป ..ผมยืนมองอยู่เงียบๆ ก่อนจะเดินกลับหอ
เมื่อมาถึงก็พบกับจดหมายราวสามฉบับที่ส่งตรงมา ผมหยิบทั้งสามฉบับนั้น และเดินเข้าไปในห้อง เปิดไฟ ปลดเนคไทค์และกระดุมทั้งหมด เพื่อเตรียมตัวอาบน้ำด้วย จากนั้นก็นอนอ่านทั้งหมดอยู่บนเตียงให้หายคาใจ
‘คุณเรเซอร์เป็นอย่างไรบ้างคะ? ทางฉัน โซล่า เลนนน่อน สบายดีนะคะ อย่างที่เคยคุยกันครั้งก่อน ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ที่อิกดราซิล แล้วก็อย่าบอกใครนะคะ ..บังเอิญเจอหนิงด้วยค่ะ ยัยนั่นทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารที่ภัคตาคารอยู่ตอนนี้ เห็นว่าจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วกำซับว่าอย่ามาบอกใคร แต่กับคุณเรเซอร์ฉันไม่มีเหตุผลอะไรต้องปิดบัง ..ก็เป็นคนรักกันนี่นะคะ’
“ฮะๆๆๆ ขายเพื่อนซะ ใจร้ายจริงๆนะ โซล่า”
จดหมายฉบับแรกคือจดหมายจากอิกดราซิล ของโซล่านั่นเอง ในช่วงสองปีกว่าๆมานี้เกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้นจากเธอ ตัวผมบังเอิญมีธุระเกี่ยวกับเธอมหาศาลจนเรื่องมันลงเอยอย่างนี้
ลำดับแรก หลังจากได้สติเธอก็ถูกบังคับไม่ให้ไปเรียนที่เรดฮอตต่อ เลยต้องกลับไปทำงานที่จักรวรรดิราชามังกรสลับกับที่อิกดราซิล และเวลาก็ล่วงเลยมาถึงปัจจุบันนี้ ผมกับโซล่าตกลงคบหากัน โดยที่เธอไม่มีปัญหาเรื่องที่ผมมีคนรักหลายคนแล้ว
สุดท้ายก็ไปตกลงกับทางบ้านของโซล่า ทีแรกก็มีปัญหาอยู่หรอก แต่ไม่กี่เดือนก่อนหลังจากคว้าชัยเป็นอันดับหนึ่งในงานประลองเวทมนตร์ ทำให้ผมได้สถานะคู่หมั้นมาตามที่ทางโซล่าต้องการ เห็นว่าชื่อชั้นของผมดีด้วยเขาเลยให้ผ่าน
เรื่องของโซล่าหลักๆก็เล่าถึงชีวิตประจำวันแหละนะ เพราะอยู่ห่างไกลกัน นานๆทีเลยจะได้คุยกันตรงๆทีหนึ่ง แต่จดหมายนี่ก็คุยกันสัปดาห์ละครั้งได้
หลังอ่านจบ ผมก็เขียนจดหมายตอบกลับโซล่าอยู่พักหนึ่งจนเสร็จ เห็นว่าเหงื่อเริ่มออกเลยเข้าไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็นั่งอ่านจดหมายฉบับต่อไป
อีกฉบับส่งมาจาก เมืองชันไม เขียนโดย ‘ชินดร้า คามาเลีย’ ..เป็นเรื่องราวสถานการณ์โดยรวมของที่นั่นละนะ
เรื่องของเจ้าหญิงโทมิเรียที่ต้องรับเลี้ยง เรื่องของวินที่หลายคนตราหน้าว่าเป็นเมียเก็บของผม ..แล้วก็ เรื่องของน้องสาววินที่ยังหลับใหลอยู่ เธอยังไม่ลืมตาตื่นมาเลย พอโรคเกี่ยวกับมานาบริสุทธิ์ ถูกลดมาเหลือแค่โรคมานาทั่วไปแล้วความเป็นไปได้ที่จะรักษามันก็มีก็จริง แต่ว่ายังไม่มีใครคิดค้นไปถึงขั้นนั้น
พอเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเบลลามี เธอก็บอกว่าขอเวลาอีกสี่ปี วินก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แล้วก็เรื่องจิปาทะ เพราะผมยังเรียนอยู่เลยไม่ได้รับชินกับฟัฟนิร์มาอยู่ด้วย เลยให้พวกเขาอยู่ที่เมืองชันไมคอยดูแลคนอื่นๆไปก่อน อย่างลีน่านี่ก็สนิทกับฟัฟนิร์
อีกเรื่องที่สำคัญคือ–ดิลุคพร้อมด้วยปีศาจมหาบาปทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่าง แอสโมเดียส ลิเวีบธาน ซาตาน ลูซิเฟอร์ แล้วก็อังเฟกอร์นั้นอาศัยอยู่ที่เมืองชันไม ขณะนี้กำลังทำไร่ทำสวนกันอย่างมีความสุข เห็นว่าไว้อย่างนี้แหละ
พักหลังๆมานี้ก็ได้ยินว่าฟัฟนิร์ไปก๊งเหล้ากับเซเนียและพวกปีศาจมหาบาปด้วยกันบ่อยๆด้วย
ตอนแรกยังเหม็นขี้หน้าอยู่กันเลย ดูยังไงก็แปลกดีเนอะ ยูนา ..อ่า ลืมไปเลย
ผมแหงนหน้ามองแสงไฟบนเพดาน
“….”
ยูนาจากไปตามธรรมชาติแล้ว แต่หลายต่อหลายครั้งผมก็มักจะหลงลืมแล้วชวนเธอคุยตลอด เพราะความเคยชินด้วยละมั้ง ช่วงเดือนหลังๆมานี้ยังดีหน่อย แต่ช่วงแรกผมเคยเพ้อคุยกับยูนายาวหลายนาทีอยู่เหมือนกัน
ค่อนข้างจะน่าสมเพซ ..เนื้อความในจดหมายยังมีต่ออีกนิดหน่อย
‘แล้วก็วันงานเทศกาลโลหิตมังกร ท่านดิลุคกับคนอื่นๆจะไปด้วยนะขอรับ ผมกับท่านฟัฟนิร์เองก็ด้วย’
“จะตั้งตารอละกันนะ”
ผมเก็บจดหมายฉบับที่สอง และเปิดฉบับสุดท้าย
‘จาก แองเจลิน่า เรื่องเกี่ยวกับเอเธอร์’
ผมเปิดมัน และบรรจงอ่านทั้งหมดอย่างจริงจัง
หลังจากที่สงครามจบลง เอเธอร์และทูตสวรรค์ที่เหลือรอดอีกสองคนได้ถูกจับตัวไป แต่แองเจลิน่าใช้เส้นสายดึงตัวของเอเธอร์มาดูแลเอง เธอเก็บเรื่องของเอเธอร์ไว้กับทางสภาโลก แล้วก็ตกลงสัญญากับเอเธอร์หลายประการด้วยกัน
อย่างไรก็แล้วแต่ เอเธอร์อยู่ในการดูแลของแองเจลิน่า แล้วเธอก็มักจะส่งจดหมาย หรือมาพูดคุยกับผมเองเรื่องของเอเธอร์
“..แบบนี้นี่เอง”
ผมนั่งอ่านเรื่องราวทั้งหมดจากจดหมายเป็นพักใหญ่ๆ ก่อนที่วันๆนี้จะจบลง