< < 248 Sec2 > >
ภายในราชวังศ์สีขาว และหน้าบังลังค์ของ ‘พระเจ้าสูงสุด’ ‘มารี’ นั้น ..เจ้าตัวเดินมาย่อๆยืนๆอยู่ตรงหน้าผมกับออโรโบรอสซ้ำไปมา
“ไม่ได้พบกันนานนะ ออร่า แล้วก็ .. เรเซอร์ ดราแคล์? พอดูใกล้ๆก็เป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาดดีนะเนี่ย อืมๆ”
“อ่า ยินดีที่ได้รู้จัก?”
“ใช่แล้วละ พวกเราพบกันจริงๆครั้งแรก แต่ทางข้าก็พอจะรู้อะไรหลากหลายอย่างจากโลกเบื้องล่างได้แหละนะ จึงได้เข้าใจทุกอย่างตรงกันได้ เช่นนั้นก็ขอถือวิสาสะเรียกว่า ‘ลูกเขย’ ละกันนะ”
“ดะ ..ด้วยความยินดีครับ”
“อุ้ยตายว้ายกรี๊ด!!!”
..อะไรฟร้ะนั่น พระเจ้าสูงสุด? เอ่อ
มารี ดูจากชื่ออาจจะเป็นผู้หญิง วิธีพูดกับน้ำเสียงก็-ดูเหมือนผู้ชายผสมผู้หญิง หรือที่เขาเรียกกันว่าผู้ชายแต๋วก็น่าจะใช่ แต่พอมองดูใกล้ๆกับวิเคราะห์ดูเป็นไปได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงเลย เอาเป็นว่ายากจะเข้าใจเพศสภาพ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอยู่แล้ว ที่ผมงงคือเหตุใดพระเจ้าสูงสุดคนนั้นถึงได้มีท่าทางดี๊ด๊าเช่นนี้กันนะ
“เสียใจด้วยนะ ท่านมารี จะไม่มีลูกเขย หรืออะไรทั้งนั้น เพราะทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ข้าต้องการ” ออโรโบรอสเข้าเรื่อง “บังลังค์พระเจ้าจะต้องเป็นของข้า ได้เวลาที่ท่านจะต้องกลับคืนสู่โลกใบนี้แล้ว”
“..ออร่าเนี่ยยุ่งจังเลยเนอะ” มารีส่งซิกให้ผม
“อ่า ใช่ครับ เป็นตัวปัญหาทีเดียวไอหมอนี่”
แม้พวกผมจะตั้งใจเล่นตลกกัน แต่ออโรโบรอสตอนนี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น เห็นดังนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าเรื่องแล้ว
“อะแฮ่ม ถ้านั้นก็—บังลังค์พระเจ้าจะมีคนนั่งได้แค่คนเดียวเท่านั้น”
ออโรโบรอสเดินเข้าใส่ ผมถอยหลังไปครึ่งก้าว—ไม่จำเป็นต้องให้มารีพูดจนจบ ผมกับออโรโบรอสแลกหมัดกันไปคนละที
ตุ้บ!!!!!! เสียงหมัดอัดเข้ากลางคางของออโรโบรอสดังสนั่น ส่วนผมโดนแค่เสียดๆตรงแก้มเท่านั้น ด้วยจังหวะการเคลื่อนไหวกับสรีระร่างกายที่ดีกว่า ทำให้ผมเหนือกว่าออโรโบรอสได้ในการแลกหมัดครั้งนี้ ผมไม่รอช้า อาศัยแรงเคลื่อนตัวใช้หมัดอัปเปอร์คัตอัดเข้ากลางลิ้นปีซ้ำไปมาราวสามครั้ง ก่อนจะใช้ขาถีบออโรโบรอสจนปลิวไปนับสองเมตรได้
“อุ้ก ..” ออโรโบรอสกระอักเลือด
“..พระเจ้าสูงสุด มารี ภาพที่จะได้ดูต่อจากนี้มันอาจไม่ใช่ภาพที่ดีสักเท่าไหร่นะ”
“รู้อยู่แล้วละ”
มารียิ้มให้แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร หรือว่าออโรโบรอสจะไม่ได้สำคัญอะไรเลย? ผมไม่อาจทราบได้ ต่อให้หมอนี่อยากจะคืนชีพมารีมากขนาดไหน แต่มารีอาจจะไม่เคยมองหมอนี่ในแนวทางที่เกินกว่าเครื่องมือเลยก็เป็นไปได้เหมือนกัน
แต่จะยังไงก็ช่าง ทั้งหมดมันแค่ข้อสันนิฐาน สุดท้ายผมก็ไม่ใช่พระเจ้า–ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น พูดถึงสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็มีแค่–
“กัดฟันไว้ให้แน่นๆละ ออโรโบรอส”
กระทืบอีกฝ่ายให้เละ
“ย๊ากกก!!”
ออโรโบรอสอาศัยแรงฮึดลุกขึ้นมาสวนหมัด แต่ผมใช้จังหวะฟุตเวิร์คหลบ และสวนกลับเข้าที่คางอีกหนึ่งครั้ง นั่นทำให้ออโรโบรอสเดินเซไปข้างหลัง ผมก้าวเข้าไปปล่อยหมัดแย็ปซ้ำใส่หมอนั่นที่มุดกระดองเต่าหนี
“คึก!!!”
จังหวะสวนกลับผุดขึ้นอีกครั้ง ออโรโบอสพุ่งผ่าหมัดผมเข้าประชิด หมายจะทำอะไรบางอย่าง แต่ผมเมินเฉย และพุ่งสวนกลับด้วยหัวเข่า ผมลอยเข่าใส่กลางตัวออโรโรบอส น้ำหนักชนกับน้ำหนัก ซึ่งผมมากกว่า ทำให้ออโรโบรอสมีท่าทางจะล้มลงกับพื้น ผมอาศัยช่องว่างที่เสียการควบคุมนี้ ซ้ำศอกเข้าไปที่เบ้าหน้าออโรโบรอสอีกหนึ่งครั้ง
ตุ้บ!!!!! เสียงกระแทกดังราวกับกระดูกหัก เลือดกระเซ็นเข้าหน้าผม และเปื้อนเท้าของมารีที่อยู่ใกล้ๆ
“..ลุกขึ้น”
“..”
ผมรอออโรโบรอสลุกขึ้นจนพร้อม จากนั้นก็ส่งเจ้าตัวลงไปนอนอีกครั้งด้วยปลายศอก
“ลุกขึ้น”
“..อาาาา–อุ้ก!”
ผมซ้ำอีกครั้ง แต่รอบนี้ก่อนที่เจ้าตัวจะล้มลงไป ผมก็จับเข้าที่ปลายแขนและดึงเข้ามาแทงเข่าเข้าใส่
“อั้ก!!”
“คิดว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะใครกัน”
“อา..หนวกหูน่า”
“ตอบมาซะ”
ผมผลักออก และตะบันหมัดเข้าที่หน้า ส่งออโรโบรอสลงไปนอนกองกับพื้นอีกรอบ
“ตอบมา”
บางทีผมกับยูจิน่าจะคิดถูก ที่ได้สู้กับออโรโบรอสในสภาวะไร้มานาทั้งคู่เช่นนี้–น่ะนะ
“..เรื่องนั้นข้าเองก็อยากจะถามกลับ คิดว่าเป็นเพราะใครกันล่ะ ..อย่าทำตัวเหมือนเป็นผู้เสียหายไปหน่อยเลย มนุษย์” ออโรโบรอสลุกขึ้นยืน เผยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดและรอยฝกซ้ำมากมาย “คนที่ต้องสูญเสียคนสำคัญคนแรกมันข้าต่างหาก!”
ออโรโบรอสวิ่งเข้าใส่ ตั้งใจจะเอาให้ผมล้ม แต่ว่ามีแรงไม่มากพอ ผมใช้ปลายศอกกระแทกเข้าที่กลางหลังของออโรโบรอสซ้ำไปมา
“เอาคืนมาซะ เอาท่านมารีคืนมา!!”
“แกต่างหาก เอาเวลานับล้วานที่เสียไปทั้งหมดคืนมา–เอายูนาคืนมาด้วย!”
“บัดซบเอ้ย!!”
หมัดสวนกลับครั้งนี้ ผมคือผู้ชนะอย่างไม่ต้องบรรยาย ออโรโบรอสหน้าสะเทือน
“แก–”
สุดท้ายออโรโบรอสก็ทนรับแรงมากกว่านี้ไม่ไหว ล้มลงไปกองกับพื้น รอบนี้ผมไม่ปล่อยไว้ขึ้นไปค่อมบนตัว เอาเข่าสองข้างทับแขนของออโรโบรอส และตะบันหมัดอย่างบรรจงเข้าใส่หน้าของออโรโบรอสอย่างช้าๆ แต่สุดแรงทุกครั้ง
“แก ..แก ..แก!! เอาคืนมาให้หมดซะ เอาทุกอย่างคืนมา ..เอาร่างของเพื่อนฉันคืนมาด้วย!!”
“..คุณเรเซอร์?”
“ยะ ยู—จิ”
ผมพลาด โดนออโรโบอสสวนกลับเข้าเต็มคาง หมอนี่ใช้เบ้าหน้าของยูจิและจังหวะนี้ได้ทีเอาใหญ่
“สมกับเป็นพวกมนุษย์ โง่ซะจริงๆ!” ออโรโบรอสเตะใส่ผมรัวๆ “ไปตายซะ!! มนุษย์อย่างพวกแกที่พรากคนๆนั้นไปจากข้า ไปตายให้หมดซะ!!!”
“แกต่างหาก ไอสารเลว!”
ผมเตะสะกัดขาของออโรโบรอสจนทรุด จากนั้นก็ถีบให้ล้ม ตามด้วยลุกขึ้นมาถีบๆเหยียบๆซ้ำไปมา แม้แต่ผมสติก็เริ่มไปตามออโรโบรอสแล้ว จากที่สู้แบบเป็นมวย ตอนนี้สภาพผมไม่ต่างอะไรกับหมาวัดกัดกัน ผมกับออโรโบรอสฟัดเหวี่ยงกันแบบไม่ได้เรื่อง มีดีแต่ใส่แรงแบบไม่เข้าเรื่อง เพราะอารมณ์มันนำพา เตะไม่โดน ต่อยสุดแรงไม่โดน ใช้หักโขกแลกกัน เอาตัวชน จับเหวี่ยง หลากหลายสารพัด
แต่ว่าเพราะร่างกายเป็นแบบนี้ ไม่นานการต่อสู้ก็จบลง ..ที่ผมเป็นผู้ชนะ
ออโรโบรอสหายใจหอบ สภาพเหมือนว่าจะเข้าใกล้กับลมหายใจสุดท้ายเข้าไปทุกที ผมก็อยากจะทำให้มันจบๆอยู่หรอก แต่ว่า ..
“รอดไปนะแกที่หลบอยู่หลังของยูจิ”
“..อา..อา”
ดูท่าอยากจะตอบกลับผม แต่ทำไม่ได้เพราะตอนนี้ไม่มีกระทั่งแรงจะพูด หรือไม่ก็กรามน่าจะเละไปแล้ว
อย่างไรก็แล้วแต่ ผมลุกขึ้น และหันไปหามารีที่เฝ้ามองการต่อสู้จนจบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มไม่มีเปลี่ยน
“..พอใจรึยัง”
“ไม่ชอบเลยนะ ความรุนแรง”
“โลกที่ปราศจากความรุนแรง ฉันอยากจะสร้างโลกใบนั้นให้ใกล้เคียงกับอุดมคติที่สุด”
อุดมคติไม่มีวันเป็นจริง แต่การไล่ตามมัน จะทำให้สิ่งที่ปารถนานั้นใกล้เคียงกับมันได้อย่างน้อยๆก็จะได้โลกที่ใกล้เคียงกับอุดมคติมา เพราะเชื่ออย่างนั้น ผมเลยโพล่งออกไป
“..ไม่ทำแบบเด็กที่ชื่อเรนล่ะ? ดูมีความเป็นไปได้มากกว่าอีกนะ”
“ต้องเป็นโลกที่มนุษย์ใช้ชีวิตของตัวเองกันจริงๆสิ ไม่ใช่โลกที่มีพระเจ้ามาควบคุมทุกสิ่ง ..ช่วยกันสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมา มนุษย์ทุกคนมีส่วนสำคัญ เป็นหนึ่งในฟันเฟื่องชิ้นหนึ่งต่างหากถึงจะถูก”
“เพราะอย่างนั้น กฏแห่งโลก และพระเจ้าจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็น?”
“ใช่แล้วละ มารี หลังจากที่ฉันได้ขึ้นเป็นพระเจ้า ฉันจะทำลายทุกอย่างทิ้งให้หมด จะทลายสวรรค์และนรก ..ฉันคนนี้จะเป็นมนุษย์คนแรกที่นำพาโลกไปสู่จุดจบเอง แล้วจากนั้นก็จะมีมนุษย์คนที่สองและสาม ยับยั้งไว้ไม่ให้มันถึงจุดจบ โลกจะดำเนินไปต่อเช่นนี้ เป็นโลกที่จะไปต่อหรือจบแค่นี้ก็อยู่ที่มือของเรา”
และโลกที่ผมปารถนานี้ ไม่ใช่โลกของเรน ไม่ใช่โลกของออโรโบรอส หรือโลกของดิลุค
“โทษทีนะ แต่ฉันจำเป็นต้องทำให้พระเจ้าไม่มีอยู่จริง”
“ว่ากันตามตรง ตัวตนของข้าก็ใกล้เคียงกับคำว่าไม่มีอยู่จริงเข้าไปทุกทีแล้วนั่นแหละนะ ..หลังจากที่ให้กำเนิดบุตรทั้งสอง พลังในการควบคุมโลกใบนี้ก็หมดไปแล้วละ ไม่เหลืออะไรเลย เหลืออยู่ก็แค่บังลังค์ที่ตัวข้าทำอะไรกับมันไม่ได้อีกแล้วก็เท่านั้น”
“…..”
“จะลงให้ก็ได้ ตั้งใจจะบอกแบบนี้นั่นแหละ”
“ขอบคุณนะ แล้วก็ขอโทษ”
“ไม่มีปัญหา—ฝากดูแลลูกๆของข้าด้วยนะ ‘จอมมารแห่งจุดสิ้นสุด’ ”
กล่าวจบ มารีก็เดินผ่านผมไป เมื่อชำเลืองมองตามก็พบว่าเขาไม่อยู่ในที่แห่งนี้อีกแล้ว
“..แน่นอนอยู่แล้งสิ”
ผมเดินตรงไปอยู่หน้าบังลังค์ ขณะที่ออโรโบรอสพยายามขยับร่าง และยื่นมือมาหยุดผมไว้ แต่ว่าระยะห่างมันไกลกันเกินไป ผมถอนหายใจเฮือกโตก่อนนั่งลงบนบังลังค์สีขาว
ทุกอย่างที่ผมปารถนาได้กลายเป็นจริงต่อจากนั้น ..บังลังค์สวรรค์เกิดการสั่นสะเทือน และเริ่มมีรอยแยกเกิดขึ้นมากมาย เครื่องประดับทองคำทั้งหลายละลายกลายเป็นของเหลวมานา ผมนั่งเท้าคางอยู่เฉยๆ และหลับตาลง
กฏแห่งโลกถูกทำลาย สวรรค์และนรกถูกทำลายโดยจอมมารแห่งจุดสิ้นสุด เรื่องราวลงเอยด้วยประการฉันนี้—ความทรงจำของพระเจ้าสูงสุดไหลเข้าสมองผมในคราเดียว จากนั้นหลายๆเรื่องราวก็ค่อยๆไหลเข้ามา ยุคสมัยสู่ยุคสมัย ความเป็นไปทั้งหมด ชีวิตทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังไหลเข้ามา
ชั่วขณะหนึ่งของโลกใบนี้ ผมได้กลายเป็น ‘พระเจ้าสูงสุด’ ก่อนจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น ‘จอมมารผู้ทำลายล้างโลก’
ราชวังศ์สีขาวรู้สึกตัวอีกทีก็เหลือแค่บนบังลังค์ และห้องโถงเล็กๆแห่งนี้เท่านั้น ..ผมหรี่ตามองคนตรงหน้ามากมาย
ทวยเทพทั้งสิบ นอกเหนือจาก เทียแมธ เอโด-เวโด้ และอานิม่า ต่างยืนเรียงรายอยู่เบื้องหน้าผม ทุกชีวิตคุกเข่าให้ ยกเว้นออโรโบรอสที่ยืนกัดฟันกรามแน่น
“ขอโทษด้วยนะ แต่..จงหายไปซะนี่คือคำสั่ง เหลือไว้เพียงแค่อำนาจที่สืบต่อกันไปบนโลกใบนี้”
ทุกชีวิตพยักหน้ารับ และสลายกลายเป็นมานา เหลือแค่ออโรโบรอสคนเดียว
“..ทั้งหมดเป็นเพราะแกคนเดียว ..”
ผมพยักหน้ารับ และเฝ้ามองออโรโบรอสที่ค่อยๆสลายกลายเป็นมานา–เหลือไว้เพียงร่างกายเนื้อของยูจิ
“..จบสักที”
ผมถอนหายใจอีกครั้ง ลุกขึ้นยืน เดินไปคว้าตัวยูจิและดึงขึ้นมาแบกไว้บนหลัง จากนั้นก็รอเวลาให้สวรรค์ถูกทำลายจนหมด—ภาพได้ตัดไปอย่างเชื่องช้า
ผมปรากฏตัวอยู่บนพื้นผิวของทะเลทราย ณ แดนนรกกินคน ในขณะที่ทั้งร่างของผมถูกหุ้มด้วยแสงสีขาว ..อ่า นั่นสินะ มันจะจบง่ายๆแค่นี้ได้ที่ไหนกัน
“อ่าวฮึบ!”
ผมโยนยูจิให้พ้นจากวงแสงสีขาวที่ปกคลุมร่างนี้ จากนั้นก็หลับตาลง รอให้ขั้นตอนอะไรหลายๆอย่างมันเป็นไปของตัวมันเอง ….หลังจากนี้อีกไม่นาน ผมจะต้องแก้ไขโลกใบนี้ตั้งแต่รากเหง้าของกฏ จำเป็นต้องท่องไปทั่วทั้งประวัติศาสตร์ของโลกในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มารีได้ปรากฏตัว และเวลาที่ต้องใช้ในการท่องเวลานั้น
มีความเป็นไปได้ที่จะมากกว่าล้านๆปี หรือไม่ก็อาจจะสั้นแค่ไม่กี่วิ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ผมไม่อาจทราบอะไรได้เลย แล้วก็ ใช่ เวลาบนโลกใบนี้จะไม่หยุดรอผม มันจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ถึงตอนนั้นแล้วโลกอาจจะถึงจุดจบไปแล้วก็ได้เช่นกัน เหมือนกันกับชีวิตของคนสำคัญมากมายที่ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ
“….”
นี่แหละสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
ผมไม่ชอบการบอกลา รู้สึกตัวมาตั้งนานแล้ว แต่พึ่งจะยืนยันได้ก็ตอนที่ยูนาจากไป ผมเกลียดการลาจากจริงๆ เพราะอย่างนั้น จะดีมากเลยถ้าเกิดไม่มีใครหน้าไหนที่รู้จักกันวิ่งตรงมาหา–แน่นอนว่าความปารถนาของผมมันนานๆทีจะเป็นจริง
“..เรเซอร์”
เสียงของเบลลามีดังขึ้น จากข้างหลังนั้นเหรอ? ผมหันกลับไปมอง และเกินกว่าที่ผิดหวังเอาไว้ไปไกลเลย ไม่ใช่แค่คนเดียว เบลลามี เคียวยะ หนิง ชิน ฟัฟนิร์ ยืนอยู่ข้างหน้า และมีปีศาจมหาบาปยืนอยู่ข้างหลังผม เบลลามีหรี่ตามองครู่หนึ่งก่อนเปิดปากพูด
“..พวกเราพอจะเดาได้น่ะว่าเกิดอะไรขึ้น และจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ก็เลย”
มาดักรอนั่นเอง ผมหัวเราะแห้งๆ
“…ดิลุคไม่มาด้วยรึ?”
“ดิลุคบอกไม่อยากมา”
คนรักของตัวเองไม่อยากมาบอกลา อยากจะร้องไห้ออกมา แต่ผมกลั้นเอาไว้ ช่างย้อนแย้ง ไม่ชอบการบอกลาแท้ๆ แต่ดันเศร้าตอนโดนเมิน
“ระ เหรอ นั้นสินะ ..” ผมก้มหน้าลงอย่างหดหู่ “น่าเสียดายนะ”
“กลับมาเร็วๆละ”
หนิงโพล่งขึ้น
“ถ้านานเกินไป จะเปิดร้านอาหารรอ ..อืม อ๊ะ พูดตรงๆก็ได้ ฉันอยากจะให้นายเป็นคนชิมอาหารที่ฉันทำในร้านเป็นคนกลุ่มแรกเลย เพราะอย่างนั้นถ้านานเกินไปเลยไม่ได้ อย่างมากให้ได้แค่–สองปี!”
ไอผมที่มีเลขสุมเวลาสูงสุดเป็นล้านๆๆๆๆๆๆปีเนี่ยนะ ภายในสองปีนี่เป็นไปได้ยาก แต่ว่า-
“เข้าใจแล้ว จะรีบไปชิม คาดหวังอาหารเกรดเดียวกับภัตคารห้าดาวอยู่นะ”
“สิบดาวไปเลย”
มีถึงที่ไหนล่ะ โม้ไปเรื่อยนะยัยบ๊องนี่
“แล้วก็เรื่องของยูจิ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปซะนะ”
“ต่อให้ต้องรอเป็นร้อยปีก็จะรอ ฉันรอได้ ไม่ต้องห่วง”
พูดเป็นลางตลอดเลยนะยัยนี่ …ต่อไปก็–เหวอ!?
“อึก ฮือ ..ไอบ้าเอ้ย ไอบ้าเอ้ย!!”
เคียวยะร่ำไห้เสียยกใหญ่ น้ำตาไหลอย่างกับเด็กน้อยที่ห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไม่ได้
“…”
ผมทำอะไรไม่ถูก เลยเลือกจะเบืองหน้าหนี ..ไอหมอนี่ ไหนๆก็วางคาแรคเตอร์ไว้ซะขรึมแล้วก็ช่วยขรึมให้มันตลอดได้เปล่าเนี่ย จู่ๆมาเดเระแตกแล้วเป็นแบบนี้ ไอฉันก็สุดจะรับมือเหมือนกันนะเห้ย
“จะรอคอยวันที่ท่านกลับมานะขอรับ ท่านเรเซอร์ ..เพราะพวกเราเป็นนายบ่าวรักเดียวใจเดียว ตัวผมจะไม่หายไปไหนอีก”
“พูดได้ดีนี่ สมกับเป็นอัศวินที่หนึ่งในใจของฉัน ฝากดูแลเรเซลกับอันนาด้วยละในตอนที่ฉันไม่อยู่ แต่ว่าห้ามขโมยไปเชียวนะ พวกเธอเป็นผู้หญิงของฉัน อย่าริอาจใช้ใบหน้าหล่อๆนั่นมาหลอกล่อเป็นอันขาด อ๊ะ แล้วก็ช่วยกันพวกโจรขโมยด้วยนะ”
“…รับบัญชาขอรับ”
ดูชินจะฝืนหน่อยๆ ต่อมาก็ฟัฟนิร์
“รอเสมอ เท่สมอ”
สำนวณดูคุ้นๆ แต่ช่างมันละกัน ฟัฟนิร์ก็พูดแค่นี้แหละ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ..
“ถ้าเกิดร้อยปีจะหมดอายุสัญญาเอาได้ รีบๆกลับมาทำพันธ์ุให้รุ่นลูกต่อสัญญาด้วย”
“ฮะๆๆๆ เอาสิ จะอยู่เป็นมาสคอตประจำตระกูลเลยก็ไม่ว่านะ”
“ฟังดูน่าสนใจ แต่ต้องมีเวลาให้ข้าลาพักร้อนสักครึ่งปีนะ”
“เอาสิ ไม่มีปัญหาอะไร ยังไงซะค่าเรียนรู้ก็มีแค่ค่ากินนิดๆหน่อยๆอยู่แล้ว”
“โอ้!! เข้าใจง่ายดีนี่นา แจ๋วเลยนี่หว่า สมกับเป็นต้าวเรเซอร์!”
ผมพยักหน้ารับพลางพึมพำว่า ครับๆ แล้วก็ถึงจะไม่อยากเผชิญหน้าตรงๆตอนนี้ แต่สุดท้ายผมก็ต้องหันกลับไปมองเคียวยะที่ร้องไห้ออกมาไม่หยุด
“จะโค่นฉันให้ได้ไม่ใช่รึไง?”
“..เออสิ”
“ดีแล้วนี่ โอกาสทองมาถึงแล้ว เวลาของฉันจะหยุดเดินชั่วคราว แต่เวลาของนายจะไม่มีวันหยุดเดิน ในช่วงเวลาสองหรือสามปี ไม่ก็สิบรึร้อยปี นายอาจจะก้าวข้ามฉันไปแล้วก็ได้นะ ตอนที่ฉันกลับมาอีกทีก็ช่วยซัดฉันให้จมดินให้ดูทีสิ แต่ก็นะ ให้พูดมันน่าจะยากเกินไปสำหรับนาย”
“อย่ามาปากดีให้มันมาก ท้าทายกันแบบนี้แปลว่ามองว่าฉันคนนี้เป็นคู่แข่งแล้วสินะ”
.. [ดวงตามหาปราชญ์] การตระหนักรู้ต่อทุกสรรพสิ่ง [HOPE] การพัฒนาที่ไร้จุดสิ้นสุด [โคริน] ภูตที่วิวัฒนาการณ์เร็วที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์ แล้วก็ [มหาบาปเย่อหยิ่ง] เหนือกว่าอีกฝ่ายชั่วขณะหนึ่ง ทุกอย่างที่กล่าวถึงเคียวยะยังพัฒนาไม่ถึงขีดสุด มันยังสามารถผสมผสาน ดัดแปลง แล้วก็พัฒนาไปต่อได้ ยังไม่นับสิ่งอื่นๆที่ในเคียวยะจะได้เรียนรู้ หรือสร้างเสริมปรุงแต่งอีก
แม้ว่าผมจะมี [เรลันดาฟ]-[เทพอสูร] ที่มั่นใจว่ามันจะเหนือกว่าหลายๆคนตลอดกาล แต่มันก็แค่เวลาห้านาที นอกจากห้านาทีนั้น เคียวยะแค่เหนือกว่าผมทุกด้านให้ได้ก็พอแล้ว
หากมองในแง่ของคุณสมบัติแล้วก็นะ การที่พวกมีพรสวรรค์ขนาดนี้ยอมรับผมเป็นคู่แข่งถือว่าน่ายินดีทีเดียว แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใด หมอนี่คือเคียวยะ ชายที่พัฒนาได้เร็วที่สุด และการพัฒนาจะไม่มีจุดสิ้นสุด
“แหงอยู่แล้วสิ ตั้งตารอเลยละ”
“เข้าใจแล้ว ตอนที่แกกลับมาอีกครั้ง จะบดขยี้ให้ดู”
“เอาแบบพอหอมปากหอมคอละกันนะ”
ให้เอาถึงตายผมก็ไม่ไหวแฮะบ่องตง ..สุดท้ายก็–เบลลามั
ผมกับเธอจ้องหน้ากัน เบลลามีสีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนกับทุกที แต่เพราะอยู่ด้วยกันมานานระดับหนึ่ง ทำให้ผมเดาได้ว่าเธอรู้สึกยังไงตอนนี้
“ตอนทีเธอเศร้าคิ้วจะห้อยราวหนึ่งเซนติเมตร ดวงตาจะเล็กลงนิดหน่อย แล้วก็เธอจะชอบทำเหมือนสบตา แต่จริงๆแล้วเหม่อลอยไปไหนไม่รู้”
พอโดนบรรยายสภาพตอนนี้เบลลามีก็หันมาสบตากับผม แน่นอนว่าที่บรรยายไปทั้งหมดผมมั่วทรง แค่พูดให้เธอตกใจนิดๆเท่านั้น เมื่อสบตากันแล้ว ผมก็เดินเข้าไปใกล้ และยิ้มให้
“รักนะ เบลลามี ช่วยคบกับฉันด้วย ..คือว่าขอโทษที่ผิดสัญญานะ แต่ให้รอสามปีนี่ไม่ไหวอะ ตอนที่ฉันกลับมามันอาจจะเกินไปแล้วก็ได้ เลยอยากจะ-”
“ผูกมัด?”
“พะ พูดซะดูแย่เลย แต่ก็ใช่แหละนะ”
ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนี้เลย ..เบลลามีต่อจากนี้น่าจะมีเส้นทางชีวิตที่แสนวิเศษ เพราะอย่างนั้นถ้าเธอบังเอิญไปเจอบุรุษที่วิเศษพอๆกันก็อาจจะลงเอยกันก็ได้ ยังไงมันก็มีอยู่เยอะนี่นะ ไอรักแท้แพ้ใกล้ชิด แต่แหม่ เรียกความสัมพันธ์ของตัวเองว่ารักแท้อีแบบนี้ก็น่าอายเหมือนกันแฮะ
“เอาสิ คบกันนะ”
“จะ จริงเหรอ!?”
“อือ ยังไงหัวใจของเราก็โดนเรเซอร์ผูกมัดมาตั้งนานแล้ว ไม่มีปัญหาหรอก ต่อให้ต้องรอเป็นร้อยหรือพันปี ..ต่อให้เป็นล้านๆๆๆๆๆปี ก็จะรอ เวลาแค่นั้นเทียบกับที่เคยแยกจากกันมาแล้วมันสั้นมาก”
เบลลามี ..ม่านตาของผมเปลี่ยนเป็นรูปหัวใจชั่วขณะหนึ่ง วิญญาณสาวน้อยเข้าสิงกระทันหัน
“จะรอกันจริงๆนะ!”
“อือ แต่เป็นไปได้ เร็วได้เร็วนะ ดิลุคอยากแต่งงานจะแย่แล้ว”
“ดิลุคอยากแต่งงาน แปลว่าเธอก็อยากแต่งด้วยสิงั้น”
“อือ ใช่สิ เราจะสร้างรากฐานครอบครัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆเลย เรเซอร์กลับมาจะได้ไม่ต้องลำบาก เรื่องงานแต่งก็จะเตรียมการณ์ไว้ตลอดให้ด้วย ..เพราะนั้นรีบๆกลับมานะ”
“นี่เรารู้ตัวอีกทีก็จะโดนสาวเลี้ยงซะแล้ว!”
“ไม่ดีเหรอ? เราว่าเราหาเงินได้อยู่นะ”
“มะ ไม่เลยๆ ถ้าจนมุมจริงๆจะให้เธอคอยเลี้ยงละกัน ..จะทำพะโล้ให้กินทุกวันเลย”
“ตั้งตารอนะ”
ก้าวแรกสู่ชีวิตนิวเท้าหลังของผมได้เริ่มขึ้นแล้ว—ว่าไปนั่น แต่เรื่องที่อยากทำพะโล้ให้กินทุกวันนี่ไม่ได้โกหกหรอกนะ
“เบลลามี ..ทุกคน ขอบคุณจริงๆนะ ไหนๆก็จะต้องแยกจากกันชั่วคราวแล้ว ขอพูดออกมาตรงๆเลยละกัน” ผมเท้าสะเอว แล้วก็หัวเราะร่า “เวลาที่ได้อยู่กับพวกนายทุกคนมันโคตรจะล้ำค่าเลยละ ถึงจะน่าเศร้าที่เรย์กับยูจิ กอรี่กับโซเฟียจะไม่ได้ฟังจากปากฉัน แต่ว่าฝากไปบอกทีนะว่า—เลิฟนะพวก”
หลังจากที่ผมพูดจบ เคียวยะก็ปล่อยโฮน้ำตาแตกอีกครั้ง หนิงหันหน้าหนีไปข้างหลัง ชินกับฟัฟนิร์ฟังเงียบๆ ส่วนเบลลามีก็มอบรอยยิ้มให้แก่ผม
แรงใจที่จะไปต่อเพิ่มขึ้นมหาศาล ผมโบกมือลา และ—หายไปจากกาลเวลา ณ ปัจจุบันนี้
ไม่ว่าผลลัพธ์จะลงเอยอย่างไร ..ผมก็จะยิ้ม แบบนี้ดีกว่าใช่มั้ยล่ะ ยูนา
****
สงครามจบลงแล้ว หลังจากที่เทพมังกรถูกสังหารลงได้ เผ่าพันธ์จากสวรรค์รวมถึงทูตสวรรค์กาเบรียล และราฟาเอลก็ถูกไล่ต้อนจากกำลังสนับสนุนมากมายจนพ่ายแพ้ในที่สุด
เวลาที่สงครามจบลงนั้นคือเวลาเดียวกับที่พระอาทิตย์เริ่มขึ้น ณ แดนนรกกิจคน ผู้คนพากันโยนอาวุธลงจากมือ และทิ้งตัวลงไปนั่งนอนตามผืนทะเลทราย กองกำลังเสริมเข้ามาจัดการความเรียบร้อยทั้งหมด รวมถึงจับกุม–คนทรยศด้วยเช่นกัน
และไม่มีใครรู้ว่านี่คือสงครามเพื่อชิงสมบัติสวรรค์ เรื่องสมบัติสวรรค์ถูกปิดเงียบไปจนถึงที่สุด และจบลงโดยที่มีคนไม่กี่คนที่ทราบถึงบทสรุปนี้ ..โลกได้เปลี่ยนไปอย่างลับๆ ด้วยน้ำมือของ เรเซอร์ ดราแคล์ ที่เป็นคนปิดฉากเรื่องราวทั้งหมด
“..ต่อให้นานแค่ไหนก็จะรอ ..”
แต่ว่าเพื่อจบเรื่องราว เรเซอร์จำเป็นต้องท่องเวลาไปแก้ไขโลกใบนี้ตั้งแต่รากเหง้า เวลาที่ใช้อาจจะยาวนานใกล้เคียงกับอนันต์ ถึงอย่างนั้นเบลลามีก็จะรอคนที่เธอรักสุดหัวใจผู้นั้น—ระหว่างที่คิดอย่างนั้น จู่ๆแสงสีขาวก็วูบขึ้นมาข้างหน้า
………
….
….
แสงสีขาวนั้นเผยให้เห็น เรเซอร์ ดราแคล์ ในชุดเครื่องแบบเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแม้แต่อย่างเดียว ทั้งสองจ้องหน้ากัน และ-
“…เอ๊ะ”
“เอ๋?”
….ก็จริงที่อาจใช้เวลาเป็นอนันต์ แต่มันก็จริงเหมือนกันที่อาจใช้เวลาจริงๆแค่ ‘สามวินาที’ เท่านั้น
“….”
“….”
“….”
“…อะ ฮะๆ”
“แบบว่า”
“อือ ..น่าอายมาก”
ทั้งสองหน้าแดงขึ้นมาช้าๆ การจากลาสุดยิ่งใหญ่ที่ร่ายยาวนับหลายนาทีก็ได้จบลงง่ายๆเช่นนี้
ว่าแล้วเชียว ไอการจากลาเศร้าๆน่ะไม่เหมาะกับพวกเขาหรอก
MANGA DISCUSSION