เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 396
< < 248 Sec1 > >
ผมร้องไห้ออกมาให้หมด ก่อนที่โลกจำลองใบนี้จะพังทลายลงในไม่ช้า ….สุดท้ายเมื่อแสงจากดวงจันทร์จริงๆสาดส่อง ผมก็ปาดเบื้องหลังทั้งหมดของตัวเองออก และยืนแหงนหน้ามองแสงจันทร์ที่แสนสวยงามของโลกใบนี้
“…”
“..ท่านเรเซอร์”
“อย่าผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับยูนาซะละ ทั้งพันธสัญญา และคำสัญญาโอบกอดทั้งหมดไว้ให้แน่น และเดินไปต่อ” เซเนียพูด “นั่นน่ะคือ–”
“คือสิ่งที่ยูนาสอนให้ฉันทำมาโดยตลอด ..โอบกอดชัยชนะ โอบกอดความพ่ายแพ้ และก้าวผ่านการสูญเสีย ไม่มีทางลืมหรอก ไม่มีทาง-ฉันจะไปให้ถึงปลายทางพร้อมกับสองมือที่คว้าความณู้สึกทุกอย่างเอาไว้ จะไม่ทิ้งอะไรไปทั้งนั้น”
เพราะอย่าง บทสรุปที่แสนสุขมันอาจจะไม่ใช่ความสุขที่แสนแฮปปี้อะไรขนาดนั้น หากแต่เป็นควาสุขที่มากด้วยคุณค่า เพราะเส้นทางระหว่างทางมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องของคนๆนั้นที่โลกใบเก่า หรือเรื่องของยูนา และผู้คนอีกมากมายที่ต้องตายจากไปจากโลกใบนี้ ..ผมจะไม่หลงลืม ผมจะไม่ทิ้งอะไรไปทั้งนั้น ผมจะพาทุกคนไปสู่บทสรุป ผมกล่าวถ้อยทำเช่นนั้นออกมาอย่างหนักแน่น เซเนียเห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ยูนามีมาสเตอร์ที่ดี ฉันภูมิใจในตัวนายนะ เรเซอร์ ดราแคล์”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ เรื่องนั้นน่ะ”
ผมยิ้มตอบกลับเซเนีย และชินไปในตัว ตามพันธสัญญา ผมจะไม่ร้องไห้ออกมาให้ยูนาเห็น แต่จะยิ้มให้เธอเห็น การยิ้มคือสิ่งแรกที่ผมจะทำหลังจากยูนาจากไปแล้ว
****
หลังจากนั้นพวกของเบลลามี และยูจิก็มาเจอผม จากนั้นก็นะ เกิดอะไรขึ้นหลายๆอย่าง แต่ไอผมดันหมดสภาพการต่อสู้ซะแล้วสิ เลยไม่มีส่วนร่วมใดๆนอกจากนั่งอยู่บริเวณแคมป์ริมแม่น้ำ ผมนั่งอยู่เฉยๆปล่อยให้ทุกอย่างมันไหลผ่านไป
นอกจากเทพมังกรแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ ทูตสวรรค์สองตน และเผ่าพันธ์จากสวรรค์ คนที่ยังสู้ได้อย่าง เซเนีย ชิน หนิง มาเจล ดิลุค เบลลามี แล้วก็ปีศาจมหาบาปกับมหามังกรทั้งหลายก็สู้กันต่อไป ส่วนคนที่ไม่ไหวแล้วก็มานั่งพักแบบผมนี่แหละนะ
“ลำบากหน่อยนะครับ”
ยูจิยื่นน้ำชาในแก้วกระดาษมาให้ผม ผมรับมันไว้
“ทางนายก็เหมือนกัน เล่นใหญ่ซะออกมาตกใจเลย”
เล่นเอาระบบนิเวศเปลี่ยนไปเลยมั้งน่ะ
“ก็เทพมังกรออกจะแข็งแกร่งขนาดนั้น ช่วยไม่ได้หรอกนะครับ”
“ถ้าเทพผู้ยิ่งใหญ่อย่างยูจิพูดขนาดนั้นก็ช่วยไม่ได้แหละเนอะ”
“ฮะๆๆๆ ก็พูดไปครับ”
“ไม่เกินไปหรอกน่า แหม่ๆๆ”
ระหว่างที่ผมผสานเสียงหัวเราะกันอย่างกับคนแก่ในสถานสงเคราะห์นั้นเอง–เคียวยะที่ต้องยืมไหล่ของเมอันในการเดินก็เดินเข้ามาบ่น
“เป็นคนแก่กันรึไง”
“คนแก่จับกลุ่มคุยกัน”
“จะว่าแก่ก็ถือว่าแก่กันแล้วได้อยู่มั้ง? อ๊ะ พูดถึงคนแก่แล้ว อานิม่าอยู่ไหนหว่าตอนนี้”
พอพูดถึงเรื่องอายุผมก็เปลี่ยนเรื่องทันที
“เห็นว่าออกไปช่วยสนับสนุนคนอื่นอยู่”
เห๋ ขยันทำงานเหมือนกันนะเนี่ย ผมพยักหน้าพึมพำแบบพึงพอใจ …
“ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟักฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ไม่ชอบถั่วฝักยาว ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ไม่ชอบถั่วฝักยาว ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก ฟ้าผ่าฟักฟัก”
…..
..อ่าหะ
ใกล้ๆกัน เรย์ที่นอนอยู่บนเตียงเงียบๆมาตั้งนานจู่ๆก็แหกปากพูดอะไรก็ไม่รู้ เหตุผลที่เรนกลายเป็นแบบนี้ผมก็พอจะทราบได้จากคำบอกเล่าของคนอื่น
เหมือนว่าจะสู้กับเทพดาบชนะแหละ แต่สภาพดันลงเอยอีแบบนี้แทนซะอย่างนั้น ..ว่าไงดี น่าเศร้าแฮะ
เป็นปัญหาที่ลึกลงไปในจิตวิญญาณเลยละ ซึ่งวิหคอมตะของผมยังใช้ไม่ได้เลยไม่สามารถช่วยอะไรเรย์ได้เลย แล้วก็ต่อให้ผมช่วยเรียกสติปัญญากลับคืนมาให้ เรย์ก็ยังต้องบำบัดระยะยาว เพราะจิตวิญญาณตอนนี้บิดเบี้ยว
สภาพเรย์ต่อจากนี้น่าจะย่ำแย่ทีเดียว ข้างในร่างกายลงไปมันพังจนไม่รู้จะพังอย่างไรแล้วจากการต่อสู้ที่เกินขีดจำกัดตัวเอง ชนิดที่ว่าจะช็อตตายเข้าก็ไม่ได้แปลกอะไรเลย ให้พูดมาได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้วแหละนะ
“เทพดาบนั้นสินะ ..ไม่ชินเลยแฮะ”
ตัวประกอบคนนั้น ดันกลายมาเป็น ‘เทพดาบ’ เสียซะได้ ยังไงก็ไม่ชินเลยจริงๆเลยแฮะ ..
“เอาเถอะ ได้เป็นเทพดาบก็ดีละนี่ แล้วก็รอฉันได้มานากลับคืนมาก่อนจะรีบมารักษาให้นะ เรย์ ก่อนอื่นก็ ..ยูจิ ว่างไปคุยด้วยรึเปล่า?”
“อ๊ะ ครับ ตั้งใจไว้ว่าจะชวนคุยเหมือนกันครับ”
กล่าวจบ พวกผมก็พากันเดินออกจาแคมป์ และปล่อยให้คนอื่นดูแลเรย์กันไปก่อน
****
ผมกับยูจิเดินข้างกันไปอยู่ที่ริมแม่น้ำซึ่งไร้ผู้คน พอออกมาข้างนอกก็ทำให้รู้ว่าแสงสีเสียงทั้งหมดจากการต่อสู้ใกล้จะดับลงไปทุกที หรือก็คือสงครามใกล้มาถึงจุดจบแล้วนั่นเอง เห็นอย่างนั้นผมก็โล่งอก แต่ก็ไม่สุดเสียทีเดียว
“ขอเข้าเรื่องเลยนะครับ คุณเรเซอร์”
“อ่า ว่ามาเลย”
“ผมพึ่งจะรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายน่ะครับ คาดว่าอีกไม่นานร่างของผมน่าจะโดน ‘ออร่า(ออโรโบรอส)’ ยึดเข้าให้น่ะครับ”
ว่ามาอย่างนั้นแล้ว ผมกับยูจิก็หลุดขำออกมาพร้อมกัน
“หึๆๆ จังหวะบัดซบไปหน่อยมั้ง”
“ใช่มั้ยล่ะครับ? ฮะๆๆๆ”
ไม่มีความตึงเครียดอยู่เลยแม้แต่น้อย ผมปาดน้ำตาความฮาที่เล็ดออก แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย
“หืม ..สมบัติสวรรค์ตอนนี้ก็ครบแล้วนี่นะ”
สมบัติสวรรค์ทั้งห้าชิ้น ได้แก่
ประตูสวรรค์ – เอเธอร์
กุญแจสวรรค์ – เบลลามี
บันไดสวรรค์ – ต้นไม้โลก
โซ่สวรรค์ – โซ่วิเศษที่ตั้งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางโลก
ขอบเขตุสวรรค์ – เทียแมธ
“ใช่ครับ เท่าที่จะได้ผมให้สมบัติสวรรค์ที่มีกับคุณเรเซอร์ไปทั้งหมดแล้ว ทำให้ตอนนี้”
“บันไดสวรรค์ โซ่สวรรค์ ขอบเขตุสวรรค์อยู่กับฉันจนครบแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ข้างในตัวของเอเธอร์กับเบลลามี ซึ่งสามารถใช้ขอบเขตุสวรรค์ดึงทั้งหมดมาใช้งานได้ นั้นสินะ”
“ครับ”
ผมลูบคาง แหงนหน้ามองฟ้า และถอนหายใจ
“เส้นทางสู่สวรรค์ก็เรียกได้แล้วด้วยสิ ที่ชวนคุยเรื่องนี้นี่”
“ก่อนที่ออโรโบรอสจะเข้าสิงร่างของผม อยากจะให้คุณเรเซอร์ทำทุกอย่างให้จบทันทีเลยน่ะครับ ถ้าเกิดออโรโบรอสยึดร่างได้ เขาคงจะมีวิธีฟื้นคืนมานากลับมาในรวดเดียว และมันจะเป็นปัญหาเอาได้ ..ยังไงพวกคุณก็ต้องไปเจอกับบนนั้นอีกที เร็วได้ผมก็อยากให้รีบน่ะครับ” ยูจิทำหน้าเครียด “เอาจริงๆ ผมว่าตอนนี้ออร่าก็น่าจะยึดร่างผมได้แล้วละครับ แต่เขาคงจะรอมานาฟื้นกลับมาก่อน อย่างน้อยๆการจะใช้ทริคมานาอะไรมันก็คงต้องมีมานาอยู่บ้างสักนิด”
นั่นสินะ ยูจินั้นแข็งแกร่ง ต่อให้ไม่ชนะทุกคน แต่ก็คงจะสร้างความเสียหายที่ไม่สามารถรักษาได้ไว้มากมายทีเดียว หรือไม่ก็อาจจะเป็นผู้ชนะ และชิงเอาสมบัติสวรรค์ทั้งหมดไปเลยก็เป็นไปได้เหมือนกัน เหตุผลนั้นง่ายๆ ก็ยูจิน่ะแข็งแกร่ง แล้วออโรโบรอสมีความเป็นไปได้ที่จะแข็งแกร่งยิ่งกว่านั้นไปอีกไม่รู้เท่าไหร่ อย่างว่าอะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้
สู้ให้ผมมีเรื่องกับออโรโบรอสในตอนที่ไร้มานาเช่นเดียวกัน ผมว่าโอกาสผมชนะมันมากกว่าแฮะ
“ถ้านั้นก็–มาเคลียร์ให้จบไปพร้อมกับสงครามเลยดีหรือเปล่านะ?”
“ครับ ถ้าไม่รีบทำคุณเบลลามีคงจะรอแย่”
“หนิงก็ด้วยน่ะนะ”
“…คุณเรเซอร์”
ยูจิหน้าแดงก่ำราวมะเขือเทศ ท่าทางน่ารักสมกับเป็นสาวน้อยในห้วง–ไม่ดิๆ ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มจึงจะถูก?
อ่า จะยังไงก็ช่างมันเถอะเรื่องนั้น
“เรื่องของคุณหนิง ..คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยน่ะครับ แต่ที่สำคัญกว่านั้น คุณเรเซอร์ครับ!”
“อ๊ะ อ่า ว่าไง”
เปลี่ยนเรื่องซะอย่างนั้น ไอ้หมอนี่–!
“เรื่องของ คุณ โซล่า เลนน่อน ช่วยอย่าทำเมินด้วยนะครับ”
“ถึงจะบอกว่าอย่าเมินก็เถอะ แต่สภาพของโซล่าตอนนี้เนี่ย”
จะคุยกันยังไงมากกว่า
“พวกคุณเบลลามีไปเรียกสติกลับคืนมาให้แล้วน่ะครับ”
“มะ ไม่เห็นบอกเลยสักคำ!”
“ฮะๆๆๆ ผมเองก็พึ่งรู้เมื่อสักครู่นี้เองครับ ดูเหมือนทั้งคุณเบลลามี ทั้งคุณดิลุคจะพูดไม่ค่อยเก่ง”
“เบลลามีว่าไปอย่างนั้น แต่ดิลุคเนี่ยนะ? เห็นพูดเป็นช็อตๆตลอด”
“ลองมองดูดีๆสิครับ คุณเรเซอร์ ท่าทางแบบนั้นคือเขาเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง แต่อยากจะพูดน่ะครับ สังเกตุได้จากการที่พูดแต่ละทีก็มักจะมีปัญหาตามมาตลอด หากสังเกตุดูดีๆก็จะเหมือนกับคุณเบลลามีเลยครับ”
“อ๊ะ ครับ”
ยูจิเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้จริงๆด้วยแฮะ ไอที่เคยแซวเล่นๆกับยูนาว่ายูจิมันเป็นเสือผู้หญิงดูท่าจะจริง ..ไว้ว่างๆมาปรึกษาละกัน
ผมบิดขี้เกียจ ลุกนั่ง วอร์มอัพร่างกายตัวเองโดยเร็วที่สุดแล้วก็หยิบเอา–สมบัติสวรรค์ทั้งหมดออกมาพร้อมกัน ทันใดนั้นแสงสว่างก็เข้าปกคลุมทุกวิสัยทัศน์ตรงหน้าผม ทันทีที่มันสัมผัสกันเท่านั้น ตัวของผมก็ถูกพาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
****
ผมยืนอยู่บนราชวังศ์สีขาวซึ่งรายล้อมไปด้วยวัตถุสีทองที่ประดับตามทางเดิน แล้วก็ตามอย่างที่คาดเอาไว้
“สุดท้ายก็ลงเอยเช่นนี้สินะ”
“ไหนๆเรื่องมันก็เป็นอีท่านี้แล้วแหละนะ มาสนิทกันดีกว่า ..ออโรโบรอส”
“–ชิ”
ผมยืนอยู่ข้างๆยูจิที่มีตาสีเหลืองเป็นจุดเด่น ว่าง่ายๆก็ยืนอยู่ข้าง ‘เทพแห่งวัฐจักร’ ‘ออโรโบรอส’ นั่นแหละนะ เหมือนกับที่คุยกับยูจิกันเอาไว้ ผมที่เป็นผู้ถือครองสมบัติสวรรค์จะโดนพาตัวมาที่แห่งนี้ เช่นเดียวกันกับ ทวยเทพที่ยังมีชีวิตอยู่
ด้วยเหตุนั้นเอง ทำให้ ‘เทพแห่งจิตวิญญาณ’ ‘อานิม่า’ ก็หลงออกมาด้วย
นอกเหนือจากออโรโบรอสกับอานิม่าแล้วก็ไม่มีใครอีก เพราะเทพตนอื่นๆมีสถานภาพไม่ต่างอะไรกับอำนาจอย่างหนึ่งบนโลกไปแล้วน่ะนะ ที่มีชีวิตอยู่จริงๆก็เหลือแค่นี้
“เรเซอร์ ออโรโบรอส”
“มีอะไรรึเปล่า เจ้าคนทรยศ”
“หนวกหู ไปตายซะ”
จู่ๆอานิม่าก็มีท่าทางแข็งกร้าวผิดปกติ ถึงจะอยู่ในร่างจริงที่เจ้าตัวอายนักอายหนาก็จริง แต่ไม่เห็นมีปฏิกิริยาเขินอายเหมือนทุกทีเลยแฮะ
สงสัยว่าจะเหม็นขี้หน้าออโรโบรอสมากถึงขนาดลืมตัว
“….”
“ไม่ได้อยากชวนทะเลาะหรอกนะ แต่เธอไม่คู่ควรกับทางเดินต่อจากนี้หรอก รีบๆไสหัวลงไปได้แล้ว”
“ไม่ได้อยากมายืนอยู่ตรงนี้เหมือนกันหรอก เชอะ!! ฝากที่เหลือด้วยนะ คุณเรเซอร์”
กล่าวจบ อานิม่าก็หายไปจากราชวังศ์แห่งนี้โดยทันที ..พร้อมกับสัญลักษณ์แปลกๆที้เขียนว่า ‘DISCONNECT’
“..เอ๋ เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย”
“พระเจ้าสูงสุดท่านมีรสนิยมพิลึก อย่าเก็บมาใส่ใจเลย เขามักจะเอาภูมิความรู้จากที่แห่งอื่นมาเล่นตลก อย่างที่รู้ โลกไม่ได้มีแค่ใบเดียว”
“อ่า แต่ว่าจะติดตลกไปหน่อยมั้งพระเจ้าคนนั้น”
“นั่นแหละสเน่ห์ของท่าน”
กล่าวจบ ออโรโบรอสก็ออกเดินราวกับคุ้นชินกับที่แห่งนี้ดี …เฮ้อ ผมถอนหายใจ และเดินตามกันไป
ทางเดินสีขาวทอดยาวที่ประดับด้วยสิ่งของเดิมๆ ทำให้พอรู้รสนิยมของพระเจ้าคนนั้นบางระดับหนึ่ง พวกเราสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ทำเพียงแค่เดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงที่หน้าประตูแห่งหนึ่ง โดยไม่ต้องเปิดมัน ประตูเปิดของมันเอง และเผยให้เห็นห้องสีขาวที่มีบังลังค์ยักษ์อยู่ตรงหน้า
และเหนือสิ่งอื่นใด คือคนที่นั่งอยู่บนบังลังค์แห่งนั้นต่างหาก
“..”
สิ่งมีชีวิตที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมาก่อน ส่วนสูงถือว่าสูงกว่ามาตรฐาน ร่างบางดูไร้สัดส่วน ทำให้ยากจะเดาได้ว่าเป็นชายหรือหญิง มีเลือนผมสีขาวยาวยิ่งกว่าส่วนสูงองตัวเอง ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใสตลอดเวลา ให้พูดเธอมีใบหน้าที่คล้ายกับดิลุคและเอเธอร์ แต่เป็นในเวอร์ชั่นที่ดูร่าเริงตลอดเวลา
ทันทีที่พวกผมสบตากับเธอ ออโรโบรอสก็ลงไปคุกเข่ากับพื้น ..ใช่แล้วละ เธอคงจะเป็น ‘พระเจ้าสูงสุด’
“ลำดับแรก โปรดเรียกว่าข้าว่า ‘มารี’ นะเด็กๆ”
‘พระเจ้าสูงสุด’ ‘มารี’ ยิ้มให้แก่พวกผมอย่างไม่แบ่งแยก