เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 395
< < 247 > >
เทียแมธพ่ายแพ้เป็นที่เรียบร้อย ชัยชนะเป็นของมนุษยชาติ ทุกคนในที่นี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความพยายามอย่างหนักรวมถึงการเสี่ยงตายครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้พวกเขาชนะ ..จะว่าโชคดีก็ยังได้ที่ลงเอยโดยไม่ได้สูญเสียมากมายขนาดนั้น
หนิงยืนอยู่ข้างๆศพของคาลอสด้วยสีหน้าที่หดหู่ ..เบลลามีเดินมาดีดนิ้ว ‘ดาบแห่งโซโลม่อน’ โผล่มาอีกครั้ง จากนั้นก็ช่วยรักษาร่างกายของคาลอสให้แบบง่ายๆ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ร่างกาย ชีวิตก็กลับมาอีกครั้งเหมือนกัน
“อึก ..อือ”
คาลอสร้องอวดครวญเมื่อได้ชีวิตกลับคืนมา แต่ก็ยังอยู่ในสภาพสลบ หนิงหน้าซีดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเพราะเบลลามี
“คาลอสพึ่งตายไปไม่นาน วิญญาณยังไม่ได้หายไปไหนน่ะผนวกกับยังพอมีมานาให้เรียกดาบแห่งโซโลม่อนออกมาได้ กรณีใกล้เคียงกับโซล่า ถ้าวิญญาณยังไม่ได้กลับคืนสู่วัฐจักรและอยู่ใกล้ๆก็พอไหว โชคดีสุดๆไปเลยนะ”
“สะ สยองอ่า ดีใจไม่ลงเลย”
“เรื่องน่ายินดีนะ ทั้งคาลอส ทั้งโซล่า ไม่มีใครตายทั้งนั้น”
“..เดี่ยวนะ พูดแบบนี้หมายความว่า–”
“ช่วงสามวันก่อนเริ่มสงคราม เราไปเรียกสติโซล่าให้แล้วน่ะ”
เบลลามีหยิบบางอย่างจากกระเป๋ามาให้ มันคือจดหมายราวสองฉบับที่เขียนถึงหนิงและยูจิ
“ทะ …ทำไมไม่รีบบอกละย่ะ!!” หนิงจับไหล่ของเบลลามี และเหวี่ยงไปมา “มีปากก็หัดพูดซะบ้างสิ ยัยบ้า!!!”
“เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะ ไม่เห็นต้องโกรธเลย อ๊ะ หนิง ไหล่เราจะหลุดแล้ว”
“หลุดๆไปเถอะย่ะ!!”
“..อ๊ะ”
หลุดจริงๆด้วย
“ท่านเบลลามี!!!”
“ท่านหญิง!!!”
“เอาให้แรงกว่านี้!!”
เสียงกรี๊ดร้องทั้งหวังดีและประสงค์ร้ายจากปีศาจมหาบาปดังขึ้นผสมปนกันไป แต่ที่เหมือนกันคือทั้งสามวิ่งเข้าชาร์จเบลลามีกับหนิงกัน
“ลิเวียธาน โกรธผิดคนแล้วนะ ไปโกรธตัวดิลุคสิ เราประพฤติตัวดีมาโดยตลอดนะ”
ดิลุคมองดูภาพที่เกิดขึ้น ..จะว่าไป ตัวเราเบลลามีชักจะเริ่มกวนตีนชาวบ้านซะแล้วสิ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เป็นคนมีนิสัยแบบนี้
“เป็นอย่างไรบ้าง”
…หืม?
จู่ๆก็มีคนมาชวนคุย เป็นเด็กผู้ชายผมสีฟ้าใสหน้าหวาน ภายนอกน่าจะอายุสิบสี่ราวสิบห้าได้ ใส่ชุดสูทเสียซะใหญ่โตด้วย
“มหามังกรเนลยอนนั้นสินะ มีอะไรล่ะ”
“..เทพมังกร ..เทียแมธเป็นอย่างไรบ้าง ได้พูดถึงพวกข้ารึเปล่า”
“อืม ไม่ได้พูดถึงพวกเจ้าอะไรเป็นพิเศษหรอก ให้อิมเมจภาพว่าพ่อคนที่ไปทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับผิดชอบก็น่าจะให้กลิ่นอายประมาณนั้นเลย”
“สารเลวสินะ ก็ดี จะได้ตัดใจได้ง่ายๆ หึ”
“นี่ๆ เนลยอน คุยอะไรกับจอมมารเหรอ?”
ว่าแล้วเนลยอนก็เดินกอดอกไปทางอื่น โดยที่มีสโนว์ตามหลังไปด้วย สองคนนี้คุยกันแบบแปลกๆชอบกล แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรของดิลุค
นอกจากนั้นมหามังกรกับมหามังกรเทียมทุกตนแล้วก็มีคนราวสองคนปนมาด้วย เจ้าชายแห่งเกรล ‘ลีออน’ กับสาวชาวบ้านที่คอยดูแลแซร์อิซ ‘อลิซ’
“วะฮ่าๆๆๆๆ ไม่ได้พบกันนานะ เกรลเอ่ย เห็นว่าสบายดีข้าก็ดีใจ”
“จะ เจ้าชายลีออน หล่อม้าก!”
ดิลุคมองภาพหลังการต่อสู้โดยรวมอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เบลลามีจะเดินมาหาพร้อมปีศาจมหาบาปตนอื่น
“สุดท้ายก็”
“อือ เรเซอร์”
เหลือแค่ทางฝั่งนั้น บทสรุปก็จะปรากฏ
****
บทสรุปได้มาถึงแล้ว—เพลิงทำลายล้างผสานกับแสงของเทพมังกร เรนรุกรับสลับกันไปกับเรเซอร์อย่างสูสี เสียงกระทบกันของหมัดที่พุ่งสลับกันไปมาดังกึกก้องไปทั่วทั้งโลกจำลอง เพลิงวิหคอมตะได้ย้อมโลกใบนี้ด้วยเพลิงที่อบอุ่นที่สุดบนโลก เช่นเดียวกันกับเรนที่รังสรรค์โลกใบนี้ขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่มันถูกทำลาย
ต้นไม้ ผืนหญ้างอกขึ้นมาใหม่ และถูกเผาจนหมด และงอกขึ้นมาใหม่อีกครั้งวนเวียนไปอย่างรวดเร็ว
“ได้แค่นี้รึไงวะ!!”
“ปากดีให้มันได้ตลอดรอดฝั่งเถอะน่า เรเซอร์ ดราแคล์ !!”
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เรเซอร์หายใจฟู่วออกมาเป็นเพลิง พร้อมกับรอยสักสีแดงที่ปล่อยเพลิงวิหคอมตะออกมา เรนถุยน้ำลายออกมาเป็นแสงสีขาว และแสงสีขาวนั้นก็งอกขึ้นมาเป็นต้นไม้ ความเป็นมนุษย์ของทั้งสองคนค่อยๆหายไปทีละนิด ไม่สิ พูดให้ถูก ในสภาพตอนนี่ไม่ใช่มนุษย์กันแล้วทั้งคู่
“…..”
“….”
ทั้งสองดูเชิงกัน เรนพอจะเดาได้ว่าเรเซอร์มีข้อจำกัดในการใช้งาน เลยปล่อยให้เรเซอร์ดูเชิงไปจนกว่าอีกฝ่ายจะเริ่มสู้ต่อ—แต่แล้ว เวลาที่หยุดนิ่งนั้นก็ถูกบังคับให้เดินต่อ
แสงสีม่วงวูบขึ้นหนึ่งครั้ง ตามมาด้วยลมกรรโชกที่เกิดขึ้นในโลกจำลองอย่างน่าแปลกประหลาด ทั่วทั้งโลกจำลองเต็มไปด้วยรอยกระจกแตกในอึดใจเดียว เรนพร้อมเรเซอร์เบิกตาโพลงกว้างและหันไปหา ‘ยูนา’ ที่ถือ [ดาบสะบั้นมิติ] เอาไว้บนมือ
“ว่าไงคะ หนุ่มๆ เอาแต่เล่นกันไม่รอฉันกันเลยนะคะ”
ยูนาเดินมาพร้อมรอยยิ้มที่มั่นอกมั่นใจ เรนหน้าซีดทันทีที่เห็นดาบสะบั้นมิติ ของอันตรายที่ทำให้แผนการณ์ล่มมานักต่อนัก แต่ก็ข่มกลั้นอารมณ์ และยิ้มสู้
ตอนนี้เรนแข็งแกร่งที่สุดบนโลกจำลองใบนี้ ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว ดาบเล่มนั้นขอแค่หลบมันให้ได้ก็พอแล้ว ..แม้อยากจะคิดอย่างนั้น แต่ฝันร้ายของการตัดมิติก็ฝังลากลึกในใจของเรนไปแล้ว
อีกด้านหนึ่ง เรเซอร์จ้องดาบเล่มนั้นด้วยสีหน้าเศร้า
“..ยูนา ..”
“มาสเตอร์ อย่าได้ลืมพันธสัญญาของพวกเราไปเชียวนะคะ”
พันธสัญญา คำๆนี้ทำให้เรเซอร์กลับมาตีหน้ายิ้มใหม่ได้อีกครั้ง
“รู้แล้วน่า ไม่มีทางผิดสัญญาหรอก”
“ดีแล้วค่ะ”
เมื่อกล่าวจบแล้ว เรเซอร์ก็เร่งปฏิกิริยามานา และพุ่งเข้าใส่เรน พร้อมกับยูนาที่ออกวิ่ง
“สเตจสุดท้ายแล้ว เรน!!”
“คึก! บัดซบ!”
เรนผสานมือเข้ากัน และกระแทกมือเข้ากับพื้น–ทันใดนั้น โลกจำลองก็บิดเบี้ยว ทุกสิ่งทุกอย่างบิดไปบิดมาโดยที่ยากจะมองออกว่าที่แห่งนี้คืออะไรกันแน่ เมื่อนำไปรวมกับรอยกระจกแตกแล้วมันก็ยิ่งชวนให้คิดอย่างนั้น
****
ผมออกวิ่ง ออกวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ร่างปกคลุมด้วยเพลิงอมตะ ตรงปลายมือของตัวเองเองก็ปลดปล่อยเพลิงทำลายล้างออกมา–ผมในช่วงเวลาที่แข็งแกร่งที่สุดได้เข้าต่อสู้กับเทพที่แข็งแกร่งที่สุด
เพลิงกระทบกับแสงสีขาวหลายต่อหลายครั้ง ร่างกระทบกับร่างของเรนนั้บครั้งไม่ถ้วน ในเวลาเพียงอึดใจเดียว การแลกหมัดและแลกการโจมตีทั้งหมดของพวกเรา มันรวดเร็วยิ่งกว่าการแลกดาบ
ข้างหลังของผม ยูนากำลังวิ่งมาพร้อมกับดาบสะบั้นมิติบนมือ เพื่อที่จะเปิดทางให้เธอได้ใช้มัน ผมต้องสร้างโอกาสให้ ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่แข็งแกร่งที่สุดนี้—ผมเหลือเวลาอีกราวหนึ่งนาที ในหนึ่งนาทีสุดท้ายนี้ เรนจะต้องเป็นผู้แพ้!
ผมวิ่งไล่เรน ไล่ต้อนกะจะให้จนมุม แต่ว่าโลกจำลองที่บิดเบี้ยวก็สร้างทางออกใหม่ให้เรนเสมอ เพราะเรนเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้อย่างแท้จริง สุดท้ายผมที่ไม่สามารถเล่นงานแบบเด็ดขาดกับเรนได้ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากไล่ตาม
แบบนี้มันก็จะไม่รู้จบ เวลาของผมมันจะหยุดลงในไม่ช้า
“บัดซบเอ้ย!”
“ [อาภรณ์เทพมังกร] ”
หืม??
ชินวิ่งตามมาจากข้างหลัง เจ้าตัวได้ย้อมร่างของตัวเองด้วยเพลิงมหามังกร และเพียงพริบตาเดียวก็ปรากฏตัวในร่างของอาภรณ์เทพมังกร
“ [ฮิคามิ] ”
ร่างอาภรณ์ชุดสีขาวปลายขอบผ้าเป็นสีเพลิง ต่อให้เป็นชินที่มีความหล่อกับสวยผสมกันครึ่งต่อครึ่ง แต่เมื่ออยู่ในร่างอาภรณ์เทพมังกรความสวยสง่างามก็ถูกชูขึ้นจนเด่นเป็นพิเศษ ชินโบกสะบัดดาบเรเปียร์ไปทางขอบสุดของโลกที่บิดเบี้ยว เพลิงมหามังกรพุ่งไปปกคลุมที่กำแพงอันบิดเบี้ยวทั้งหมด และทุกอย่างก็หยุดนิ่ง
“ไอ้เวรเอ้ย!!!”
ขนาดของโลกหยุดนิ่งลงสักที ด้วยเพลิงมหามังกรของชิน ผมกัดฟันกรามแน่นและเข้าไปซัดกับเรน
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“โธ่เว้ย!”
“ไล่ตามทันสักที”
“กำลังรออยู่เลยค่ะ”
ยูนาวิ่งมาด้วยความเร็วที่คล้ายกับทะลุอากาศมาได้ เธอใช้ดาบมหาภูตช่วยส่งตัวเองมาให้เร็วกว่าเก่า
“อย่าเข้ามานะเว้ย! สารเลวเอ้ย!”
“ด่าพี่สาวแบบนี้ ไม่น่าปลื้มเอาซะเลยนะเรน!”
“หนวกหูโว้ย!!”
ผมกับเรนกระทบหมัดกันอีกครั้ง ตู้ม!!!!!! พร้อมกับการระเบิดของมานาระหว่างเพลิงทำลายล้าง และแสงของเทพมังกร
“..เวลาผ่านไปเร็วเหมือนกันแฮะ–”
ผมจับเรนเหวี่ยงลงพื้นด้วยพลังเฮือกสุดท้ายทั้งหมดที่มี—หลังของเรนกระทบกับพื้น เจ้าตัวกระอักเลือดออกมา และมองผมจากที่ที่ต่ำกว่า
“แปปเดียวก็หมดเวลาของฉันแล้วละ”
มานาทั้งหมดค่อยๆไหลออกจากร่างของผม อย่างที่บอกว่าเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ไม่ว่าจะเวลาที่ผมมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หรือเวลาห้านาทีที่จำกัดนี้ เปลวเพลิงปกคลุมร่างผมหนึ่งครั้ง–ร่าง [เทพอสูร] สลายเหลือแต่กายเนื้อ
ผมตกอยู่ในสภาวะที่ไร้มานาชั่วขณะหนึ่ง เรนเห็นดังนั้นก็ยื่นมือชี้มาข้างบน ในตอนที่ตัวเองหลังชนกับพื้น—และนั่นคือช่องว่างที่พวกผมทุกคนปารถนา
ไร้ซึ่งจิตสังหาร แต่กลับได้ถึงอะไรบางอย่าง เรนพึ่งจะรู้สึกตัวว่ายูนาเข้ามาอยู่ในขอบเขตุการต่อโจมตีแล้ว
“—ยะ อย่าเข้ามา!”
มิติบิดเบือน เพลิงมหามังกรของชินไม่สามารถยับยั้งทั้งหมดไว้ได้ ร่างของเรนกำลังจะถูกผลัดออกให้ห่างกว่าเดิม ยูนาในเวลานั้นทำเพียงแค่โบกสะบัดดาบมหาภูต สร้างมิติมากมาย–สร้างมิติซ้อนมิติอีกทีหนึ่ง
เรนขยับไปไหนไม่ได้ พลาดท่า และ–ดาบสะบั้นมิติบนมือข้างขวาก็ได้สะบั้นร่างของเรนทั้งหมดหนึ่งครั้ง
“ยะ…อย่า—”
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! แสงสีม่วงพุ่งอาบร่างของเรน พร้อมกับรอยกระจกแตกที่ซ้อนกันนับล้านคราในคราวเดียว การสะบั้นดาบหนึ่งครั้ง มีคุณสมบัติเทียบเท่าการสะบั้นดาบที่ใกล้เคียงกับอนันต์ การสะบั้นมิตินี้ได้ทำให้ ‘เรน’ กลายเป็นผู้แพ้
“อา …อา ..อา ….ไม่จริง ไม่จริงใช่มั้ย”
เรนมองดูมือของตัวเองที่ส่องแสง ไม่ใช่แสงของเทพมังกร แต่เป็นแสงสุดท้ายก่อนที่ร่างกายเนื้อจะหายไป ใบหน้าของเรนบิดเบี้ยวไปด้วยความหวาดกลัว เรนใช้มือที่สัมผัสสิ่งใดไม่ได้กุมศรีษะของตัวเอง และเดินถอยหลังอย่างทุลักทุเล จะล้มทีไม่ล้มที
“เรื่องบ้าอะไรกัน เป็นไปไม่ได้ ..ความฝันของผม ความฝันตลอดสองพันปี–ความฝันท่ามกลางเวลานับล้านครั้ง ..อา ..อึก ..ไม่อยากตาย ไม่อยากตาย ผมไม่อยากตาย!!!!”
..น่าสังเวช ผมหรี่ตามองเรนอยู่ห่างๆ ต่างกับยูนาที่เดินเข้าไป
“คงจะคิดว่าน่าสังเวชอยู่สินะคะ”
“..อ่า”
เซเนียปรากฏตัวขึ้นข้างตัวผม ไล่เลี่ยกันกับชินที่สภาพสะบัดสะบอม พร้อมกับดาบมหาภูตที่หายไปแล้ว ใช่ พันธสัญญาระหว่างเธอกับยูนาได้จบลงทันทีที่ดาบสะบั้นมิติครั้งสุดท้ายนั้นได้พุ่งออกไป ด้วยเหตุนั้นเซเนียจึงปรากฏตัวออกมาได้
“..ทำไม ..ทำไมกัน” เรนเผลอไปสบตากับยูนาที่เดินตรงมา “เพราะแก ทั้งหมดเป็นเพราะแกคนเดียว!! บังอาจมากนักนะ ทำไมกันเล่า ทำไมต้องมาขวางทางผมด้วย เส้นทางสู่ความสุขที่ผมตั้งใจจะสร้างมันไม่ดีตรงไหนกัน อุตส่าห์สังเวยไปตั้งขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ..ยังมาขัดขวางกันได้ลงคออีกนะ สารเลวเอ้ย!!”
“….”
“ยะ อย่านะ อย่าเข้ามา—”
ยูนาก้าวไปประชิดตัวของเรน ใบหน้าของผู้เป็นน้องชายบิดเบี้ยวและสั่นไปด้วยความกลัวต่อพี่สาว
“ขอร้อง อย่าทำอะไรผมเลย ผมกลัวแล้ว ผมกลัว–ไม่เอา ผมไม่อยากตาย ไม่อยากรีบตายไปจากโลกใบนี้ ไม่เอาแล้ว ไม่เอา ไม่เอา จะไม่ทำเรื่องไม่ดีอีกต่อไปแล้ว ขอร้องละ ไว้ชีวิตผมด้วยเถอะ ได้โปรด ผมยังอยากจะ …หา?”
ยูนาเข้าสวมกอดเรน ร่างที่สั่นไม่หยุดตรงหน้าหยุดนิ่งลงด้วยแขนสองข้าง
“ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอกนะคะ”
“..น่ากลัวสิ ทุกอย่างมันจะดำมืด จะไม่รู้สึกอะไรอีก เพราะอย่างนั้นเลยน่ากลัวที่สุด”
จะไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกทุกอย่างได้อีกต่อไป จะไม่ใช่อะไรทั้งนั้น เป็นแค่หนึ่งในมานาที่ไร้รูปลักษณ์จากทั่วทั้งโลก ..ตัวตนจะถูกลบหายไป
นั่นละคือความตาย ถึงอย่างนั้นยูนาก็ยิ้มให้
“หลังจากที่หลับตาไปแล้ว ภาพก็จะดำมืดก็จริง อาจจะนานนับแสนหรือล้านปี แต่ว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาใหม่ พวกเราจะถูกส่งตัวไปในสถานที่ที่แสนอบอุ่น เป็นโลกที่ปราศจากความโหดร้าย ปราศจากความฝัน เพราะอย่างนั้นจึงไร้ซึ่งจิตใจที่เปื้อนด้วยมลทินทั้งหมด เป็นโลกที่ไม่มีอะไรเลย ถึงกระนั้น ..มันก็แสนอบอุ่น เพราะจะได้กลับไปพบกับคนสำคัญอีกครั้ง ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ทีนี้จะคุยอะไรก็คุยได้โดยไม่ต้องมีปัจจัยอื่นมาขวางกั้น”
“…ยาวนานเกินไปแล้ว”
“แต่เพื่อปลายทางของความสุข ทนได้ใช่มั้ยล่ะคะ?”
ยูนาใช้ไหล่ของเรนรองคางของตัวเอง เธอสวมกอดน้องชายที่น่าเอ็นดูอีกครั้งในรอบหลายพันปี
“เรน พี่เองอีกไม่นานก็จะตามไป ไว้ถึงตอนนั้นแล้วมาพูดคุยอะไรหลายๆอย่างกันเถอะนะ ..พร้อมกับท่านพ่อ ท่านแม่” ยูนาพูดต่อ “แต่สำหรับเรน คงจะมีคุณหนูที่ชื่อว่าอลิซาเบธเพิ่มมาด้วย ส่วนพี่ก็มีซากุระเพิ่มเข้ามา ไว้มาจับกลุ่มคุยกันใหม่นะ”
“….พูดจริงนะ”
“ใช่สิ พี่สาวคนนี้เคยโกหกเรนสักครั้งด้วยเหรอคะ?”
ความกลัวในความตายเลืองหายไป ใบหน้าของเรนในยามปกติกลับมาอีกครั้ง
“..อยากคุยกับทุกคนอีกครั้ง”
“เหมือนกันค่ะ”
“อยากขอโทษ”
“เรื่องนั้นฉันก็ด้วย ไว้เจอกันแล้วฉันก็จะขอโทษทุกคนเหมือนกันนะคะ หลายๆเรื่อง ..แล้วก็ขอโทษที่ทิ้งเธอไว้คนเดียวนะคะ เรน”
ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ผู้คนจะตระหนักรู้ได้อย่างน่าประหลาด ..ถึงใจจริงของตัวเอง
“..พี่ยูนา—”
..เรนหายไปแล้ว โลกจำลองเองก็ค่อยๆทลายลงช้าๆ
และอีกไม่นาน ยูนาก็จะไปแล้วเหมือนกัน
โกหกหน้าด้านๆ บอกเรนว่าสักวันจะตามไป ทั้งที่ตัวเองจะต้องตกนรก ดูยังไงก็น่าจะโดนจับส่งไปคนละที่ เพียงแต่ว่า ..ใช่ ผมจะทำลายนรกให้เอง
“อย่าลืมนะคะ”
ยูนาหันกลับมายิ้มให้ผม
“สัญญาที่ให้ไว้”
ผมพยักหน้ารับ เพียงแค่นั้นยูนาก็เลืองหายไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรเลย
“ท่านยูนา ..”
ในที่นี้มีแค่ชินที่ส่งเสียงอาลัยอาวรณ์ให้กับยูนา ส่วนตัวของผมเองไม่มีเรื่องที่ต้องอาลัยอาวรณ์อะไรด้วยแล้ว ก็จริงที่อยากจะคุยด้วยมากกว่านี้สักนิดก็ยังดี แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ผมก็ก้าวเดินไปต่อ เพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องให้อยู่เฉยๆ
สัญญากับยูนาไปแล้วด้วย หลายๆอย่างเลย ไม่ช้าก็เร็ว ยังไงก็น่าจะได้เจอกันอีก ต่อให้คนๆนั้นไม่ใช่ยูนาที่ผมรู้จัก แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะมันคือคำสัญญาสุดท้ายของพวกเรา เป็นพันธสัญญาที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด
“เรเซอร์ ดราแคล์ รู้รึเปล่าคะ?”
เซเนียทักขึ้น และหยุดเดิน
“สัญญาที่ให้ไว้กับยูนาเป็นสัญญาบนโลกความจริง ถ้าเป็นโลกจำลองของเรน ต่อให้แหกข้อสัญญานั้นไปก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรได้”
“..จะบอกอะไรกันแน่”
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก”
อะไรของคนๆนี้กันนะ ..ผมก้าวเดินไปต่อราวหนึ่งก้าว
‘นี่ มาสเตอร์ อรุณสวัดดิ์คะ หืม? เที่ยงแล้วเลยไม่ต้องก็ได้น่ะเหรอคะ? ตามใจเลยค่ะไม่ใช่กลการของฉัน’
‘ว่าแต่คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้บ้างเหรอคะ?’
‘จะทำตัวน่าสมเพซไปถึงไหนกันคะ? ทำตัวแบบนี้เบลลามีจะเกลียดเอานะคะ’
‘มาสเตอร์ นี่ มาสเตอร์ อย่าทำเมินกันสิ เป็นผู้ใหญ่หน่อย’
‘โหมงานหนักไปแล้วนะคะ มาสเตอร์ เดี่ยวก็ได้หลับไม่ตื่นเข้าสักวันเอาหรอกนะคะ ถึงตอนนั้นจะไม่ใช่ตัดมิติช่วยแล้วนะคะ’
‘ลำบากฉันต้องตามล้างเช็ดตลอดเลยนะคะ คนแบบมาสเตอร์เนี่ย’
‘เลวที่สุดเลยนะคะ มาสเตอร์’
‘ต้องเกือบตายอีกกี่รอบถึงจะพอใจกันคะ?
‘มาสเตอร์!!!!”
‘..ราตรีสวัดดิ์นะคะ’
ผมก้าวเท้าราวสามเก้า ก่อนที่จะทรุดลงกับพื้น เรี่ยวแรงหายไปหมด บางทีอาจจะเป็นผลกระทบจากการใช้งานมานาจนหมด ..
‘กลับกันเถอะค่ะ มาสเตอร์—ฉันอดใจรอวันพรุ่งนี้ไม่แล้วแล้วน่ะค่ะ’
วันพรุ่งนี้ ..นั้นเหรอ แบบนี้นี่เอง
“….”
วัยพรุ่งนี้ของผมที่ไม่มียูนา ว่าแล้วเชียว ยังไงมันก็ทำใจให้ชินไม่ได้หรอก
“..ยู..นา..”
รู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยไปไกลนับสิบปี ผมร้องไห้ออกมาราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง พันธสัญญากับยูนาไม่มีผลบนโลกจำลองนี้ เพราะอย่างนั้น ..คงจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ยที่ผมจะทำผิดสัญญาน่ะ
จนกว่าโลกจำลองจะสลายลงจนหมด ผมคงไม่สามารถหยุดร้องไห้ออกมาได้
เด็กขี้แง ยูนาเคยเรียกผมอย่างนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง ..โชคดีจริงๆที่เธอไม่ได้เห็นผมในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นละก็-ผมคงอับอายแย่
****
ฉันยืนอยู่บนโลกสีดำ ปลายทางข้างหน้าก็คือนรกที่แสนว่างเปล่า แม้จะไม่อยากเดินไป แต่มันก็ไม่มีตัวเลือกอื่นให้เดินไป ..ระหว่างที่เดินไป ฉันก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของคนๆนั้นดังขึ้นตลอด เหมือนว่าจะตกลงเรื่องโกงๆกันลับหลังฉัน
“ยัยบ้า เซเนีย”
ฉันสบถออกมา ..จริงๆจะอยู่คุยกับคนอื่นๆก่อนอีกสักหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร แต่ว่าฉันรีบจะออกจากที่แห่งนั้นให้เร็วที่สุด
ไม่รู้ว่าด้วยความบังเอิญอะไร ฉันกับมาสเตอร์เป็นคนขี้โกงเหมือนกันค่ะ กระทั่งเจตนาที่ทำให้โกงก็ยังเหมือนกัน
“..ไม่อยากให้เห็นตอนร้องไห้เป็นเด็กหรอกนะคะ ..มาสเตอร์”
ฉันเดินไปต่อ และปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา—ฉัน วีรสตรี ยูนา ไม่มีสิ่งใดที่จะนึกเสียใจทีหลัง คิดว่านี่คงจะเป็นจุดจบที่ไม่เลวนัก
แม้แต่ตอนนี้ที่ฉันร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในใจลึกๆก็ยังสัมผัสความอบอุ่นได้อยู่ ..สิ่งที่ได้รับมามันจะไม่มีวันหายไปไหน เพราะอย่างนั้นสักวันหนึ่ง จะต้องได้เจอกันอีกครั้งแน่นอนค่ะ เพื่อส่งคืนสิ่งที่ได้รับมาวนกันไปมา
วัฐจักรแห่งความสุขนี้ของพวกเรา จะไม่มีตอนจบค่ะ ….
………..
…….
ปลายทางไม่ใช่เพลิงที่ร้อย หรือโลกที่ว่างเปล่า หากแต่เป็นทุ่งดอกไม้ที่แสนสวยงาม ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ มีเพียงดอกไม้นี่ที่คอยสาดส่องแสงไปทั่วทั้งโลกใบนี้ ฉันเบิกตาโพลงกว้าง เพราะพวกเขาเหล่านั้นกำลังรอฉันอยู่
นั่นทำให้ฉันตั้งข้อสงสัย-หรือว่านรกไม่มีจริงตั้งแต่แรกแล้วกันนะ?
ท่านพ่อ ท่านแม่ เรน อลิซาเบธ แล้วยัง ..ฉันยังไม่เดินไปหา เลือกจะก้มลงไปเด็ด ‘ดอกไม้ที่ดูอ่อนแอ’ ออกมาชมเชย
“น่าคิดถึงใช่มั้ยละคะ?”
“..อืม”
“บนโลกที่กว่าจะมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาในแต่ละพื้นที่สักครั้งหนึ่งก็กินเวลาไปเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน หรืออาจจะเป็นปีเลยก็ได้ในบางพื้นที่ แต่นี่คือดอกไม้ที่จะเลืองแสงในยามค่ำคืน มันจะคอยมอบแสงสว่างให้กับผู้คนในห้วงเวลาที่ไร้ซึ่งแสงจากพระอาทิตย์ เป็นดอกไม้ที่เปรียบได้ดั่งแสงสว่างแห่งความหวัง”
“แต่สุดท้ายมันก็เป็นดอกไม่ที่อ่อนแอ ทำอะไรไม่ได้นอกจากส่องแสงยามค่ำคืน”
“เพราะอ่อนแอ แต่ก็ยังคงส่องแสงต่างหาก มันจึงได้เป็นดอกไม้ที่เปรียบเสมือนกับความหวังของพวกเรา”
…..
“จะให้พยายามท่ามกลางความมืดไปตลอดก็คงไม่ไหว เพราะอย่างนั้นแสงสว่างที่ไร้ประโยชน์นี่จึงน่าหลงใหลน่ะค่ะ”
“…”
“ไม่คิดเช่นนั้นหรือคะ? ว่านี่น่ะคือดอกไม้ที่แสนอ่อนโยนน่ะ ยูนา”
แม้ว่าจะไร้พลัง แม้ว่าจะอ่อนแอ แต่ก็อ่อนโยนเกินกว่าสิ่งใด แสงสว่างจากดอกไม้ชนิดนี้นั้นอบอุ่นยิ่งกว่าแสงจากพระอาทิตย์เสียอีก ..เช่นเดียวกันกับเธอคนนี้ ‘ซากุระ’ พูดคุยกับฉันบนทุ่งดอกไม้ที่เธอหลงใหล
..มีหลายอย่างที่อยากจะพูดคุยด้วย เป็นประโยคพูดเดิมๆที่ฉันมักจะพูดกับเธอในวันครบรอบ
“เธอมันไร้ประโยชน์ มีเพียงความฉลาดน้อยๆ นั่นเท่านั้นที่โอ้อวดชาวบ้านได้ วันๆ เอาแต่ร่าเริง ให้กำลังใจผู้คน ตามฉบับเจ้าหญิงโลกสวยที่น่าโมโห พอถึงเวลาจริงก็ไม่ใช่เธอหรอกที่จะช่วยใครได้ ถึงจะช่วยอย่างสุดตัวแต่มันก็ไม่ใช่เธอ เธอทำประโยชน์อะไรไม่ได้ ….ยกเว้นแค่กับฉันคนเดียว”
…
“มันอาจจะจริงเหมือนกับที่เธอพูดก็ได้ ว่ามันคือแสงสว่างที่อยู่เคียงข้างผู้คน แม้ในยามที่ถูกความมืดครอบนำ …ใช่ นั่นน่ะฉันก็คิดเหมือนกัน–เพราะครั้งแรกที่เราเจอกันน่ะ เธอไม่ได้ต่างอะไรกับดอกไม้นี้เลยยังไงละ ไร้ค่าแต่กลับอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์จริงๆ แม้ว่าจะไม่ใช่”
….
“เอาเข้าจริงๆแล้ว ฉันคงจะไม่ได้รังเกียจดอกไม้นี่อะไรมากนัก เพราะมันดันเป็นดอกไม้ที่คล้ายกับเธอ”
“..นั้นเหรอ”
“แล้วก็ซากุระ ฉันทำได้แล้วนะคะ ถีงจะไม่มีหลักสูตรที่ตายตัวแต่ว่า–ก้าวข้ามได้แล้วนะคะ อดีตน่ะ”
“ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยนะ”
“ตั้งใจไว้อย่างนั้นอยู่แล้วค่ะ”
ยูนายิ้มให้ออกมาอย่างสดใส ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆสลายกลับคืนสู่โลกใบนี้