เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 393
< < 245 > >
โลกจำลองทั้งใบสั่นสะเทือนด้วยการต่อสู้ของคนเพียงสองคน เรเซอร์ ดราแคล์ และเรนได้พัดเอาทุกสรรพสิ่งที่รังสรรค์ขึ้นมาให้ปลิวไปกับอากาศ ต้นไม้ ผืนหญ้า รวมถึงรอยแยกมิติที่เกิดขึ้น ทุกอย่างโดนเผาจดมอดวาย
ไม่ใช่การต่อสู้ที่สวยงามเหมือนดั่งที่เผชิญกับยูนา มันคือการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยพลังบ้าคลั่งที่เน้นกำลังเข้าว่าอย่างเดียว
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เพลิงทำลายล้างผสานเข้ากับแสงสีขาว และหายวับไปหลายต่อหลายครั้ง พร้อมกับเสียงแลกหมัดกระแทกกล้ามเนื้อที่ดังสนั่น
“ย๊ากกกกกก!!!!”
สามจังหวะปะทะกัน ก่อนที่เรนจะโดนหมัดอัปเปอร์คัตของเรเซอร์ซัดเข้ากลางลิ้นปี่จนกระอักเลือด และถอยหลังไปสองก้าว
“เห้ยๆ มีดีแค่คำรามรึไงวะ ไอ้มังกรเก๋!”
“หนวกหู หนวกหู หนวกหู หนวกหู จะฆ่าให้ดูไอ้บ้านี่!!”
แหกปากจบเรนก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง–เห็นได้ชัดว่าเรเซอร์เหนือกว่าในด้านทักษะดวลหมัดต่อหมัด ทำให้แม้พลังกายแทบทุกส่วนจะเท่ากัน แต่เรเซอร์ก็จะเหนือกว่าหนึ่งก้าวเสมอ เป็นอีกครั้งที่เรนโดนซัดจนร่างแทบจะปลิว
“บัดซบเอ้ย สู้ไม่ได้เลย”
เรนรู้สึกตัวแล้วว่าการแลกหมัดกับเรเซอร์ไม่ใช่เรื่องฉลาด จึงถีบตัวเองถอยหลัง และใช้วิชาไสยศาสตร์กับพลังของเทพมังกรเข้าสู้ เพียงแค่ไม่นานแขนและขาก็หลุดออกจากร่าง ทำให้เรเซอร์ตัดสินใจถอยออกมาเว้นระยะ และรักษาร่างกายตัวเองด้วยวิหคอมตะ
“..ท่าไม่ดีแล้วแฮะ” เรเซอร์หรี่ตามอง “เจาะไม่เข้าเลย”
ถึงจะสูสี และแลกชนะเรนหลายครั้ง แต่เรเซอร์ไม่สามารถทำดาเมจที่เด็ดขาดจริงๆใส่เรนได้เลย ชนะแล้วยังไงต่อ เรนก็แค่รักษาร่างตัวเองและกลับมาสู้ใหม่ รอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีขีดจำกัดทางร่างกายอะไรอยู่แล้ว
ซึ่งผิดกับตัวเรเซอร์
[เรลันดาฟ]-[เทพอสูร] มีเงื่อนไขและข้อจำกัดที่ชัดเจนอยู่
แม้จะได้รับพลังที่มหาศาล พอจะวัดกับเทพมังกรซึ่งๆหน้าได้ และเปลี่ยนมานาทั้งหมดในตัวเองให้กลายเป็นคุณสมบัติของข้อผิดพลาดของโลกได้ก็จริง แต่ก็มีขีดจำกัดในร่างนี้อยู่เพียง ‘ 5 นาที’ เท่านั้น
พลังของอสูรโลหิตที่ได้รับมาจากแมมม่อน ทำให้เรเซอร์สามารถควบคุมเลือด(มานา)ในร่างกายตัวเองได้แบบสมบูรณ์แบบ เมื่อนำไปผสมกับเรลันดาฟ และเล่นกฏข้อผิดพลาดของโลกในตัวเองเข้าไปด้วย จึงทำให้เกิดร่าง [เทพอสูร] ขึ้นมาได้ แต่นั่นมีหลักการณ์ทำงานที่คล้ายกับ [โนอาห์]-[คาโน่] มันคือการใช้มานาทั้งหมดของตัวเองให้ทำงานเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ยาก
กล่าวก็คือ หลังจากหมดห้านาทีที่เป็นขีดจำกัดไปแล้ว เรเซอร์จะอยู่ในสภาวะที่ไร้มานาชั่วขณะหนึ่ง เหมือนกับตอน [โนอาห์]-[คาโน่] ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่สามารถใช้วิหคอมตะได้ ทั้งยังอ่อนแรงอีก มีความเป็นไปได้ที่จะอ่อนแอยิ่งกว่าชาวบ้านธรรมดาเสียอีก
ถึงแม้ตอนนี้เวลาจะยังผ่านมาไม่กี่วินาทีนับจากที่เปิดใช้งาน แต่ว่า–ห้านาทีก็เป็นเวลาแสนน้อยนิดอยู่ดี
ต้องรีบหาทางเอาชนะให้ได้–ระหว่างที่กำลังคิดหาขั้นตอนต่อไป ยูนาที่มองดูการต่อสู้อยู่ห่างๆก็ยิ้ม ก่อนกำดาบบนมือแน่นยิ่งกว่าเดิม
****
(มุมมอง ยูนา)
ยูนามองดูการต่อสู้ของเรเซอร์และเรน แต่ให้พูด เธอจ้องแต่ใบหน้าของนายของตนเองอย่างเรเซอร์ และนึกย้อนถึงเรื่องราวหลายๆอย่าง
“มาสเตอร์สุดยอดไปเลยนะคะ”
หากยังเป็นวิญญาณระดับเทพของเรเซอร์อยู่ เธอจะไม่กล้าคิดอะไรแบบนี้ออกมา เพราะมันน่าอาย และมีสิทธิ์ที่เรเซอร์อาจจะได้ยินด้วย ..แต่ว่าพันธสัญญาในฐานะวิญญาณระดับเทพได้จบไปแล้ว เธอจึงสามารถพูดได้
เรเซอร์คงจะไม่ได้ยิน คิดแบบนั้นน่ะนะ ..
‘นั่นสินะ จู่ๆก็พลิกสถานการณ์ได้ด้วยตัวของตัวเอง จะว่าดวงดี หรือมีความสามารถในการลิขิตโชคชะตาของตัวเองดีละ’ เซเนียหัวเราะพึมพำ ‘เป็นคนไม่มีดวงที่ดวงดีเหลือเกิน’
“เรื่องจำพวกนี้สำหรับมาสเตอร์แล้วคิดไปก็ปวดหัวค่ะ ฉันที่อยู่ด้วยมาตั้งหลายปียังไม่อาจทราบเลย ..เอาเป็นว่า มาสเตอร์อุตส่าห์พยายามตั้งขนาดนั้นแล้ว สร้างโอกาสออกมาให้เห็นตั้งมากมายก็คงจะถึงเวลาของฉันแล้วกระมังคะ?”
‘เอาจริงสินะ ..ยูนา’
“ค่ะ ก่อนหน้านี้ก็คุยกันไปแล้วนี่”
‘..เหรอ’
“ความผิดพลาดในอดีตที่ไม่สามารถพาคนสำคัญของตัวเองไปสู่ปลายทางของความสุขได้ ฉันจำเป็นต้องชดใช้ค่ะ และนี่ก็คือเวลาที่เหมาะสมกับเมื่อตอนนั้น”
ยูนาใช้มือข้างที่ว่างอยู่คลำอากาศ แสงสีม่วงผุดขึ้นเป็นรูปร่างของดาบ รูปร่างของดาบค่อยๆปรากฏขึ้นช้าๆ ทว่า เซเนียกลับปรากฏตัวออกมายืนขวางหน้ายูนาเอาไว้
‘คิดดีแล้วเหรอ กับอีแค่การชดใช้อะไรนั่น ปล่อยวางไปซะไม่ดีกว่าหรือไง’
“….”
‘สิ่งที่เสียไปมันเรียกกลับคืนมาไม่ได้ ต่อให้ชดใช้ไปก็ไม่มีอะไรได้กลับคืนมาทั้งนั้น ยูนา ต่อให้เธอต้องหายไปก็ไม่มีเรื่องใดที่ได้รับการเยียวยาทั้งสิ้น ..ไม่ว่าจะ ซากุระ อาจารย์แรกซ์ หรือว่าเรื่องของเรน ทุกอย่างมันไม่มีทางเลืองหายไปได้หรอก สองพันปีที่ผ่านมาน่าจะชี้ชัดแล้วไม่ใช่หรือไง’ เซเนียหรี่ตามองด้วยสีหน้าแปลกๆ ‘หลังจากจบสงคราม สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไป หลายๆอย่างน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เรื่องที่ยูนาจะต้องหายไปมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโมฆะด้วยเหมือนกัน’
เพราะอย่างนั้นแล้ว
‘ไม่ต้องรีบหายไปก็ได้นี่นา’
“กลัวเสียเพื่อนนั่งดื่มเหล้าขนาดนั้นเลยหรือคะ?”
แม้ยูนาจะไม่ใช่พวกชอบดื่มก็ตาม แต่อย่างน้อยๆก็มีเพื่อนมานั่งคุยไปด้วยขณะที่ดื่ม คงช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ แต่ว่าไม่ใช่แค่นั้น
‘จะพูดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ..เออสิ ไม่ใช่แค่เพื่อนดื่มด้วย’
“..หากยากนะคะที่เซเนียพล่ามอะไรพวกนี้ ปกติจะเป็นพวกเกียจเรื่องน้ำเน่าๆแท้ๆ”
‘แปลกรึไงที่ไม่อยากจะให้เพื่อนที่สำคัญที่สุดของตัวเองต้องหายไป .. เรเซอร์ จะเอาชนะเรน และต้องหาทางช่วยเธอได้แน่นอน’
“ให้โยนความคาดหวังทั้งหมดไปให้มาสเตอร์ไม่ได้หรอกนะคะ”
‘คนๆนั้นบอกว่าจะช่วยเธอ–’
“จำไม่เห็นได้ สัญญาปากเปล่าพวกนั้นน่ะ ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ เซเนีย”
‘..ทำใจชอบหล่อนไม่ลงจริงๆ’
“น่าเศร้านะคะนั่น”
ยูนาพูดทั้งรอยยิ้ม ผิดกับเซเนีย
ทั้งสองจ้องหน้ากันเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ยูนาจะถอนหายใจ และพูดต่อ
“ไม่ใช่เพื่อแค่ชดใช้อย่างเดียวหรอกนะคะ เซเนียก็น่าจะรู้ดีแก่ใจ ..ตัดสินใจไปตั้งนานแล้ว เรื่องความฝันของฉัน และอนาคตของฉัน–ทั้งหมดก็เพื่อความสุขของมาสเตอร์ คนสำคัญเพียงน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ของฉัน ก็จริง ที่ตัดสินใจจะทำมันเป็นเพราะในส่วนลึกของจิตใจมันอยากจะชดใช้บาปของตัวเอง แต่ว่านะ”
ยูนานำมือไปทาบที่อก และโพล่งจากใจจริง
“สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดจริงๆ คือเรื่องที่ฉันจะยอมให้มาสเตอร์แพ้ไม่ได้เด็ดขาดต่างหากละ ต่อให้ต้องเงยหน้ามองจากนรกก็ตามแต่ ฉันอยากจะเห็นค่ะ ปลายทางของคนๆนั้น เพื่อการนั้นแล้วจะมาสะดุดอยู่ที่นี่ไม่ได้ จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาก้าวข้ามผ่านด้วยตัวเองไม่ได้ ตั้งแต่วันแรกที่ทำพันธสัญญากัน ฉันก็ตัดสินใจจะก้าวผ่านทุกอย่างไปพร้อมกับเขาคนนั้น”
สุดท้าย ความปารถนาของเซเนียก็ไม่เป็นจริง [ดาบสะบั้นมิติ] ก่อร่างจนสมูบรณ์แบบที่เบื้องหน้า ยูนาใช้มือขวาคว้าด้ามจับดาบไว้แน่นพร้อมกับดาบมหาภูตที่มือซ้าย
ยูนาก้าวไปข้างหน้า เซเนียยืนนิ่งอยู่เฉยๆ แผ่นหลังของยูนาเหมือนกับแผ่นหลังของยูนาเมื่อวันแรกที่พวกเธอทำพันธสัญญากัน เมื่อสองพันปีก่อน ท่าทาง รวมถึงคำพูดถึงอย่างยังฝังลากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของเซเนีย
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว จุดเริ่มต้นของตำนานระหว่างทั้งสอง ความรู้สึกก่อนที่จะเป็นมหาภูต และความรู้สึกก่อนที่ยูนาจะกลายเป็นวีรสตรี ทั้งหมดมันผุดขึ้นมาอีกครั้ง-ยูนาหันหน้ากลับมามองด้วยใบหน้าที่สง่างามสมกับชื่อวีรสตรี
เซเนียเบิกตาโพลงกว้าง เธอเห็นภาพซ้อนทับระหว่าง ซากุระ กับแรกซ์ในตัวของยูนา
ใช่แล้วละ วาระสุดท้ายของพวกเขาเหล่านั้น มันสง่างามเหมือนกับยูนาในเวลานี้
“ต่อให้เธอจะต้องร้องไห้ ฉันก็จะไม่หยุดเดินไปต่อหรอกนะคะ เพราะอย่างนั้นแล้ว–”
ก่อนที่ยูนาจะพูดออกมา เธอนึกถึงคำพูดแสนวิเศษที่มาสเตอร์ของตัวเองเคยมอบให้ในวันแรกที่พบกัน
‘ตามหลังฉันมาซะ ไอวีรสตรีโหลยโท่ย”
น่าคิดถึงจริงๆนะ—ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอลองพูดหน่อยละกันนะ มาสเตอร์
“ตามหลังฉันมาซะ ไอมหาภูตโหลยโท่ย”
นี่คือคำสั่งสุดท้าย จงปิดฉากเรื่องราวด้วยพันธสัญญาสุดท้ายของพวกเรา
****
เพลิงมหามังกรปะทุขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ฟัฟนิร์เอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับความเป็นความตาย เธอยืนอยู่ที่ปลายทางของชีวิต อีกเพียงก้าวเดียวชีวิตนี้ก็จะดับสูญ–เทียแมธฝ่าด่านทะลวงหมายจะไปหยุดฟัฟนิร์ไว้ให้ได้
ยูจิ ดิลุค และทุกคนใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อหยุดเทียแมธไว้ให้ได้—เทียแมธเรียกแสงสีขาวเข้าปกคลุมทั่วทั้งร่าง
เพียงแค่พริบตาเดียว มังกรยักษ์ทัดฟ้าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า มันคือมังกรสีขาวที่มีประกายแสงสีทองเปล่งประกาย นามนั้นคือ ‘เทพมังกร’ ‘เทียแมธ’
พลังเพิ่มพูนมหาศาล แลกกับความอิสระในการเคลื่อนไหว แต่แล้วมันจะทำไมกัน ต่อให้ไร้ซึ่งอิสระ ทั้งยูจิ ทั้งดิลุคก็ไม่มีพลังพอจะหยุดเทียแมธในร่างจริงได้อยู่ดี—เทียแมธยกมือยักษ์ขึ้นในระดับเดียวกับลำคอ และเหวี่ยงลงสู่พื้นผิวโลก
ฟัฟนิร์แหงนหน้ามองท้องฟ้า หลับตาข่มความกลัว และทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เบลลามีเรียกเพลิงสีดำออกมา และทั้งหมดก็โดนแสงสีขาวหักล้างเอาง่ายๆ
ความตายมาถึงแล้ว วินาทีที่ภาพนั้นเริ่มชัดเจนขึ้น–ดาบเล่มหนึ่งก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าของยูจิ
“—”
ยูจิรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าดาบเล่มนี้มันคืออะไร ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยจับต้องมันมาก่อน บนคำโกหกนับแสงหรืออาจจะเกือบๆล้าน เขาได้จับดาบเล่มนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เพราะอย่างนั้นยูจิจึงเอื้อมมือไปหยิบที่ด้ามจับดาบ และเหวี่ยงไปในทิศทางที่ใจของตัวเองปารถนา พร้อมกับปฏิกิริยามานาที่เกิดขึ้น
แสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวพวยพุ่งออกมาจากตัวดาบ ยูจิโบกสะบัดดาบหนึ่งจังหวะ พร้อมกับผสานเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วทั้งบริเวณแห่งนี้
“ [ยูซาริเซี่ยน] !!!!”
ร่างของเทพมังกรสลายไปทันทีเมื่อถูกแสงศักดิ์สิทธิ์เข้าปกคลุม อย่างกับการทลายเปลือกไข่ เทียแมธถีบตัวเองออกจากร่างที่แท้จริง เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล และเลือดที่โชกไปทั่วทั้งร่าง ยูจิเร่งสปีดพุ่งเข้ามาตวัดดาบเข้าใส่ เทียแมธตั้งใจจะหลบทุกการโจมตี แต่ก็พลาดถูกฟันจนแขนขาด ยูจิกดดันเทียแมธอย่างหนักด้วยวิชาดาบ เทียแมธหักล้างมัน และถีบร่างของยูจิจนกระเด็น ช่วยให้พ้นระยะจู่โจม
เทียแมธหรี่ตามองดาบบนมือของยูจิ
“..จัสติสเทีย ..”
‘ดาบแห่งผู้กล้า’ ‘จัสติสเทีย’ แสงศักดิ์สิทธิ์ที่จะหวนคืนทุกสรรพสิ่งไปสู่ความยุติธรรม ในมือของยูจิมันมีพลังพอจะทลายผิวหนังของเทียแมธได้อย่างไม่ยากเย็น สังเกตุได้จากสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยนไปหลังจากเห็นจัสติเทียเล่มนั้น
ยูจิปกคลุมร่างด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และถีบตัวเองเข้ามาแลกกับเทียแมธ
ทั้งหมดสิบจังหวะ ยูจิแพ้ไปสองจังหวะ เทียแมธแพ้ไปหนึ่งจังหวะ แต่หลังจากพ้นสิบจังหวะนั้น อีกสิบถึงร้อยจังหวะก็เริ่มขึ้นติดๆกันในเวลาเพียงเสี้ยววิเดียว
ประกายแสงดาบ ปะทะกับดาบแสงของเทพมังกร
แม้จะแลกกันกว่าร้อยครั้ง แต่ผลัพธ์ก็ลงเอยที่เทียแมธอยู่ดี หน้าท้องของยูจิพลาดถูกกระซวกเข้าอย่างจัง ในวินาทีเดียวกัน ยูจิยกดาบขึ้นฟ้า และรวบรวมมานาเข้าตัวดาบ
“ [ยูซาริเซี่ยน] !”
“—-”
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!
เทียแมธกระโดดถอยหลังไกลนับสิบเมตร ยูซาริเซี่ยนพลาดเป้า ทั้งยังใช้ติดต่อกันสองรอบ ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ยูจิกลับไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าเลยสักนิด
ถึงผู้ใช้งานจะไม่ใช่เอเธอร์คนนั้น แต่ว่ายูจิในตอนนี้ก็อันตรายไม่ได้ต่างกับเอเธอร์เลย ตัวดาบจะมอบพลังที่มหาศาลให้แก่ผู้ที่มีมานาอยู่น้อยนิด ในทางกลับกัน คนที่มีมานาอยู่มากจะถูกดูดกลืนมานาเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้คนที่มีมานาเยอะไม่คู่ควรกับดาบเล่มนี้
แต่ว่า ยูจิเป็นกรณียกเว้น เพราะมานาที่เขามีมันเข้าใกล้คำว่า ‘อนันต์’ เพราะอย่างนั้นต่อให้ถูกดูดกลืนมากแค่ไหน มานาก็ไม่มีทางหมดลง ..ในแง่ของระยะการใช้งานอย่างเดียว ยูจิสามารถใช้จัสติสเทีย และ [ยูซาริเซี่ยน] ได้บ่อยและนานกว่าเอเธอร์ด้วยซ้ำ
ยูจิตอนนี้ถูกยกระดับให้มีพลังพอจะชนกับเทียแมธได้โดยตรง ..แต่ว่า ก็ยังไม่ใช่เอเธอร์อยู่ดี หากเป็นเอเธอร์ เขาสามารถโค่นเทียแมธได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ยูจิไม่สามารถทำถึงขั้นนั้นได้ จะอย่างไรก็แล้วแต่ ดาบเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเอเธอร์ คนอื่นนอกจากเอเธอร์ไม่มีทางดึงประสิทธิภาพทั้งหมดออกมาได้
ยูจิเองก็เข้าใจถึงเรื่องนี้ดี เป้าหมายจึงไม่ใช่การโค่นเทียแมธ—หากแต่เป็นการสร้างทางสว่างให้แก่จอมมารต่างหาก
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ไกลออกไป มานาจำนวนมากก็ลอยมาอยู่บนท้องฟ้า เพลิงมหามังกรเพลิงทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น
“….”
“ในที่สุดก็มาสักทีนะครับ”
เบลลามีก้าวมาข้างหน้า พร้อมกับดาบสีขาวบนมือ [ดาบแห่งโซโลม่อน] ที่จู่ๆก็โผล่ขึ้นมา ทันทีที่ปรากฏ มานาทั้งหมดก็หายไปจากชั้นบรรยากาศ ฟัฟนิร์ทำท่าจะล้มลงกับพื้นพร้อมร่างกายที่แสงกำลังจะดับลง—เบลลามีเหวี่ยงดาบสองครั้ง
แสงจันทร์ที่ปกคลุมมานาของคนสองคนอยู่ก็สลาย ร่างที่เกือบหายไปของฟัฟนิร์ฟื้นคืนกลับมา มานาที่เสียไปของเบ็นจิโร่ก็ได้กลับคืนมา
แผนการณ์สำเร็จแล้ว—ยังเร็วไปที่จะดีใจ เทียแมธยังไม่ได้พ่ายแพ้ ..ในห้วงเวลาที่คล้ายจะหยุดนิ่งลงนั้น
เซียนก็เดินเข้าสู่สนามรบพร้อมกับตบมือไปด้วย
“ไม่คิดว่าจะมีวันที่ได้เห็นดาบแห่งโซโลม่อน กับดาบที่เคยเป็นของผู้กล้าร่วมมือกันปราบศัตรูเลยนะ น่าสนใจจริงๆ”
“ฝีมือของเจ้าเองนั้นสินะ ฮุ่ยหมิ่น”
“โอ๊ะ รู้จักกระผมด้วยหรือท่านเทพแห่งจุดเริ่มต้น”
“เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องรู้จักอยู่แล้วสิ”
ได้ยินอย่างนั้น ฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเป็นเกียรติเล็กน้อย
“ยะ ยังอยู่ดี ข้ายังอยู่ดี!”
ฟัฟนิร์โวยวายขึ้นมาขณะที่นอนคาอยู่กับพื้น ก่อนเธอจะลุกขึ้นมากระโดดดึ๋งๆไปมาเพื่อเช็คสภาพตัวเอง
“เหวอ!!!”
ได้ยินฟัฟนิร์โวยวายตามปกติแล้วทุกคนก็โล่งอก ..เบลลามียิ้มอย่างพึงพอใจ
ทุกอย่างพร้อมแล้ว
“ขอโทษที่ให้รอนาน” เบลลามีชี้ดาบไปทางเทียแมธ “ได้เวลาสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้วนะ เทียแมธ”
เทียแมธเห็นภาพซ้อนทับของ ‘พระเจ้าสูงสุด’ กับตัวของเบลลามีและดิลุค
“น่าคิดถึงจริงๆนะ”