เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 392
< < 244 Sec4 > >
เปลวเพลิงของมหามังกรทำให้ทั่วทั้งแดนนรกกินคนสั่นสะเทือน ทั้งหมดมันระเบิดออกมาจากข้างล่าง ทำให้ไม่ใช่แค่เขย่าแผ่นดิน แต่อีกไม่นานก็มีความเป็นไปได้ที่ข้างใต้ของแผ่นดินจะเกิดการระเบิดตามไปด้วย หากควบคุมมานาพลาดแม้แต่นิดเดียวก็มีความเป็นไปได้ที่จะโดนพลังของตัวเองระเบิดตายกันหมด–ฟัฟนิร์ปลดปล่อยมานา พลางร้องอวดครวญเสียงดังลั่น
เบ็นจิโรที่ง้านคันธนูรอเตรียมใช้ท่าใหญ่ได้ยินแล็วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่ก็อัดกลั้นเอาไว้
เบลลามีสำรวจสถานการณ์รอบๆ พลางฟังเสียงตะโกนจากดิลุคด้วยเวทมนตร์สื่อสารระยะไกล ดิลุคเองก็เป็นหนึ่งในคนที่คอยสนับสนุนยูจิเหมือนกัน ด้วยพลังกายของเธอทำให้ไม่สามารถชนกับเทพมังกรโดยตรงเหมือนยูจิได้ กระนั้นความสามารถของดิลุคก็ช่วยยูจิไว้มากมายทีเดียว
ไม่นาน ทุกอย่างก็ลงเอยพอดี ทั้งมานาที่สะสมจนครบ ทั้งการชาร์จจู่โจมของเบ็นจิโร่—-ดิลุคตะโกนสุดเสียงให้สัญญาณ
“ตอนนี้แหละ!”
วินาทีเดียวกับที่ดิลุคตะโกน ทุกคนก็พากันกระโดดออกห่างจากเทียแมธ เพลิงมหามังกรที่ปะทุขึ้นจู่ๆก็ถูกเร่งให้ระเบิดหนักกว่าเกา แล้วก็ ศรวารียักษ์ ที่เบ็นจิโร่ชาร์จไว้นับหลายนาทีก็ได้พุ่งตรงเข้าใส่เทียแมธ
มานาจำนวนมหาศาลใกล้จะระเบิดออก เบลลามีเตรียมตัวจะเปลี่ยนมานาทุกหน่วยให้กลายเป็นดาบแห่งโซโลม่อน–เธอตั้งท่าถือดาบ เทียแมธชำเลืองมองก่อนจะคุกเข่าลงไปสัมผัสพื้นผิวที่เลืองแสงเพราะเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจันทร์
“ [ดวงจันทร์จงทำตามบัญชาแห่งข้า] ”
ดิลุคพร้อมด้วยเบลลามีหน้าซีด
“เดี่ยวก่อนนะ”
“เวรเอ้ย ..!”
ทั้งสองทำท่าจะวิ่งเข้าใส่เทียแมธออกมาพร้อมกัน–แสงจากดวงจันทร์ลอยขึ้นมาย้อมลูกศรวารีเอาไว้ และทำให้มันหยุดนิ่ง เช่นเดียวกันกับการระเบิดมานาของฟัฟนิร์เองก็ถูกหยุดไว้ด้วยแสงของดวงจันทร์
มานาจำนวนมหาศาลถูกหยุดการระเบิดเอาไว้ ประหนึ่งว่าเวลาของสิ่งๆนั้นถูกหยุดลง และไม่ใช่แค่นั้น
เบ็นจิโร่บล่วงลงสู่พื้น เธอใช้ปีกของตัวเองถ่วงไม่ให้ดิ่งลงไปกระแทก
“..เดี่ยวสิ เดี่ยวสิๆๆๆ” ฟัฟนิร์กอดร่างตัวเองและร้องออกมาไม่หยุด “ไม่จริงใช่มั้ย!!?”
ร่างอาภรณ์เทพมังกรของฟัฟนิร์สลายไปเหลือเพียงแต่ร่างกายเนื้อ ทว่าเรื่องมันกลับไม่จบแค่นั้น ไม่ใช่แค่อาภรณ์เทพมังกรที่หายไป แต่ร่างกายเนื้อก็เลืองแสงจางๆออกมา ราวกับว่าร่างกายของฟัฟนิร์กำลังจะหายไปในไม่ช้า
“ทะ ท่านฟัฟนิร์ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นละครับ”
“ไม่รู้ๆๆๆๆ ไม่รู้เหมือนกัน!”
ทั้งสองลนลานหันมาหาคำตอบจากปากเบลลามี
“..โดนสวนกลับจนได้”
“….หา?”
“สวนกลับที่ว่านี่?”
เบลลามีหรี่ตาลง กัดริมฝีปากของตัวเองจนมีเลือดไหลออกมา
“มานาของฟัฟนิร์กับของเบ็นจิโร่ถูกหยุดเวลาเอาไว้”
…..
เบ็นจิโร่ลอยอยู่เหนือพื้นอยู่ไม่กี่เมตร เธอแบมือดูมือของตัวเอง เงี่ยหูฟังสัมผัสของมานาภายในร่างกายทั้งหมด เมื่อทราบสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเธอก็ทิ้งตัวลงไปยืนกับพื้น และใช้นิ้วเทียบใบหูของตัวเองเพื่อพูดคุยกับคนอื่นๆในเวทมนตร์สื่อสาร เธอได้ฟังเรื่องที่เบลลามีโพล่งออกมา และรายงานสถานการณ์ของตัวเองตอนนี้
“มานาของฉันมันไม่ฟื้นฟูแล้ว ..ถูกหยุดเวลาเอาไว้นั้นสินะ”
“อือ ใช่ เทียแมธใช้มานาจากดวงจันทร์เป็นสื่อกลางในการทำงาน เขาใช้แสงของดวงจันทร์ปกคลุมมานาของทั้งสองคนอีกทีหนึ่งก่อนสั่งให้ทำงาน ทำให้มานาของคุณเบ็นจิโร่กับของฟัฟนิร์ถูกหยุดเวลาลง” เบลลามีพูดอธิบายอย่างลำบากใจ
“พวกเธอสองคนจะต้องอยู่ในสภาวะไร้มานาเช่นนั้นจนกว่าจะแก้ปัญหาได้” ดิลุคช่วยเสริม
แต่ว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดนอกจากทำไม่สำเร็จก็คือ ..เบลลามีชำเลืองมองฟัฟนิร์ที่หน้าซีดเป็นไข่ต้ม
“ถ้าไม่รีบเอามานากลับคืนมา ฟัฟนิร์จะหายไป”
เพราะมหามังกรก็คือมานา ในสภาวะที่ไม่สามารถใช้งานมานาได้–เหล่ามหามังกรก็จะหายไปจากโลกใบนี้ตามอย่างที่ควรจะเป็น หรือก็คือปลายทางสู่ความตายได้เปิดรอต้อนรับฟัฟนิร์เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
“..เอ๊ะ?”
****
ความตายเป็นเรื่องที่ปกติ หลังจากที่ท่องโลกมานับสองพันปี ฟัฟนิร์ถึงได้ตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ ตัวเธอที่ใช้ชีวิตในฐานะผู้สวดส่งวิญญาณมาโดยตลอดมีหรือที่จะไม่เข้าใจ เรื่องราวต่างๆมากมายมันมอบความจริงให้แก่ตัวของเธอ
ไม่ช้าก็เร็ว ตัวของเธอเองก็ต้องตายจากโลกใบนี้ไปเช่นเดียวกันกับหลายๆบุคคล เหมือนกับมนุษย์ธรรมดา และเหมือนกับตัวตนที่ไม่ธรรมดามากมาย
แม้แต่มังกรเหล็กที่มีอายุขัยแทบจะนับอนันต์ หรือว่าทวยเทพที่ไร้อายุขัยก็ล้วนแต่ตายจากโลกใบนี้ไปกันเกือบจะหมดแล้วทั้งสิ้น
มันไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร หากแต่เป็นสัจจธรรมของการมีชีวิตอยู่ เช่นเดียวกัน มหามังกรเช่นเธอสักวันก็คงจะพบกับจุดจบเป็นที่แน่นอน
แต่ว่า ถึงกระนั้น—หากจะตายจริงๆก็อยากจะเลือกทางตายที่สวยงามให้แก่ตัวเอง เหมือนกับบทสวดส่งวิญญาณที่มักจะขับร้องให้แก่ผู้อื่นเสมอ
ฟัฟนิร์เบิกตาโพงกว้างเมื่อทราบว่าตัวเองกำลังจะหายไป
“เอ๊ะ?”
ในทีแรกเธอตกใจ แต่เพียงไม่กี่วิเธอก็ปรับอารมณ์ได้ ไม่ได้แหกปากโวยวายอย่างที่คิดจะทำในทีแรก ฟัฟนิร์ทำเพียงมองไปที่ก้อนมานาของตัวเองซึ่งถูกหยุดเวลาเอาไว้ และเป็นตัวการณ์ที่จะทำให้เธอต้องตาย
แต่ว่าดันใจเย็นกว่าที่คิด พอยืนอยู่ปลายทางจริงๆแล้วก็ไม่ได้รังเกียจความตายมากขนาดนั้น
ฟัฟนิร์ตอนนี้ใจเย็นจนผิดสังเกตุ สภาวะจิตใจคงที่ยิ่งกว่าเบลลามีและดิลุคเวลานี้เสียที
“มีแผนอื่นอีกรึเปล่า” ฟัฟนิร์พึมพำขึ้นมา “ไม่มีทางที่จะแพ้กะอีของแค่นี้ใช่มั้ย?”
“..แต่ว่า”
“ต่อให้ข้าต้องตายก็ไม่มีปัญหาอะไร–”
ฟัฟนิร์จับต้องเบลลามีด้วยแววตาที่แน่วแน่ เห็นอย่างนั้นแล้วเบลลามีจึงพยักหน้ารับตอบกลับ ก่อนที่จะเริ่มแผนการณ์ใหม่อีกครั้ง
****
หลังจากที่ถูกหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดเอาไว้ เพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ลิเวียธานกับอังเฟกอร์ก็ได้ถูกเทียแมธเล่นงานจนหมดสภาพ การต่อสู้ทั้งหมดตอนนี้จึงเอียงเอนไปทางเทียแมธเป็นส่วนมาก ยูจิไม่สามารถรับมือของเทียแมธไปได้ตลอด สุดท้าย เคียวยะก็ต้องออกมาช่วยรับหน้าตรงๆอีกคนหนึ่ง
แต่ทั้งหมดมันก็ไม่ดีพอ ยูจิถูกซัดจนกระเด็น เพลิงสีขาวและเวทมนตร์ทั้งหมดของดิลุคโดนลบล้าง เทียแมธหันไปเล็งเบลลามีที่อยู่ไกลออกไป เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว หัวของเบลลามีคงจะหลุดออกจากบ่า เคียวยะจึงสลับตำแหน่งวิ่งเข้าไปขวางเทียแมธ และเข้าปะทะ
“โธ่เว้ย–!!”
เคียวยะเปิดใช้ดวงตามหาปราชญ์พร้อมกับอำนาจมหาบาปเย่อหยิ่ง ส่งผลให้ชั่วขณะหนึ่งตนเองมีพลังพอจะชนกับเทียแมธได้โดยตรง ทว่าก็ได้แค่ถึงตอนที่เนื้อผิวได้สัมผัสกัน ทันทีที่สัมผัสกับผิวของเทียแมธ แสงสีขาวกูวูบขึ้นหนึ่งจังหวะ พลังที่ช่วยให้เคียวยะอยู่ในระดับเดียวกันถูกลบล้านไปชั่วขณะหนึ่ง และนั่นก็ทำให้เทียแมธเป็นผู้ชนะ
KY HOPE ถูกทำลายกว่าครึ่งในทีเดียว ร่างของเคียวยะกลิ้งไปมากับพื้นหลายตลบ กระนั้นก็อาศัยแรงเหวี่ยงที่ได้รับตั้งหลักให้ตัวเองลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้ง เคียวยะยื่นมือออกมาข้างหน้า และกระหน่ำยิงลำแสงเข้าใส่ แน่นอนว่าทั้งหมดถูกเทียแมธทำลายทิ้งด้วยแสงสีขาวที่ทะลุผ่านทุกอย่างไปจนถึงทะลุหน้าท้องของเคียวยะ
“อั้ก!!!!”
“เคียวยะ!!”
เมอันบินไล่มาจากข้างหลัง และปลดปล่อยการโจมตีทั้งหมด เทียแมธก้าวเท้าหนึ่งจังหวะ เพียงแค่นั้นก็รุกฆาต—
“ย๊ากกกก!!!”
เคียวยะเรียกแรงฮึดด้วยอำนาจมหาบาปเย่อหอยื่ง ลุกขึ้นยืนขึ้นวิ่งใส่เทียแมธอีกครั้ง
“—-”
พริบตาเดียว ทั้งเคียวยะและเมอันก็โดนซัดกระเด็นไปคนละทาง แต่เพราะมีเวลาไม่มากพอทำ และถูกคนอื่นไล่โจมตีจากข้างๆทำให้ไม่สามารถปิดฉากถึงตายได้
เทียแมธอ่านทุกจังหวะการจู่โจม และตอบโต้
ตู้ม!!!!!!!!!
ทุกการเคลื่อนไหวถูกสยบโดยเทียแมธ
“บัดซบเอ้ย! เริ่มจะไล่ตามไม่ทันซะแล้วสิ” มาเจลถุยน้ำลายลงพื้น
“นั่นสินะครับ ..ตอนนี้เองก็”
ยูจิหันมองรอบๆ ลิเวียธาน อังเฟกอร์ที่หมดสภาพอยู่ไกลออกไป เช่นเดียวกันกับเคียวยะและเมอัน สำคัญที่สุดคือเบ็นจิโร่ที่มานาทั้งหมดถูกหยุดเวลาจนไม่สามารถสู้ต่อไปได้อีกเหมือนกับฟัฟนิร ตอนนี้เลยเหลือแค่ หนิง มาเจล แล้วก็ดิลุคที่คอยสนับสนุนเขาในแนวหน้า
“เอาเป็นว่าก็พยายามเข้า”
“พูดส่งๆแบบนั้นจะดีเหรอครับ คุณดิลุค”
“นั่นสินะ ถ้านั้นก็มาเจล บอกให้โอลิเว่อร์ที่ยืนอยู่ซะห่างไกลคนนั้นมาช่วยซะสิ ได้ตัวทนมือทนเท้าสักวิหนึ่งมาเพิ่มก็ยังดี”
ดิลุคใช้คางชี้ไปทางโอลิเว่อร์ที่ยืนแคะขี้มูกอยู่ในที่ไกลแสนไกล ทำตัวเป็นผู้ชมข้างสนามแสนดี ยูจิหัวเราะแห้งๆ มาเจลหรี่ตามองอย่างเย็นชา
“โอลิเว่อร์มาช่วยที!”
โอลิเว่อร์โบกมือลาตอบกลับ
“พูดบ้าๆ กับเทพมังกรตัวเป็นๆ ไม่ไหวหรอกน่า!!!”
“อย่างที่เห็น โอลิเว่อร์ตอนนี้ไร้ประโยชน์สุดๆ”
“สมกับเป็นชายที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในโลกจริงๆ”
“ตามประวัติศาสตร์ช่วงบั้นปลายของชีวิต จู่ๆแกก็ทิ้งการปกครองทั้งหมด ไปอยู่แบบปรีกนิเวศจนในที่สุดก็เกิดสงครามแย่งชิงอำนาจขึ้นนับร้อยปีด้วยนะครับ เรียกได้ว่าพิชิตโลกได้ไม่กี่ปีก็เบื่อแล้วโยนมันทิ้งเสียอย่างนั้น”
ตามอย่างที่ว่ามา นั่นแหละโอลิเว่อร์
ดิลุคถอนหายใจ ก่อนนำมือไปเทียบที่หู ..
“ถ้านั้นก็เหลืออยู่ตัวเลือกเดียวแหละนะตอนนี้”
“เข้าใจแล้วครับ คงมีแต่ต้องพยายามให้มากที่สุด”
“อืม แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก ตอนนี้ทางเบลลามีเตรียมการณ์จนครบแล้ว”
….?
ปรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ฟัฟนิร์ในร่างอาภรณ์เทพมังกรทำการระเบิดมานาอีกครั้ง—แม้ว่าร่างกายจะเลืองลางด้วยแสงสีขาวที่จางลงทุกทีๆ
“ระ รู้สึกอยากอาเจียน ปวดหัวมาก แต่หยุดมือไม่ได้เลย–ทะ ทะ ทำไงดี”
ฟัฟนิร์ผู้เงียบขรึมกลับไปเป็นฟัฟนิร์คนเดิมในเวลาไม่นาน
“พยายามเข้านะ ฟัฟนิร์”
“เริ่มไม่ได้ยินเสียงพูดคนอื่นแล้วสิ ..อ๊ะ มองเห็นหน้าของคนที่ตายไปแล้วด้วย หวัดดี หวัดดี”
“ยะ..อย่าพึ่งรีบไปนะครับ ท่านฟัฟนิร์”
ฟัฟนิร์ไม่ได้ยินอะไรแล้ว ตัดขาดกับทุกสิ่งจากโลกภายนอก วิญญาณสามารถดับหายไปได้ทุกเมื่อหากทำพลาด กระนั้นที่เธอทำก็ยังเหมือนเดิมคือการ–สร้างสถานการณ์เพื่อเรียกดาบแห่งโซโลม่อนออกมาให้ได้อีกครั้งโดยเร็วที่สุด
“โทษทีนะ ..ต้าวเรเซอร์ ..ต้าวชิน ..นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย”
ความตายกำลังรออยู่ข้างหน้าฟัฟนิร์—
“แล้วก็อีกไม่นาน ..อาจจะได้เจอกันแล้วนะ ทะ..โทวยะ”
ฟัฟนิร์แสยะยิ้มและออกแรงแทงดาบเข้าสู่พื้นทะเลทรายมากกว่าเดิม
****
“ช้าไป ช้าไป ช้าไป!! ชักจะช้าไปแล้วนะ พี่ยูนา!!”
บนโลกที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาใหม่โดยคนสองคน บัดนี้ยูนาก็ได้ถูกเรนไล่ต้อนพร้อมกับชินจนได้ ทั้งสองสลับกันขึ้นไปแถวหน้าด้วยความรวดเร็ว และด้วยทักษะระดับสูง แต่ก็ไม่ดีพอจะต่อกรกับเรนเวลานี้ได้ สุดท้ายก็พลาด
ชินโดนอัดจนปลิว ส่วนยูนาก็ปะทะดาบกับเรนนับร้อยครั้งก่อนที่จะหมดแรง และพลาดโดนตัดแขน
“อึก!”
“ได้แค่นี้เองหรือไงครับ วีรสตรียูนา”
“อย่าทำเป็นไปได้ใจไปเลยค่ะ”
ยูนาเหวี่ยงดาบมหาภูตปะทะกับหมัดของเรน เกิดแสงเปล่งประกายขึ้นหลายต่อหลายครั้ง แต่มักจะจบด้วยการที่ยูนาต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว และถูกบุกทะลวงอย่างหนัก—ครั้งนี้เองก็เหมือนกัน ยูนาตั้งใจจะชวนกลับ แต่ไม่ทัน
อีกเพียงครู่เดียว ใบหน้าก็อาจจะแหลกจากหมัดของเรน หรือไม่ก็มากกว่านั้น
ก่อนที่ผลลัพธ์จะลงเอยเช่นนั้น เปลวเพลิงทำลายล้างก็ลอยมาจากข้างๆ เรนเดาได้ว่ามันคือการโจมตีของเรเซอร์จึงยื่นมือออกไปตั้งรับ และเรียกแสงสีขาวออกมาเพื่อลบล้างทั้งหมดทิ้ง
ทว่า
“—-หา?”
เพลิงทำลายล้างหักล้างกับแสงสีขาว และทะลุผ่านมาได้ด้วยปริมาณที่มากกว่าหลายเท่าตัว เรนเบิกตาโพลงกว้าง อ้าปากค้าง และถีบตัวเองทิ้งระยะหนีเพลิงทำลายล้างทั้งหมด
พ้นจากระยะอันตรายแล้ว เรนก็หยุดการเคลื่อนไหวกระทันหัน และจ้องเขม็งมาทางผู้ร่ายเพลิงทำลายล้างด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ
“เรเซอร์ ดราแคล์ นี่แก ..ทำอะไรลงไปอีกแล้วกันฟร้ะ!!? หา!!!!?”
“พอดีเลย เรน อยากจะลองของเล่นใหม่อยู่พอดีเลย ช่วยเป็นคู่ลองให้หน่อยละกันนะ”
เรเซอร์ ดราแคล์เดินผ่านยูนามาอยู่ข้างหน้าสุดตรงข้ามเรน ทันทีที่เห็นแผ่นหลังของผู้เป็นนาย ยูนาก็ทำหน้าแหยงๆออกมา
“ทะ ท่านเรเซอร์ ภาพลักษณ์เช่นนั้นมัน..”
“มาสเตอร์ เกิดอะไรขึ้นกันคะนั่น?”
แผ่นหลังของเรเซอร์ใหญ่กว่าเดิม ส่วนสูง รวมถึงร่างกายทุกๆส่วนถูกขยายใหญ่ขึ้น ส่วนสูงเวลานี้อาจจะแตะๆสองเมตร ร่างกายก็ใหญ่ขึ้นราวครึ่งเท่าตัวได้ ขนาดสภาพร่างกายตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ยักษ์อย่างอลัน หรือว่าราชันย์มังกรรุ่นที่สองแบบกลอเลียสเลยสักนิด
“นิดหน่อยน่ะนะ”
ทั่วทั้งร่างยังเต็มไปด้วยรอยสักสีเลือดที่เลืองแสง และอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ติดตั้งอยู่บนจุดต่างๆภายในร่างกาย หากมองผิวเผินมันก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องประดับทองคำขาวเลย แต่หากดูโดยดี และหากเคยเห็นมาก่อนก็จะทราบได้ว่าก่อนหน้านี้มันคือ ‘เรลันดาฟ’ คทาเวทย์ของเรเซอร์ ดราแคล์ที่เปลี่ยนรูปร่างได้
ไม่ใช่แค่นั้น ตรงแผ่นหลังที่มีอุปกรณ์เวทย์ติดไว้มากที่สุดก็มีเปลวเพลิงสีทองปะทุขึ้นตลอดเวลา
ร่างกายนั้นราวกับ ..เรนจ้องเขม็ง และพึมพำ
“ ‘เทพอสูร’ ”
นิทานที่เป็นที่นิยมในยุคสมัยของเรน เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์คนหนึ่งที่ได้กลายเป็นเทพอสูรผู้ทำลายล้างโลกใบนี้ในบทสรุป ภาพลักษณ์นั้นก็คือ–มนุษย์ยักษ์ที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับ และเปลวเพลิงสีทอง ซึ่งตรงตามตำนานทุกประการ แต่นี่คือเรเซอร์ ดราแคล์ ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่มากจนเกินไปนี้ ทำให้ชวนแหยงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะยูนาหรือชินก็เผลอรู้สึกกลัวร่างกายของเรเซอร์ที่ดูผิดสัดส่วนตอนนี้
“เทพอสูรเหรอ ฟังดูดีแฮะ คนที่ให้พลังนี้กับฉันก็เป็นอสูรพอดีด้วยสิ ถือว่าเข้าเค้าพอดีเลย หึๆ จอมมารแห่งจุดเริ่มต้นเป็นมนุษย์ที่แท้จริง จอมมารแห่งจุดสิ้นสุดคือเทพอสูร หูย แค่คิดก็ฟินจนตัวแทบจะแตกซะแล้วสิ ..ต่อมจูนิเบียวมัน อ่า กำเริบซะแล้ว ไม่ไหว เก็บอาการไม่อยู่แล้วแฮะ” เรเซอร์สัมผัสกล้ามเนื้อที่ใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัวของตัวเอง และยิ้มอย่างปลื้มปิติ “กล้ามเนื้อเองก็เจ๋งสุดๆ เกินขีดจำกัดของมนุษย์ไปไกลแล้ว น่าหยะแหยงชะมัด แต่ก็เจ๋งโคตร”
“มาดี๊ด๊าอะไรตอนนี้ค่ะ ตั้งสติแล้ววางถุงกาวก่อนค่ะ”
“ไม่มีอารมณ์ขันเลยนะ เธอเนี่ย”
ระหว่างที่สองคนนี้เถียงกันเรื่องไร้สาระ เรนเอาแต่จับจ้องร่างกายของเรเซอร์ และรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ถึงอย่างนั้น ..
“..ชิ ขวางหูขวางตาจริงๆนะ ท่าทางอารมณ์ดีแบบนั้น”
เรนเรียกดาบแสงสีขาวออกมา และเหวี่ยงเข้าใส่เรเซอร์
“…อุ้ก”
เลือดพุ่งออกจากปากของเรนในอึดใจเดียว เรเซอร์ก็ไปยืนอยู่ข้างหลังด้วยร่างที่รอยสักสีแดงส่องแสงสว่าง และเปลวเพลิงสีทองที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง
“บ้าน่า”
นอกจากนั้น ดาบแสงสีขาวของเรนก็บิดไปคนละทิศคนละทางจากเดิม แน่นอนว่าเป็นฝีมือของเรเซอร์
ทำไมมือเปล่าถึงสัมผัสมันได้ ทำไมเรเซอร์ถึงสามารถเอาชนะแสงสีขาวของเทพมังกรได้กัน ทั้งๆที่ไม่มีมานารูปแบบพิเศษเหมือนอย่างยูนาและชินแท้ๆ เรนกัดฟันกรามแน่น และหันมาวิเคราะห์เรเซอร์ใหม่อีกครั้ง
“..อย่าบอกนะว่า นี่แก–”
“แค่เปลี่ยนทุกอย่างของตัวเองให้เป็นข้อผิดพลาด แค่นั้นก็จะทำให้ซัดแกได้แบบไม่ต้องคิดอะไรให้ยุ่งยาก ..ร่างนี้ก็คือการยกระดับ และเปลี่ยนตัวเองให้เป็นข้อผิดพลาดทั้งหมดนั่นแหละนะ”
เรเซอร์ลูบคาง ครุ่นคิดบางอย่าง
“ [เรลันดาฟ]-[เทพอสูร] ตั้งชื่อประมาณนี้ละกัน”
“ทะ ทำไม ทำไมต้องเป็นแกตลอด!! คนที่ลืมตาตื่นแล้วแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆครั้งตลอดทำไมมันถึงเป็นแกไม่ใช่ฉันกัน!!?”
เรนพุ่งเข้าใส่ เรเซอร์พุ่งสวนกลับ—ตุ้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เสียงหมัดที่มีแรงมหาศาลทัดเทียมกันปะทะกันดังสนั่น ไม่ว่าจะเรนหรือเรเซอร์ก็ไม่มีใครเป็นผู้แพ้จากการแลกหมัดนี้ แสงสีขาวถูกสยบด้วยเพลิงทำลายล้าง พลังกายที่ลดลงถูกฟื้นฟูให้เต็มตลอดด้วยวิหคอมตะข้างหลัง
เสมอ แลกหมัดกับเทพมังกรคนนี้ได้อย่างเสมอภาค
เรเซอร์หรี่ตามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่มีความสุขสักเท่าไหร่นัก
“ถึงโดยรวมจะน่าพึงพอใจก็เถอะ แต่นี่ก็แค่พลังที่ขโมยมาจากคนอื่น ความภาคภูมิใจอะไรไม่มีอยู่หรอก”
ไม่ว่าจะ วิหคอมตะอันเป็นข้อผิดพลาดของโลกนั้นก็ได้มาจากการที่ถูกจอมมารส่งไปต่างโลก การสะบั้นมิติแต่ก่อนก็ได้มาจากยูนา เรลันดาฟก็ได้มาจาก โซล่า เลนน่อน และเซียน ตอนนี้ไอของอย่าง [เรลันดาฟ]-[เทพอสูร] ที่ทำให้ซัดกับเทพมังกรได้ตรงๆก็ได้มาจากความตายของแมมม่อนอีกทีหนึ่งเหมือนกันอีก
ความแข็งแกร่งที่หยิบยืมมา ลำพังสิ่งที่คว้ามาได้ด้วยตัวเองมันไม่มากพอ เลยต้องยืมมือคนอื่น
“แต่ว่า ..เรื่องนั้นฉันกับแกก็เหมือนๆกันแหละนะ เรน พวกเราน่ะเหมือนกันหลายอย่างทีเดียว ไม่ว่าจะเรื่องที่อ่อนแอจนต้องพึ่งพาหลายสิ่งหลายอย่าง หรือเรื่องที่พลังที่ได้รับมานั้นยากจะเรียกว่าเป็นพลังของตัวเอง”
ใช่แล้ว เรนเองก็เหมือนกัน อ่อนแอเกินไป ต่อให้แข็งแกร่งด้วยพลังของตัวเองได้มันก็ไม่มากพอ สุดท้ายก็ต้องหยิบยืม ปล้นชิง หลายๆสิ่งจากชีวิตบนโลกใบนี้ หยิบยืมมาเหมือนกัน ก็แค่ของที่ยืมมาทุกอย่าง
ใบหน้าของอลิซาเบธ และชีวิตมากมายที่ถูกสังเวยไปลอยเข้ามาในหัวของเรน
“หุบปากไปซะ ฉันกับแกแตกต่างกัน ทั้งหมดก็เพื่อความใฝ่ฝัน ฉันดิ้นรนเพื่อให้ได้มันมาต่างหาก!”
“ถ้าคิดอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้แหละนะ”
เรเซอร์ยิ้มให้เรน สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว
“ในเวลาที่จำกัดนี้ ฉันจะบดขยี้แกให้เละเอง ‘เทพมังกร’ และแล้วตัวตนของฉันก็จะเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่เหมือนกับแก”
เพราะตัวตนของแกจะถูกลบให้หายไปจากโลกใบนี้
“อย่าได้ใจไปหน่อยเลย ‘จอมมารแห่งจุดสิ้นสุด’ คนที่จะบดขยี้แกคือฉันคนนี้ต่างหาก! จะพิสูจน์ให้ดูเองว่าแกไม่ใช่ภาพสะท้อนของฉันหรืออะไรทั้งสิ้น”
เพราะตัวตนของแกจะไม่คงอยู่ในฐานะกระจกที่ตามหลอกหลอน
เมื่อกล่าวจบแล้ว–โลกใบนี้ก็กลับมาสั่นสะเทือนอีกครั้ง