เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! - ตอนที่ 391
< < 244 Sec3 > >
การต่อสู้กับเทพมังกรเริ่มขึ้นอีกครั้งมาได้พักหนึ่ง ด้วยการสนับสนุนของดิลุคทำให้เทียแมธถูกไล่ต้อนยิ่งกว่าเก่า กระนั้นสภาพโดยรวมก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิม ยากที่จะหาใครมาทำอะไรเทียแมธแบบจริงๆจังๆได้นอกจากไล่ต้อนเพื่อจำกัดพื้นที่การต่อสู้
เบลลามีมองดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ โดยมีแอสโมเดียสกับฟัฟนิร์ที่พึ่งวิ่งตามขนาบข้าง เพื่อหนีลูกหลงจากการต่อสู้
“พอจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างขึ้นมาแล้ว”
“สมกับเป็นท่านเบลลามีครับ!”
“ยังไม่ทันพูดเลยนะ ..อือ แต่ก็คิดว่าน่าจะเวิร์คเหมือนที่คิดไว้กับดิลุคก่อนหน้านี้เลย”
เบลลามีนำมือไปเทียบที่หัว ทันใดนั้นหูก็เลืองแสงด้วยเวทมนตร์สื่อสารระยะไกล
“ยูจิ ..แล้วก็ คุณเบ็นจิโร่ ช่วยทำตามที่จะพูดต่อจากนี้ด้วยนะคะ” เบลลามีหรี่ตามอง “พวกเรามีแผนที่น่าสนใจ”
****
‘ใช้มันซะสิ’
แมมม่อนว่าอย่างนั้นก่อนชี้มาทางหัวใจของตัวเองบนมือของผม ..หลังจากได้ยินผมก็ทำหน้าแหยงออกมา
“ให้บีบทิ้งตอนนี้เลยก็ได้นะ”
‘ไม่ใช่อย่างนั้นสิเจ้าโง่’
“แล้วแบบไหนล่ะ”
‘เป็นหนึ่งเดียวกับหัวใจของผม ทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นของแก จากนั้นก็จะได้รับพลังอำนาจมหาบาป และสายเลือดอสูรโลหิตของผมไปยังไงละ’
มีวิธีใช้อย่างนั้นด้วยสินะ น่าพิศวงจริงๆแฮะโลกใบนี้
“ข้อเสีย?”
‘ถ้าเกิดผมตั้งใจ ผมสามารถยึดร่างแกได้ โอกาสสำเร็จก็ราวๆครึ่งต่อครึ่งกระมัง’
“..หืม”
เป็นข้อเสียที่น่ากลัวชะมัด น้ำหน้าอย่างแมมม่อนน่าจะหวังยึดร่างผมอยู่แหละมั้ง ผมไม่ได้มีดวงตามหาปราชญ์แบบเคียวยะ หรือการอ่านจิตใจของอานิม่าด้วยสิ ไม่รู้หรอกว่าแมมม่อนคิดยังไงอยู่กันแน่ แต่ให้ถามใจตัวเองตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่น่ายอมรับสักเท่าไหร่น่ะนะ ดูยังไงผมก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ
แต่ว่า ..อำนาจมหาบาปของแมมม่อน กับสายเลือดอสูรโลหิต
ผมชำเลืองมองการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ ..อย่างที่คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ยูนากับชินเริ่มจะถูกไล่ต้อนทีละนิดไล่ขึ้นมาแล้ว อีกไม่นาน ภาพที่เห็นน่าจะกลับหัวกลับหาง
จะทำตัวไร้ประโยชน์ ..จะทำประโยชน์แค่นี้ไม่ได้ แค่นี้ไม่มากพอจะทำให้ชนะเรนได้
พลังของแมมม่อน อาจจะยังไม่ได้เข้าใจอะไรมาก แต่มันมีค่าพอให้ใช้งานสุดๆเลยละ เพราะอย่างนั้นแล้วตัวเลือกก็มีอยู่แค่ข้อเดียวในใจเท่านั้น
“เอาสิ!”
ผมละลายน้ำแข็งที่คลุมหัวใจของแมมม่อน และโพล่งขึ้นสุดเสียง
“ไม่รู้หรอกนะว่าคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่ว่า ขอบคุณที่มอบโอกาสให้ฉันละกัน ต่อให้ต้องเจออะไร สิ่งที่ฉันทำต่อจากนี้ก็มีแค่ไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือการสยบแรงปารถนาทั้งหมดของแกลงในกรณีที่คิดจะขัดขืน แล้วก็ชนะเรนให้ได้”
‘ถ้าแพ้ผมขึ้นมาล่ะ?’
“เพราะแพ้ไม่ได้แล้วต่างหาก เลยจะไม่แพ้”
ได้ยินอย่างนั้นแมมม่อนก็ถอนหายใจเฮือกโตพลางหยักไหล่
‘ไม่ต้องห่วงไป เรเซอร์ ดราแคล์ ผมไม่ใช่ศัตรูของแกหรอก ทั้งหมดก็แค่เรื่องล้อเล่นขำๆเท่านั้น ก็จริงที่ผมสามารถใช้สิทธิ์ยึดร่างแกได้ในขั้นเบื่องต้น แต่ผมจะไม่ใช้สิทธิ์นั้น หลังจากผ่านไปราวชั่วโมงสองชั่วโมง หากผมไม่คิดจะยึดร่างหรือทำอะไรเลย ตัวตนของผมก็จะเลืองหายไปเองตามธรรมชาติ กล่าวตรงๆคือผมจะมอบทุกอย่างให้แก รวมถึงคุณดิลุคด้วยน่ะนะ’
“เรื่องนั้นก็ขอบใจ ว่าแต่เธอไปเป็นของแกตอนไหนกันหะ?”
‘แค่อยากจะพูดอะไรเชิงๆนี้น่ะครับ เป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมก็หวังว่าจะเข้าใจ’
เป็นความพ่ายแพ้ที่น่าสงสารจับใจอย่างไรไม่รู้สินะ เอาเป็นว่าหัวอกเดียวกัน ..ไม่สิ ..พูดยากเหมือนกันแฮะ แต่ในฐานะผู้ชายผมก็เข้าใจความรู้สึกแหละนะ
“..ถึงฉันจะไม่ชอบพูดอะไรแบบนี้ก็เถอะ แต่แทนคำขอบคุณ อ่า เข้าใจแล้ว จะขอรับทุกอย่างของแกแล้วก็ดิลุคไปละกัน”
‘แล้วก็รับปากด้วยว่าจะไม่ทำให้เธอเสียน้ำตา’
ทำตัวเป็นพระเอก MV ไปซะได้หมอนี่
“ในวันแต่งงาน เธอจะต้องร้องไห้ ตอนไปเที่ยวฮันนีมูนก็อาจจะร้องไห้ด้วยความดีใจ ตอนคลอดลูกของฉันก็อาจจะร้องไห้เหมือนกัน หลายๆเหตุการณ์รับปากไม่ได้หรอกว่าจะทำให้ไม่ร้องไห้ได้” ผมแสยะยิ้ม “แต่ขอสัญญาว่าจะทำให้สองคนนั้นร้องไห้ เพราะความสุขมากกว่าความทุกข์ให้ได้”
ไอผมก็เป็นแค่มนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งที่ห่างไกลกับคำว่าสมบูรณ์แบบ ไม่สามารถรับปากอะไรที่มันมีความตลอดกาลได้หรอก แต่คำสัญญาที่จะทำเต็มที่ผมสามารถรับปากได้ แมมม่อนเองก็ดูพึงพอใจกับคำตอบของผมด้วย คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้งนะ
‘ตีความประโยคพูดคนอื่นหน่อยก็ดีนะ’
“หนวกหูน่า รีบๆเริ่มได้แล้ว”
‘เข้าใจแล้ว เรเซอร์ ดราแคล์—’
ผมปกคลุมร่างของตัวเองด้วยวิหคอมตะ จากนั้น–
****
บนยอดสุดของเนินผิวทะเลทรายสีแดง
“ยังสบายดีสินะ เอ-เธอร์”
“สบายดีครับ ..ฮุ่ยหมิ่น”
ฮุ่ยหมิ่น หรือว่า ‘เซียน’ บัดนี้เขาได้ไปปรากฏอยู่บนจุดที่เอเธอร์นอนคากับพื้น ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเอเธอร์นักก็มีคนอีกสองคนนอนสลบหมดสติ
“เป็นการต่อสู้ที่วิเศษมากเลยนะ เล่นเอาคุณลูซิเฟอร์เป็นแค่ลูกไล่กระจอกๆ กับทำให้คุณซาตานคนนั้นกลายเป็นแบบนี้ได้เนี่ย น่าประทับใจจริงๆ สมกับเป็นการต่อสู้ระหว่างจอมมารและผู้กล้าเลยละนะ ยกให้เป็นแมตซ์ระดับเวิร์ลคลาสเลยละนะ”
“ยังชอบสวมบทเป็นผู้ชมไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ ..แล้ว คิดเห็นอย่างไรบ้างล่ะกับผลลัพธ์ทั้งหมด”
เอเธอร์แหงนหน้ามองท้องฟ้า และยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้งดังเดิมต่อหน้าฮุ่ยหมิ่น
“สงครามที่เหมือนดั่งยุคโบราณทุกประการ โลกทั้งใบที่สั่นสะเทือนเพราะเหล่าวิญญาณระดับเทพที่หวนคืน และการถือเกิดเนิดของเทพมังกร ความพ่ายแพ้ของผู้กล้า การลืมตาตื่นของจอมมาร คำโกหกของทวยเทพที่ปารถนาจะเป็นความจริง แล้วก็ ..จอมมารแห่งจุดสิ้นสุด เรื่องราวต่างๆมากมายที่ประทุขึ้น ณ โลกใบนี้ในช่วงเวลาเดียวกัน ..บทละครเช่นนี้ สำหรับฮุ่ยหมิ่นแล้วคิดอย่างไรบ้างล่ะครับ กับคนที่ทำตัวเป็นผู้ชมมาโดยตลอด ผมอยากจะทราบเหลือเกิน”
“ให้พูดก็ ..นั่นสินะ ข้าเองก็คงจะยืนดูอยู่เฉยๆไม่ได้”
ฮุ่ยหมิ่นมองออกไป ณ สถานที่ที่ไกลจากที่แห่งนี้ แต่ก็ยังพอจะมองเห็นลางๆด้วยตาเปล่าได้ สงครามขนาดใหญ่ที่มีจุดศูนย์กลางคือการต่อสู้กับเทพมังกรตัวเป็นๆ นอกจากนั้นในเบื้องหลังของทั้งหมดก็มีเทพมังกรอีกตนหนึ่งกำลังสู้กับจอมมารแห่งจุดสิ้นสุด เพราะเฝ้าดูมาตั้งแต่เริ่มถึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมด
“ในฐานะหนึ่งในประชากรบนโลกก็คงต้องเลือกจุดจบด้วยตัวของตัวเองนั่นแหละนะ ..เอเธอร์เองก็เหมือนกัน น่าจะมีเรื่องที่อยากทำ แต่ไม่สามารถทำได้ด้วยสภาพตอนนี้อยู่บ้าง ตัวข้านั้นก็ว่างพอดี จะให้ลำบากช่วยหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“….”
“เรื่องที่อยากจะวานให้ข้าทำ ไม่มีเลยรึ?”
…..
เอเธอร์หรี่ตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับมือไปหยิบดาบแห่งผู้กล้าขึ้นมายื่นให้ฮุ่ยหมิ่น
“ช่วยนำสิ่งนี้ไปให้ ยูจิ ทีครับ”
“จะมอบฐานะ ผู้กล้าลำดับถัดไปให้แก่ยูจินั้นรึ”
“ไม่หรอก ตำแหน่งผู้กล้าได้จบลงที่รุ่นหนึ่งร้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกันกับตำแหน่ง ดาบเล่มนี้นี่จะเป็นวันสุดท้ายที่มีชื่อว่าดาบแห่งผู้กล้า ..ฝากบอกด้วยละครับ ว่าต่อให้ดาบพังก็ไม่เป็นอะไร ใช้มันให้สุดแรงไปเลย”
เอเธอร์ยิ้ม
“แล้วก็นับจากนี้ไป ชื่อของดาบเล่มนี้จะมอบให้คนอื่นเป็นคนตั้งให้ ..นั่นสินะครับ สนใจรับหน้าที่นี้รึเปล่า”
ฮุ่ยหมิ่นได้ยินก็ตกใจเล็กน้อย ไม่นานก็หัวเราะพึมพำออกมา
“หึๆ น่าสนใจดี สารนั้นจะขอรับเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องการตั้งชื่อ” ฮุ่ยหมิ่นพึงพอใจสุดๆ “เช่นนั้นในเมื่อหมดธุระแล้วก็ขอตัว หากสนใจจะพูดคุยกันอีกก็ส่งบัญเชิญงานเลี้ยงน้ำชามาให้ก็ได้นะ”
เซียนคว้าเอาดาบแห่งผู้กล้ามาไว้ในกำมือพร้อมกับสารของเอเธอร์ ก่อนที่ตัวเขาจะหายไปพร้อมกับสายลม
“..ไว้ครั้งหน้านะครับ”
เอเธอร์ปล่อยตัวเองนอนอยู่บนพื้น บทบาทของเขาในฐานะผู้กล้าได้จบลง–พร้อมกับบทบาททั้งหมดในสนามรบแห่งนี้ ไม่ว่าจะในฐานะเอเธอร์ หรือในฐานะแอสทอเรียสดพี่ชายของโซโลม่อนก็ตามแต่
เรื่องราวหลายๆอย่างได้มาถึงตอนจบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ใช่แล้วละ เรื่องราวมากมายได้มาถึงบทสรุป แล้วก็เรื่องราวอีกเล็กน้อย–กำลังจะมุ่งสู่บทสรุปของทุกอย่าง
ยูจิ กับเบ็นจิโร่ รับมือกับเทียแมธไปพลางฟังแผนการณ์ของเบลลามีไปด้วย เมื่อได้รับฟังทุกอย่างจนจบแล้ว ทั้งสองก็ยิ้มและโพล่งออกมาพร้อมกัน
“จะเอาตามนั้น”
“เข้าใจแล้วครับ!”
เมื่อแผนการณ์ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย เบ็นจิโร่ พร้อมด้วยยูจิก็เร่งมือสุดความสามารถ ยูจิสร้างดาบยักษ์ที่อัดแน่นด้วยมานาขึ้นมาบนมือ ส่วนเบ็นจิโร่ก็หยุดกระหน่ำโจมตีเทียแมธ เปลี่ยนมาตั้งท่าเตรียมการโจมตีครั้งใหญ่
เท็งงุ เบ็นจิโร่ หลุดจากการต่อสู้ นี่คือช่องว่างขนาดใหญ่ที่อาจทำให้เทียแมธหลุดพ้นจากสถานะการณ์ตอนนี้ไปได้—ทว่า
ประกายดาบส่องประกายด้วยความเร็วเสมือนกับร่ายรำโดยเทพดาบเอง เทียแมธเรียกแสงสีขาวมาตั้งรับทุกการโจมตี เพราะด้วยร่างกายตัวเองไม่สามารถป้องกันทั้งหมดได้ทัน ด้วยเทคนิคดาบที่เหนือชั้นทำให้เทียแมธต้องก้าวถอยหลังถึงสามก้าว แม้ว่าเบ็นจิโร่จะวางมือชั่วขณะไปแล้ว
“—ในช่วงเวลาที่ห่างหายกันไป แข็งแกร่งขึ้นจนน่าแปลกใจเลยนะ ออโรโบรอส”
ก็จริงที่ว่ายูจิได้รับการสนับสนุนอีกต่อหนึ่งจากหลายๆคน แต่ว่าขนาดไม่มีตัวหลักอย่างเบ็นจิโร่แล้ว เขาก็ยังสามารถเป็นตัวหลักคนเดียวในการไล่ต้อนเทียแมธได้อยู่ดี
ความแข็งแกร่งที่ปรากฏนี้ อาจจะกล่าวได้ว่า ‘ยูจิ’ หรือ ‘ออโรโบรอส’ ณ เวลานี้คือเทพที่แข็งแกร่งที่สุด หากไม่นับรวมเทียแมธเข้าไปละก็ และอาจจะเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลานี้ก็เป็นไปได้
ตัวตนระดับเดียวกับ จอมมารและเอเธอร์ นั่นละคือยูจิผู้มีแขนเดียวในเวลานี้
“ [ดาบประกายแสงดาว] !!”
“—”
ในสภาวะที่ต้องรับมือรอบด้าน ไม่ว่าจะเคียวยะ เมอัน หนิง มาเจล อังเฟกอร์ แล้วก็ลิเวียธาน ทำให้เทียแมธต้องรับมือกับยูจิโต้งๆ
ด้วยร่างกายเปล่า–ในที่สุดแขนของเทียแมธก็ถูกสะบั้นจนขาด นี่คือแผลแรกนับตั้งแต่เกิดการต่อสู้ แม้ว่าในไม่ถึงวินาที แขนจะงอกขึ้นมาใหม่ แต่มันก็คือก้าวแรกแสนสำคัญ
“สำเร็จ!”
“อย่าให้มันได้พัก!”
“ย๊ากกกก!!!”
ทะเลสีรุ้งพัดเข้ามาปรับเปลี่ยนตำแหน่งการต่อสู้ พร้อมกับการกระหน่ำโจมตีที่ไม่มีวันหยุดแม้ว่าจะอยู่กลางทะเลสีรุ้งกัน
ยูจิวิ่งแอบไปตามปลายทางของคลื่นทะเลสีรุ้งที่ซัดผ่านไปมา และตั้งท่าดาบใหม่อีกครั้ง ก่อนใช้ดาบที่ส่องประกายดวงแสงดาวกระหน่ำโจมตี
ยังสามารถคุมสถานการณ์ทุกอย่างเอาไว้ได้อยู่–เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นไปตามแผนแล้ว เบลลามีก็ดำเนินสู่ขั้นต่อไป-เธอหันควับไปหาฟัฟนิร์
“ฟัฟนิร์ เอาเลย”
“จะ จะดีจริงๆเรอะนั่น!?”
“อือ แผนการณ์ที่ไตร่ตรองแล้วอย่างดี”
“ถะ ถะ ถ้าข้าทำพลาดขึ้นมาล่ะ”
“คงจะลำบากแย่เลย”
“ไม่เอานะ หน้าที่ใหญ่โตขนาดนั้นอ่ะ!!!”
“ทำได้ คิดว่า”
คิดว่าไม่น่าใช่ปลุุกใจใครได้ เรเซอร์เคยเตือนเธอเรื่องการให้กำลังใจคนอื่นนี้แล้ว แต่ก็ไม่ยักจะจำสักที เพราะเบลลามีเป็นคนประเภทที่ต้องเตือนเรื่องการพูดสักสิบครั้งเป็นอย่างต่ำกว่าจะจำได้
“มะ ไม่ไหวๆๆๆๆๆๆๆๆ!”
“ไหวสิ คิดว่า”
“น่ากลัว!!!”
“เทียแมธไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนะ คิดว่า”
“ช่วยหยุดพูดว่า ‘คิดว่า’ ทีได้มั้ย!!?”
“คิดว่าไม่ไหว”
แง๊!!!!!!!!!!!!!!!!! เสียงร้องของฟัฟนิร์ดังสนั่น กลมกลืนไปกับเสียงการต่อสู้เบื้องหน้าที่สะเทือนแผ่นดินตลอดเวลา แอสโมเดียสเห็นแล้วก็ทำหน้าเอือมๆพลางบ่นว่านี่น่ะเหรอคนอายุหลักพัน เบลลามีไม่ได้บ่นอะไร ไม่ได้มองแปลกๆด้วย แต่นั่นยิ่งทำให้ฟัฟนิร์สมเพซตัวเองจนร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ต้าวเรเซอร์ ต้าวชิน ช่วยด้วย!! พอไม่มีพวกเจ้าอยู่ตัวข้าจะติดสถานะหวาดกลัวราวเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ได้ ได้โปรด!!!”
“ฟัฟนิร์ จะเริ่มพูดปลุกใจแล้วนะ”
“อึก อือ ..ปลุกใจ?”
“ถ้าทำไม่ไหวทุกอย่างจะล่ม ในอีกห้านาทีพวกเราจะโดนเทียแมธเก็บเรียบละ”
“…..”
ฟัฟนิร์หน้าซีด ตัวแข็งทื่อ
“ไม่ไหวก็จะตายกันหมด พอคิดแบบนี้ก็มีแรงฮึดขึ้นมาเลยละ คิดว่า”
“..ทำก็ได้”
“ดะ ได้ผลซะงั้น!”
“สุดยอด ฟัฟนิร์เก่งที่สุด พยายามเข้านะ อย่าทำพลาดนะ ถ้าพลาดขึ้นมาแย่เลย ตายกันหมดแน่นอน ไม่เหลือซาก”
“รู้แล้วน่า ช่วยหุบปากทีเถอะขอร้อง!!”
ฟัฟนิร์ปาดน้ำตาของตัวเอง เธอกระแทกพื้นสามครั้ง ก่อนที่ร่างจะหุ้มด้วยเพลิงมหามังกร—ฟัฟนิร์ในร่าง [อาภรณ์เทพมังกร]-[ฮิคามิ] หยิบเอาดาบที่มาพร้อมกับอาภรณ์เทพมังกรชี้ขึ้นฟ้า และปักลงพื้น
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เปลวเพลิงมหามังกรปะทุขึ้นอย่างสูญเปล่าอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
“จะเป็นยังไงไม่รู้ด้วยแล้วนะ!”
“สมรู้ร่วมคิดกันเรียบร้อยนะ”
“ก็บอกว่าไม่รู้ด้วยแล้วไง!!”
เบลลามียิ้มอย่างพึงพอใจ แม้ภายนอกจะดูเหมือนคนยิ้มแบบปลอมๆก็ตามที
ฟัฟนิร์คือมหามังกร ต่อให้มีพลังเหลือแค่ครึ่งหนึ่งของหนึ่งในสิบอีกทีหนึ่งก็ตาม แต่เธอก็มีมานาที่ไร้ขีดจำกัด เธอสามารถใช้เพลิงมหามังกรสร้างจุดรวมตัวกันของมานาให้แก่เบลลามีได้ เพื่อที่จะใช้เรียก ‘ดาบแห่งโซโลม่อน’ อีกครั้งหนึ่ง
เทียแมธที่รับมือกับคนเกือบสิบคนพร้อมกันชำเลืองมองการกระทำของฟัฟนิร์ และอ่านมันออกในทันทีที่ชายตามองเท่านั้น
เทียแมธพยายามจะทะลวงกลุ่มคนเพื่อไปหยุดฟัฟนิร์ แต่ว่าก็มีด่านยักษ์ใหญ่อย่างยูจิคอยขวางเอาไว้
“ไม่ให้ผ่านไปหรอกครับ”
“–นั้นเหรอ”
ฟัฟนิร์มองดูสถานการณ์ข้างหน้าแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก
“โดนท่านเทพมังกรเล็งหัวไว้จนได้ ..เพราะแบบนี้ไงข้าเลยไม่อยากจะทำอะไรอย่างนี้น่ะ ..”
เพราะแผนการณ์นี้ ทำให้ชีวิตของฟัฟนิร์อยู่บนเส้นด้าย หากยูจิไม่สามารถดึงเทียแมธไว้ได้ แผนการณ์ทั้งหมดก็จะล้มเหลว และคนๆแรกที่จะต้องตายก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟัฟนิร์ที่สูญเสียความเป็นอมตะไปแล้ว
“ช่วยไม่ได้ ทำไปแล้วนี่นะ”
“ก็ใช่น่ะสิ!! ไม่มีอย่างอื่นนอกจากเอาไงเอากันแล้วไงตอนนี้!!”
ฟัฟนิร์ร้องไห้ใหญ่โต ปาดน้ำตาแทบจะวิต่อวิ ถึงอย่างนั้นก็ห้ามหยุดปลดปล่อยมานาออกมา ต่อให้ไม่ต้องโดนใครสั่ง แต่สัญชาตญาณการใช้ชีวิตก็บอกอย่างนั้น
“พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเรเซอร์ถึงถูกใจฟัฟนิร์”
“ขี้ขลาดจนดูน่าตลกใช่มั้ยล่ะ รู้อยู่แล้วละ ไม่ว่าจะต้าวเรเซอร์หรือต้าวชินก็มองข้าเป็นตัวตลก ..อึก ..อือ…”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสิ”
…….
………
“อธิบายยากเหมือนกัน”
“อึก จะไม่คาดหวังละกันนะ ฮือ”
“ขอบคุณนะที่ไม่คาดหวัง รู้สึกดีมากเลย”
“..นี่ข้าโดนกวนตีนอยู่หรือเปล่านะ?”
แอสโมเดียสหัวเราะแห้งๆ แม้แต่ข้ารับใช้ที่อยู่ด้วยกันมานานก็ดูไม่ออก แหงละ ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว