< < Sec 2 > >
“วะ วิ่งเล่นเพลินจนลืมเวลาไปเลยแฮะ”
ผมโพ่งขึ้นมาหลังจากที่มองขึ้นไปตรงนาฬิกา ซึ่งขณะนี้ ’13:00’ ทั้งๆ ที่เวลานัดคือ ‘12:10’
หรือก็คือปาไปตั้ง 50 นาทีแล้วแต่ยังไม่ไปนั่นแหละ พูดอีกอย่างคือไปสายละครับ ทั้งๆ ที่เป็นงานจิตอาสาที่ทำไว้สลัดความผิดฐานขโมย กกน. ซึ่งไม่ได้ทำ
ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดจริงแท้ๆเชียว ทำไมผมต้องไปตรงเวลาด้วยเล่า ไม่เข้าใจเลย …
“สายแล้ว” เบลลามีพูดขึ้นมาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เนื่องจากคนที่วิ่งมันมีแค่ผมคนเดียว
“อ่า โดนโกรธแหง”
“…โดนโกรธ…ไม่ถูกด้วยเลย”
เบลลามีไม่ถูกกับการถูกโมโหหรือเหวี่ยงใส่ แม้ภายนอกจะดูเหมือนเธอไม่อะไรมาก แต่จริงๆ ในใจเธอค่อนข้างรู้สึกแย่ นั่นคืออีกหนึ่งสิ่งที่นิยายบอกไว้
“ถ้านั้นเดี่ยวฉันรับหน้าเอง เอ่อ เบลลามีไม่ต้องไปช่วยทำก็ได้นะ?”
“…เราช่วยไหว ถ้าเป็นงานที่ต้องใช้สมองละก็”
จะบอกว่าผมไม่มีสมองสินะ? ไม่สิ ไม่หรอก ผมแค่คิดไปเอง เธอพูดขวางผ่าซากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ถ้านั้นก็โอเค ไปกันเถอะ”
“อือ”
****
ที่หน้าบ้านซึ่งทำจากไม้ที่มีสีสันสวยงาม จนดูเหมือนห้องนอนผู้หญิงในอนิเม—-
“—–ไอ้พวกเด็กบ้า!!!! ยังหนุ่มยังสาวอยู่แท้ๆ ดันมาผิดนัด!!!!!”
คุณลุงโพ่งด่าพวกผมอย่างเกรี้ยวกราด
เขาเป็นลุงแก่วัยราว 80 ปี ร่างผอมแห้งและใช้ไม้เท้าในการช่วยเดิน หัวล้าน และผิวหย่อนตามที่คนแก่เป็นกันปกติ แต่ดวงตาเขาดูดุดันพิลึก หรือว่าเฉพาะตอนมีปัญหากันนะ?
ไม่แปลกหรอก เล่นสายไปตั้งห้าสิบนาทีแหนะ สมควรโดนโกรธแล้ว
ผมยิ้มรับพร้อมกับก้มหัวหงกๆ เบลลามียืนอยู่เฉยๆ ทำให้เป็นเป้าสายตาของคุณลุงดูเลือดร้อน
“เจ้าหนูชื่ออะไร มาจากบ้านอะไร?”
“…ใครเจ้าหนูเหรอ?”
เบลลามีเอียงคอฉงน ซึ่งตรงตามคำถาม ผมกับเบลลามีอายุเท่ากันเลยถามกลับไปว่าถามใคร …แต่เขามองเธออยู่นะเฮ้ย
“หา!!!?” ลุงแก่ขึ้นเสียงลั่นหน้าบ้าน
ขอเถอะเบลลามี เธอเลือกใช้คำพูดดีๆ หน่อยสิ…
“เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ มายอกย้อนผู้หลักผู้ใหญ่ ถามจริงที่บ้านสอนมามั้ย?”
“..อ๋อ …ไม่มีใครสอนเราหรอกนะ นอกจากตัวเราเอง”
ช่างน่าเศร้า แต่—–เดี่ยวก่อน!
ผมเข้าไปบังตัวเบลลามีและกระซิบคุยกับเธอก่อน ไม่เช่นนั้นที่แห่งนี้ได้ลุกเป็นไฟด้วยความร้อนระอุตรงหัวของคุณลุงแน่แท้
“เดี๋ยวเถอะเบลลามี เลือกใช้คำพูดให้ดีๆ หน่อยสิ”
“…เราพูดตอบดีแล้ว…นะ?”
“เมื่อตะกี้มันประโยคหาเรื่องชัดๆ”
“…แปลก?”
“เออดิ! เอางี้นะ …เบลลามี ‘แกนี่มัน’! พอทักไปแบบนั้นแล้วเธอรู้สึกยังไงละ”
“ไม่รู้สิ ..ถ้าเรเซอร์ไม่พูดต่อ ..เราไม่รู้หรอกนะว่าจะหมายถึงอะไรน่ะ…นะ?”
อย่าทำเหมือนว่า ‘เห็นมั้ย’ ดิ
ผมกุมขมับกับการสื่อสารของเบลลามี ที่เธอพูดว่าอยู่คนละโลกกับทุกคนก่อนหน้านี้อาจจะจริงไม่น้อย …เอาเถอะ
“ถ้านั้นลองดูที่คุณลุงดูสิ เขาโกรธอยู่เห็นมั้ย”
“เพราะมาสาย?”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ตอนนี้จ้องแต่เธอนะ”
…เบลลามีเอากำปั้นทุบฝ่ามือ
“คุณลุงอยากรู้ชื่อเราสินะ”
“นะ นั่นก็ถูก แต่..พัฒนาขึ้นก็ดีแล้วละ”
“อือ”
เบลลามีเดินเขยิบจากตัวผมมาและโค้งศีรษะเล็กน้อยให้คุณลุง
“ยินดีที่ได้รู้จัก เรา ‘เบลลามี’ มาเป็นเพื่อนเรเซอร์ในการทำจิตอาสา ซึ่งทางโรงเรียนตอบรับคำเรียกร้องนะคะ”
“แก ‘เบลลามี’ …นึกว่า ‘เรเซอร์’ ซะอีก เห็นว่าเกเรแท้ๆ”
“ ‘เรเซอร์’ นั่นชื่อผู้ชายนะ”
“หึ!! เป็นยัยหนูที่ตามโลกไม่ทันเหลือเกิน สมัยนี้แล้วใครเขาสนเรื่องชายๆ หญิงๆ ละ”
แหม เป็นลุงที่ทันสมัยดีเหลือเกิน
“สังคมชายเป็นใหญ่ไม่มีอีกแล้ว!!”
ถ้าโลกนี้เป็นอย่างนั้นก็ดีอะนะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นอย่างที่ลุงแกพูดนี่สิ
“…มันยังอยู่นะ อย่างแม่เลี้ยงที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า วันก่อนยังโดนคุณลุงดูนิสัยไม่ดีกดลงโต๊ะแล้วขยับสะโพกทำอะไรแปลกๆ กัน”
เล่าออกสื่อจะดีเรอะนั่น
“แล้วก็พูดอะไรเชิงดูถูกแม่เลี้ยงใหญ่เลย ประมาณว่า ‘เป็นแค่เพศเมียแท้ๆ’ …ประมาณนั้น”
ผมได้แต่ยืนอึ้งกิมกี่ คุณลุงดูไม่สะท้านอะไรมาก
“—พวกนั้นผสมพันธุ์กันสินะ แกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ารึ?”
” …อือ”
ผมรีบเอาตัวไปบังเบลลามี พลางยืดแขนขวางหน้าตาลุง
ชนชั้นสูงกับเด็กกำพร้าไม่ค่อยถูกกันมากนัก ในยุคสมัยนี้ยิ่งเหยียดกันเป็นเรื่องปกติด้วย ..
“คือ …ผม ‘เรเซอร์’ เองนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ฮะๆ”
“ดีมาก รู้จักเอาตัวปกป้องแฟนแบบนี้ สมชายดี”
มะ ไม่ใช่แฟนสักหน่อย…
คุณลุงเดินกลับเข้าไปในบ้าน เข้าไปข้างในและเปิดประตูข้างไว้อยู่
ว่าแล้วพวกผมจึงเดินตามไป
เมื่อเข้ามาในบ้านแล้วก็พบว่าห้องตกแต่งสีสวยงามไม่ต่างกับข้างนอกเลย เพดานสีม่วง กำแพงสีชมพู โต๊ะข้างของสีขาวและเขียวผสมๆ กันไป พื้นสีชมพู
เป็นการตกแต่งที่เวียนหัวสุดๆ รสนิยมจัดว่าเฟี้ยวเกินวัย
“แล้วมีอะไรให้ช่วยหรือครับ?”
คุณลุงยังเดินต่อไปไม่สนคำถามของผม
“ตอบหน่อยสิ” เบลลามีโพ่งขึ้น
“ชู่วๆ ชู่วๆ!” ผมพยายามให้เบลลามีเงียบก่อน
“…งง” เธอทำเหมือนผมผิดปกติซะงั้น
งงเหมือนกันครับ ไม่ต้อง งง หรอก
ผมเช็ดเหงื่อของตัวเอง เตรียมรับคำโวยวายของคุณลุง แต่กลับไม่มีเสียงบ่นอะไรมา
เขาไม่คิดจะบ่นอะไรเบลลามีเลย
ผมแปลกใจเล็กน้อย เพราะพวกชนชั้นสูง โดยเฉพาะกับคนแก่มักขี้บ่นขี้ดูถูกจากค่านิยมที่ส่งต่อกันมา แม้ในปัจจุบันนี้จะค่อยๆ เพลาลงแล้วก็ตาม
ตัวอย่างที่ดีก็ตัวผม เรเซอร์นั่นแหละ ในเนื้อเรื่องต้นฉบับเป็นเดนมนุษย์ที่เกิดจากค่านิยมผิดๆ ในหมู่ขุนนาง ขนาดเป็นเด็กรุ่นใหม่มันยังขนาดนั้นเลย
จึงสรุปได้ว่าลุงที่เจออยู่นิสัยค่อนข้างดี แค่ขี้โวยวายนิดหนึ่ง
“แล้วก็เห็นว่าที่นี่คือบ้านพักคนชราด้วย”
แต่ไม่มีใครนอกจากคุณลุงอยู่เลย
“ก็เป็นบ้านพักคนชรานั่นแหละ แค่ตอนนี้เหลืออยู่สองคน ฉันกับภรรยา”
นั่นเรียกว่าบ้านพักคนชราเรอะ
“ส่วนเรื่องที่อยากให้ช่วยก็คือ…”
ลุงแกเปิดประตูห้องข้างหน้าและเผยให้เห็นหญิงชราข้างในซึ่งกำลังนั่งรถเข็นอ่านหนังสือ
“..ช่วยเป็นเพื่อนเล่นให้ภรรยาฉันที”
เอ่อ?
ผมเกาหัวตัวเองงึกๆ
“วันนี้ฉันมีนัดเล่นปาจิงโกะตอนบ่ายโมง เลยกะจะหาคนมาช่วยดูแลน่ะ”
“หยุดเลยครับ!”
“มีปัญหาสินะ?”
“ปะ เปล่าครับ”
ลุงแกถอนหายใจเฮือกใหญ่ เบลลามีชะโงกหัวจากหลังผมมองไปที่คุณภรรยาของลุงแก
“ดูเหม่อลอยนะ” เธอทักขึ้นมา
ภรรยาของลุงแกเป็นหญิงชราที่ในตัวดูว่างเปล่า มองอะไรไม่เป็นที่เป็นทาง ร่างกายอยู่นิ่งกับที่ไม่เขยื้อนเลย
จะว่าไงดีละ–ดูน่าเป็นห่วงชะมัด
“แกป่วยเป็นโรคมานาย้อนกลับน่ะ”
“…มานาย้อนกลับ?”
เบลลามีชี้นิ้วแตะริมฝีปากตัวเอง
“โรคที่จะทำให้ความทรงจำย้อนกลับไปเป็นเด็ก ไม่ก็เรื่องเมื่อสมัยวัยรุ่น”
เบลลามีพึมพำออกมาเบาหวิวราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน แต่โชคร้ายที่ในห้องเวลานั้นพากันเงียบหมด เลยได้ยินชัดแจ๋ว
“อ่า เพราะเกิดโรคนั่นนี่แหละจึงจำเป็นต้องดูแลให้มากๆ …วันนี้มีนัดเล่นปาจิงโกะด้วย”
ถ้านั้นก็เลิกเล่นปาจิงโกะแล้วมาดูแลคุณภรรยาเซ้!!! —-ไม่สิๆ
ผมกระแอมเบาๆ
“วางใจพวกเราได้เลยครับ”
“…หึ ก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเด็กเหลือขออย่างพวกแกจะดูแลได้มั้ย แต่ก็เอาเถอะ”
คิดอย่างนั้นก็อย่าส่งคำขอมาสิ…
“ฝากด้วยละกัน”
ว่าแล้วคุณลุงก็แต่งตัวหรูๆ ไปเล่นปาจิงโกะ
ตอนนี้พวกเราจึงยืนอยู่เฉยๆ ในห้องกับคุณยาย ยายท่านนั้นก็ดูเหม่อลอย
“..สวัสดีครับ” ผมเอยทักทายไป
ยายแกไม่ตอบผม ทำเพียงนั่งอยู่เฉยๆ ..ก่อนที่จะหันหน้ามาทางผมแล้วยิ้มให้
“สวัสดีค่ะ”
ค่ะ อย่างนั้นเหรอ ..คงเป็นคนพูดสุภาพกระมังแม้จะอายุเยอะกว่าได้รอบวง ถ้าเกิดเขาไม่ได้เป็นโรคมานาย้อนกลับคงคิดเช่นนั้นได้อยู่
เบลลามีโค้งศีรษะตัวเองเช่นกัน เธอเห็นพวกเราแล้วก็ยิ้มออกมา
“ไม่ทราบว่า มีธุระอะไรหรือคะ?” ยายแกกล่าวเช่นนั้นพลางจิบน้ำชาในมือไปด้วย
‘โรคมานาย้อนกลับ’ หากจำไม่ผิดมันคือโรคที่จะย้อนเวลาความทรงจำของคนที่เป็นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกว่าจะตาย เวลาจึงจะย้อนกลับโดยที่มีเส้นชัยคือตอนพึ่งเกิด ซึ่งถ้าถึงตอนพึ่งเกิดเมื่อไหร่เวลาก็จะค่อยๆเดินใหม่อีกครั้งตั้งแต่ 0
การวิจัยโรคมานาย้อนกลับเกิดขึ้นได้ เพราะความร่วมมือของเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาว เพราะถ้าเป็นกับเผ่ามนุษย์คงจะเสียชีวิตก่อนที่การวิจัยมันสำเร็จแน่นอน เนื่องด้วยที่โรคนี้มักเกิดกับคนแก่อายุ 60 ขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่ามีบางกรณีที่อายุไม่มีเอี่ยวด้วย
และถึงจะวิจัยและทดลองอะไรมากมายเพื่อหายามารักษาโรคนี่ แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย จนปัจจุบันไม่มียาหรือเวทมนตร์ชนิดใด ที่รักษาอาการมานาย้อนกลับได้ เพราะสิ่งนั้นมันอยู่คนละมิติกับการใช้มานาของพวกเรา
นี่เป็นความรู้ที่ผมได้จากในนิยายเท่านั้น ณ โลกจริงใบนี้มีน้อยคนที่รู้มัน——มานาที่พวกเราใช้กัน คือมานาไม่บริสุทธิ์ มันคือมานาที่ผ่านตัวแปรอย่างวงจรเวทย์พวกเรา หรือสื่อต่างๆ มากมาย ซึ่งโรคมานาย้อนกลับก็น่าจะเป็นเพราะความผิดปกติทางมานาบริสุทธิ์ ฉะนั้นต่อให้ใช้เวลาเป็นพันๆ ปีก็ไม่มีทางรักษาได้หรอก เพราะเขตแดนของมานาบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะแกร่งเพียงใดก็ไม่สามารถเข้าถึงได้
ถ้าหากมีใครสักคนเข้าถึงเขตแดนนั้นได้ และให้ความร่วมมือ คงหาวิธีทำอะไรสักอย่างกับโรคคนนี้ย้อนกลับได้ …แค่นั้นไม่พอ คนคนนั้นคงจะต้องแกร่งสุดในโลกด้วยไม่ผิดแน่ เพราะถ้าควบคุมมานาบริสุทธิ์ได้ปาฏิหาริย์ที่คนปกติทำไม่ได้ คนคนนั้นจะทำได้เพียงแค่กระดิกนิ้ว
แต่ก็เอาเถอะ แม้จะเป็นในนิยายแต่ผมไม่เคยเห็นใครเลยที่ไปถึงระดับการใช้มานาบริสุทธิ์ ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนผมว่ากำลังคิดว่าถ้าคนเราควบคุมเลือดในร่างกายตัวเองได้ตามใจชอบ คงจะเทพสุดๆ นั่นแหละ ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ แค่นั้นแหละ
ผมเปลี่ยนความสนใจมาที่คุณยายเบื้องหน้าแทน
“..คุณลุง” ..รู้สึกลุงสามีแกจะชื่อ ‘แพม’ “คุณแพมเขาฝากให้พวกผมมาดูแลน่ะครับ”
เมื่อยายแกได้ยินไป สักพักหนึ่งก็แก้มแดงเรือขึ้นมา
“คุณแพมเหรอ ..เป็นห่วงฉันจังนะ แต่ก็นั่นสินะ เมื่อวานพึ่งจะแต่งงานกันเอง”
เวลา ณ ปัจจุบันคือหลังแต่งงานกันได้หนึ่งวันสินะ
“แต่งงานเหรอ?” เบลลามีเอ่ยขึ้นมา
“ใช่จ้ะ” ยายโชว์แหวนที่แม้จะดูมีราคา แต่ก็เก่าเอามากตรงนิ้วนางให้ดู
…ทั้งๆ ที่เรื่องนั้นมันผ่านมาตั้งหลายปีแล้วแท้ๆ แต่เธอกลับต้องมารีรันความรู้สึกใหม่ มันอาจจะมีความสุขกว่าเก่าก็ได้ แต่สำหรับคุณแพมนั่นค่อนข้างน่าสงสารเลยละ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกันมา อย่างน้อยๆ ก็จะถูกบันทึกในความทรงจำของทั้งสองคน สิ่งสำคัญที่สุดอย่างความทรงจำ มันได้หายไปแล้วในตัวคนที่อยากให้จดจำไว้มากถึงที่สุด
เกิดคนที่ผมรักเป็นโรคมานาย้อนกลับขึ้นมา ผมคงจะช็อกหนักจนถึงขึ้นอยากตายเลยละ
“ยินดีด้วยนะครับ”
“ยินดีด้วยนะคะ”
พวกเราแสดงความยินดีตามสถานการณ์ไป
“จ๊ะ กับคุณแพม ฉันจะรักษาไว้ให้ดีๆ เลย”
ดีจังนา
“แต่ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ..พักนี้คุณแพมแปลกไปน่ะ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจนน่าแปลกเลย”
ในโลกปกติคุณแพมที่ว่าอายุปาไป 80 แล้วนี่นะ แต่ในมุมของคุณยายคงไม่ใช่
“หลายๆ ครั้งเลยคิดว่าเราอาจจะเข้ากันไม่ได้” ยายพูดด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูสลด
“..ไม่จริงหรอกค่ะ” เบลลามีท้วงขึ้นมา “ถ้าเข้ากันไม่ได้จริง คงไม่อยู่กันนานเป็นสิบๆ ปีได้หรอก”
“นั่นสินะ ครั้งแรกที่เจอกับคุณแพมก็ตั้งแต่ 9 ขวบด้วย ผ่านมาตั้ง 20 ปีแล้วนี่นา”
….ขนาดนั้นเชียวเหรอ
ผมกับเบลลามีเงียบไป ก่อนที่ผมจะทักขึ้นมา
“เรื่องความรักของคุณกับคุณแพม ขอฟังได้รึเปล่าครับ?”
ยายแกได้ยินเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มตอบผม
“ได้สิจ๊ะ”
เธอจึงเล่าให้ฟัง—
เรื่องราวความรักของเธอกับคุณแพมเริ่มเมื่อตอน 9 ขวบ ในวันที่ฝนตกเธอได้พบกับคุณแพมที่พึ่งสูญเสียพ่อและแม่ไปในสวนสาธารณะ
วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักมาก เธอเห็นคุณแพมร้องไห้อยู่โดยที่ไม่มีใครรับรู้ถึงเสียงนั้นเลย เพราะเสียงฝน เธอจึงตัดสินใจไปปลอบคุณแพม จากนั้นความสัมพันธ์ของพวกเธอก็เริ่มต้นขึ้น
เริ่มแรกพวกเธอเป็นแค่เพื่อนวัยเด็กกัน เริ่มโตเป็นวัยรุ่นจึงเริ่มจีบกันเป็นพิธี และสุดท้ายก็จบโดยการคบกัน ต่อมาอีก 6 ปีเลยแต่งงานกัน จนถึงปัจจุบันนี้
เป็นเรื่องราวความรักแสนงดงามซึ่งโรยด้วยกีบกุหลาบโดยแท้ …ถ้าเกิดไม่มีโรคมานาย้อนกลับมาขัดขวางเรื่องราวของทั้งสองคนละก็
“รักกันมากเลยนะครับ”
ผมทักขึ้น แต่ยายแกกลับดูตะลึง เป็นรึแอคชั่นที่แปลก .. เธอจ้องไปที่เบลลามีซึ่งอยู่ข้างๆ ผม
“..นี่หนู” ยายทักขึ้นมา แล้วก็นำมือเข้าไปใกล้ๆ “เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?”
พูดจบผมก็รู้สึกตัวได้ว่าเบลลามีกำลังร้องไห้อยู่
….ทำไมถึงร้องไห้ละ? ..เรื่องมันก็ซึ้งกินใจอยู่หรอก แต่แค่เรื่องราวไม่กี่นาทีเองนะ ..
เบลลามีร้องไห้ออกมาทั้งๆ ที่เธอมีสีหน้าคงเดิม
“ขอโทษค่ะ”
“มะ ไม่หรอกจ้ะๆ ว่าแต่เป็นอะไรรึเปล่าน่ะ?”
เบลลามีเช็ดน้ำตาของตัวเองราวกับว่าเธอก็พึ่งนึกเรื่องของตัวเองออก
“..แค่คิดว่าเรื่องของคุณมันน่าเศร้าเท่านั้นเอง ..ค่ะ”
“น่าเศร้า?”
“ความทรงจำทั้งหมด ต่อให้จะเลวร้ายแต่ก็ผ่านมันมาด้วยกัน ของอย่างนั้นน่ะถ้าหายไปก็คงจะเศร้า” เบลลากัดริมฝีปากตัวเองอย่างเจ็บใจ “เราอยากเห็นคุณสองคนเก็บความทรงจำอันล้ำค่าไว้ ยันตอนจบของชีวิต ..ไม่ได้หรือไง”
ยายแกเอียงคอฉงน คงจะอย่างนั้นแหละ เธอที่เป็นโรคมานาย้อนกลับน่ะ เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ผมตบมือ แป๊ะๆ เปลี่ยนบรรยากาศ
“จะว่าไป—”
พวกเราจึงคุยเรื่องที่ออกไปทางเฮฮาสุขสันต์แทนที่เรื่องชวนปวดกระบาล
จนพระอาทิตย์จะตกดินแล้ว
“ถ้านั้นก็”
ผมกับเบลลามีโบกมือบายยายแกในท้ายที่สุด ยายแกก็โบกมือรับด้วยรอยยิ้ม—-แม้ว่าวันต่อไปเธอคงลืมเรื่องของพวกผมและวันนี้แล้วก็เถอะ
ในช่วงสุดท้ายผมจึงได้เดินเล่นระหว่างกลับหอกับเบลลามีแทน
“จากที่ยายเขาเล่ามา คุณแพมแต่เดิมเป็นพวกสายรั่วสินะ”
การสนทนาสำหรับวัยรุ่นก็ต้องเรื่องนินทาผู้ใหญ่นั่นแหละ—
“นั่นสินะ เห็นเล่าว่าเวลาจะเขยื้อนความสัมพันธ์มักจะเขินจนทำอะไรไม่ถูกตลอด”
“น่ารักดีเนอะ”
ผมหัวเราะเบาๆ ส่วนเบลลามีก็แค่ตอบไปถามมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยตามเคย เพียงแค่มีรอยยิ้มนิดๆ มาด้วย
“..จะว่าไป เบลลามีอ่อนไหวกับเรื่องความรักสินะ?”
พอผมพูดไปเช่นนั้นเธอก็หยุดเดินทันที
“อ่อนไหวกับเรื่องความรัก?”
“อ่า ก็ตอนที่ยายแกเล่าให้ฟัง พอจบเรื่องดันร้องไห้เลยนี่”
เบลลามีได้ยินอย่างนั้นไปก็เกิดแก้มแดงหน่อยๆ เธอจึงใช้มือหนึ่งข้างมานาบตาขวาตัวเอง
“ตอนนั้นมันเผลอไป ..แต่กับเรื่องความรักเราไม่ได้อะไรหรอกนะ” เธอเล่ห์มองผมผ่านทางมือที่มีช่องให้ลอด “เราแค่ไม่ชอบเรื่องราวที่ความทรงจำทั้งหมดจะสูญหายเท่านั้นเอง”
..แบบนี้นี่เอง
“พวกนิยายก็เลี่ยงพวกนั้นด้วยรึเปล่านะ”
“ไม่หรอก เราแค่ไม่ชอบ แต่ว่ามันสนุกเพราะฉะนั้นก็อ่านตามปกติ อย่างเรื่อง ‘รักกับเวลาที่ไหลกลับ’ ที่พึ่งอ่านจบไป นั่นเราก็ชอบเอามากๆ”
เธอพูดแบบมีน้ำนวลเล็กน้อย ดูจะไม่ถูกใจที่บอกว่าเธอเป็นพวกเลี่ยงแนวนิยายที่ไม่ชอบ ..แค่นั้นเนี่ยนะ?
“สำหรับเรา แค่สนุกก็ชอบหมด ต่อให้เป็นแนวอะไร”
ศักดิ์ศรีของนักอ่านนั้นรึ ไม่เข้าใจหรอกก็ผมไม่ใช่นักอ่านสักหน่อย แค่นักชอบอ่านเรื่องที่ชอบเท่านั้น
“แต่เรื่อง ‘รักกับเวลาที่ไหลกลับ’ เนี่ยขั้นเทพเลยเนอะ เป็นนิยายที่บรรยายแบบง่ายๆ จนฉันเข้าใจไม่พอ เนื้อหายังขั้นเทพอีก”
ต้องเกริ่นก่อนว่าโลกใบนี้มันมีโรคเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ทำให้ความทรงจำคนเราแปลกๆ ไปเยอะ ในโลกจึงนิยมนิยายรักดราม่าแนวๆ ความทรงจำของสองเราที่สูญหายไป บลาๆ ค่อนข้างเยอะ ให้เปรียบเทียบก็คงเป็นนิยายที่นางเอกป่วยเป็นมะเร็งตายละมั้ง
โลกใครโลกมัน เรื่องของนิยายดราม่าที่นางเอกกับพระเอกจะไม่สมหวังกันในตอนจบ เลยเปลี่ยนองค์ประกอบไปด้วย นั่นก็คือหนึ่งในเสน่ห์สำคัญของต่างโลกที่อาจจะดีกว่าก็ได้
“อ่านด้วยเหรอ? เราชอบมากเลยน่ะ”
“กับนิยายที่ไม่ใช้ศัพท์ยากไปฉันค่อนข้างชอบน่ะ เรื่องนี้เองก็เป็นหนึ่งในผลงานขั้นเทพในใจเหมือนกัน”
อย่างนิยายที่พวกเราใช้เป็นหัวข้อคุยกันอย่าง ‘รักกับเวลาที่ไหลกลับ’ ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายที่ไปตกหลุมรักหญิงสาวซึ่งเป็นโรค ‘มานาย้อนกลับ’
ด้วยองค์ประกอบชวนดราม่าพวกนั้น ผสมกับทักษะการเขียนของผู้แต่งทำให้เกิดผลงานชั้นเทพ ที่ทำให้ผมซึ่งโง่เข้าใจเนื้อหาแสนจะลึกซึ้งได้ ..ขอบพระคุณครับ
ผมพนมมือไหว้ท่านนักเขียนคนนั้น ที่ทำให้เจ้าลิงได้ร้องไห้หลังจากอ่านนิยายจบ
“เห็นว่าจะได้ทำละครเวทีด้วย ไว้มีโอกาสต้องไปหาดูด้วยแหละ” ผมพูด
เบลลามีพยักหน้าเห็นด้วยกับผม
“แต่สิ่งที่เราชอบที่สุดในเรื่องนี้คงเป็นตอบจบกระมัง”
“ตอบจบเหรอ …”
เรื่องนี้ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือตอนจบ พวกนักวิจารณ์ตามบอร์ดเขียนไว้อย่างนั้นแหละ
“ตอนจบที่พระเอกทำวิจัยจนรักษาโรคมานาย้อนกลับได้ ทำให้นางเอกหายจากโรคมานาย้อนกลับ แล้วก็อยู่กันแบบมีความสุขน่ะเหรอ?”
“ใช่ เราชอบตอนจบที่ทุกคนมีความสุข”
เธอว่ามาเช่นนั้น
นึกว่าคนประเภทเบลลมีจะไม่เห็นด้วยกับตอนจบโลกสวยอย่างนั้นซะอีก ..โลกสวยไม่พอยังห้วนด้วย จบทั้งหมดใน 10 หน้าเอง
“หลายคนชอบคิดว่ามันโลกสวย แต่เราไม่หรอกนะ ..ไม่มีคนโลกสวยที่ไหนหรอก มาพยายามคว้าสิ่งที่มองไม่เห็นน่ะ”
“แบบนั้นอาจจะเข้าข่ายโลกสวยก็ได้นะ”
พยายามแบบไม่คิดอะไร–
“เราคิดว่ามันคือความเด็ดเดี่ยวน่ะ”
แบบนี้นี่เอง มีอีกฝ่ายที่เห็นด้วยกับตอนจบเหมือนกัน ..
“ว่าแล้วเชียว เป็นนิยายที่ดีจริงๆ ด้วยแหละ”
นิยายนี่ทำให้คนมีความเห็นที่ต่างกันหลังจบได้ คิดว่าดีนะ
“..อือ อาจเป็นเพราะเราอ่อนไหวกับพวกความทรงจำด้วย ทำให้เผลอคิดไปว่ามันดี จริงๆ อาจจะห่วยก็ได้ เราไม่รู้หรอก” เบลลามียิ้มเบาหวิว “แต่ถ้าเลือกได้ เราต้องการเรื่องราวที่ความทรงจำทั้งหมดไม่หายไป ขอแค่นั้นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแฮปปี้ แต่ขอแค่ความทรงจำที่สำคัญกว่าสิ่งใดยังอยู่ แค่นั้นก็พอแล้ว ..นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราละนะ”
…ความทรงจำ
“เรามักจะฝันตลอด ถึงใครหลายคนที่สำคัญต่อเรามาก อย่างน้อยๆ ก็ในความฝันที่ทุกคราวที่ตื่นมามักจะจางหายไปในความจำตลอด ..นั่นแหละที่ไม่ชอบ”
“เบลลามีพอจะจำได้มั้ย ว่าฝันถึงอะไร?”
“—น่าจะเรื่องชีวิตในโรงเรียนเวทมนตร์นะ ..เกี่ยวกับใครคนหนึ่งที่เป็นผู้ชาย แล้วก็ใครอีกคนต่างเพศ ใครอีกคนอีก ใครหลายๆ คน ..ฝันว่าสักวันทุกอย่างก็ต้องจบลงโดยที่ทุกคนต้องลืมทุกอย่าง เหมือนกับเราที่พอตื่นมาก็มักจะลืมรายละเอียดมากมายไป”
——–ผมรีบคว้ามือเบลลามีขั้นทันที
“มีเรื่องของฉันอยู่ในนั้นรึเปล่า!!?”
ทันทีนั้นก็เหมือนกับเวลาหยุดลงไป …ด้วยความเขินอาย เบลลามีก็หน้าแดงก่ำเหมือนกัน ..การรุกสุดบ้านี่มันอะไรกันนะ ตัวผม
‘มาสเตอร์ …’ ยูนาทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอือมๆ ‘อยู่ๆ ไปจับมือผู้หญิงได้ไงคะ? แล้วถามอะไรละคะนั่น เสี่ยวชะมัด อายเขาบ้างก็ดีนะ’
..นะ นั่นสิเนอะ ผมแค่คิดถึงเรื่องในฝันเร็วๆ นี้ขึ้นมาได้น่ะ เลยเผลอถามไปเพราะเหมือนมันจะเชื่อมโยงอะไรกันบ้าง ..ฮะ ฮะ
ผมรีบปล่อยมือของเบลลมีไป เธอเองก็รีบดึงมือกลับมากุมไว้ทันทีแล้วก็หลบหน้ากันประหนึ่งตัวละครในเลิฟคอมเมดี้
“โทษที..นะ”
“เราไม่โกรธหรอก” เบลลามียิ้มเบาหวิว “ไม่โกรธเลย”
เบลลามีค่อยๆ แหงนหน้ามองผมเนื่องจากตัวเล็กกว่ามาก
“..เรื่องของเรเซอร์น่ะ เหมือนจะมีอยู่บ้างนะ คิดว่า”
คิดว่าเองรึ
“ชั่งเถอะ ฉันเองก็คิดว่าไม่ได้สำคัญอะไรหรอก”
ยังไงก็เรื่องในฝัน ไม่มีมวลอะไรมากเท่าไหร่นัก ผมอาจจะใส่ใจเกินไปก็ได้ ..มั้ง
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อคุยกัน—-จนไปถึงหอพัก
*****
“เราคิดว่าผู้แต่งเรื่อง ‘รักกับเวลาที่ไหลกลับ’ คงจะเป็นคนที่มีอายุมาก เพราะเข้าใจความหมายลึกซึ้งมากกว่าใครๆได้”
“นั่นสินะ บรรยายของพวกนั้นออกมาด้วยคำศัพท์ง่ายๆ ได้เนี่ย ไม่ธรรมดาเลย”
สุดท้ายพวกเราก็คุยเรื่องตามภาษาแฟนนิยายจนถึงหอ แต่ตอนนั้นเองก็มีคนเข้ามาทัก
“พวกแกชอบอ่านเรื่องนั้นกันสินะ”
‘เคียวยะ’ นั่นเอง เขากำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่ด้วย เหมือนว่าหลังจากเทศกาลไล่จับโจร กกน. หมอนี่ก็เริ่มฝึกร่างกายละ
“อ่า ชอบสุดๆ เลยละเรื่องนั้น”
“ระดับที่เราพร้อมบูชาเลยละ”
เคียวยะทำเสียง ‘เห๋’ ทั้งรอยยิ้มมุมปาก
“นั่นน่ะผลงานชิ้นโบแดงของตูเลยละ”
…หา?
“ยังไงก็ขอบคุณที่อุดหนุนละกัน ฉันได้เงินต่อเล่มจากพวกเธอมาคนละราว 40 เลย ขอบใจมาก”
พูดจบเคียวยะก็วิ่งต่อ——-เอาจริงดิ
ผมชี้นิ้วไปทางเคียวยะด้วยใบหน้าที่เหวอไ่ม่นิดไม่น้อย
“เจ้านั่นเนี่ยนะคนเขียนนิยายเรื่องนั้น ..”
“…ผู้ละทางโลก เคียวยะคือผู้ละทางโลกนั้นเหรอ?”
ผ่านมาไปไวเหลือเกิน
เรื่องราวความรักแสนจะลึกซึ้งที่ตัวผมไม่อาจเข้าถึงได้ ดันเขียนโดยไอ้ถ่อยละครับ———-ว่าไปนั่น
MANGA DISCUSSION